Tuesday, 29 April 2025
ElectionTime

'ซูเปอร์โพล' เผย ปชช. หนุนพรรคร่วม เป็น รบ. อีกสมัย ดัน 'ลุงหนู' นั่งนายกฯ เพราะมีเมตตา-ไม่ขัดแย้งกับใคร

26 มี.ค.2566-สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 1 (ฉบับเต็ม) กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 53,094,778 คน ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,257 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20 – 25 มี.ค.2566 โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนจากขนาดตัวอย่างบวกลบร้อยละ 5 ในช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95

ที่น่าสนใจคือ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือกพรรคการเมือง แบ่งออกระหว่าง กลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล และ กลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลรวมกันได้ร้อยละ 51.6 ในขณะที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านตอนนี้รวมกันได้ร้อยละ 43.3 โดยในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล อันดับหนึ่งได้แก่ พรรคภูมิใจไทย ได้ร้อยละ 19.1 เพราะ เชื่อมั่นศรัทธานายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคฯ ต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ ต้องการคนมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์การเมือง มีผลงานเป็นที่ยอมรับนานาชาติช่วงวิกฤตโควิด ไม่ต้องการความขัดแย้ง ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ ผู้นำที่ไม่สร้างความขัดแย้ง ต้องการการพัฒนา ชอบนโยบายสุขภาพ และ อสม. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นคนจิตใจดี ช่วยเหลือชีวิตคนตัวเล็กตัวน้อย เป็นต้น

อันดับที่สองได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 13.4 เพราะ เชื่อมั่นศรัทธา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายชวน หลีกภัย และอดีตผู้นำพรรค เชื่อมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต มีประสบการณ์ทางการเมือง ความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสถาบันพรรคการเมือง มีหลักการ อุดมการณ์การเมือง ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ มีผลงานประกันรายได้เกษตรกร การค้าระหว่างประเทศ ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ เป็นต้น

นอกจากนี้ อันดับที่สาม ได้แก่ พลังประชารัฐ ร้อยละ 10.1 เพราะ เชื่อมั่นใน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีผลงานแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ทำกิน บริหารจัดการน้ำ ความสงบความมั่นคงของบ้านเมือง เป็นต้น และ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 7.3 เพราะ เชื่อมั่นศรัทธาใน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานแก้วิกฤตชาติ ความวุ่นวายของบ้านเมือง จริงจัง จริงใจ อดทน     ชอบโครงการ คนละครึ่ง เป๋าตังค์ ชอบนักการเมืองรุ่นเก่า อย่างนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ชอบคนรักชาติบ้านเมืองอย่าง พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา เป็นต้น ที่เหลือเป็น พรรคชาติพัฒนา กล้า ร้อยละ 0.9 และพรรคชาติไทยพัฒนา ร้อยละ 0.8 ตามลำดับ

ในขณะที่ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. ในกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า อันดับแรก พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 36.9 เพราะ ชอบอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ  ชินวัตร ต้องการคนรุ่นใหม่ ต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ เข้าถึงชาวบ้านและประชาชน ชอบนโยบาย ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ เป็นต้น รองลงมาคือ พรรคก้าวไกล ร้อยละ 5.9 เพราะ ชอบหัวหน้าพรรค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ ต้องการคนรุ่นใหม่ อยากลอง ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ เป็นต้น และพรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 0.5 เพราะ ชอบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคตรงไปตรงมา เด็ดขาด ชัดเจน เป็นต้น

เมื่อวิเคราะห์ภาพรวมของความตั้งใจของประชาชนจะเลือก ส.ส. พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 51.6 ระบุ จะเลือกพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติพัฒนากล้า ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น ในขณะที่ ร้อยละ 43.3 จะเลือกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ เพื่อไทย  ก้าวไกล เสรีรวมไทย เป็นต้น และร้อยละ 5.1 ระบุอื่น ๆ เช่น ไทยสร้างไทย และไทยภักดี เป็นต้น

ที่น่าพิจารณา คือ ความตั้งใจของประชาชนจะเลือก พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล กับ พรรคร่วมฝ่ายค้าน แบ่งตามกลุ่มจุดยืนการเมือง พบว่า กลุ่มพลังเงียบส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.8 กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.3 และแม้แต่กลุ่มผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 15.6 ตั้งใจจะเลือก พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล ได้แก่ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา เป็นต้น ในขณะที่ กลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.7 กลุ่มพลังเงียบร้อยละ 34.6 และแม้แต่กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 21.4 ตั้งใจจะเลือกพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ เพื่อไทย  ก้าวไกล เสรีรวมไทย เป็นต้น ตามลำดับ

นอกจากนี้ ที่น่าสนใจคือ คนที่ประชาชนอยากได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปในกลุ่มแฟนคลับของพรรคร่วมรัฐบาล จำแนกตามกลุ่มอาชีพ พบว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นขวัญใจมากสุดใน 4 กลุ่มอาชีพได้แก่ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐร้อยละ 20 พนักงานเอกชนร้อยละ 18.4 อาชีพอิสระค้าขายร้อยละ 19.8 และนักศึกษา ร้อยละ 23.2 เพราะเป็นคนมีความสามารถ มีผลงานเคยแก้วิกฤตชาติ เป็นผู้นำที่ไม่ก่อความขัดแย้งกับใคร จิตใจดี ช่วยเหลือชีวิตคน ไม่ด่างพร้อย ดูแลคนตัวเล็กตัวน้อย ชอบนโยบายสุขภาพ ดูแลใส่ใจคนทุกกลุ่ม เป็นต้น

‘เศรษฐา’ นำทัพ ‘พท.’ ลุย 3 ตลาดเช้าย่านฝั่งธนฯ ขอบคุณชาวกรุง หลังผลโพลหนุนพรรคเพื่อไทย ยืนหนึ่ง

‘เศรษฐา’ นำทีม ‘เพื่อไทย’ บุก 3 ตลาดเช้าย่านฝั่งธนฯ เมิน ‘บิ๊กตู่’ ขู่ แลนด์สไลด์ออกนอกเลนระวังเจ็บตัว มองฝ่ายบริหารแยกนิติบัญญัติดีกว่า

(26 มี.ค. 2566)  ที่ตลาดเช้าวัดหนองแขม พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายวัน อยู่บำรุง ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม. เขตหนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม) บางบอน (ยกเว้นแขวงบางบอนใต้และแขวงคลองบางบอน) จอมทอง (เฉพาะแขวงบางขุนเทียน) ลงพื้นที่พบปะพ่อค้าแม่ค้าเพื่อสอบถามปัญหาต่างๆ โดยนายวันได้พานายเศรษฐานั่งมอเตอร์ไซค์มายังบริเวณตลาด ระหว่างที่พบปะพ่อค้าแม่ค้าได้มอบดอกกุหลาบและขอถ่ายรูปกับนายเศรษฐา

ต่อมา นายเศรษฐาและคณะเดินทางต่อไปยังตลาดบางแคเพื่อรับฟังปัญหา โดยมีนางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม. เขตบางแค (ยกเว้นแขวงบางแคเหนือและแขวงบางไผ่) ภาษีเจริญ (เฉพาะแขวงบางหว้า แขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) ร่วมลงพื้นที่ด้วย ซึ่งก็มีประชาชนให้กำลังใจและมอบดอกกุหลาบให้เช่นเคย จากนั้น นายเศรษฐาและคณะเดินทางไปยังตลาดสดธนบุรี ซึ่งมีนายจิรวัฒน์ อรัญยกานนท์ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขต 31 ตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง) ทวีวัฒนา 

โดย นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์กรณีผลโพลสำรวจระบุว่าคนกรุงเทพฯ เชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรค พท.มาเป็นอันดับหนึ่ง ว่า ตนยังไม่ได้ดู เพราะตอนนี้หน้าที่ตนคือเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ตนก็จะเดินหน้าหาเสียง ปราศรัย พบปะพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดเท่าที่เท่าได้ และขอบคุณที่ประชาชนที่อยากให้มีส่วนร่วมในทางการเมือง แต่ตอนนี้ก็ทำหน้าที่เต็มที่ ทั้งนี้ สำหรับผลโพลที่ระบุว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ พรรค พท.นำมาตลอดนั้น ตนเชื่อว่าในอดีตตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เราก็ใช้นโยบายนำโดยตลอด บุคคลมีคุณภาพในพรรคเราก็มีเยอะมากมาเป็นแผง ตนเชื่อว่าพรรคมีความสามารถ ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจ และจะเดินหน้าต่อไปเพื่อเผยแพร่นโยบายที่ดี

เมื่อถามว่า มองว่าโพลแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่หล่นลงมา เป็นเพราะเปิดตัวช้าหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “คงไม่ใช่หรอกครับ โพลก็คือโพล เรามีหน้าที่ของเรา เราก็ต้องเดินหน้าต่อ เราก็ทำหน้าที่เต็มที่ จะมาพะวงกับโพลไม่ได้ การชี้นำของโพลเราก็ว่ากันไป”

เมื่อถามว่า การประกาศชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะมีการขยับไวขึ้นจากวันที่ 5 เม.ย.หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่เท่าที่ทราบยังเป็นวันที่ 5 เม.ย.อยู่

เมื่อถามถึง กรณีที่มีรายงานข่าวเปิดรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ออกมา แต่ไม่ชื่อของนายเศรษฐาและน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า การที่ชื่อของตนไม่ได้อยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ก็ไม่ได้ผิดความคาดหวังอะไร เพราะเราพูดกันตลอดว่าฝ่ายบริหารก็อยู่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติก็อยู่ฝ่ายนิติบัญญัติ เข้าใจว่ามีหลายฝ่ายอยากให้คนที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ด้วย แต่ก็เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้กำหนดไว้ หากใครก็ตามที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้รับเลือกเข้ามา แล้วต้องไปดำรงตำแหน่งนั้นจริงๆ สิ่งที่สำคัญคือต้องบริหารราชการแผ่นดิน และทำตามกฎหมายที่สภาฯ ออกมา ส่วนในสภาฯ ก็เป็นหน้าที่ของส.ส.ที่ต้องออกกฎหมาย นอกจากนี้สำคัญที่สุดคือการที่ฝ่ายบริหารต้องไปตอบกระทู้ในสภาฯ 

‘โรม’ ขอบคุณโพลปชช. กรุงเทพฯ ไว้ใจ ‘พิธา’  เผยชาวบ้านตจว. ให้การต้อนรับ-รู้จักมากขึ้น

รังสิมันต์ ขอบคุณ ปชช.วางใจ พิธา เป็นนายกฯ มองก้าวไกลเปลี่ยนไป ตจว.ต้อนรับ-รู้จักมากขึ้น

(26 มี.ค.66) นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีผลโพลสำรวจพบว่า ประชาชนต้องการให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีมาเป็นอันดับ 1 ว่า ต้องขอบคุณประชาชนที่ไว้วางใจ และสนับสนุนพรรค จริงๆ ตนเดินทางไปทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต้องยอมรับว่าเราได้รับการตอบรับจากประชาชนดีมาก จุดนี้เองได้สะท้อนออกมาจากโพลหลายสำนัก คะแนนของพรรคได้ขยับขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ และต้องขอบคุณอย่างพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเราได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับ 1 ในที่นี่ และหวังว่าเราจะได้เป็นอันดับ 1 ในอีกหลายพื้นที่ เพื่อให้ประเทศเปลี่ยนไปในทิศทางที่เราอยากจะเห็น

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะเร่งลงพื้นที่อย่างไร เพื่อให้เป็นที่รู้จักในต่างจังหวัดมากขึ้น นายรังสิมันต์กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ประชาชนแทบทุกคนมีสมาร์ทโฟน ทางเลือกของสื่อที่มีหลากหลายให้รับข้อมูลข่าวสาร มากกว่าแค่โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์อย่างในอดีต ทำให้มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะทำให้ประชาชนรู้จักพรรค และนโนบายของพรรคก้าวไกลมากยิ่งขึ้น

"ชาวนากับงูเห่า" นิทานอีสป ที่ให้ข้อคิดสอนใจว่าอย่าไปไว้ใจสัตว์ร้ายที่เลี้ยงไม่เชื่อง

ซึ่งเปรียบเป็นคนแล้ว ก็คือผู้ที่มีลักษณะคิดไม่ซื่อ ทรยศ หักหลัง ได้แม้คนที่เคยช่วยเหลือฟูมฟักมา

และ "งูเห่า" นี่เองที่เป็น "คำแรง" ใช้เปรียบเปรยนักการเมืองในสภา ที่มีพฤติกรรม ข้ามค่าย ย้ายขั้ว หรือโหวตสวนมติพรรค จนถึงวันนี้ และแน่นอนว่า บรรยากาศการเมืองไทยในช่วงเวลานี้ ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการเลือกตั้ง กิจกรรมการย้ายค่าย สลับขั้วเหล่านี้ ยิ่งทวีความร้อนแรง ว่าแล้ว The State Times เลยขอนำตำนาน “งูเห่าการเมือง” ที่เคยเกิดขึ้น มาย้อนความทรงจำคอการเมืองกันสักหน่อย...

จุดเริ่มต้นของ "งูเห่า" ในสภา เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 26 ปีที่แล้ว เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่เกิดจากความรู้สึกบอบช้ำแสนสาหัส ของชาวนาที่ชื่อ "สมัคร สุนทรเวช"

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ส่งผลกระทบหนักในไทยและหลายประเทศในเอเชีย ทำให้รัฐบาลของ "พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ" ขณะนั้น ตัดสินใจประกาศ "ลอยตัวค่าเงินบาท" ผลที่ตามมาคือผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ภาคการเงินการธนาคาร และภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องปิดกิจการ หรือล้มละลายไป รัฐบาลถูกกดดันอย่างหนักทั้งในและนอกสภา จนสุดท้าย "บิ๊กจิ๋ว" ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออก นำมาสู่การช่วงชิงจังหวะของพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านในการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีพรรคความหวังใหม่ ประชากรไทย ชาติพัฒนา และมวลชน กุมเสียงอยู่ 197 เสียง ตกลงกันว่าจะดึง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ขณะที่ฝ่ายค้าน ที่มีพรรคประขาธิปัตย์เป็นแกนนำได้เสียงจากพรรคกิจสังคม และเสรีไทยย้ายขั้วมาเติม จนมี 196 เสียง น้อยกว่าฝั่งรัฐบาลเพียงแค่เสียงเดียว โดยชู นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาท้าชิง

แต่แล้วก็เกิด "บิ๊กดีล" ขึ้น เมื่อพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการประชาธิปัตย์สมัยนั้น เปิดการเจรจา ดึงเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.กลุ่มปากน้ำของพรรคประชากรไทย รวม12 เสียง ไปโหวตสนับสนุน ให้นายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ด้วยเสียง 208 ต่อ 185 เสียง

สำหรับ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ นำโดย นายวัฒนา อัศวเหม เคยมีความขัดแย้งกับพรรคชาติไทย จนไม่มีสังกัดพรรคอยู่ ซึ่งต่อมานายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ในขณะนั้น รับเข้ามาสังกัดพรรค แต่ท้ายที่สุดกลับไปยกมือสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม ทำให้นายสมัครรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ และเปรียบตัวเองเป็นเหมือนชาวนา ช่วยเหลืองูเห่าแต่สุดท้ายกลับมากัดตนเอง และคำว่า "งูเห่า" จึงกลายเป็นคำเรียก ส.ส.กลุ่มปากน้ำ และยังใช้แทน ส.ส. ที่มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอีกเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นคล้อยหลังมาอีก 10 ปี

"มันจบแล้วครับนาย" ประโยคที่ "เนวิน ชิดชอบ" ส่งถึง "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายเก่า เป็นประโยคทิ้งท้าย ย้อนภาพจำถึงอีกหนึ่งจุดพลิกผันทางการเมืองในปี 2551 เป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ถูกเรียกขานต่อมาว่า "งูเห่าภาค 2"

หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของพรรคพลังประชาชน "เนวิน ชิดชอบ" เป็นหนึ่งในสมาชิกบ้าน 111 ที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง แต่เขายังคงมีอิทธิพลต่อ ส.ส. สายอีสาน "กลุ่มเพื่อนเนวิน" จำนวนมากกว่า 20 คนในพรรคพลังประชาชน

พิษยุบพรรค

นับจากวันนี้ ถนนทุกสายกำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ 14 พฤษภาคม 2566 หลายพรรคการเมืองเริ่มทยอยเปิดตัวผู้สมัคร  ชูนโยบายหาเสียง และเริ่มลงพื้นที่ปราศัยกันมากขึ้น แต่หนึ่งสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองต้องระแวดระวัง คือการดำเนินการใดๆ ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย จนอาจนำไปสู่โทษสูงสุด คือการถูก "ยุบพรรค" ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ ที่ชวนให้ย้อนกลับไปดูเพื่อทวนความจำและนำเป็นบทเรีบนให้กับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

จุดเปลี่ยนสำคัญของการปฏิรูปการเมืองร่วมสมัย คือการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่มีการออกแบบให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง พร้อมกับเกิดองค์กรอิสระต่างๆ  รวมถึง คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. และ ศาลรัฐธรรมนูญ  และเมื่อมีบทบัญญัติที่ให้เสรีภาพบุคคลในการรวมตัวจัดตั้งพรรคการเมืองได้แล้ว อีกด้านก็มีกลไกที่นำไปสู่การ "ยุบพรรค" ได้ หากพรรคการเมืองมีการดำเนินการที่ขัดต่อหลักการตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องบัญญัติไว้  ซึ่งที่ผ่านมามีหลายกรณียุบพรรค ที่กลายเป็นบันทึกหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์การเมือง

เริ่มจากกรณี "จ้างพรรคเล็ก" นำมาสู่การยุบ "พรรคไทยรักไทย" จนเกิดเป็นตำนานบ้านเลขที่ 111

ย้อนไปเมื่อต้นปี 2549  ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา ก่อนกำหนดวันเลือกตั้ง 2 เมษายน แต่อีก 3 พรรคการเมือง ที่เป็นคู่แข่งในสภา คือประชาธิปัตย์  ชาติไทย และมหาชน ประกาศ "บอยคอต" เหลือเพียงพรรคไทยรักไทยที่เดินหน้าส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง บนเงื่อนไขกฎหมายที่กำหนดว่า ในเขตที่มีผู้สมัครพรรคเดียว ไร้คู่แข่ง จะต้องได้คะแนนเสียง มากกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นจึงจะได้เก้าอี้ ส.ส. ซึ่งต่อมาเกิดการร้องเรียนว่า พรรคไทยรักไทยทำผิดกฎหมายจากการ "จ้างพรรคเล็ก" ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อหนี "เกณฑ์ร้อยละ 20"  

เมื่อกกต.ตรวจสอบหลักฐาน ชี้มูลความผิด จึงนำไปสู่การยื่นร้องให้ยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ระหว่างนั้นเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. ทำให้ต่อมาคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถูกแต่งตั้งขึ้น มีมติ ในวันที่ 30 พ.ค. 2550 ให้ "ยุบพรรค" ไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ฐานเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผลที่ตามมาคือกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 พรรค รวม 111 คน ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี  เป็นที่มาของ "บ้านเลขที่ 111"

วิบากกรรมยังมีต่อเนื่อง เมื่อบรรดาขุนพลไทยรักไทยเดิมที่ยังเหลือรอด พากันย้ายบ้านมาที่ "พรรคพลังประชาชน" ลงสู้ศึกเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550  แต่กลับเกิดกรณี "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ส.ส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ถูก กกต.ให้ใบแดง เนื่องจากพบการกระทำที่น่าเชื่อได้ว่า "ทุจริตเลือกตั้ง" เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่กรรมการบริหารพรรคกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเช่นกัน กรณีดังกล่าวนำมาสู่การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 สั่งให้ทั้งยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารทั้ง 3 พรรค รวม 109 คน ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ในจำนวนนั้น มีนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปด้วย

กาลล่วงมาจนถึงยุคของการใช้รัฐธรรมนูญ ปี 60 ผลจากการกำหนดการเลือกตั้งแบบ "จัดสรรปันส่วนผสม" ป้องกันการผูกขาดในสภา ทำให้พรรคใหญ่อย่าง "เพื่อไทย" ต้องปรับกลยุทธ์ แตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย ด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองเครือข่ายเพื่อเรียกจำนวน ส.ส. ในสภา หนึ่งในนั้นคือ "พรรคไทยรักษาชาติ"

นอกจากถูกจับตาเพราะกรรมการบริหารพรรคเป็นอดีตรัฐมนตรี และ ส.ส. คนรุ่นใหม่ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมึประเด็นที่ถูกจับตาที่สุดคือการ ยื่นพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค เป็นเหตุให้ กกต. มีมติยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค

‘วราเทพ’ มั่นใจ ‘พปชร.’ ได้นั่งส.ส. ยกทีมทั้ง 4 เขต พร้อมผลักดันยุทธศาสตร์ สร้างประโยชน์ให้ประชาชน

‘วราเทพ’ มั่นใจ พปชร. รักษาฐานมั่นกำแพงเพชร ยกความเหนียวแน่น กวาดยก 4 เขตทั้งจังหวัด

(26 มี.ค.66) ที่ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบายและฝ่ายอำนวยการพรรคพลังประชารัฐ และอดีต ส.ส.กำแพงเพชร ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่หาเสียงช่วย 4 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชร ถึงความมั่นใจในการเลือกตั้งของจ.กำแพงเพชร ว่าหลายคนอาจสงสัยทำไม จ.กำแพงเพชร ส.ส.ยังอยู่กันเหนียวแน่น ก็เพราะว่านักการเมืองอาวุโสได้สร้างไว้

“ได้พูดคุยอยู่ตลอดว่า ไม่ว่าเราจะอยู่พรรคการเมืองไหนก็ตาม เราจะอยู่กันเป็นทีมไปแบบนี้ เพราะฉะนั้นเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เราก็จะผ่านไปเป็นส.สได้เหมือนเดิม ยกทีมทั้งจังหวัด และพลังประชารัฐก็เป็นพรรคที่เราอยู่ด้วยกันมานาน แต่ถึงแม้ตนไม่ได้ลงสมัคร แต่ได้พูดคุยกับผู้สมัครทุกคนแล้ว มั่นใจว่าพรรคนี้จะสามารถทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้ เพราะฉะนั้นมั่นใจว่า 4 เขต และ 1 บัญชีรายชื่อจะสามารถเข้าไปเติมเต็มพรรคพลังประชารัฐได้“นายวราเทพ กล่าว

‘อุ๊งอิ๊ง’ เผย เปลี่ยนความจริงไม่ได้ที่เป็นลูกพ่อ ดีใจ!! โพลโตขึ้นตามท้อง สะท้อน ปชช. วางใจ 

‘อุ๊งอิ๊ง’ รับหวัง ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน เผย “เปลี่ยนความจริงไม่ได้ที่เป็นลูกพ่อ” ถ้ายุติธรรมจริงคงไม่เป็นเช่นนี้ ยันปมนี้ไม่เกี่ยวกับพรรค ขอบคุณและดีใจเห็นโพลโตตามท้อง 

(26 มี.ค.66) ที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค, นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานส.ส.พรรค พท. และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัครส.ส.นครปฐม เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นเดินทางมาพูดคุยกับผู้ประกอบการค้าสุกรใน จ.นครปฐมที่ห้องประชุม สนามกีฬากลาง 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม

จากนั้น เวลา 17.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน พร้อมให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพ่อ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนประเทศญี่ปุ่นว่า พร้อมกลับประเทศไทยภายในปีนี้และรับโทษนั้น ว่า ตนได้คุยกับนายทักษิณแล้ว ซึ่งประโยคเช่นนี้เราก็ได้คุยในครอบครัวตลอด ถ้าเหตุการณ์ปกติที่คดีต่าง ๆ ดำเนินไปตามปกติ ไม่ใช่หลังรัฐประหาร ก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ แต่ที่ต้องเป็นแบบนี้ หากกระบวนการยุติธรรม ยุติธรรม มันก็ดี อย่างไรก็ตาม ตนเคารพการตัดสินใจของนายทักษิณอยู่แล้ว เพราะเขาออกไปนอกประเทศนานแล้ว เขาจะตัดสินใจอย่างไรเราก็เคารพการตัดสินใจของเขาอยู่แล้ว และเป็นกำลังใจให้

“อิ๊งค์พูดจากใจเลยว่า อิ๊งค์เปลี่ยนความจริงไม่ได้ที่อิ๊งค์เป็นลูกของคุณพ่อ และอิ๊งค์ก็ไม่อยากจะเปลี่ยนด้วย ฉะนั้น การนำพรรคเพื่อไทยต่อไปสำหรับการเลือกตั้ง และยื่นนโยบายสู่ประชาชน เป็นหน้าที่หลักซึ่งเราจะทำต่อไป ในสิ่งที่คุณพ่อพูด ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น และเป็นผลอย่างไร ก็อยากให้เป็นส่วนของท่าน เพราะท่านพูดอยู่แล้วว่าการที่จะกลับมาหรืออะไรก็ตามไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย และบอกว่าจะไม่มีการทำอะไรทั้งสิ้น คุณพ่อพูดมาก่อนหน้านี้ตั้งหลายเดือนแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่” น.ส.แพทองธาร กล่าว

เมื่อถามว่า นายทักษิณระบุเวลากลับประเทศแล้วหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ยังไม่ได้บอก ถ้าบอกแล้วตนอาจจะตื่นเต้นจนหลุดไปแล้วก็ได้ ทั้งนี้ จากใจตนหวังตลอด ทำไมเราจะไม่อยากให้คุณพ่อกลับบ้าน ทำไมจะไม่อยากให้คุณตากลับมาเลี้ยงหลาน โดยเฉพาะตอนนี้ที่เหลือไม่ถึง 2 เดือนก็จะคลอดแล้ว ฉะนั้น มีความหวังแน่นอน 

ถามต่อว่า การที่นายทักษิณให้สัมภาษณ์ในช่วงนี้ เกี่ยวข้องกับการหาเสียงแบบแลนด์สไลด์ เพื่อจะนำนายทักษิณกลับมาประเทศไทยได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราถามหัวหน้าและทุกคน คุณพ่อก็คือหนึ่งในแรงใจของเรา นั่นเป็นสิ่งที่เถียงไม่ได้ เป็นกำลังใจสำคัญ ท่านเป็นคนก่อตั้งพรรคตั้งแต่ไทยรักไทย ฉะนั้น ตอนนี้ไม่เกี่ยวกัน 

นพ.ชลน่าน กล่าวเสริมว่า ตัวชี้วัดที่แท้จริงคือประชาชนก่อนการเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คนอีกกลุ่มหนึ่งพยายามใช้สถานการณ์นี้ กล่าวหาและโจมตีพรรค พท. เสมือนต้องการดิสเครดิตแลนด์สไลด์ วิธีการแบบนี้ปรากฏขึ้นเมื่อเขามีโอกาส พรรคพท.จึงมองว่า ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของคนที่รักไทยรักไทย พลังประชาชน ความเชื่อความศรัทธาเราห้ามไม่ได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมนี้อยู่แล้ว แต่หากใช้ประโยชน์นอกเหนือข้อกฎหมายจนพรรคเสียหาย พรรค พท.ก็ต้องใช้สิทธิของเรา

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วิจารณ์ถึงพรรค พท.ว่าระวังจะแลนด์สไลด์ออกนอกเลน น.ส.แพทองธาร นิ่งครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “นายกฯ เป็นคนครีเอทีฟเนอะ ให้ท่านครีเอทีฟไป เราก็เดินหน้าหาเสียงต่อ” 

เมื่อถามถึง กรณีมีรายงานข่าวรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน แต่ไม่ปรากฏชื่อของ น.ส.แพทองธาร ที่ถูกจับตาว่าอาจเป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พท. น.ส.แพทองธาร หันไปถามนพ.ชลน่านว่า “เห็นว่าจะสรุปรายชื่อกันเมื่อไหร่” 

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ในวันที่ 26-28 มีนาคม เราจะส่งรายชื่อผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบบัญชีรายชื่อและเขต ให้ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดให้ความเห็นชอบหรือไพรมารีโหวต ซึ่งบัญชีรายชื่อที่ปรากฏไปแล้ว ก็ต้องมาฟังความเห็นว่าประชาชนในเขตเลือกตั้งทั้งประเทศเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ซึ่งกรรมการบริหารจะเป็นด่านสุดท้ายในการประกาศรายชื่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ

เมื่อถามว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีควรเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ไม่จำเป็น จะมีหรือไม่มีก็ได้ เราก็ทำหน้าที่ของเราต่อ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในจุดของตนจะเดินหน้าทำเพื่อประชาชนต่อไป ในฐานะอะไรก็ได้ เพราะประเทศไม่ไหวแล้ว และต้องการการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก

เมื่อถามว่า นายทักษิณให้การสนับสนุนและได้ฉันทามติจากประชาชนแล้ว หากจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ลำดับที่หนึ่ง พร้อมหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “เขินเลย อิ๊งค์คิดว่าขอคนที่เหมาะสมและดีที่สุด เป็นอย่างนั้นดีกว่า”

‘ลุงป้อม’ อ้อนชาวกำแพงเพชร เลือก ‘พปชร.’ ยกจังหวัด เผย “ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานเพื่อประโยชน์ของปชช.ได้”

พล.อ.ประวิตร' นำ พปชร.ปราศรัยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครกำแพงเพชร ยกจังหวัด ลั่น!! ถึงจะพูดไม่เก่ง สามารถประสานประโยชน์เพื่อ ปชช. เชื่อคนไทยส่งนั่งนายกฯคนที่ 30 

(26 มี.ค.66) ณ ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดเวทีปราศรัย นําโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร., นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ, นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรค พปชร., นายวราเทพ รัตนากร กรรมการฝ่ายนโยบาย โดยมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จ.กำแพงเพชร ทั้ง 4 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ประกอบไปด้วย...

นายสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท, นายไผ่ ลิกค์ เขต 1, นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2, นายอนันต์ อำนวยผล เขต 3, นายปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4 โดยบรรยากาศเวทีปราศรัยเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนร่วมรับฟังการปราศรัยกว่า 10,000 คน มีการชูป้ายข้อความ นายกฯ คนที่ 30 มาแล้ว, ประชารัฐ 700 และเรารักลุงป้อม รวมถึงมีการส่งเสียงเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ให้ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวในเวทีปราศรัยกับประชาชนว่า ตนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ท่ามกลางชาวจังหวัดกำแพงเพชร เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะก้าวข้ามยากจน ความเจริญรุ่งเรืองของจังหวัดกำแพงเพชรขึ้นอยู่กับความร่วมมือกับชาวกำแพงเพชรและ พปชร. ซึ่งพวกเราพร้อมแล้วที่จะมาทำงานให้กับชาวกำแพงเพชร  เราจะร่วมมือกันที่จะพัฒนาจังหวัดกำแพงเพชรให้เจริญอย่างยั่งยืน พรรคพลังประชารัฐได้คัดสรรคนดี คนเก่งที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน ขอให้เลือกผู้สมัครของเราทั้ง 4 คนด้วย 

"พรรคพลังประชารัฐ คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นนโยบายทุกข้อของเราทำเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัตรประชารัฐการดูแลผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ รวมถึงการลดราคาน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ให้กับทุกคน และเราก็จะดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงแม่และเด็กในทุกช่วงวัย"

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้แก้ปัญหาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม จะเห็นได้ว่าไม่มีปัญหาภัยแล้งอีกเลยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีเรา ไม่มีแล้ง อีกต่อไป และเมื่อมีเรา ต้องมีที่ทำกิน ให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ในส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมออนไลน์ ที่เป็นอันตรายต่อประเทศ ต้องแก้ปัญหาได้ทันที 

"ขอโอกาสจากทุกคน เราจะนำความรัก ความสามัคคีมาสู่ประเทศชาติหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ต้องจับมือกัน นำประเทศไปสู่ก้าวหน้า เพื่อความสงบของคนไทยทุกคน ฝากกับทุกคนว่า ถ้าอยากให้ประเทศมีความรัก สงบสุข สันติภาพเกิดขึ้น และมีความเป็นหนึ่งเดียวต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ผมพูดไม่เก่ง แต่ทำงานประสานเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้ และนำพาคนเก่งๆ มาทำงานให้กับประชาชนได้"

ด้านนายวราเทพ กล่าวปราศรัยว่า ในตอนนี้จังหวัดกำแพงเพชร เป็นจังหวัดที่เนื้อหอมมากที่สุดเพราะทุกพรรคการเมืองอยากจะได้ทีม ส.ส.ชุดนี้ไปอยู่ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าเป็น ส.ส.ที่มีคุณภาพ เมื่อส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วประชาชนจะให้การสนับสนุน ตอนนี้ขอเพียงแค่ชาวกำแพงเพชรให้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเมื่อครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถดำเนินการนโยบายต่างๆ ได้ทั้งหมด แต่ครั้งนี้ หาก พล.อ.ประวิตร ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี นโยบายทุกข้อที่พรรคพลังประชารัฐประกาศเอาไว้กับประชาชน จะถูกผลักดันและดำเนินการในทันที

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวปราศรัยว่า จังหวัดกำแพงเพชรไปจังหวัดที่มีโอกาสที่จะมีตัวแทนเข้าไปเป็นต่อต่อแทนทำหน้าที่แทนทุกคนถึงห้าท่าน ต้นการันตีว่าทั้งห้าคนทำงาน ส.ส.อย่างมีประสิทธิภาพ ฝากไปบอกพรรคอื่นเลยว่าใครที่คิดจะเข้ามาตีกำแพงเพชรเป็นไปไม่ได้   เพราะเราจะตั้งป้อมไว้หน้ากำแพงเพชรใครเข้ามาเอาตังปลอมเอาไว้ทั้งหมดไม่ให้ใครเข้ามาตีกำแพงเพชรได้

"พลังประชารัฐของเราจะก้าวข้ามความขัดแย้งสีเหลืองสีแดงจะไม่มีเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก เรามีธงชาติคืนเดียวสามสีคือขาวแดงน้ำเงิน ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ทรงอยู่คู่กับคนไทยนำประเทศไทยไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยังยืน ผมขอประกาศทำสงครามกับที่ดินเถื่อน ที่ทำกินของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่มีที่ดินเถื่อน"

ร.อ.ธรรมนัส กล่าว พรรคพลังประชารัฐมีบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ อย่างเช่น ท่านวราเทพ ที่ถือเป็นเพชรเม็ดงามชาวกำแพงเพชร เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายดี ๆ เพื่อประชาชนอย่าง บัตรประชารัฐ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเราจะดูแลกลุ่มเปราะบางอย่าง ผู้สูงอายุ 

‘เพื่อไทย’ ลุยปราศรัยใหญ่ อ้อนแลนด์สไลด์ชาวนครปฐม  ชี้!! เลือกตั้งครั้งนี้ตัดสินชะตาอนาคตประชาชน-ประเทศ

‘เพื่อไทย’ บุกปราศรัยใหญ่นครปฐม ‘อุ๊งอิ๊ง’ อ้อน ขอคนนครปฐมเลือก พท.ให้แลนด์สไลด์ ขณะที่ ‘ณัฐวุฒิ’ แปลงเพลงถึง ‘บิ๊กตู่’ “เลือกลุงตู่ ไม่เชื่อลองดูจะฉิxหายกันทั้งชาติ”

(26 มี.ค.66) ที่สนามกีฬากลาง 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดปราศรัยใหญ่ นำโดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และว่าที่ผู้สมัครส.ส.นครปฐมทั้ง 6 เขต ทั้งนี้ มีประชาชนมารอรับฟังคำปราศรัยเต็มพื้นที่ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเวทีปราศรัยครั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัว ไม่ได้เดินทางมาร่วมด้วย

โดย นพ.ชลน่าน ปราศรัยว่า หากพี่น้องชาวนครปฐมจับมือกับพรรค พท. เรามาคิดใหญ่ร่วมกัน คิดใหญ่เรื่องแรกเหตุแห่งทุกข์คือ 3 ป.เข้ามายึดอำนาจ และสืบทอดอำนาจเป็นรัฐบาลมาอีก 4 ปี รวมแล้ว 9 ปี ตนจึงอยากเชิญชวนประชาชนร่วมกันกำจัดเหตุแห่งทุกข์ โดยใช้โอกาสนี้เข้าคูหากาเอาเหตุแห่งทุกข์ เอาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกไป หากเราไม่เอาเหตุแห่งทุกข์ออกไป ความทุกข์เราไม่เหือดหาย การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการตัดสินชะตาอนาคตของประชาชนและประเทศ โดยเฉพาะชาวนครปฐม

นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกอดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ปราศรัยว่า ความเป็นจริง พรรค พท.เราต้องได้เป็นรัฐบาล เพราะเราได้ที่ 1 เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเขาเอาที่ 1 เป็นแต่นายกรัฐมนตรีเขาเอาที่ 2 เป็น ไม่มีทางเลือกอื่นต้องสามัคคีกันเลือก พท. เราต้องแลนด์สไลด์และในอดีตที่ผ่านมาเราทำมาแล้ว วันนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เลือกลูกสาวมาทำหน้าที่แทน คนนครปฐมเลือกหรือไม่ นครปฐม 6 ที่นั่งไม่ต้องเกรงใจบ้านใหญ่ ไม่ต้องมีนักเลง ระบบประชาธิปไตยเสมอภาคกัน มีสิทธิ์ลงคะแนนได้ 1 คะแนน ขอบคุณนายทักษิณที่ให้แก้วตาดวงใจมา นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ชื่อแพทองธาร ถาเลือกเรา 2 ที่นั่งให้บ้านใหญ่ 4 ที่นั่ง เราเจ๊งเลย แต่ถ้าให้เรา 6 ที่นั่งบ้านใหญ่ศูนย์เลย 

ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ปราศรัยว่า พรรค พท. รู้สึกอบอุ่นมากที่พี่น้องมากันเต็มที่ขนาดนี้ แม้แดดร้อนแต่พี่น้องก็ยังมา แล้วแบบนี้คนท้อง 8 เดือนจะไม่มาได้อย่างไร วันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมใกล้เข้ามาแล้ว ย้ำว่า หากพรรค พท.ได้เป็นรัฐบาลจะพักหนี้เกษตรกร 3 ปี ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้านการเกษตร เมื่อได้ผลผลิตมากขึ้น พรรค พท.จะทำให้ผลผลิตของพี่น้องเกษตรไปทั่วโลก เราไม่สามารถแบ่งใจให้พรรคอื่นได้ เรามีแค่ประชาชาสนับสนุนเท่านั้น เราไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย วันนี้มาขอให้พี่น้องช่วยหันเลือก พท.ให้แลนด์สไลด์ทั้งนครปฐมได้หรือไม่ หากเราได้เบอร์เมื่อไหร่เราจะกลับมาบอกอีกครั้งและขอให้เลือกพรรค พท.ให้แลนด์สไลด์ทั้งนครปฐม

ด้าน นายณัฐวุฒิ ปราศรัยว่า แต่ก่อนบนอะไรจะบนด้วยหัวหมู แต่ตอนนี้เหลือแค่แคปหมู ในยุคพล.อ.ประยุทธ์ เจ้าที่ยังกินไม่อิ่ม การเลือกตั้งครั้งนี้ต้องทำให้นครปฐมเป็นจังหวัดที่เลอฆ่าพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ ไม่ใช่ฆ่าด้วยอะไร แต่ต้องฆ่าด้วยการออกจากบ้านไปกา พท.ทั้ง 2 ใบ โพลทุกสำนักขานรับน.ส.แพทองธาร สะท้อนว่าเขาต้องการมองเห็นอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่หันไปก็เห็นแต่พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมองไม่เห็นอนาคตเลย เห็นแต่อดีตที่เจ็บปวด แก้รัฐธรรมนูญมาให้ตัวเองอยู่ต่อ 8 ปี แล้วยังจะอยู่ต่ออีก พี่น้องจะไปกับเขาหรือไม่

‘ลุงป้อม’ เมินไม่ติดโพล 1 ใน 10 นายกฯ ของคนกรุงเทพฯ เผย ไม่ต้องปรับยุทธศาสตร์ ชี้!! กระแสนิยมดีขึ้นตลอด

‘ประวิตร’ เมิน ไม่ติดโพล 1 ใน 10 นายกฯของคน กทม. ชี้ ปชช. เป็นคนตัดสินนายกฯ คนที่ 30 ยัน ‘นฤมล’ ไม่งอน-ไม่น้อยใจ ทิ้งปาร์ตี้ลิสต์เอง

(26 มี.ค.66) ที่จ.กำแพงเพชร พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าป่วยต้องให้หมอเข้าไปรักษาที่มูลนิธิอนุรักษ์รอยต่อ 5 จังหวัด ก่อนขึ้นเวทีปราศรัยว่า  ไม่ได้ป่วย ยังแข็งแรงดี และย้อนถามผู้สื่อข่าวว่าใครเป็นคนบอก

เมื่อถามถึงผลสำรวจของนิด้าโพล คนกทม. ที่ไม่ปรากฏชื่อตนอยู่ในลิสต์ 10 อันดับแรกนายกฯ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เขาเอาชื่อออก ให้ไปถามคนจัดโพลเอง ยืนยันไม่สูญเสียความมั่นใจ และไม่ต้องปรับยุทธศาสตร์อะไร  กระแสนิยมของตนนั้นดีขึ้นตลอด  เมื่อถามย้ำว่า ผลโพล เชื่อได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ว่ากันไป เรื่องของโพลคือเรื่องของโพล มั่นใจกระแสของตัวเองและประชาชน 

ผู้สื่อข่าวถามว่า พร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30 หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ให้เป็นเรื่องของประชาชนเป็นคนเลือก หากเลือกก็พร้อม ก่อนที่จะย้อนสื่อมวลชนว่า คุณเลือกหรือไม่ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top