Tuesday, 13 May 2025
Lite

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 5 ผงแป้งปริศนา

>> ความเดิมตอนที่แล้ว 

กรกฎ จ้ำ และเพื่อนคนอื่น ๆ อีกหลายคนทำภารกิจส่งจดหมายหานักเรียนพยาบาลสำเร็จ พวกเขาได้รับจดหมายตอบกลับจากพวกเธอ ทำเอายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มไม่หุบไปตาม ๆ กัน

กิจกรรมภายในโรงเรียนที่สามารถพาแฟนมาร่วมงานได้ ก็มีงานเลี้ยงหลังจบกีฬาระหว่างกองร้อย หรือเรียกว่า 'สปอร์ตเดย์' และงานเลี้ยงหลังจบการฝึกวิชาทหาร หรือที่เรียกว่า 'งานกู๊ดบายซัมเมอร์'

ตอนนี้พวกนักเรียนปี 1 ได้ขึ้นชั้นมาอยู่ปี 2 แล้วแหละ

เช้าวันอังคาร ที่หน้ากองร้อยเช่นเดิม พี่ๆ ชั้นปีที่ 5 (ซึ่งปีที่แล้วเป็นชั้นปีที่ 4) ขึ้นมาชี้แจงที่ด้านหน้า ขณะที่กำลังเข้าแถวกันอยู่

“มีบัตรคอนเสิร์ตการกุศลของวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มีวงดนตรีนูโว มาแสดงที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวพี่จะแบ่งให้น้อง ๆ ที่ได้กลับบ้านรับบัตรไปดู เผื่อฟลุ๊คกได้แฟนโดนบังเอิญก็คราวนี้แหละ ใช่ไหมนักเรียนนายร้อยยุทธฉายา” พี่ชั้นปีที่ 5 เอ่ยบอกทุกคน ก่อนจะหันมากระเซ้าจ้ำ

จ้ำยืนในท่าตามระเบียบพักอยู่ในแถวกับเพื่อน ๆ ทำท่ายืนตรงอมยิ้มแล้วตะโกนตอบเสียงดัง “ครับ พี่ครับ”

ทำเอานักเรียนนายร้อยทุกชั้นต่างขำกันยกใหญ่ ตอนนั้นพวกเราเป็นนักเรียนชั้นเลขน้อยสุด (เพราะน้องปีหนึ่งยังอยู่รวมกันที่ตึกของกองพันที่สี่ กองพันนักเรียนใหม่)

กรกฎยืนอยู่ในแถวก็อมยิ้ม แต่ไม่ใช่เพราะจ้ำทำท่าตลก แต่เป็นเพราะเขาได้ยินคำว่า 'วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ' ซึ่งทำให้เขาคิดถึงเขมิกามากยิ่งขึ้น

กรกฎรอคอยเวลาให้ถึงวันศุกร์เร็ว ๆ

...และแล้ววันที่เขารอคอยก็มาถึงสักที

ในตอนเช้า รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ในการตรวจความสะอาดของห้องนอนได้บอกข่าวร้ายที่ฟังแล้วขนหัวลุก

“วันนี้ผมไปตรวจห้องมา ห้อง 207 มีผงแป้งอยู่ที่ท้ายเตียง ดังนั้นทั้งห้องต้องถูกกักบริเวณ เย็นนี้มารวมแถวให้แต่งชุดพละมา ห้อง 207 รับทราบ”

“ทราบ” กรกฎตอบพร้อมกับจ้ำ หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ฝันที่จะได้เจอเขมิกา และสาวิตรี สูญสลายไปในพริบตา ทั้งสองจำได้ว่าก่อนออกจากห้องนอนภายในห้องก็เรียบร้อยดี

...แล้วผงแป้งมันมาจากไหน?

ตอนเย็นวันนั้น นักเรียนนายรัอยส่วนใหญ่แต่งเครื่องแบบกลับบ้าน ใส่หมวกหม้อตาล และถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ มารวมแถวที่ใต้ถุนกองร้อย 

หนึ่งในนั้นมีคู่แข่งหัวใจของกรฎด้วยรวมอยู่ด้วย นั่นคือ...สุเทวานี่นเอง พี่ชั้นปีที่ 4 แจกบัตรชมคอนเสิร์ตให้นักเรียนนายร้อยที่แต่งตัวเท่ๆ ยืนรออยู่

ส่วนกรกฎและจ้ำมาในชุดพละเตรียมอยู่โรงเรียน ได้แต่มองตาปริบๆ อย่างน่าเสียดาย

พี่ชั้นปีที่ 5 ให้แยกย้ายเดินทางไปกลับบ้านไปได้ สุเทวา ก็เดินมาหากรกฎพร้อมบอกว่า

“แล้วจะดูคอนเสิร์ตเผื่อนะ ฮ่า ๆ”

พี่ชั้นปีที่ 5 บอกให้นักเรียนที่ถูกกักบริเวณช่วยกันทำความสะอาดกองร้อย โดยมีรางวัลเป็นขนมปัง ขนมเค้ก น้ำผลไม้กล่อง และส้ม แบบที่แจกบนรถทัวร์ (อันที่จริง ทางโรงเรียนทำไว้แจกนักเรียนนายร้อยที่จะกลับไปบ้าน แต่ไม่มีใครอยากกิน ก็เลยเหลือมาถึงพวกที่อยู่โรงเรียน)

กรกฎและจ้ำรับงานถอนหญ้าที่อิฐรูปตัวหนอนหน้ากองร้อย ระหว่างนั่งถอนหญ้า จ้ำพูดขึ้น

“น่าเสียดาย เพราะผงแป้งบ้า ๆ นั่น ทำให้อดเจอแฟนฉันเลย”

“ไม่น่าใช่แป้งในห้องเรา” กรกฎบอก “ตอนเย็นกูกลับมาที่ห้อง ผงมันสีออกเหลืองๆ เหมือนแป้งตรางู แต่ห้องเราใช้แป้งจอห์นสันสีออกขาวนี่หว่า”

จ้ำได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโตก่อนจะพูดว่า “จำได้ไหมวันที่รวมแถวหน้ากองร้อย เมื่อเช้าใครมาเข้าแถวเป็นคนสุดท้าย”

“ไอ้สุเทวา!!” ทั้งสองพูดพร้อมกัน ราวกับรู้ใจ

จ้ำทำหน้าเซ็งปนไม่พอใจ ก่อนจะพูดด้วยความแค้นสุดขีด “อย่างนี้ต้องล้างแค้น!! วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะเว้ย!!”

เบี้ยประกันภัย 'รถ EV' VS 'รถใช้น้ำมัน' ราคาที่ต้องจ่าย 'แตกต่าง' กัน แบบนี้แฟร์ไหม?

แน่นอนว่าเจ้าของรถทุกคน ย่อมจะรักรถของตนเองอยู่แล้ว และเมื่อรักแล้วก็จะซื้อกรมธรรม์ประกันภัยไว้ เพราะมันช่วยให้อุ่นใจได้ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกรณีรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรืออุบัติเหตุอื่น ๆ ที่เราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น 

ฉะนั้น...การมีกรมธรรม์ประกันภัยไว้ มันทำให้สบายใจมากจริง ๆ

แต่ว่า...เบี้ยประกันภัยที่ต้องจ่ายนั้นก็สูงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะกับ 'รถไฟฟ้า' หรือ 'รถ EV'

ล่าสุด นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ก็ได้ประชุมหารือกับภาคธุรกิจประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (รถ EV) รวมทั้งผู้แทนจากคณะกรรมการยานยนต์และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเบี้ยประกันภัย หลังจากรถ EV ได้รับความนิยมมากขึ้น

ซึ่งบริษัทประกันภัย นั้นก็ได้กำหนดเบี้ยประกันรถ EV สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป ซึ่งผลการประชุมก็ได้ข้อสรุปว่า บริษัทประกันภัยจะยังไม่มีการขึ้นเบี้ยประกันภัยในช่วงนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน  

แต่ถ้าเรามองกันให้ดี จริง ๆ แล้ว การคิดคำนวณเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ระหว่าง 'รถอีวี' และ 'รถใช้น้ำมัน' ก็ควรใช้หลักการเดิมคือ เบี้ยประกันภัยรถยนต์และทุนประกันภัย จะขึ้นอยู่กับอายุรถยนต์เป็นสำคัญ 

หากรถยนต์มีอายุมากขึ้นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ และทุนประกันภัยก็จะค่อย ๆ ลดลง แต่ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับประวัติการเคลมประกันภัยด้วยเช่นกัน

ฉะนั้นการที่รถ EV จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัย 'แพง' กว่ารถปกติ เพราะว่ามันเป็นรถ EV นั้น จึงไม่น่าจะถูกต้องเสียทั้งหมด  

นอกจากนี้ แนวโน้มตลาดรถ EV ในบ้านเรากำลังเติบโตไปได้สวย มีประชากรรถ EV ป้ายแดงออกมาใหม่กันทุกวัน ล่าสุดที่ค่าย BYD เปิดจอง 'วันเดียว' ก็ขายไปกว่า 2,500 คันแล้ว

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 หรือวันนี้ เมื่อ 129 ปีก่อน เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 

โดยเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 96 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระองค์ที่ 14 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468

โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง โปรดให้ตั้งสภากรรมการองคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพื่อควบคุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมนั้น พระองค์โปรดให้สร้างหอพระสมุด ทรงปฏิรูปการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 

นอกจากนี้ มีการปรับปรุงการศึกษาจนยกระดับมาตรฐานถึงปริญญาตรี ทรงตั้งราชบัณฑิตยสภา โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยสมบูรณ์ ชื่อว่า “พระไตรปิฎกสยามรัฐ” เป็นต้น ความไม่พอพระราชหฤทัยและการเพลี่ยงพล้ำในการคัดค้านคณะราษฎรในหลายโอกาสนำไปสู่การสละราชสมบัติ และพระองค์ยังทรงถูกฟ้องคดียึดทรัพย์

9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 วันทลาย ‘กำแพงเบอร์ลิน’ สัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดยุคสงครามเย็น

วันนี้ เมื่อ 33 ปีก่อน รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเยอรมันตะวันออกเริ่มทะลายกำแพงเบอร์ลิน หลังสหภาพโซเวียตใช้ปิดกั้นเป็นเวลานานถึง 28 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เยอรมนีในฐานะผู้แพ้สงครามถูกแบ่งประเทศออกเป็น 4 ส่วนภายใต้การควบคุมของ 4 ประเทศผู้ชนะคือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียในปัจจุบัน

ต่อมา อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต ได้เกิดความแตกแยกทางอุดมการณ์ความคิด ทำให้ อังกฤษ สหรัฐ และฝรั่งเศสที่มีอุดมการณ์เสรีนิยมมาอยู่ฝั่งเดียวกัน และสหภาพโซเวียตที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ต่อมาเกิดเป็นจุดเริ่มต้นสงครามเย็น เป็นผลให้มีการขีดเส้นแบ่งเยอรมนีออกเป็นสองส่วน คือ เยอรมันตะวันออกภายใต้อำนาจของโซเวียต และเยอรมันตะวันตกภายใต้อำนาจ 3 ประเทศ

ยูทูบเบอร์สาวชาวญี่ปุ่น ลองจุ่มตัวใน ‘แม่น้ำคงคา’ หวังสัมผัสความศักดิ์สิทธิ์ ก่อนป่วยในเวลาต่อมา

(9 พ.ย. 65) เพจ CocoNews ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 สื่อต่างประเทศได้เผยเรื่องราวของ เมกุมิโกะ ยูทูบเบอร์สาวชาวญี่ปุ่นวัย 22 ปี ที่คลิปคอนเทนต์ของเธอตัวหนึ่งได้กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์ เกี่ยวกับการที่เธอทดลองจุ่มตัวลงในแม่น้ำคงคา

จากคลิปวิดีโอ แสดงให้เห็นว่า เมกุมิโกะแต่งกายด้วยชุดอินเดียดั้งเดิม ก่อนที่จะเดินลงแม่น้ำคงคา โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตามตำแหน่งพระอาทิตย์ขึ้นในประเพณีอินเดีย จากนั้นได้จุ่มศีรษะลงในแม่น้ำ แล้วใช้มือกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าและถูซ้ำหลายครั้ง ส่วนรอบข้างก็มีชาวท้องถิ่นจำนวนมากไปร่วมพิธีกรรม

‘ลิซ่า’ โค่น ‘อะเดล’ พา ‘LALISA’ ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต ‘iTunes Top Songs’ ใน 103 ประเทศทั่วโลก

เดินหน้าสร้างสถิติไม่หยุดเลยทีเดียวสำหรับ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ สาวไทยหนึ่งเดียวของวง BLACKPINK ที่ล่าสุดเพลงจากงานโซโลเดี่ยว ‘LALISA’ ก็สร้างสถิติให้ตนเองอีกครั้งแม้จะปล่อยออกมานานนับปีแล้ว

โดยสถิติคราวนี้คือการที่เพลง LALISA ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต iTunes Top Songs ใน คีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นผลงานเพลงที่ปล่อยมานานข้ามปีแล้ว ส่งให้เพลง LALISA กลายเป็นเพลงของศิลปินหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ต iTunes Top Songs ใน 103 ภูมิภาคจากทั่วโลก

ฟังจากปาก ‘ต่างชาติตัวจริง’ ที่ได้มาเยือนไทย ‘ทุกอย่างที่เป็นไทย’ ดึงดูดให้อยากกลับมา

หากใครตามข่าวหรือเข้าโซเชียลบ่อย ๆ ก็คงได้เห็นข่าวที่หลาย ๆ องค์กรทั่วโลกได้จัดอันดับให้ ‘ประเทศไทย’ อยู่ในระดับสูงหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยว, อาหาร, เมืองน่าอยู่, สายการบิน หรือแม้กระทั้งระบบสาธารณะสุข 

แต่หากใครคิดไม่ออก หรือไม่คุ้น แล้วยังมีความแอบเอ๊ะ!! ไม่แน่ใจว่าเคยมีการจัดอันดับให้ไทยด้วยหรือไม่? ก็ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวจะยกตัวอย่างมาให้ดูกัน

ตัวอย่างล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ ก็คือนิตยสารธุรกิจและท่องเที่ยวอย่าง ‘Business traveller’ จัดอันดับให้ ‘กรุงเทพมหานคร’ เป็นอันดับ 1 ‘เมืองที่น่าพักผ่อนหย่อนใจมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก’ (Best Leisure time city in Asia-Pacific) ต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน!! การจัดอันดับครั้งนี้สะท้อนว่าไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบ

นอกจากนี้ ในการจัดอันดับจากที่เดียวกัน ไทยยังคว้าอันดับ 3 เมืองสำหรับธุรกิจที่ดีที่สุด (Best Business Cities in Asia) ส่วนสายการบินแห่งชาติอย่าง ‘การบินไทย’ ก็ไม่น้อยหน้า ติด Top 3 ประเภทสายการบินที่ดีที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้อีกสักหน่อย นิตยสาร ‘Time Out’ ก็เคยจัดให้ ‘เยาวราช’ ติดอันดับที่ 8 ในหมวดถนนสุดเจ๋งของโลก ที่รายล้อมไปด้วยวัฒนธรรมและสตรีตฟู้ดที่ถูกใจต่างชาติ

เท่านั้นยังไม่พอ ข้อมูลจากเว็บไซต์ ‘Travel Daily News’ ระบุว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้านสถานบริการเพื่อสุขภาพ (Wellness Retreats) และยังได้รับขนานนามว่าเป็น ‘เมืองหลวงของสปาแห่งทวีปเอเชีย’ อีกด้วย

ข้ามมาทางฝั่งของสถานที่ท่องเที่ยว!! หนังสือพิมพ์ ‘Daily Star’ ของประเทศอังกฤษ ได้เปิดเผยว่า หาดซันไรส์ เกาะหลีเป๊ะ ติดอันดับ 6 และ อ่าวมาหยา เกาะพีพี ติดอันดับ 12 จาก 20 อันดับของชายหาดที่สวยที่สุดในโลก

นอกจากนี้ เว็บไซต์ ‘William Russell’ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ ชีวิต และรายได้ ก็จัดอันดับให้เกาะพะงัน เป็นที่ 1 ของโลกในด้านปลายทางเพื่อการ Workation 

มาดูด้านอาหารบ้าง ‘ข้าวซอย’ ก็เป็นหนึ่งในซุปที่อร่อยที่สุดในโลก หรือกระทั่งไส้กรอกอีสาน ไข่เจียวปู ก็อร่อยถูกใจ จนต่างชาติยกให้เป็นสุดยอดสตรีตฟู้ดแห่งเอเชีย

ร่ายมาขนาดนี้ อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงคิดว่า…อวยเกินไปหรือเปล่า!! 

แน่นอนว่า คนไทยอาจจะเฉย ๆ เพราะเราคงคุ้นชินและไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่หากเป็น ‘ชาวต่างชาติ’ ที่อยู่ในไทย ที่ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยว พักผ่อนระยะสั้น หรืออยู่ยาว ๆ เขาตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ ‘อย่างมาก!!’

จากช่อง YouTube ‘YakcuteTV’ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอความยาว 8.06 นาที โดยเป็นคลิปสัมภาษณ์ความรู้สึกของชาวต่างชาติจากทั่วโลก ที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตในประเทศไทย ซึ่งได้ถามหลายคำถาม และได้รับคำตอบหลากมุมที่เมื่อฟังแล้วก็ต้องยิ้มตาม พร้อมยืดอกด้วยความภาคภูมิใจเลยล่ะ

โดยคำถามแรกได้มีการถามถึงความรู้สึกที่อยู่ในประเทศไทยในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวหญิงจากประเทศอังกฤษระบุว่า…คนไทยหลายคนที่ได้เจอน่ารักมากจริง ๆ คอยถามตลอดว่าอยากได้อะไรเพิ่มไหม น่ารักมาก นิสัยดีมาก นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า “บอกตรง ๆ ว่า อยู่ที่นี่ เราได้รับความช่วยเหลือมากกว่าตอนอยู่อังกฤษอีก”

ส่วนชาวต่างชาติผู้ชาย จากประเทศเยอรมนี กล่าวทั้งรอยยิ้มว่า เขาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี มีแผนจะไปกัมพูชาและเวียดนาม แต่ดันมาติดอยู่ที่เกาะพะงันช่วงล็อกดาวน์ ถึงแม้ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ที่ไทยก็ชิลกว่าที่เยอรมนีหลายเท่า “ดีใจมากที่ได้มาอยู่ประเทศไทย”

ขณะที่นักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษ บอกเล่าความประทับใจว่า เธอโชคดีมากที่อยู่เมืองไทย คนไทยให้ความร่วมมือเรื่องโควิด-19 ดีมาก “ทุกคนยอมรับว่ามันแย่ แต่ก็ร่วมมือกันดี การ์ดไม่ตก” 

เมื่อถามว่าชอบที่ไหนมากที่สุดในประเทศไทย นักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ ตอบคำถามอย่างกระตือรือร้นว่า เขาชอบหลายที่ในประเทศไทย เช่น บางลำพู, สวนรถไฟ, ภูเขาทอง, วัดสระเกศ (เคยพาครอบครัวไป) เขาเที่ยวในเมืองไทยเยอะมาก เช่น กาญจนบุรี, เชียงใหม่, หนองคาย, อุดรธานี, โคราช, เกาะเต่า, เกาะสมุย, เกาะพะงัน, ภูเก็ต ตรัง, ฉะเชิงเทรา พร้อมระบุด้วยว่า “ขอพูดในฐานะคนอังกฤษละกัน อย่างแรกเลย คือ เมืองไทยอากาศดีมากครับ ขณะที่การใช้ชีวิตคนลอนดอนจะยุ่งตลอดเวลา แต่จังหวะชีวิตในเมืองไทยยืดหยุ่นกว่า มีความเป็นมิตร ดูสบายๆ ส่วนธรรมชาติของเมืองไทยนั้นงดงาม เหมาะอย่างยิ่งกับชาวตะวันตกอย่างเรา ๆ ครับ” 

นักท่องเที่ยวหญิงชาวสเปน บอกเล่าว่า ถึงแม้ว่าเธอยังไม่ได้ไปเที่ยวทั่วประเทศไทย แต่ว่าที่ชอบมากๆ คือ เกาะพะงัน, เกาะหลีเป๊ะ เพราะบรรยากาศดี ทะเลสวย น้ำใสราวกับกระจก นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า “ผู้คนที่นั่น น่ารักมาก ต้อนรับขับสู้อบอุ่นดีมากค่ะ”

ขณะที่นักท่องเที่ยวชายชาวฝรั่งเศส บอกว่า เขาชื่นชอบหลายเกาะในประเทศไทยมากๆ เช่น เกาะพีพี เกาะเต่า เกาะพะงัน ช่วงที่ล็อกดาวน์ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตได้พักหายใจ ซึ่งดีมาก ๆ 

เมื่อถามว่า ชาวต่างชาติชอบอะไรในเมืองไทย นักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษ พูดพร้อมรอยยิ้ม ว่า เธอชอบคนไทย เพราะคนไทยเป็นมิตรมาก ๆ ต้อนรับขับสู้ดีมากด้วย อีกทั้งคนไทยไม่เคยตัดสินฉัน และแน่นอนว่า อาหารไทยอร่อยมากค่ะ 

ส่วนนักท่องเที่ยวหนุ่มชาวสหรัฐอเมริกา กล่าวพร้อมกับยิ้มว่า วงการสเก็ตบอร์ดในไทยกำลังเติบโต และเขาชอบเล่นสเก็ตบอร์ดมากๆ อีกทั้งชอบทุกอย่างในประเทศไทย เพราะที่นี่ชิลมาก ๆ และมีคนหลากหลายเชื้อชาติ “ตอนที่อยู่เท็กซัส ไม่ค่อยได้เจอใครใหม่ ๆ เลย แต่พอมาอยู่เมืองไทยได้เจอคนหลากหลายเชื้อชาติเลย”

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ‘ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์’ คืนสู่ไทย หลังหายจากปราสาทหินพนมรุ้งกว่า 30 ปี

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่หายไปกว่า 30 ปี ถูกส่งคืนสู่ประเทศไทย หลังการเรียกร้องขอคืนจากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก สหรัฐอเมริกา

ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ประติมากรรมสุดล้ำค่า ได้หายไปจากปราสาทหินพนมรุ้ง นานหลายสิบปี โดยสันนิษฐานว่าถูกโจรกรรมไปในช่วงสงครามเวียดนาม ประมาณปี 2507-2508 ทางกรมศิลปากรในฐานะผู้ดูแลจะได้พยายามค้นหา

กระทั่งวันที่ 13 สิงหาคม 2508 ได้มีรายงานว่ามีการพบชิ้นส่วนด้านซ้ายที่ร้านค้าของเก่า 'Capital Antique' แถวราชประสงค์ กรุงเทพฯ จึงยึดไว้ แต่ก็ไม่พบชิ้นส่วนที่เหลือ

‘มิลลิ’ เปิดตัวอัลบั้ม ‘BABB BUM BUM’ พร้อมประกาศชื่อแฟนด้อม ‘berble’

‘มิลลิ’ เปิดตัวอัลบั้มแรกในชีวิต ขนศิลปินมา feat.แน่น แต่ไม่มี ‘แจ็คสัน’ เพราะทำไว้เป็นปีแล้ว ประกาศชื่อด้อม ‘berble’ ขอบคุณทุกคนเอ็นดู ถ้าผิดพลาดตักเตือนได้ เตรียมเดบิวต์ ‘MINUS’ สานฝันอยากเป็นเกิร์ลกรุ๊ป โอดงานหนักแถมเรียนเยอะ เคยอยากลาออกแต่แม่ไม่ให้ กรี๊ดหนักได้อยู่ในสตอรี่ ‘RM’ ลั่นชีวิตติ่งจะคอมพลีต ถ้า ‘BTS’ ได้รู้ว่าคือแรงบันดาลใจ

ซุ่มทำผลงานมาเป็นปี ล่าสุดวันนี้ (9 พ.ย.) แรปเปอร์สาววัย 19 ปี ‘MILLI’ หรือ ‘มิลลิ ดนุภา คณาธีรกุล’ ก็ได้เปิดตัวอัลบั้มแรกในชีวิต ที่มีชื่อว่า BABB BUM BUM (แบบ เบิ้ม เบิ้ม) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมยังประกาศชื่อด้อมอย่างเป็นทางการ ‘berble’ มาจากคำว่า people ที่หนูเบิฟบู

ทั้งนี้ สาวมิลลิได้พูดเปิดใจ แสดงความรู้สึกไว้ดังนี้

“อัลบั้มแรกในชีวิตหนู อัลบั้ม BABB BUM BUM (แบบ เบิ้ม เบิ้ม) ค่ะ ด้วยความที่เป็นอัลบั้มแรก หนูก็เลยใส่ความเป็นตัวเองให้มากที่สุด มีทั้งหมด 10 เพลง แต่ละเพลงก็จะมีเรื่องราว มีสตอรี่ของมัน หวังว่าทุกคนจะชอบกัน อัลบั้มนี้หนูเป็นคนแต่งเช่นเคย ทำกับพี่ SpatChies โปรดิวเซอร์คู่ใจของหนู แล้วก็ฟีเจอร์ริ่งกับศิลปินมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โบกี้ ไลอ้อน, ตั้ง แบดวอยซ์, mints เยอะมากเลยค่ะ ก็ตามชื่อเลย แบบ เบิ้ม เบิ้ม ทำใหญ่เลยค่ะ”

>> ให้ความสำคัญกับอัลบั้ม เพราะมันทำให้ได้อรรถรสมากขึ้น << 
“จริง ๆ ด้วยหนูเป็นคนที่ฟังเพลงแบบอัลบั้มด้วยแหละ เลยยังให้ความสำคัญกับอัลบั้มอยู่ เรารู้สึกว่าบางทีการที่เราฟังเรียงเพลงมาเนี่ย มันได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่ง จากการที่เราฟังเพลงเดียว การเห็นคอนเซ็ปต์ในอัลบั้มทั้งหมด มันจะทำให้ได้อรรถรสมากขึ้นค่ะ”

>> อัลบั้มนี้ไม่มีเพลงฟีเจอร์ริ่งกับ ‘แจ็คสัน หวัง’ เพราะเป็นอัลบั้มที่ทำมาเป็นปีแล้ว <<
“พี่แจ็คสันเหรอคะ ก็ทำเพลงด้วยกันไปแล้ว ด้วยความที่อัลบั้มมันทำมาประมาณปีกว่าแล้วค่ะ เลยเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้วที่ประเทศไทยมากกว่าค่ะ อัลบั้มที่สองใครเอ็นดูหนูก็ติดต่อเข้ามาได้นะคะ หรือยังไงเดี๋ยวหนูจะติดต่อไปค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้ยังไม่ได้แอบทาบทามใครเพิ่ม ก็มีแอบดูไว้ แต่ยังบอกไม่ได้เดี๋ยวมีคนแย่งไปก่อน”

>> ประกาศชื่อด้อมอย่างเป็นทางการ ชื่อว่า berble <<
“หนูก็มีเรื่องจะประกาศด้วยค่ะ เนื่องจากมีคนถามเข้ามาเยอะมาก ว่าชื่อด้อมของมิลลิชื่ออะไร ในที่สุดหนูก็มีแล้วค่ะทุกคน คือชื่อว่า berble คือหนูชอบให้คำว่า เบิฟบู ก็คือ เลิฟยูทุกคนกับแฟน ก็เลยเหมือน people ที่หนูเบิฟบู ก็เลยเป็น berble นั่นเองค่ะ ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ในที่สุดเราก็มีชื่อด้อม เราจะได้เรียกกันถูกนะคะทุกคน เบิฟบูเหมือนเดิมค่า”

>> อัลบั้มนี้หนูชอบแล้ว หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนหนู <<
“จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้นนะคะ แค่หวังว่าทุกคนจะชอบ เพราะตัวหนูเองชอบแล้ว ชอบเลย ถ้าไม่ชอบหนูต้องแก้ใหม่แน่ ๆ แต่ชอบแล้วก็เลยกล้าปล่อยออกไป ก็หวังว่าทุกคนจะมีความชอบคล้าย ๆ กับหนูแล้วกันค่ะ”

>> ขอบคุณคนเอ็นดู ไม่กล้าคิดว่าตัวเองฮอต ถ้าทำอะไรผิดพลาด ก็ตักเตือนได้เช่นเคย <<
“ขอบคุณมากค่ะ ที่ทุกคนคิดอย่างนั้น จะพยายาม keep going อย่างนี้ต่อไปค่ะ แล้วปลายปีนี้ด้วยความที่มันมีเฟสติวัลเยอะ ก็สามารถเจอกันได้ตามงานแบบนั้นได้เลยค่ะ แล้วก็จะมีไปต่างประเทศด้วย แต่มันไม่ใช่คอนเสิร์ตของหนูคนเดียวค่ะ มันเป็นเฟสติวัล ก็เลยมีค่อนข้างเยอะเหมือนกันค่ะปลายปี ไม่กล้าคิดว่าตัวเองฮอตค่ะ คิดว่าขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูหนูมากกว่าค่ะ แล้วถ้าหนูทำอะไรผิดพลาดประการใด ก็ตักเตือนได้เช่นเคยนะคะ”

>> งานเยอะแถมเรียนหนัก เคยอยากลาออกแต่แม่ไม่ให้ <<
“งานเยอะเรียนด้วยแต่ไหวค่ะ ต้องแบ่งเวลานอนให้มากกว่านี้ค่ะ จะได้มีพลัง วันนี้นอน 4 ชั่วโมง ไปแอบงีบเอา หนูดีที่มีเพื่อน ๆ น่ารัก เพื่อนสนิทหนูก็จะคอยช่วยหนูตลอด ว่ามีการบ้านอันนี้ ต้องทำอันนี้ส่งนะ เรียนไปด้วยกันกับเพื่อนก็สนุกค่ะ มันอาจจะเครียดบ้าง แต่ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน มันก็อยากจะทำให้มันดีที่สุด”

“มีท้อบ้างก็เลยแต่งออกมาเป็นเพลงเพลงหนึ่งในอัลบั้มด้วย ชื่อเพลง Homework นั่นคือความรู้ของหนูทั้งหมด เกี่ยวกับการเรียน อยากลาออกแต่แม่ไม่ให้ค่ะ (หัวเราะ) อยู่ในเพลงเลยค่ะ พูดจริง ๆ แม่ไม่ให้ออกจริง ๆ ค่ะ แม่บอกว่าอีกปีเดียว ให้เรียนไป แม่ไม่เชียร์ให้ลาออก เพลงนี้แต่งตอนอยู่ปี 2 ตอนนั้นแม่ไม่ให้ลาออกแน่นอน ตอนนี้ก็ปี 3 แล้ว ใกล้แล้วอีกปีเดียว สู้เต็มที่ จบแน่ ๆ ปริญญา เกียรตินิยมไม่สนใจค่ะ เพราะไม่ได้แน่ ๆ เอาให้มันผ่านค่ะ ครอบครัวไม่ได้กดดันขนาดนั้นแล้ว มีแต่เราที่กดดันตัวเองบางที ก็พยายามภูมิใจกับตัวเองมากขึ้นค่ะ เราต้องให้กำลังใจตัวเองมากขึ้น”

>> เตรียมเดบิวต์วง ‘MINUS’ สานฝันอยากเป็นเกิร์ลกรุ๊ป แอบกลัวคนไม่ชอบ ขอขายความไม่เพอร์เฟกต์ << 
“อยากทำเกิร์ลกรุ๊ปมานานแล้วค่ะ รู้สึกว่ามันเป็นความฝันของเรา ก็เอามันกลับมาในตอนที่เรามีโอกาส แล้วก็ทำรวมกันขึ้นมา หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ หนูอยากเป็นเกิร์ลกรุ๊ปบ้าง ไปออดิชั่นมาหลายที่แล้วค่ะ แต่มันไม่ผ่าน จนวันนี้เราได้เป็นศิลปินเดี่ยวแล้ว เราก็ยังอยากเป็นอยู่ ก็เลยเอาโปรเจกต์นี้กลับมา เรียกว่าสานฝันตัวเองค่ะ ก็สนุกดีแล้วก็เครียดด้วย” 

“พอมันต้องทำเป็นเกิร์ลกรุ๊ปมันก็มีหลายองค์ประกอบที่ยาก ไม่คาดหวังอะไรเลย หนูกลัวทุกคนไม่ชอบจังเลย เป็นอย่างนั้นมากกว่า คือแอบกังวลแทน ไม่ได้คาดหวังเลย MINUS ไม่ได้เก่งอะไรมาก ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากมาย มีแค่สองอย่างคือความตั้งใจและความพยายามค่ะ ขายอะไรได้ก็ขายค่ะ ขายถูกๆ ขายความไม่เพอร์เฟกต์แล้วกันค่ะ ขอให้ปังแน่ ๆ ค่ะ”

โรงรับชำเราบุรุษและนครโสเภณีสมัยอยุธยา อาชีพเสรี ที่ถูกต้องห้ามในโลกปัจจุบัน

จากละครเรื่อง ‘ลายกินรี’ ที่กำลังออกอากาศทางช่องน้อยสีอยู่ในขณะนี้ ละครอิงอยู่ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีฝรั่งมั่งค่าและชาวต่างชาติมาเผ่นผ่านอยู่เต็มพระนครไปหมด มีสถานที่หนึ่งที่ปรากฏและปรากฏอยู่ในละครอิงประวัติศาสตร์แบบนี้อยู่อย่างเนือง ๆ นั่นก็คือ ‘โรงรับชำเราบุรุษ’ และนครโสเภณี...

‘พระไอยการลักษณะผัวเมีย’ ซึ่งตราขึ้นใน พ.ศ.1904 สมัยพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวถึงหญิงนครโสเภณี ซึ่งแสดงว่ามีการค้าประเวณีเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว ว่ากันว่า คำว่า ‘นครโสเภณี’ นี่เองที่เป็นที่มาของคำว่า ‘หญิงงามเมือง’ เพราะโดยรากศัพท์แล้ว ‘โสเภณี’ แปลว่า ‘หญิงงาม’ ส่วน ‘นคร’ แปลว่า ‘เมือง’ รวมความว่าเป็นหญิงงามเมือง โดยอ้างกันว่ามีที่มาจากอินเดีย แต่หญิงงามเมืองในอยุธยาอาจจะไม่ได้โชคดี มีฐานะสูงส่งอย่างหญิงงามเมืองของอินเดียในอดีต ในสมัยอยุธยานั้นยังไม่มีการใช้คำว่า ‘ซ่อง’ แต่เรียกว่า ‘โรงรับชำเราแก่บุรุษ’

ในช่วงกว่าหนึ่งศตวรรษท้ายของอยุธยา ที่การค้ากับต่างชาติเฟื่องฟู ทั้งกับตะวันออก จีน, ญี่ปุ่น, ฟิลิปปินส์, ตังเกี๋ย และกับตะวันตก ฮอลันดา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, แขกมัวร์ และกับรัฐใหญ่น้อยโดยรอบทั้งลาว, กัมพูชา, ล้านนา, มอญ, พะโค, อังวะ, มลายู การค้าและความมั่งคั่งเฟื่องฟูนี้ตรงกับในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง และพระนารายณ์ เงินทองที่สะพัด ผู้คนที่มากหน้าหลายตา ธุรกิจเพื่อความสำราญใจก็ขยายตัว อันนี้มีบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ ‘คำให้การชาวกรุงเก่า’ / ‘คำให้การขุนหลวงหาวัด’ ซึ่งพระเจ้าอังวะได้ให้พระเจ้าอุทุมพรและข้าราชการผู้ใหญ่ของไทยที่ถูกจับเป็นเชลยไปเมื่อคราวเสียกรุงใน พ.ศ.2310 ได้ลำดับเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา จดบันทึกไว้ว่า…

“…มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง 4 ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วย รวมเป็น 30 ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด 4 โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด 1”

สรุปคือมี ‘โรงรับชำเราบุรุษ’ ที่ตลาดบ้านจีน ปากคลองขุนละครไชย โดยตั้งอยู่ท้ายตลาด 4 โรง ส่วน ‘คลองขุนละครไชย’ ที่ว่านี้คือ ‘คลองตะเคียน’ อยู่นอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เพราะอยู่ใกล้ป้อมเพชร อันเป็นป้อมที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา เป็นอันว่าเราพอจะรู้แหล่งทำกินของบรรดาหญิงงามเมืองว่าอยู่ในตลาด อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งแห่งในอยุธยา

ซิมง เดอ ลา ลูแบร์ อัครราชทูตชาวฝรั่งเศส ผู้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชอาณาจักรอยุธยา ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกความทรงจำเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยามไว้ใน ‘จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนเอกสารไม่กี่ชิ้นที่ทำให้เราทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการค้าประเวณีในราชอาณาจักรอยุธยา โดยมีถ้อยคำที่เกี่ยวข้องเรื่องของหญิงนครโสเภณี ว่า...

“...บรรดาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงนั้นหาใช่เจ้าใหญ่นายโตเสมอไปไม่ เช่นเจ้ามนุษย์อัปรีย์ที่ซื้อผู้หญิง และเด็กสาวมาฝึกให้เป็นหญิงนครโสเภณีคนนั้น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ‘ออกญา’ เรียกกันว่า ‘ออกญามีน’ เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลนมากที่สุด มีแต่พวกหนุ่มลามกเท่านั้นที่จะไปติดต่อด้วย" 

ความอีกตอนหนึ่ง กล่าวถึงเมื่อชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้สิ้นชีวิตลงซึ่งมีความน่าสนใจ ความว่า…

“.....มรดกจะตกอยู่แก่ภรรยาหลวงทั้งสิ้น แล้วก็ถึงบุตรภรรยาหลวงเป็นผู้ได้รับมรดกจากบิดามารดาโดยเสมอภาคกัน แต่ผู้เป็นภรรยาน้อย หรือบุตรภรรยาน้อยนั้น ผู้เป็นทายาทอาจขายให้ไปเป็นทาสผู้อื่นเสียก็ได้ ส่วนบุตรีที่เกิดแต่ภรรยาน้อย ก็จะถูกขายส่งไปเป็นภรรยาน้อยเขาตามเหล่ากอต่อไป คนที่มีอำนาจวาสนามาก ก็จะเลือกซื้อแต่ที่มีรูปร่างงดงาม โดยไม่คำนึงถึงว่าหญิงสาวนั้นจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร" และที่มาของหญิงนครโสเภณีความว่า.…

“....ถ้าบุตรีคนใดกระทำชั่ว ขุนนางผู้บิดาก็ขายบุตรีส่งให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งมีความชอบธรรมที่จะเกณฑ์ให้สตรีที่ตนซื้อมานั้นเป็นหญิงแพศยาหาเงินได้ โดยชายผู้มีชื่อนั้นต้องเสียเงินภาษี กล่าวกันว่า ชายผู้นี้มีหญิงโสเภณีอยู่ในปกครองของตนถึง 600 นาง ล้วนแต่เป็นบุตรีขุนนางที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทั้งนั้น อนึ่งบุคคลผู้นี้ยังรับซื้อภรรยาที่สามีขายส่งลงเป็นทาสี ด้วยโทษคบชู้สู่ชายอีกด้วย” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top