Wednesday, 14 May 2025
Lite

รู้จัก ‘เติร์ก อมรศักดิ์’ TikTokers สายภาษา มีคลังศัพท์ + ความฮา ยอดติดตามทะลุล้าน


สัมภาษณ์พิเศษ : คุณเติร์ก อมรศักดิ์ เดชห้วยไผ่ วิทยากรและที่ปรึกษาด้านการพัฒนาภาษาอังกฤษในระดับองค์กร และเจ้าของเพจภาษาอังกฤษหยาบๆ



เปิดเคล็ดลับ TikTokers ด้านภาษา เบอร์ 1 ของไทย #ภาษาอังกฤษหยาบๆ รู้ศัพท์ กับความฮา ยอดฟอล 1.8 ล้าน

สวัสดีค่ะ ชื่อ เติร์กนะคะ จากเพจภาษาอังกฤษหยาบๆ หรือ รู้จักกันในนาม #พี่เติร์กภาษาอังกฤษหยาบๆ นั่นเอง ตอนนี้เป็น Content Creator เกี่ยวกับภาษาอังกฤษแบบสนุกๆ แบบวีดีโอสั้นใน TikTok และ Instagram และก็มีทำหนังสือบ้าง ทำคอร์ส และก็คลิปตลกสอดแทรกไปพร้อมๆ กัน 

2. ช่อง Turktk นำเสนอคอนเทนต์อะไรบ้าง
เติร์ก: ช่อง Turktk เราก็จะนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลาย หลักๆ เลย เราจะก็ทำคอนเทนต์สอนภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ สนุกๆ มีทั้งคำศัพท์มีทั้งประโยค ศัพท์แสลง อีกทั้งเราก็มีคลิปตลก มุกตลก มีมตลกต่างๆ อีกด้วยค่ะ



3. ทำไมต้อง #ภาษาอังกฤษหยาบๆ ได้ไอเดียมาจากอะไร?
เติร์ก : จริงๆ เลย คือภาษาอังกฤษหยาบๆ เริ่มต้นมาจากที่เราสอนคำแสลงต่างๆ และบวกกับตอนนั้นยังไม่มีช่องภาษาอังกฤษสั้นๆ ในแพลตฟอร์ม TikTok นะคะ คือเราจะชินกับการที่ใครสอนภาษาอังกฤษก็จะทำวีดิโอแบบพิถีพิถันยาวๆ เป็นวีดิโอในเชิงการศึกษา 

แต่เราจะทำเป็นแบบว่า สั้นๆ ลวกๆ เป็นที่มาของคำว่าหยาบๆ ด้วย เพราะมันทำได้ในแอปพลิเคชันเลยคือกดถ่ายปุ๊บพูดๆๆ และก็โพสต์ได้เลยค่ะ มันก็จะแบบว่าหยาบๆ ง่ายๆ รวมถึงบุคลิกภาพของเราที่มีปากแจ๋วพอสมควร (หัวเราะ) เลยผนวกกันเป็น #ภาษาอังกฤษหยาบๆ 

4. คลิปไหนที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักมากที่สุด
เติร์ก : ก็น่าจะเป็นคลิปแรกๆ เลยค่ะ เป็นที่มาของภาษาอังกฤษหยาบๆ เนี่ยละค่ะ สอนคำแสลงหรือคำที่แบบ...ชาวต่างชาติหรือฝรั่ง ที่เขาใช้เอาไว้กัด จิก ด่ากัน ก็คือเป็นหยาบๆ แรงๆ นิดนึง ก็จะได้รับกระแสความสนใจเป็นอันมาก แต่เราก็ถ่ายทอดออกมาให้มาดูน่ารัก

อีกคลิปนึง ก็น่าจะเป็นคลิป Drive Thru สั่งกาแฟเป็นภาษาอังกฤษ คลิปนี้ก็ทำให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น เยอะเลย และก็อีกคลิปนึงก็จะ #ก็คนมันรวยอ่าจ้า คลิปนี้ก็จะทำให้คนขยายวงกว้างมากขึ้นก็คือคนที่ชอบอะไรตลกๆ บันเทิงๆ ก็จะรู้จักตัวตนเรามากขึ้น นอกจากสอนภาษาอังกฤษค่ะ ก็รุ่งเลย เป็นล้านวิวภายในไม่ถึง 3 ชั่วโมง จากนั้นเราก็ทำออกมาอีกเรื่อยๆ ก็รุ่งไปเรื่อยเลย โดยไม่ได้คาดคิดว่ามันจะปัง 

5. มีคลิปไหนที่ทำออกมาแล้วรู้สึกคาดไม่ถึง ทั้งคลิปรุ่ง และคลิปร่วง 
เติร์ก : สำหรับคลิปรุ่งที่คาดไม่ถึงเลยก็น่าจะเป็น #ก็คนมันรวยอ่าจ้า คือไม่คาดคิดจริงๆ เพราะว่าตอนที่ถ่าย คือถ่ายแบบเล่นๆ แบบกดกล้องถ่ายง่ายๆ และก็กดลงเลย คือไม่ได้คิดอะไรเลย (หัวเราะ) 

ส่วนคลิปที่ร่วง ก็เป็นคลิปที่เราจะพยายามคิดเยอะ โปรดักชันเยอะ ซึ่งเราเคยทำคลิปสอนภาษาที่สร้างสถานการณ์จริงจัง มีตัวละคร มีมุมกล้องถ่ายจากกล้องใหญ่ และค่อยมาลง และตัดต่อดีๆ สุดท้ายก็ร่วงเฉยเลยก็มีนะคะ (หัวเราะ)
 

Whoscall ออกแคมเปญตัดจบแก๊งคอลเซ็นเตอร์! ไม่ต้องรู้มุก คนไทยก็ ‘รู้ทัน’ตั้งแต่เห็นเบอร์

หลากสายแปลกที่โทรเข้ามาแทบจะครบเวลาหลังอาหาร 3 มื้อของคุณ ๆ ท่าน ๆ ผ่านเบอร์แปลกของบรรดามิจฉาชีพใต้เงาที่เราเรียกว่า ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ นั้น มักสร้างความวิตกกังวลสำหรับคนที่ ‘ไม่รู้ทัน’ 


พอรับไปพลัน ก็จะเจอเนื้อหาที่ทำให้ต้องแอบหวั่น ว่าฉันไปทำอะไรผิดไว้ ต้องจ่ายค่าบริการอะไร ต้องเสียค่าปรับหรอ ทำไมต้องจ่าย จ่าย และ จ่าย 

ฟังดูเหมือนเรื่อง ‘ขำ’ แต่บทนำที่ทำให้ขำแห้ง คือ ดันมีคนไทยที่ ‘หลงเชื่อ’ และถูกหลอกไปแล้วกว่า 6.4 ล้านครั้ง คิดเป็นเงินสูญเสีย ก็เบาะ ๆ แค่ 1,600 ล้านบาทเองในปีที่ผ่านมา 

แน่นอนว่า แม้ทุกวันนี้ ข่าว ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ จะเริ่มปล่อยออกมาให้คน ‘รู้ทัน’ กันมากขึ้น เพราะมันมีสไตล์ที่หลากหลายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ภายใต้มุกใหม่ ๆ ที่ตามทันบ้าง ตามไม่ทันบ้าง แต่หลายคนเริ่มจับทางได้!!

แต่คำถาม คือ เราเริ่มชินจริง ๆ ใช่ไหม? 
ใช่!! เราเริ่มชิน 
แต่…เราก็เริ่ม ‘รำคาญ’
และเมื่อเราเริ่มรำคาญ เราก็อยากหาทางออก!!

เพราะถึงแม้จะเริ่มมีคนรู้ทัน แต่สายแปลก ๆ จากบรรดา ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ที่หลุดเข้ามา แบบหน้าด้าน ๆ ทั้งวี่ทั้งวัน มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะไป ‘รู้ทัน’ ได้ง่าย ๆ สุดท้ายก็ต้องเผลอไปรับให้รำคาญใจทุกทีไป เพราะหากมีสายสำคัญจริง ๆ โทรเข้ามา แล้วเราเลือกไม่รับเลย เดี๋ยวจะงานงอก!! 

จากปัญหา ที่ไม่ใช่เฉพาะแค่การหลอกลวงเพื่อปลดทรัพย์ แต่กลับพ่วงไปด้วยความน่ารำคาญของสายแปลกจาก ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ก็ไป ‘ปะทุ’ จนเกิดเป็น ‘ไอเดีย’ ให้ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่าง Whoscall ต้องออกโรงมาแอกติ้งแบบจริงจัง!!

 



โดย Whoscall เป็นแอปพลิเคชันมือถือระบุสายโทรเข้าที่ไม่รู้จัก เป็นแอปที่ใช้งานง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แถมยังดาวน์โหลดได้ฟรีที่ : https://whoscallthailand.onelink.me/1Ffj/prGetApp นั้น มีความตั้งใจที่จะช่วยคนไทย ให้เอาชนะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพได้ตั้งแต่เห็นเบอร์ 

23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 เกิดจลาจลเผา รง.แทนทาลัม ที่ จ.ภูเก็ต จุดเปลี่ยนสำคัญจากพึ่งพาเหมืองแร่สู่การท่องเที่ยว

วันนี้ในอดีต (23 มิ.ย. 2529) ได้เกิดเหตุจลาจลขึ้นที่ จ.ภูเก็ต จากการที่ผู้ชุมนุมประท้วงจุดไฟเผาโรงงานแทนทาลัมจนวอดวาย ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามกำหนด สุดท้ายต้องย้ายไปสร้างที่อื่น

ตั้งแต่สมัยโบราณมา ‘แร่ดีบุก' นับเป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซาพร้อม ๆ กับปริมาณ ‘ดีบุก' ที่มีการขุดพบลดลง

ในระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ ‘สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์–แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศหรือหัวจรวดนำวิถีและขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์–แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60–70 บาทและเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ ‘แร่แทนทาลัม'จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า

เมื่อชาวบ้านทราบว่า 'ขี้ตะกรัน' เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย 'ขี้ตะกรันดีบุก'  หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท 

ผลจากการตื่นตัวใน 'แร่แทนทาลัม' ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง 'โรงงานถลุงแทนทาลัม' ขึ้น โดยในวันที่ (28 ธ.ค. 2522) บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว

24 มิถุนายน พ.ศ.2475 วันเปลี่ยนการปกครองประเทศไทย ครบ 90 ปี การอภิวัฒน์สยาม สู่ ประชาธิปไตย

วันที่ (24 มิถุนายน พ.ศ. 2475) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของประเทศไทย เพราะเป็นวันที่คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเช่นทุกวันนี้

สำหรับกลุ่มที่ทำการยึดอำนาจและเปลี่ยนการปกครอง หรือ คณะราษฎรนั้น เกิดจากการประชุมของคณะผู้ก่อการ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและนักเรียนทหารที่ศึกษางานที่ทวีปยุโรป ที่หลายคนคุ้นชื่อก็จะมี ปรีดี พนมยงค์ ,ประยูร ภมรมนตรี ,แปลก ขีตตะสังคะ ทั้งหมดได้วางแผน ร่วมมือกันเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง โดยตกลงว่าจะใช้วิธีการ ยึดอำนาจโดยฉับพลัน หลีกเลี่ยงการนองเลือดแบบที่เคยเกิดขึ้นที่ฝรั่งเศส 

วันที่ (24 มิถุนายน 2475) แผนการก็ได้เริ่มขึ้น คณะราษฎรได้นำกองกำลังทหารบก ทหารเรือ มารวมตัวกันบริเวณรอบพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม หลังจากนั้นให้ พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา อ่านคำประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 

โดยเนื้อหาหลักก็เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ประโยคหนึ่งที่เรามักเห็นตามข่าวบ่อย ๆ ก็มาจากเหตุการณ์นี้ ประโยคนั้นคือ

 “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่หลอกลวง”

โดยใจความหลักก็เป็นการอธิบายถึงหลักการของคณะราษฎรในครั้งนี้ ว่าทำเพื่ออยากให้บ้านเมืองดีขึ้น และให้บ้านเมืองบรรลุเป้าหมาย 6 ประการได้แก่

1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
.
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

3. จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่

5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น

6. จะต้องให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 สถานีรถไฟหัวลำโพง เปิดใช้งานวันแรก มรดกทรงคุณค่าจากในหลวง รัชกาลที่ 5

สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือที่นิยมเรียกกันว่า สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศไทย และเป็นสถานีที่เก่าแก่ที่สุด สร้างในสมัย รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2453 สร้างเสร็จและเริ่มใช้งาน วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2459 ในช่วงรัชสมัย ร.6 

สถานีรถไฟหัวลำโพง  เป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่เชื่อมต่อหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางของผู้คนสะดวกรวดเร็ว สถานีกรุงเทพ จึงมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายตั้งแต่ ประวัติความเป็นมา อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับหัวลำโพงตลอดมา ผ่านยุคสมัย นำมาซึ่งผู้คนที่เริ่มเดินทางเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานมากมายจากทุกทิศทั่วไทย มีส่วนทำให้ชุมชนเมืองของกรุงเทพฯ ขยายตัวและเจริญยิ่งขึ้น เปรียบเป็นสถานีชุมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน และเป็นต้นทางในการนำความเจริญออกไปทั่วประเทศไทยในทุกทิศ จากภาคกลาง สู่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ตามเส้นทางรถไฟสายต่าง ๆ ที่สร้างครอบคลุมทั่วประเทศไทย ที่มาจากจุดกำเนิดเดียวกัน คือ สถานีกรุงเทพ 

แม้ปัจจุบันเส้นทางถนนและรถยนต์จะเจริญมากขึ้นและแบ่งความเจริญไปบนเส้นทางถนนจำนวนหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ การเดินทางของประชาชนจำนวนมากก็ยังต้องพึ่งพาการเดินทางด้วยรถไฟอยู่ตลอดมา ตามบทบาทและตามสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปจนถึงยุคปัจจุบัน ถึงแม้ว่าในอนาคตการรถไฟแห่งประเทศไทยจะพัฒนาไปสู่ยุครถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง อาจทำให้สถานีกรุงเทพไม่เพียงพอที่จะรองรับการเดินทางของประชาชนในอนาคต แต่สถานีกรุงเทพ ยังคงมีความสำคัญในฐานะประวัติศาสตร์ของการเดินทางอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่ให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้จุดกำเนิดของการขนส่งระบบรางต่อไปในอนาคต และยังคงต้องอยู่กับคนไทย ไปอีกตราบนานเท่านาน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการคมนาคมทางรถไฟเพื่อให้เกิดความเจริญแก่บ้านเมืองเป็นสำคัญ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นสัญลักษณ์แห่งการนำพาสยามสู่ยุคแห่งการพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเท่าเทียมนานาอารยประเทศ อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้เปิดเดินขบวนรถไฟหลวงสายแรกในราชอาณาจักรไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2439 และได้ดำเนินการก่อสร้างทางรถไฟสายต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้สถานีรถไฟกรุงเทพแห่งแรกที่อยู่บริเวณหลังอาคารกรมรถไฟหลวง ไม่สามารถรองรับการให้บริการของประชาชนได้อย่างเพียงพอ กรมรถไฟหลวง จึงริเริ่มที่จะสร้างสถานีรถไฟกรุงเทพที่มีความทันสมัย สวยงามเป็นศรีสง่าแก่พระนคร โดยมีคุณค่าในด้านต่าง ๆ กล่าวคือ 

‘เด็กอัสสัมชัญ’ คว้าแชมป์โลกสร้างดาวเทียมจำลองจิ๋ว ในงาน Annual CANSAT Competition 2022

ภาคภูมิใจเด็กไทยเก่งไม่แพ้ใคร คณะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนอัสสัมชัญ กรุงเทพมหานครได้รับรางวัลชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกจากการแข่งขันโครงการ Annual Cansat Competition 2022 สร้างดาวเทียมจำลองจิ๋ว ณ สถาบันโพลีเทคนิค และมหาวิทยาลัยรัฐเวอร์จิเนีย รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา

ล่าสุด เมื่อวันที่ (19 มิ.ย. 65) ผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญ ในฐานะนายกสมาพันธ์สมาคมศิษย์เก่าคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย พร้อมคณะครู ตัวแทนคณะกรรมการสมาคมอัสสัมชัญ รวมทั้งผู้ปกครองเดินทางไปรับทีม Descendere ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ส่วนทีม Gravity ได้อันดับ 7 จะบินกลับมาประเทศไทยในวันอังคารที่จะถึงนี้

ทาง American Astronautical Society (AAS) ได้จัดการแข่งขันออกแบบและสร้างในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับอวกาศสำหรับนักเรียนประจำปี โดยโครงการ Annual Cansat Competition 2022 เป็นการแข่งขันสร้างดาวเทียมจำลองระดับนานาชาติที่มีขนาดเล็กจิ๋วเท่ากระป๋องเครื่องดื่มหรือที่เรียกว่า ‘Cansat’ ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายตั้งแต่วันที่ (9 - 12 มิถุนายน 2565)

ภารกิจในปี 2022 นี้ คือ การติดตั้ง Tethered Payload หรือ อุปกรณ์ที่จะดีดตัวออกมาจากภาชนะทรงกระบอก (CANSAT) พร้อมเชือกยาว 10 เมตร ไปกับจรวดที่บินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปที่ระดับความสูง 700 เมตร จากพื้นโลก ด้วยความเร็วเสียง (346 เมตรต่อวินาที) การติดตั้งระบบให้สามารถปล่อยเชือกความยาวขนาดนี้ไว้ใน CANSAT ที่มีพื้นที่ที่จำกัดมาก ๆ

โดยมีทีมตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ จากทั้งสิ้น 23 ทีม เข้ารอบชิงชนะเลิศ จาก 11 ประเทศทั่วโลก เพื่อคัดเลือกหาผู้ชนะเลิศซึ่งนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขัน Thailand Cansat Rocket Competition 2022 ซึ่งจัดโดยสทป. และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และ สทป. ได้สนับสนุนบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ทดสอบที่มีอยู่ในการทดสอบจำลองสภาพแวดล้อม (Environmental Test) ตามกติกาการแข่งขันรวมถึงทดสอบการทำงานของดาวเทียมขนาดเล็ก (Cansat)

‘ยวน แบลร์’ ลูกชายอดีตนายกฯ อังกฤษ เศรษฐีพันล้านจากการสร้าง ‘Multiverse’

ลูกชายหมายเลขหนึ่งหลายคน ที่กลายเป็นจุดสนใจของสังคมตั้งแต่เด็ก อาจเกิดมามีชีวิตที่ล้มเหลว จากความกดดัน หรือความคาดหวังของคนจำนวนมาก แต่ไม่ใช่ ยวน แบลร์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่โตขึ้นมาประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐี แถมยังได้รับพระราชทานเครื่องราชชั้นเอ็มบีอี จากสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ 2 ตั้งแต่อายุยังน้อย

ยวน แบลร์ กลายเป็นข่าวพาดหัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่สร้างสรรค์แพลตฟอร์ม มัลติเวิร์ส เทคโนโลยีการเรียนรู้ออนไลน์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีภายในเวลาไม่กี่เดือน

ก่อนหน้านี้ ในวัย 16 ยวน เคยเป็นข่าวพาดหัวตอนที่ออกมาขอโทษสังคม เรื่องเมาแล้วขับ ที่ย่านเวสต์เอ็น กรุงลอนดอน แต่ 20 กว่าปีต่อมา กลายเป็นพาดหัวในเรื่องดีๆ ในฐานะอัจฉริยะแห่งยุคมิลเลนเนียน ด้วยแพลตฟอร์มของเขา ทำให้เด็ก ๆ สามารถหางานที่ดี ๆ ทำได้ โดยไม่ต้องเรียนจบระดับมหาวิทยาลัย

มหาเศรษฐีระดับเจ้าของบริษัทและซีอีโอหลายคนดรอปหรือเลิกเรียนหนังสือกลางคัน แต่ไม่ใช่ ยวน ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ยุโรปโบราณจากมหาวิทยาลัยบริสตอล รวมทั้ง ปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยเยล

นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์ฝึกงานที่รัฐสภาของสหรัฐฯ ก่อนจะไปเขาเรียนด้านการเงินของมอร์แกน สแตนลีย์ ในปี 2008 เขาให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ พอโตแล้วก็ขี้เกียจเรียนหนังสือ แต่ต้องเรียน เพราะเห็นว่า คือหนทางเดียวที่จะมีอาชีพการงานที่ดี

แม้ว่า ยวน แบลร์ จะเติบโตมาบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว แต่ความร่ำรวยเป็นเศรษฐีพันล้านของเขา มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองโดยแท้ ในการสร้างสรรค์ มัลติเวิร์ส ที่เป็นสตาร์ตอัปการเรียนรู้ ที่ช่วยจับคู่สมาชิกรุ่นเยาว์ของเว็บไซต์เข้ากับงานการในบริษัทชั้นนำ อย่างกูเกิลและบลูมเบิร์ก ฯลฯ

ไอเดียของยวน เกิดขึ้นหลังจากที่เขาเริ่มตระหนักว่า ที่เรียนมาด้านประวัติศาสตร์ยุโรปโบราณจากบริสตอลนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ มัลติเวิร์ส ยังไม่สุกงอม จนกระทั่งเขาได้พบกับ โซฟี อะเดลแมน ที่มอร์แกน สแตนลีย์ และทั้งคู่ก็ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทชื่อ ไวท์แฮท

แพลตฟอร์มดังกล่าว เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ โทนี พ่อของเขาเคยประกาศเป็นนโยบายของอังกฤษ เรื่องการสนับสนุนให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย โดยในปี 1999 ที่โทนี แบลร์ เป็นนายกรัฐมนตรี เขาทำได้อย่างที่พูดเพียง 50% เท่านั้น เป้าหมายของเขาสำเร็จในปี 2019 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่เขาลงจากตำแหน่งไปนานถึง 12 ปี

26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 วันเกิด พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

26 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก 

พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวัง กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตามสันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวง อยู่ในพระราชวังหลัง บิดามารดาเลิกร้างกันตั้งแต่สุนทรภู่เกิด บิดาออกไปบวชที่วัดป่า ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดากลับเข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง และได้ถวายตัวเป็นนางนม ของพระธิดาในกรมฯ นั้น  

ในปฐมวัยสุนทรภู่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระราชวังหลัง และได้อาศัยอยู่กับมารดา สุนทรภู่ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลัง และที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักการแต่งกลอน ยิ่งกว่างานอื่น ครั้นรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้  

เมื่ออายุราว 20 ปี ได้ลอบรักกับหญิงสาวชาววังชื่อ "จันทร์" จึงต้องเวรจำทั้งชายหญิง เมื่อกรมพระราชวังหลัง ทิวงคตจึงพ้นโทษ ต่อมาจึงได้แม่จันทร์เป็นภรรยา แต่อยู่ด้วยกันไม่นานก็เกิดระหองระแหงคงเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุราอยู่เป็นนิตย์  

สมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโวหาร เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ ใกล้ชิด ระยะนี้สุนทรภู่ได้หญิงชาวบางกอกน้อย ชื่อ นิ่ม เป็นภริยาอีกหนึ่งคน ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุรา อาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษ เพราะความสามารถในทางกลอนเป็นที่พอพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 วันสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเปิดเพื่อราษฎรแห่งแรก

27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 วันสถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) (Thammasat University : TU) ชื่อเมื่อเริ่มก่อตั้งคือ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.)

ย้อนไปก่อนหน้านั้น พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ.2476 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา นับเป็นมหาวิทยาลัยเปิดเพื่อราษฎรแห่งแรกตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎรและ ดร.ปรีดี พนมยงค์ โดยหลักที่ 6 กล่าวว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร”

ต่อมา วันที่ (27 มิถุนายน 2477) สมเด็จฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รัชกาลที่ 7 เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีสถาปนา โดยมี ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ กล่าวรายงาน

ในปีแรก มีผู้สมัครเรียน 7,094 คน

สำนักหอสมุดได้รับการก่อตั้งในปีเดียวกัน แต่เปิดให้บริการได้ครั้งแรก เมื่อปี 2479 เดิมเป็นแผนกตำราและห้องสมุด

พ.ศ. 2480 มีการตราข้อบังคับให้เปิดชั้นเตรียมปริญญา โดยกำหนดให้รับผู้สอบไล่ได้ชั้นมัธยมบริบูรณ์เข้าศึกษา 2 ปี เพื่อเตรียมคนเข้าศึกษาหลักสูตร “ธรรมศาสตร์บัณฑิต”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top