Tuesday, 13 May 2025
GoodsVoice

‘คมนาคม’ ดันเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วง ‘รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์’ ชง ครม. เคาะ 24 ต.ค.นี้

(20 ต.ค. 66) นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ว่าได้เร่งรัดการดำเนินการรถไฟชานเมืองสายสีแดง (รถไฟฟ้าสีแดง) ส่วนต่อขยาย ซึ่งขณะนี้ได้เสนอช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) รอบรรจุเป็นวาระในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าจะพิจารณาในการประชุมวันที่ 24 ต.ค.นี้ 

อย่างไรก็ตามส่วนอีก 2 เส้นทาง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา จะเสนอ สลค. ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า ส่วนช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เบื้องต้นสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบทางวาจามาแล้ว คาดว่าจะเสนอ สลค. เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ได้ประมาณเดือน พ.ย.นี้ และคาดว่าจะสามารถเปิดประกวดราคา (ประมูล) ทั้ง 3 เส้นทางได้ในต้นปี 67 

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า รถไฟฟ้าสายต่าง ๆ โดยเฉพาะสายสีแดงจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีระบบฟีดเดอร์ที่ดีป้อนผู้โดยสารเข้าสู่ระบบรางให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มอบให้ ขร. และกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) หารือร่วมกันในการจัดฟีดเดอร์เข้าถึงทุกสถานีโดยเร็วที่สุด ซึ่งเบื้องต้นมี 2 แนวทาง 

1.ปรับปรุงเส้นทางเดิม โดยเป็นแนวทางที่ทำได้เร็วที่สุด 
2.กำหนดเส้นทางใหม่ คาดว่าหากทำได้จะช่วยดึงดูดผู้โดยสารมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น

สำหรับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง คาดว่าจะเสนอกลับไปยัง ครม. พิจารณาได้ภายในปี 66 ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และคาดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในปลายปี 67 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการให้กับประชาชนมากขึ้น และช่วยคุ้มครองผู้โดยสาร อาทิ กรณีที่รถไฟฟ้าล่าช้า หรือรถไฟขัดข้อง ซึ่งจะกำหนดมาตรการเยียวยาที่ชัดเจนให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตาม 

ทั้งนี้จะช่วยทำให้ค่าโดยสารมีความเป็นธรรม และราคาถูกลงด้วย เพราะกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามทุกระบบเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนไม่ว่าจะเป็นของผู้ประกอบการรายใดก็ตาม รวมทั้งการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลก็จะง่ายขึ้น อาทิ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพราะกฎหมายจะเขียนชัดเจนว่า ต้องดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล โดยต้องเสนอมายังคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางราง มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อกำหนดกลไกเยียวยาผู้ประกอบการต่อไป 

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เน้นการพัฒนาระบบรางเชื่อมโลกทั้งหมด จึงได้สั่งการให้ติดตาม และเร่งรัดการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) ตามความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย-จีน ระยะ (เฟส) ที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กิโลเมตร (กม.) และโครงการรถไฟทางคู่สายต่างๆ รวมทั้งเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ ให้จบภายในสิ้นปี 66 โดยเฉพาะสัญญาที่ 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กม. ที่ยังติดประเด็นเรื่องการดำเนินงานกับโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ซึ่งเป็นช่วงที่มีโครงสร้างทับซ้อนกัน 

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตลอดจนสัญญาที่ 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ระยะทาง 13.3 กิโลเมตร(กม.) ที่ยังรอความชัดเจนเรื่องการสร้างสถานีรถไฟความเร็วสูงอยุธยา ซึ่งในประเด็นนี้ตนจะเป็นผู้เจรจากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยด้วยตัวเอง เชื่อว่าเรื่องนี้มีทางออกแน่นอน และยืนยันว่าต้องสร้างสถานีอยุธยา 

“ในการเจรจาจะนำทุกสิ่งวางขึ้นบนโต๊ะทั้งหมด ทั้งประโยชน์ที่จะได้รับ และผลเสีย มั่นใจว่าสถานีอยุธยาสามารถอยู่ร่วมกันกับชุมชน เมืองเก่าได้ และอาจเป็นสถานีที่สวยที่สุด เป็นแลนด์มาร์กดึงดูดให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมก็ได้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันโครงการรถไฟไฮสปีดเฟสที่ 1 มีความคืบหน้าประมาณ 27% ซึ่งตามแผนต้องแล้วเสร็จภายในปี 70 โดยปัญหาต่าง ๆ ของ 2 สัญญานี้มีทางออกแล้ว 90%” นายสุรพงษ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการมอบนโยบาย ขร. วันนี้ นายสุรพงษ์ ได้เร่งรัดให้การก่อสร้างโครงการรถไฟไฮสปีด ไทย-จีน ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 หรือเร็วกว่าแผนที่กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2570

‘ชนินทร์’ มั่นใจ EEC ‘ยุคเศรษฐา’ เกิดแน่ จ่อใช้ กม.เปิดทางลงทุนจริง 2.5 แสนล้าน

(20 ต.ค. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2566 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ว่า คณะกรรมการโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน มีมติอนุมัติแผน 99 วัน หรือ Quick Wins 8 ด้าน เพื่อผลักดันงานโดยเร่งด่วนตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี โดยหนึ่งในแผนงานที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การเตรียมจัดให้มีบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ EEC One Stop Service ภายในสิ้นปี เพื่ออำนวยความสะดวกภาคธุรกิจที่มีความพร้อมจะลงทุนแต่ติดขัดเรื่องระเบียบและการขออนุญาตที่วุ่นวาย หลายขั้นตอน และต้องดำเนินการหลากหลายที่ ดังที่ปรากฏว่าในอดีตมีการอนุมัติแผนการลงทุนไปแล้วคิดเป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท แต่การลงทุนจริงเพื่อประกอบธุรกิจจริงเกิดน้อยมาก

นายชนินทร์ กล่าวว่า EEC One Stop Service อาศัยอำนาจภายใต้ พ.ร.บ.อีอีซี จะยกระดับการให้บริการอนุมัติ อนุญาต จำนวน 44 รายการ ครอบคลุม 8 กฎหมาย ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน, การควบคุมอาคาร, การจดทะเบียนเครื่องจักร, การจดทะเบียนพาณิชย์, โรงงาน, การสาธารณสุข, คนเข้าเมือง และการจัดสรรที่ดินไว้ในที่เดียว โดยจะเพิ่มการพัฒนาระบบให้ครอบคลุมการให้สิทธิประโยชน์ สำหรับผู้ประกอบการกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เช่น สิทธิในการได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรด้วย ซึ่งจะทำให้พื้นที่ อีอีซี เป็นเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลกที่แข่งขันได้มากขึ้น

นอกจากนี้ อีอีซี ยังมีแนวคิดที่จะปรับปรุงกระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นต้นแบบของรัฐบาลดิจิทัล ที่จะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

“EEC One Stop Service จะทำให้ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริม เศรษฐกิจพิเศษได้รับความสะดวกในการขอรับสิทธิประโยชน์ผ่านระบบการบริการภาครัฐแบบดิจิทัล เบ็ดเสร็จครบวงจรได้ ณ จุดเดียว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ร่นระยะเวลาดำเนินการ ของผู้ประกอบกิจการได้ เพื่อให้ภาครัฐได้ผลประโยชน์จากการเริ่มลงทุนจริงในพื้นที่อีอีซีที่เร็วขึ้น โดยอีอีซีคาดหวังการลงทุนจริงในพื้นที่คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 นี้” นายชนินทร์ กล่าว

‘ILINK’ พร้อมลากสายเคเบิ้ลใต้น้ำ เชื่อม ‘เกาะพะงัน-เกาะเต่า’ ช่วยให้มีไฟฟ้าใช้อย่างทั่วถึง ส่งเสริมเป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลก

(20 ต.ค. 66) ภายหลังจากกลุ่ม INTERLINK Consortium ได้เซ็นต์สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ไปยังเกาะเต่า มูลค่าโครงการ 1,786 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือนนั้น

ล่าสุด INTERLINK ได้มีการอัปเดตความคืบหน้าโดยเปิดเผยว่า พร้อมแล้วที่จะเริ่มลากสาย Submarine Cable จาก เกาะพงันไปยังเกาะเต่า และจะให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดเวลา อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อที่จะช่วยให้เกาะเต่ามีไฟฟ้าใช้ เพื่อส่งเสริมให้เกาะเต่า เป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลกเหมือนเกาะสมุยและเกาะพงัน และเป็นเพชรเม็ดงามของประเทศไทยต่อไปในอนาคต

‘FWD’ ปรับทิศธุรกิจ มุ่ง ESG ควบคู่การดำเนินกิจการ ชู!! ‘พัฒนาเด็ก-ชุมชน-สร้างงาน-ให้ทุนประกัน’ ไม่แผ่ว

(20 ต.ค. 66) นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เผยถึงวิสัยทัศน์ด้าน ESG ต่อจากนี้ของกลุ่ม FWD ประกันชีวิต โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่จะเกิดแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและชุมชน ผ่าน 6 ด้าน ได้แก่ Governance and risk management (การกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยง), Trust (การสร้างความเชื่อมั่น), Talent (ความสามารถ), Closing the protection gap (ปิดช่องว่างเรื่องหลักประกัน), Sustainable investment (การลงทุนที่ยั่งยืน) และ Climate change resilience (ความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)

“แม้ว่าเรามีงานที่ต้องทำในแต่ละด้านอีกมาก แต่เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมากของเราจะประสบความสำเร็จและยั่งยืน ซึ่งกลยุทธ์ ESG ของเราสอดคล้องกับ Sustainable Development Goals : SDGs หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยครอบคลุมทั้ง 7 ประการที่เราสามารถช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้แก่ SDG 3 (สุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดี), SDG 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ), SDG 8 (การทำงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ), SDG 9 (อุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน), SDG 10 (ความไม่เท่าเทียมกันที่ลดลง), SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) และ SDG 13 (การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ)”

นายเดวิด กล่าวอีกว่า “FWD ต้องการสร้างความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคนในสังคม เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวล ด้วยการทำงานทางด้าน ESG ของเรา ยิ่งเฉพาะการควบคุมความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเสริมสร้างศักยภาพของเยาวชนผ่านความรู้ความเข้าใจทางการเงิน พร้อมกับเสริมทักษะชีวิตระดับพื้นฐานผ่านโครงการระดับภูมิภาค JA SparktheDream ที่มีเป้าหมายในการเสริมสร้างความรู้ให้กับเด็กนักเรียน 25,000 คน ในฮ่องกง, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ ภายในปี 2567”

สำหรับประเทศไทย FWD เพิ่งเปิดตัวโปรแกรม JA SparktheDream ด้วยความร่วมมือกับมูลนิธิ Junior Achievement Thailand เป้าหมายหลักคือ การให้ความรู้ทางการเงินแก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อให้มีความรู้พอๆ กับนักเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 1,000 คน ในช่วงภาคเรียนแรกของปีการศึกษา 2566 

ทั้งนี้ จากวิสัยทัศน์ที่จะสร้างความเท่าเทียมกันให้กับสังคมในวงกว้าง รวมถึงการสร้างโมเดลต้นแบบในการพัฒนาชุมชน ทาง FWD ประกันชีวิต จึงมีกระบวนการคัดเลือกพื้นที่ พร้อมเตรียมแผนการพัฒนาชุมชน โดยลงพื้นที่สํารวจและทำงานร่วมกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) คัดเลือกชุมชนลาหู่ ในดอยปู่หมื่น จังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาชุมชน

โดยปี 2566 นับเป็นปีที่ 3 ที่ต่อยอด 3 โครงการหลักให้กับชุมชนลาหู่ ในดอยปู่หมื่น ได้แก่ โครงการธนาคารต้นกล้า ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อการบริหารจัดการต้นกล้าชาและการทำงาน ร่วมกันในชุมชน, โครงการพัฒนาคุณภาพชา เพิ่มคุณภาพของผลผลิตตามหลักเกษตรอินทรีย์โดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการเพิ่มมูลค่าชาอัสสัม สร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับชาอัสสัมให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สร้างรายได้ที่มั่นคงจากอาชีพหลักของชุมชน

นอกจากนั้น การทำงานครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจากศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดเชียงใหม่

ปัจจุบันมีชุมชนที่ให้การตอบรับเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการมากถึง 33 ครัวเรือน และมีผลผลิตใบชาในปริมาณที่เพิ่มมากกว่า 50% ถือเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาชุมชนอื่นเพิ่มเติม หวังสร้างความเท่าเทียมทางสังคม และความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน

นายเดวิด กล่าวอีกด้วยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ FWD ประกันชีวิต ในการลดความไม่เท่าเทียมกันและส่งเสริมโอกาสทางรายได้ที่ยั่งยืนให้กับเด็กด้อยโอกาส บริษัทจึงร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ ‘Pimali Hospitality Training Center’ ศูนย์ฝึกวิชาชีพการโรงแรมและงานบริการให้เด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาส จังหวัดหนองคาย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

“เรามอบความคุ้มครองการประกันสุขภาพที่สำคัญให้กับนักเรียน และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน นอกจากนี้ เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีของ FWD ประกันชีวิต เราจึงมอบทุนการศึกษา 10 ทุน ให้กับเด็กๆ ในความดูแลของมูลนิธินี้ เพราะเล็งเห็นว่าศูนย์แห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กด้อยโอกาสจากทั่วประเทศด้วยทักษะที่จำเป็นใน 3 ส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมการบริการ ได้แก่ แผนกห้องพัก (การดูแลทำความสะอาด), แผนกบริการส่วนหน้า และแผนกครัว โดยโปรแกรมการฝึกอบรมที่ครอบคลุมมีระยะเวลาตั้งแต่ 6 ถึง 12 เดือน เพื่อช่วยให้เด็กๆ ได้ประสบการณ์การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริงในสถานที่จริง การเตรียมความพร้อมนี้ทำให้พวกเขามีความรู้ และความสามารถที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านสู่การทำงานอย่างราบรื่น”

สำหรับกลุ่มบริษัทเอฟดับบลิวดี (FWD Group) ดำเนินธุรกิจประกันชีวิตในภูมิภาคเอเชียที่มีลูกค้ามากกว่า 11 ล้านคนใน 10 ประเทศทั่วภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยในชื่อบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยก่อตั้งในไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2556 จนถึงขณะนี้ ครบรอบ 10 ปี มีเป้าหมายต่อจากนี้ที่จะมุ่งเน้นการทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไร ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ ESG และการดูแลพนักงานอย่างต่อเนื่อง

‘Impact’ มั่น!! ‘สายสีชมพู-เมืองทอง’ พร้อมเปิดปี 68 พ่วง Sky Entrance 195 ล้าน เชื่อม ‘อิมแพ็ค-สีชมพู’

(20 ต.ค. 66) นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ‘อิมแพ็ค เมืองทองธานี’ กล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานี ปัจจุบันดำเนินงานก่อสร้างไปแล้วเกือบ 30%

โดยรายละเอียดโครงการก่อสร้างแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 จากสถานีเมืองทองธานี บริเวณห้างแม็คโคร ถนนแจ้งวัฒนะ ต่อเข้ามายังเมืองทองธานี ช่วงที่ 2 งานก่อสร้างสถานี MT-01 บริเวณวงเวียนหน้าอิมแพ็ค และช่วงที่ 3 ระหว่างสถานี MT-01 ถึง MT-02 บริเวณลานริมทะเลสาบเมืองทองธานี โดยภาพรวมงานก่อสร้างยังคงตรงตามกำหนดระยะเวลา และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ในปี 2568

นอกจากงานโครงสร้าง 2 สถานีหลักแล้ว ทางอิมแพ็คได้เตรียมแผนงานก่อสร้าง ‘Sky Entrance’ เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้า MT-01 (สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี) และอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ โดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อิมแพ็ค โกรท หรือ ‘IMPACT’ ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการ Sky Entrance มีการเข้าทำบันทึกข้อตกลง เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานี ซึ่งมีแนวเส้นทางโครงการเป็นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร และเส้นทางของรถไฟฟ้าสายดังกล่าวจะเป็นเส้นทางขนานทางด่วนอุดรรัถยา ผ่านบริเวณด้านข้างอาคาร อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ และสิ้นสุดโครงการที่ริมทะเลสาบเมืองทองธานี

สำหรับโครงการ Sky Entrance จะใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้นรวม 195 ล้านบาท เป็นการดำเนินงานก่อสร้างสะพานทางเชื่อม และพื้นที่ล็อบบี้ด้านข้างอาคารชาเลนเจอร์เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งโครงการ Sky Entrance ทางกองทรัสต์ฯ มีความจำเป็นต้องให้การสนับสนุนการก่อสร้างเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสถานี MT-01 กับอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินหลักที่กองทรัสต์เข้าลงทุน สามารถต่อยอดธุรกิจ และอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า ทั้งนี้ ตามประกาศรถไฟฟ้าสายสีชมพูเส้นทางหลักแคราย-มีนบุรี จะเปิดบริการช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ทาง อิมแพ็ค ได้เตรียมรถรับส่งจากสถานีศรีรัช เข้าสู่ศูนย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าเบื้องต้นจนกว่าสถานีส่วนต่อขยายจะเปิดบริการ

นายวัชระ จันทระโสภา หัวหน้าฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า โครงการ Sky Entrance เป็นการดำเนินงานก่อสร้างโดยทีมอิมแพ็ค ค่าใช้จ่ายเป็นงบประมาณในส่วนของ อิมแพ็ค โกรท รีท ถือเป็นโครงการต่อเนื่องในการสร้างสะพานทางเชื่อม (Link Bridge) รอบศูนย์ฯ โดยเป็นการเชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเมืองทองธานี สถานี MT-01 (อิมแพ็ค เมืองทองธานี) ตรงวงเวียนหน้าอิมแพ็ค ไปยังอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ระยะทางรวม 230 เมตร พร้อมพื้นที่ล็อบบี้เชื่อมอาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1 และจะติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ภายนอก สามารถมองเห็นได้จากรถไฟฟ้า และทางด่วน อีกทั้งติดตั้งจอทันสมัยภายในล็อบบี้ด้วย

อาคารนี้ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ทันสมัยเป็นอาคารแห่งอนาคต พร้อมนวัตกรรมที่ก้าวล้ำโดดเด่นเรื่องของความยั่งยืน ทั้งการออกแบบด้านสิ่งแวดล้อม และทางพลังงาน โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปี 2567 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 14 เดือน แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2568 รอเปิดบริการรองรับรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเมืองทองธานีแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างงานก่อสร้างโครงการทั้งหมด ทีมวิศวกรของอิมแพ็คจะเข้มงวดทำหน้าที่ตรวจสอบสัญญาจ้าง ประสานงานบริษัทก่อสร้างเพื่อดูแลผลกระทบ เช่น การจราจร ทัศนียภาพ ความสะดวก และความปลอดภัยในพื้นที่จนกว่าจะเสร็จสิ้นส่งมอบโครงการทั้งหมดราวเดือนกรกฎาคม 2568

‘SENA’ เปิดโครงการคอนโดใหม่ 'บ้านร่วมทางฝัน 6' ยืนยัน!! กำไรทั้งหมดบริจาคให้ ‘รพ.วชิรพยาบาล’

เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.66) ‘SENA’ เปิดตัวโครงการใหม่ ‘บ้านร่วมทางฝัน 6′ คอนโดมิเนียมบนถนนบรมราชชนนี อสังหาริมทรัพย์เพื่อสังคมภายใต้การดำเนินงาน มูลนิธิบ้านร่วมทางฝัน นำกำไรทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายบริจาคให้โรงพยาบาล วชิรพยาบาล เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการช่วยเหลือและรักษาผู้ป่วย

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ได้เผยถึงการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ผ่านโครงการบ้านร่วมทางฝัน ว่า โครงการบ้านร่วมทางฝัน โดย ‘SENA’ ดำเนินมาถึง โครงการที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 เป็นเวลากว่า 20 ปี

วัตถุประสงค์และเป้าหมายที่จะพัฒนาโครงการเพื่อเป็นการตอบแทนสังคม โดยนำกำไรทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่าย สนับสนุนและช่วยเหลือโรงพยาบาลภาครัฐ เพื่อพัฒนาชีวิตผู้ที่เข้ามาทำการรักษาให้ดีขึ้น สร้างแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

มูลนิธิบ้านร่วมทางฝัน จึงเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนที่สร้างความสุขให้ผู้อยู่อาศัย อีกทั้งยังเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาชีวิตของคนในสังคมอย่างยั่งยืนอีกด้วย โดยโครงการบ้านร่วมทางฝัน 6 นี้ เป็นโครงการล่าสุด ที่จะนำกำไรทั้งหมดมอบให้โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางการแพทย์

“โครงการบ้านร่วมทางฝัน เป็นหนึ่งในวิธีคิดที่จะบริจาคอย่างยั่งยืน ที่ SENA สามารถทำได้ในระยะยาว โดยใช้สิ่งที่เราถนัดที่สุด คือการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มาต่อยอดพัฒนาไปสู่การช่วยเหลือสังคมด้วยการสร้างที่อยู่อาศัยในราคาที่คุ้มค่า และนำกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้โรงพยาบาลรัฐ เป็นโครงการที่ตั้งใจทำเพื่อตอบแทนคืนสู่สังคมอย่างแท้จริงและจริงใจ”

ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เปิดเผยว่า ความพร้อมทางด้านสาธารณสุขและทางการแพทย์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพื่อให้สอดรับกับจำนวนผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันโรงพยาบาลภาครัฐหลายแห่งยังขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นอยู่มาก แม้ว่าจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่การรักษาจะสำเร็จไปไม่ได้หากยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ในนามตัวแทนโรงพยาบาลวชิรพยาบาลรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ มูลนิธิบ้านร่วมทางฝัน โดย SENA เห็นถึงความสำคัญต่อบุคลากรทางการแพทย์ โดยทางโรงพยาบาลจะนำเงินที่ได้รับมอบมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและการศึกษาแพทย์ต่อไป

โครงการบ้านร่วมทางฝัน 6 ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี บนเนื้อที่ 2 ไร่เศษ คอนโดมิเนียม สูง 19 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวมห้องพักอาศัยทั้งหมด 354 ยูนิต มีห้องแบบ 1 BEDROOM,1BEDROOM PLUS และ 2 BEDROOM ขนาดตั้งแต่ 24 ตารางเมตร จนถึง 47 ตารางเมตร รองรับที่จอดรถมากกว่า 134 คัน ราคาเริ่มต้นเพียง 1.7 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ไตรมาส 2/2569

การออกแบบห้องพัก ภายในเปิดโล่ง กว้างขวางรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ทุกมุมมอง เห็นวิวคลองบางกอกน้อย สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ร่มรื่นด้วยธรรมชาติ ด้วยบรรยากาศสุดผ่อนคลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ Lobby lounge, สระว่ายน้ำระบบเกลือ พร้อม Jacuzzi, ฟิตเนส, สวน Rooftop, Laundry Room, ห้องประชุม, Co-Working Space ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนวัยทำงาน, Wi-Fi บริเวณพื้นที่ส่วนกลาง, กล้องวงจรปิด CCTV, เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง, แบ่งโซนระหว่างลูกบ้านและผู้มาติดต่อชัดเจน, รองรับจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า(EV Charger ), Access Card สำหรับเข้า - ออก พร้อมระบบควบคุมรถเข้า - ออกโครงการ แบบบลูทูธ

การเดินทางสะดวกทั้งรถยนต์ส่วนตัวและรถสาธารณะ โครงการตั้งอยู่ติดถนน ทางคู่ขนานถนนบรมราชชนนี  (ขาเข้า) สามารถเชื่อมต่อ ใจกลาง 3 เส้นทางหลัก ถนนบรมราชชนนี ถนนกาญจนาภิเษก และ ทางด่วนพิเศษประจิมรัถยา เข้า - ออกเมืองได้อย่างง่ายดาย ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง (สถานีตลิ่งชัน หรือ บางบำหรุ) เพียง 3 ก.ม. และ รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางขุนนนท์ เพียง 3 ก.ม. ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกและสถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแหล่งคอมมูลนิตี้มอลล์ ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงพยาบาล อาทิ เช่น ช่างชุ่ย, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เมเจอร์ ปิ่นเกล้า, เดอะเซ้นส์ ปิ่นเกล้า, เดอะเซอร์เคิล ราชพฤกษ์, เทสโก้ โลตัส, โรงพยาบาลเจ้าพระยา, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาล ตา หู คอ จมูก, โรงพยาบาลธนบุรี ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกด้าน มีสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะแก่การอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยหรือสำหรับลงทุน

บ้านร่วมทางฝัน 6 พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ กำหนดเปิดขายอย่างเป็นทางการ 18 พ.ย. 2566 พบโปรโมชัน ห้องแต่งครบ Fully Furnished ราคาพิเศษ พร้อมร่วมลุ้นรางวัลต่าง ๆ ในงานมากมายสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1775 กด 99 หรือ sena .co.th

‘เปิด 3 ประเด็น’ ศาล ปค.เพชรบุรี เบรกประกาศ ‘กกพ.’ รับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม หลัง บ.ย่อย ‘EA’ ค้าน เกณฑ์คัดเลือกไม่โปร่งใส หวั่นทำชาติเสียหายยาว 25 ปี

(21 ต.ค.66) สืบเนื่องจากกรณีศาลปกครองเพชรบุรี มีคำสั่งทุเลาโครงการเสนอขายไฟฟ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี พ.ศ. 2565-2573 ของ กกพ. หลังจาก 'เทพสถิต วินด์ฟาร์ม' บริษัทย่อย EA ยื่นเรื่องฟ้อง กกพ.ออกคำสั่งโดยอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความโปร่งใส และยุติธรรม เมื่อวันที่ 10 ต.ค.66 ที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องให้ กกพ.ทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อสร้างความชัดเจนในการกำหนดคุณสมบัติ โดยระบุไม่ต้องรีบทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามกำหนดภายในเดือน ต.ค.นี้ หวั่นจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์จากการรับซื้อไฟฟ้านั้น

ล่าสุด จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย (ไม่ออกนาม) เผยถึง 3 ประเด็นที่ทำให้ศาลมีคำสั่งทุเลาฯ ซึ่งคาดน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้...

1. การดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่องประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับพลังงานลม พ.ศ.2565 ในเบื้องต้น น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย

2. การดำเนินการเพื่อคัดเลือกผู้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ดำเนินการตามประกาศดังกล่าวที่น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย จากการยื่นฟ้องคดีต่อศาลฯ จึงทำให้บริษัทฯ หรือผู้ฟ้องคดีตกเป็นผู้ไม่ผ่านการพิจารณาอุทธรณ์ความพร้อมทางด้านเทคนิคขั้นต่ำ ตามเกณฑ์ผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) ตามประกาศของสำนักงาน กกพ. ลงวันที่ 10 มีนาคม 2566

และ 3. สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การคัดเลือกดังกล่าวของ กกพ. ไม่ได้มีการประกาศเกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การให้คะแนนเทคนิคขั้นต่ำผ่านหรือไม่ผ่าน (Pass/Fail Basis) หรือเกณฑ์คะแนนคุณภาพ การให้น้ำหนักคะแนนมาก-น้อย ที่ใช้ในการคัดเลือก จึงอาจทำให้กระบวนการคัดเลือกผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าไม่มีความโปร่งใสและยุติธรรม จะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์จากการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวได้และจะผูกพันไปตลอดอายุสัญญาขายไฟฟ้า โดยไม่อาจจะแก้ไขอย่างใดได้อีกตลอดระยะเวลา 25 ปี อันเป็นความเสียหายที่มิอาจเยียวยาแก้ไขได้ในภายหลัง

‘สนบ.เชียงใหม่’ ดีเดย์ 1 พ.ย.นี้ ให้บริการ 24 ชม. ประเดิมเส้นทางโอซาก้าเที่ยวบินแรก

(21 ต.ค.66) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 จะเริ่มเปิดให้บริการสนามบินเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายไว้ และข้อเสนอของหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้ขอมา ซึ่งทอท.ได้เปิดสล็อตการบินรองรับไว้แล้ว ถ้าสายการบินต้องการ ส่วนที่ต้องการบินไฟลต์ดึก จะเป็นสายการบินที่บินตรงเชียงใหม่-ยุโรป, เชียงใหม่-ญี่ปุ่น, เชียงใหม่- จีน เพราะจะไปถึงประเทศจุดหมายปลายทางในช่วงเช้าพอดี โดยวันแรกเป็นเที่ยวบินที่จองไว้มีเชียงใหม่-โอซาก้า เป็นสายการบินไทยเวียตเจ็ท หลังจากนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แต่เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องการเปิดประตูการเดินทาง

นายกีรติ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการจะทำตามรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่กำหนดไว้เมื่อปี 2548 จะไม่ส่งผลกระทบอย่างที่ประชาชนกังวล โดยมีเที่ยวบินในช่วงเวลากลางคืนในช่วงเวลา 22.00 น. ถึง 06.00 น. ในสัดส่วนไม่เกิน 6% หรือ 12 เที่ยวบิน ของเที่ยวบินที่ทำการบินรวมตลอดทั้งวัน และการให้บริการจะทำการบินไม่เกินเวลา 01.00 น.

“การเปิด 24 ชั่วโมง คือ การเปิดบริการสนามบิน ซึ่งเที่ยวบินสุดท้ายจะสิ้นสุดตี 1 การให้บริการสนามบินจะสิ้นสุดเวลาตี 3 ถ้าเที่ยวบินเข้าตั้งแต่ 6 โมงเช้า สนามบินจะเปิดบริการตั้งแต่ตี 4 เท่ากับสนามบินไม่ปิด แต่เที่ยวบินถึงแค่ตี 1 เท่านั้นเอง จะมีค่าใช้เกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับมีไฟล์ตชั่วโมงละ 2 ไฟล์ตก็คุ้มแล้ว” นายกีรติกล่าว

‘บาร์บีคิวพลาซ่า’ ชู THAItertainment ต่อยอดความสนุกหน้าเตาแก่ทุกชนชาติ เดินหน้าดัน 'GON กระทะ รวมดาวบันเทิงรส' ชิงใจนักท่องเที่ยวช่วงสิ้นปี

(21 ต.ค.66) ปัจจุบันเมื่อพูดถึง ‘หมูกระทะ’ มีหลากหลายแบรนด์ที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาและกลายเป็นที่นิยมมากทั้งในหมู่ลูกค้าไทยและลูกค้าต่างชาติ เมื่อมาเยือนประเทศไทย จนนับได้ว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่กลายเป็น Soft Power สำหรับชาวไทย

เฉกเช่นเดียวกันกับ ‘บาร์บีคิวพลาซ่า’ ปิ้งย่างเจ้าดัง ที่ได้นำส่วนผสมและความบันเทิงต่างๆ ของหมูกระทะมาถ่ายทอดในแบบฉบับของตนเองในช่วงที่ผ่านมา และล่าสุดกับเป็น ‘GON กระทะ รวมดาวบันเทิงรส’ ชุดอาหารใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ THAItertainment ความสนุกแบบไทยๆ ให้บันเทิงทุกสัมผัส โดยเปิดตัวทีเซอร์ไปก่อนหน้านี้ ที่เจ้า GON พาสำรวจลงพื้นที่ตามแหล่งหมูกระทะต่างๆ และการทำโฆษณาแบบดั้งเดิมตามฉบับคนไทยที่แปะประกาศขายตรงตามเสาไฟฟ้าริมถนน

รัฐ ตระกูลไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวว่า หมูกระทะคือ รสชาติที่คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบมาโดยตลอด ประกอบกับความสนุกหน้าเตา เมื่อได้กินของอร่อยที่ถูกปาก และใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้าที่ถูกใจ ซึ่งตรงกับสิ่งที่แบรนด์พยายามจะสื่อสารมาตลอด และอีกเป้าหมายที่สำคัญ ด้วยความที่เราเป็นแบรนด์คนไทย เราจึงอยากยกระดับอาหารไทยให้เป็น Soft Power ผนวกความเป็นไทยเข้าไว้ด้วย คือ คนไทยรักความสนุก สุขง่ายๆ ไม่ต้องไว้เชิงกัน หรือ THAItertainment 

ดังนั้น แคมเปญนี้ จึงมัดรวมความสนุก ตั้งแต่โมเมนต์การกินให้ลูกค้าบันเทิงรสไปกับประสบการณ์ใหม่ของหมูกระทะ ที่มาพร้อมกับ 2 น้ำจิ้มสูตรเด็ดสไตล์ไทย บันเทิงลิ้นไปกับกิจกรรม Challenge ที่ดึงเอาความขี้เล่นของคนไทยจากหลายๆ ภาคมาไว้ด้วยกัน และการบันเทิงเสิร์ฟจากพนักงานที่มีใจรักบริการ พร้อมส่งมอบความสุขผ่านมื้ออาหาร 

สุดท้ายนี้ เราคาดหวังว่าความสนุกระดับประเทศครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงกระเพื่อมสำคัญ ที่ส่งไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวในช่วงสิ้นปี รวมถึงขยายผลต่อไปยังภาคเศรษฐกิจของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายด้วย

‘เพย์ โซลูชั่น’ ผนึก ‘GHL Thailand’ ยกระดับเครื่อง EDC All-in-One เสิร์ฟผ่อน 0% แก่ 9 บัตร 6 ธนาคาร ผ่านเครื่องรูดบัตรเครื่องเดียว

ไม่นานมานี้ 'เพย์ โซลูชั่น' ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์แห่งแรกของประเทศไทย เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่ง จับมือพันธมิตร 'จีเอชแอล ประเทศไทย' ผู้นำในการให้บริการรับชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตร ชูนวัตกรรมผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยการเปิดตัวบริการใหม่ แบ่งชำระ 0% ให้ผู้ถือบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสดในไทยจาก 6 ธนาคารหลักผ่านเครื่องรูดบัตร All-in-One เพียงเครื่องเดียว หวังช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้ร้านค้าทั่วประเทศ

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด (Pay Solutions) ผู้ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์เปิดเผยว่า จากฐานข้อมูลของเพย์โซลูชั่น พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคนับจากสถานการณ์โควิด-19 นั้น มีการชะลอการซื้อสินค้าและนิยมการจ่ายเงินแบบผ่อนชำระเป็นหลัก เห็นได้จากสัดส่วนที่เติบโตมากขึ้นถึง 84% 

อย่างไรก็ตามสำหรับร้านค้าที่ต้องรับการเปิดระบบผ่อนชำระบัตรเครดิต ต้องดำเนินการทีละธนาคาร ซึ่งสิ้นเปลืองการนำเข้าเครื่องรูดบัตรต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก 

นายภาวุธ กล่าวอีกว่า เมื่อต้นปี 2566 เป็นต้นมา พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เริ่มปรับคืนสู่วิถีออฟไลน์ คนไทยเริ่มออกไปจับจ่ายซื้อของด้วยตนเองตามหน้าร้านค้าต่างๆ เนื่องด้วยสภาวะแวดล้อมมีความผ่อนคลาย รวมทั้งมีการเปิดประเทศ ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น 

โดยผู้บริโภคมีพฤติกรรมในการใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดเป็นส่วนใหญ่ เห็นได้จากข้อมูลการชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครื่องรูดบัตร (EDC) ที่ร้านค้า ดังนี้...

ปี 2565 มีสัดส่วนปริมาณ Offline 73.6% Online 26.4% / จำนวนการใช้บัตรพลาสติกเพื่อการชำระเงิน ณ จุดขายมี 53,323,000 รายการ มูลค่า 139,000,000 ล้านบาท 

ปี 2566 มีสัดส่วนปริมาณ Offline 79.6% Online 20.4% / จำนวนการใช้บัตรฯ 56,118,000 รายการ มูลค่า 151,000,000 บาท 

จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ 'เพย์โซลูชั่น' ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบชำระเงินออนไลน์ เชื่อมต่อได้ทั้งหน้าเว็บไซต์แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ครอบคลุมการรับชำระเงินทุกช่องทางแบบ Omni Channel จึงได้ร่วมมือกับบริษัท จีเอชแอล (ประเทศไทย) จำกัด นำนวัตกรรมบริการผ่อนชำระช่องทางออนไลน์มาให้บริการผ่านเครื่อง EDC All-in-One ของจีเอชแอล ซึ่งรองรับได้ถึง 6 ธนาคารหลัก จำนวน 9 บัตรเครดิต ได้แก่...

ธนาคารกสิกรไทย / ธนาคารกรุงเทพ / ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต / กรุงไทย / คาร์ดเอกซ์ / ธนาคารกรุงศรีอยุธยา / เทสโกมันนี่ / กรุงศรีเซ็นทรัลเดอะวัน เเละกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ 

"การที่ลูกค้ามีทางเลือกในการจ่ายเงินที่ตอบสนองความต้องการ ก็จะเพิ่มการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่า เป็นโอกาสช่วยเพิ่มรายได้ให้ร้านค้าทั่วประเทศ โดยกลุ่มประเภทสินค้าที่คาดว่าจะได้รับความนิยม ได้แก่ คลินิกและสถานเสริมความงาม, สินค้าไอที อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, สินค้าตกแต่งบ้าน, โรงแรมและที่พัก, ร้านอาหาร เเละสินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเครื่องรูดบัตรได้ดีขึ้น ลดความยุ่งยาก ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายค่าเครื่อง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต" นายภาวุธ กล่าว

ด้าน นายปริญญา จินันทุยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอชแอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว ว่า GHL เป็นผู้นำในการให้บริการรับชำระเงินในภูมิภาคอาเซียน ได้เปิดดำเนินการธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 15 ปี โดยให้บริการผ่านเครื่อง EDC แบบครบวงจร ให้บริการรับชำระเงินทุกรูปแบบทั้งบัตรเดบิต/เครดิต, QR พร้อมเพย์ และ e-wallets ทั้งในและต่างประเทศไว้ใน EDC All-in-One เพียงเครื่องเดียว 

โดยในปัจจุบันมีจุดให้บริการรวมกว่า 15,000 จุด อาทิ กลุ่มร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มโรงแรมและการบริการต่างๆ ทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการยกระดับเครื่อง EDC All-in-One จึงได้ร่วมมือกับ Pay Solutions ในการพัฒนาการบริการ Multi-Bank Installment เพื่อตอบโจทย์ร้านค้าในการรับผ่อนชำระได้มากยิ่งขึ้น 

"จากเดิมที่ต้องสมัครขอใช้บริการกับแต่ละธนาคารโดยตรงหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ต้องวาง EDC หลายเครื่อง และแต่ละเครื่องก็ใช้งานต่างกัน แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วย EDC All-in-One ของ GHL เพียงเครื่องเดียว ที่สามารถให้แบ่งจ่าย 0% ด้วยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดของธนาคารหลักในประเทศไทยได้ถึง 6 ธนาคาร และในอนาคตจะมีการพัฒนาเพื่อรองรับบัตรของธนาคารอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้านอกจากการรับชำระเงินแบบเต็มจำนวน ประหยัดเวลาดำเนินการ ประหยัดพื้นที่ในการวางเครื่อง และตรวจสอบรายการได้ง่าย" นายปริญญา กล่าวเสริม

ปัจจุบัน EDC All-in-One ของ GHL ได้เริ่มให้บริการที่กลุ่มร้านค้า อาทิ วินเซนต์คลีนิก, โฮมพลัส เฟอร์นิเจอร์ มอลล์, และศูนย์จำหน่ายสินค้าแม่และเด็กมัมแอนด์มีสโตร์ เป็นต้น และคาดว่าจะขยายการให้บริการมากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้

ด้าน นพ.พงษ์ธีระ เศรษฐ์ธนาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วินเซนต์คลินิก ศูนย์ศัลยกรรมความงามและดูแลผิวหนังครบวงจร ที่มีสาขาเปิดให้บริการ 7 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นร้านค้าผู้ใช้งานเครื่องรูดบัตร EDC All-in-One ได้สะท้อนถึงบริการดังกล่าวไว้ด้วย ว่า...

"วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ คือ Innovation VINCENT ซึ่งได้มีการนำเทคโนโลยีด้านศัลยกรรมใหม่ๆ มาให้บริการลูกค้า นอกจากนั้นก็ยังได้นำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานเเละดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำการก้าวสู่คลินิกศัลยกรรมอันดับ 1 ในด้านนวัตกรรมอย่างแท้จริง" สอดคล้องกับ พญ.ปราณปริยา อึ้งตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ที่ได้กล่าวเสริมถึงบริการผ่อนชำระแบบ Multi-Bank Installment ด้วยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดผ่านเครื่อง EDC ว่า "การมีตัวช่วยทางการเงิน การให้ทางเลือกชำระเงินที่มีความยืดหยุ่น จะเป็นการสนับสนุนให้ลูกค้าได้ดูเเลตัวเองตามที่ต้องการ โดยเชื่อมั่นว่าภาพลักษณ์เเละบุคลิกภาพที่ดีจะช่วยเสริมความมั่นใจ เสริมดวงชะตาตามหลักความเชื่อ เเละส่งเสริมการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น"

สำหรับโดยผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.paysolutions.asia หรือติดตามข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.facebook.com/paysolutionsdotasia โทรศัพท์ 0 2821 6163, 081 145 5996, 081 752 8722 ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top