Wednesday, 24 April 2024
EducationNewsAgencyforAll

คนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ยาวนาน จะมีความเหมือนกัน มากกว่าความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น ในการพบกันครั้งแรกพวกเขาสังเกตเห็นลักษณะของอีกฝ่ายที่พวกเขาเองก็มี ลักษณะเหล่านี้บ่งบอกว่าทั้งคู่อาจมีความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ในอนาคต

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า เรามองหาคนที่แตกต่างจากเรา เพื่อมาเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย เขาคนนั้นจะเป็นสีสันและความแปลกใหม่ในชีวิตที่เราไม่เคยได้พบ เพื่อให้ชีวิตที่ซ้ำซากจำเจของเราไม่น่าเบื่อ เพราะหากเลือกคนที่นิสัยเหมือนกัน ก็คงอยู่กันได้ยาก แต่ความจริงแล้วสิ่งนี้อาจเป็นความเข้าใจที่ผิด

เราไปอ่านเจอบทความต่างประเทศเรื่องหนึ่งมา ซึ่งเขารวบรวมความเชื่อหรือความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับความรักเอาไว้ มีหลายข้อที่น่าสนใจ แต่วันนี้เราขอหยิบหัวข้อที่คิดว่าหลายคนน่าจะเข้าใจผิดเหมือนกันมาคุย โดยข้อที่ว่า คือ “สิ่งตรงข้ามดึงดูด” แม้คำนี้จะได้รับความนิยมและดูท่าว่าจะเป็นจริง แต่ก็มีการพิสูจน์แล้วว่าผิด

บทความกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้วคนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่ยาวนานจะมีความเหมือนกัน มากกว่าความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น ในการพบกันครั้งแรกพวกเขาสังเกตเห็นลักษณะของอีกฝ่ายที่พวกเขาเองก็มี ลักษณะเหล่านี้บ่งบอกว่าทั้งคู่อาจมีความสัมพันธ์ที่เข้ากันได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังพบว่าคู่รักที่มีบุคลิกและค่านิยมคล้ายคลึงกันจะทำหน้าที่พ่อแม่ได้ดีกว่าคู่รักที่มีนิสัยต่างกัน

เราก็เป็นคนหนึ่งที่เคยรู้สึกว่า เราอยากหาคนที่มีนิสัยแตกต่างจากตัวเอง เพื่อมาเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย เป็นความท้าทายในชีวิต เช่น เราอยากได้คนที่กล้าตัดสินใจ เด็ดขาด เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองโลเล ไม่มั่นใจ เราอยากได้คนที่พูดน้อย ชอบรับฟัง เพราะเราพูดเก่ง เราอยากได้คนที่กินง่าย เพราะเรากินยาก เวลาไปกินข้าวด้วยกัน เขาจะได้ช่วยเรากิน (ฮา) เราว่าหลายคนก็มีความคิดแบบนี้นะ การมองหาและพยายามแก้ไขสิ่งที่เราไม่มี ด้วยการสะท้อนมันจากตัวตนของอีกฝ่าย ชีวิตธรรมดาที่ดำเนินเช่นเดิมมาตลอด อาจจะมีเรื่องแปลกใหม่ที่ทำให้ตื่นเต้นและคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

แต่ข้อมูลจากบทความที่กล่าวไปข้างต้น กลับสั่นคลอนความเข้าใจของเรา ลองมาตกตะกอนอีกที น่าคิดนะว่า หรือความเหมือนต่างหากที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยืนระยะยาว เพราะความต่าง คือการที่เราอยากได้คนมาเติมเต็มส่วนที่ขาด ได้ความตื่นเต้น แปลกใหม่ คาดเดายาก แต่เราไม่ได้บอกว่ามันจะทำให้ความสัมพันธ์นั้นยืนยาว กลับกันถ้าเรามองหาคนที่นิสัยเหมือนกัน ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน ทัศนคติตรงกัน คนแบบนี้หรือเปล่าที่จะทำให้เราอยู่กับเขาไปได้อย่างยาวนาน

ลองคิดภาพคนที่ต่างจากเรา เขาสามารถกินได้ทุกอย่าง แต่เราเลือกกิน วันหนึ่งเกิดทะเลาะกันเรื่องร้านอาหารขึ้นมา หรือเราชอบคนพูดน้อย เพราะเราพูดมาก เลยอยากให้เขาฟัง แต่ถ้าเขาอยากอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้อยากฟังเราพูดล่ะ หรือถ้าชอบฟังเพลงคนละแนว นั่งรถไปจะแย่งกันเปิดเพลงไหม ถ้าอีกคนชอบออกไปเที่ยว แต่อีกคนชอบนอนอยู่บ้านล่ะ ถ้าเป็นความต่างแบบนี้ ก็ดูท่าความสัมพันธ์จะไม่ยืนยาวเท่าไหร่ ต้องปรับให้กันอีกมากโข

กลับกัน ถ้าเราเจอคนที่ชอบพูดเหมือนกัน เล่านู่นเล่านี่ที่เจอ ช่างจ้อ บทสนทนาคงไม่กร่อย หรือคนที่ชอบท่องเที่ยวเหมือนกัน วันหยุดคงพากันจัดทริปไปไหนต่อไหน คนที่กินเก่งเหมือนกัน ก็คงพากันไปตะลุยกิน คนที่เข้าใจในความเงียบของกันและกัน สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น มากกว่าความแตกต่างที่เราเคยเข้าใจ

แต่ในท้ายที่สุดก็คงต้องย้ำเหมือนเดิมว่า มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่ไม่ว่าจะเหมือนกันสุดขีด หรือต่างกันสุดขั้ว ถ้าไม่มีความรักเป็นตัวนำก็คงยากที่จะไปกันรอด ส่วนเหตุผลยิบย่อยในความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ทุกคู่ต้องช่วยกันปรับ และประคับประคองกันไป หากคนสองคนรักกัน ย่อมหาวิธีที่จะไม่เสียความรักนั้นไป คงมีเส้นทางและด่านทดสอบอีกมาก ให้ช่วยกันหาทางออก ไม่มีอะไรที่ราบรื่นสมดังใจหวังทุกอย่าง เพราะความรักมันไม่เคยง่าย…


เขียนโดย เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://brightside.me/inspiration-relationships/6-myths-about-love-that-people-still-believe-in-444860

คติประจำใจจาก 'Malala Yousafzai' สาวน้อยมหัศจรรย์ชาวปากีสถาน ที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ 2556

“I don’t mind if I have to sit on the floor at school. All I want is education. And I’m afraid of no one.”

“ฉันไม่รังเกียจที่จะนั่งที่พื้นของโรงเรียน สิ่งที่ต้องการสำหรับฉัน คือ การได้เรียนหนังสือ และฉันไม่เกรงกลัวใครที่จะแสดงออกเช่นนี้”

Malala Yousafzai (สาวน้อยมหัศจรรย์ชาวปากีสถาน ที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ 2556)

ยุโรป - อเมริกาแข่งจัดแพ็กเกจจูงใจ ดึงนักศึกษาไทยไปเรียนต่อ นิวซีแลนด์ยกเว้นมาตรการปิดล็อกชายแดน ตั้งกองทุนช่วยเหลือ อังกฤษให้ทุนเพิ่ม 3 เท่า อยู่ทำงาน 2-3 ปี ออสเตรเลียต่อวีซ่าฟรี อเมริกาไม่น้อยหน้าผ่อนเกณฑ์เข้ม

แม้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย แต่นักศึกษาไทยจำนวนมากยังสนใจไปเรียนต่อในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ขณะที่หน่วยงานทางการศึกษา และสถานทูตหลายชาติในประเทศไทยก็ดำเนินนโยบายเชิงรุก ทั้งประชาสัมพันธ์และจัดแพ็กเกจดึงดูดนักศึกษาไทยไปเรียนต่อ

นิวซีแลนด์ตั้งกองทุนช่วย

นางสาวช่อทิพย์ ประมูลผล ผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ สถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้อนุมัติเป็นกรณีพิเศษภายใต้การยกเว้นหมวดหมู่ชายแดนใหม่ โดยเปิดให้นักศึกษาต่างชาติ 2 กลุ่ม กลับไปเรียนที่นิวซีแลนด์เพิ่มจนสำเร็จการศึกษาได้ กลุ่มแรกอนุมัติเมื่อ 12 ต.ค. 2563 เฉพาะนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาโทและเอก 250 คน กลุ่มที่ 2 อนุมัติเมื่อม.ค. 2564 จำนวน 1,000 คน เป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนระดับปริญญาตรีและระดับสูงกว่า

นอกจากนั้น รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้จัดตั้งกองทุนความยากลำบากมูลค่า 1 ล้านเหรียญดอลลาร์นิวซีแลนด์ (ประมาณ 21,639,300 บาท) เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาต่างชาติกรณีเร่งด่วน และชดเชยรายได้กรณีว่างงานจากงานพาร์ตไทม์ เงินดังกล่าวครอบคลุมนักศึกษาต่างชาติประมาณ 11,000 คน

จุดขายใหม่เรียนจบทำงานต่อ

นิวซีแลนด์ยังชูจุดขายใหม่ ผ่านโครงการ “Global Pathway to New Zealand” ใน 30 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย เพื่อดึงดูดนักเรียน-นักศึกษา ให้เรียนต่อกับ 8 มหาวิทยาลัยชื่อดังในนิวซีแลนด์ แบ่งการเรียนเป็น 3 ระดับ

1) international foundation year ปรับพื้นฐานก่อนเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับการรับประกันการเข้าเรียนต่อปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย 1 ใน 8 แห่ง และจบปริญญาตรีในเวลา 3 ปี

2) international year one ให้เรียนปริญญาตรีปีแรกที่ประเทศของตนเอง และรับประกันการเข้าเรียนปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยนิวซีแลนด์ที่เลือก

3) premaster’s programme เตรียมความพร้อมด้วยทักษะทางวิชาการระดับสูง และภาษาอังกฤษขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับหลักสูตรปริญญาโทของนิวซีแลนด์

“ล่าสุดนิวซีแลนด์ทำโครงการ Joint Foundation โดยมหาวิทยาลัยโอทาโกร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดหลักสูตรปรับพื้นฐานด้านธุรกิจสำหรับนักศึกษาไทย เริ่มเรียนปริญญาตรีปี 1 ในไทย เมื่อเปิดพรมแดนนักศึกษาบินไปเรียนที่นิวซีแลนด์ได้ทันที หลังเรียนจบยังอยู่ทำงานต่อได้สูงสุด 3 ปี เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ – 30 เม.ย. 2564 และคาดว่าจะมีนักศึกษาสนใจอย่างน้อย 40 คนสมัครในแต่ละโครงการ”

สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ ต้องกักตัวในสถานที่ที่รัฐบาลจัดให้ โดยชำระค่าธรรมเนียมการกักตัวเอง แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การตรวจ และรักษาโควิด-19 รัฐบาลนิวซีแลนด์บริการฟรี

เรียนอังกฤษฉีดวัคซีนโควิดฟรี

นางสาวอเล็กซานดรา เเมคเคนซี อัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยเปิดเผยว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมความพร้อมรองรับนักเรียน-นักศึกษาต่างชาติหลายมาตรการ อาทิ การเข้าถึงบริการสุขภาพอนามัย โดยให้ผู้เรียนรับบริการด้านสาธารณสุขผ่านระบบการดูแลสุขภาพ (National Health Service-NHS) และบริการตรวจเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ นักเรียน-นักศึกษาต่างชาติที่อยู่ในสหราชอาณาจักร และลงทะเบียนเข้าระบบการรักษาแบบแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (GP) จะได้รับสิทธิการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิดฟรีเกณฑ์เดียวกับพลเมืองสหราชอาณาจักร รวมถึงโปรแกรมดูแลด้านสุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดี อีกทั้งช่วยเหลือกลุ่มนักเรียนที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับค่าที่อยู่อาศัย และอุปกรณ์การเข้าถึงการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์

นางสาวอุไรวรรณ สะโมลี หัวหน้าฝ่ายบริการการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร บริติช เคานซิล ประเทศไทย เสริมว่า สหราชอาณาจักรได้ออกประกาศใหม่ “The Graduate Route” ให้นักศึกษาต่างชาติที่จบระดับปริญญาตรีและโท อยู่ทำงานต่อได้ 2 ปี และระดับปริญญาเอกได้ 3 ปี ถึงแม้ตอนนี้กำลังเรียนผ่านระบบออนไลน์ในประเทศไทยก็สามารถสมัครได้ เพียงแต่เทอมสุดท้ายต้องศึกษาอยู่ ณ สหราชอาณาจักรเท่านั้น

นอกจากนั้นมีทุนการศึกษาให้เปล่าเพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว 3 เท่า โดยปี 2564 มีทุน GREAT Scholarships 28 ทุน จากสถาบันการศึกษา 22 แห่ง สำหรับนักเรียนไทยที่ต้องการศึกษาต่อปริญญาโท ทุนละ 10,000-26,000 ปอนด์ (ประมาณ 415,000 – 1,080,000 บาท)

และทุน Women in STEM ซึ้งเป็นทุนการปริญญาโทแบบเต็มจำนวนสำหรับผู้หญิงในแวดวง STEM ที่ต้องการศึกษาต่อ โดยนอกจากทุนนี้จะครอบคลุมค่าเทอม ค่าที่พักอาศัย และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลแล้ว ยังครอบคลุมการสนับสนุนพิเศษสำหรับผู้ที่มีบุตร และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอร์สปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ

ออสเตรเลียต่อวีซ่าฟรี

ตอนนี้ออสเตรเลียยังปิดประเทศอยู่ แต่กำลังพิจารณาอนุมัติวีซ่านักเรียนที่ยื่นนอกประเทศ ดังนั้นเมื่อกลับมาเปิดประเทศแล้ว นักเรียนที่มีวีซ่าสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ทันที

ทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลียประกาศมาตรการวีซ่าที่ยืดยุ่นสำหรับนักเรียนต่างชาติมากขึ้น อาทิ นักเรียนต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากโควิดต่อวีซ่าได้ฟรี หากไม่สามารถเรียนจบในระยะเวลาวีซ่าเดิม ผู้ถือวีซ่านักเรียนที่เรียนออนไลน์นอกออสเตรเลีย สามารถนำระยะเวลาเรียนออนไลน์มานับรวมเพื่อขอ Post-study Work Visa (วีซ่าชั่วคราว สำหรับนักศึกษาต่างชาติที่เรียนจบระดับปริญญาจากมหาวิทยาลัยของออสเตรเลีย สามารถอยู่ออสเตรเลียต่อได้ 2-4 ปี) ฯลฯ

ทั้งนี้ผู้ที่เรียนจบแล้วสามารถสมัคร Post-study Work Visa นอกออสเตรเลียได้ หากไม่สามารถกลับเข้าออสเตรเลียเนื่องจากโควิด-19 และรัฐบาลออสเตรเลียอนุญาตให้นักศึกษาทำงานได้มากกว่า 40 ชั่วโมง/2 สัปดาห์ได้ชั่วคราว เฉพาะงานสายสุขภาพ หรืองานที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 งานดูแลผู้สูงอายุ งานในภาคการเกษตร เป็นต้น

อเมริกาผ่อนเกณฑ์เข้ม

ในสหรัฐอเมริกาปัจจุบันมีนักเรียน-นักศึกษาไทย 6,154 คน จากการสอบถามสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้รับแจ้งว่า ยังมีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษากว่า 5,000 แห่ง เปิดต้อนรับนักศึกษาจากทั่วโลก

ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งไม่บังคับให้นักเรียน-นักศึกษาสอบเข้าด้วยคะแนน SAT (Scholastic Assessment Tests) หรือข้อสอบมาตรฐานสากลที่ใช้วัดความถนัดในวิชาเลขและภาษาอังกฤษ และ ACT (American College Testing) หรือการสอบวัดระดับทักษะการใช้เหตุผลและการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย

ส่วนการดูแลนักเรียนต่างชาติและนักเรียนไทยในสถานการณ์โควิด-19 มอบหมายให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบ โดยจะมีวิธีการรับมือแตกต่างกันไป แต่ทั่วไปจะมีการทดสอบโควิด-19 เป็นระยะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงกำหนดให้ใช้หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ และจำกัดการชุมนุมขนาดใหญ่

ส่วนความช่วยเหลือกรณีอื่น ๆ เช่น การประกันสุขภาพ การกักตัว และความช่วยเหลือทางการเงิน สามารถสอบถามสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งในสหรัฐอเมริกาถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ได้


ขอบคุณที่มา: https://www.prachachat.net/education/news-619433

“อ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบเก่า การเตรียมตัวสำหรับลงสนามสอบที่วัดผลคะแนนของแต่ละสนาม เป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าไม่เช่นนั้นคะแนนที่ปรารถนาคงไม่ได้มา แต่การบริหารจัดการเวลาใน “วันสอบ” คือสุดยอดเทคนิคให้สิ่งที่เตรียมตัวมาเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

“สิงห์สนามสอบ” เป็นอีกหนึ่งคำนิยามที่คิดว่าผู้เขียนมีคุณสมบัตินี้อยู่พอตัว ไม่ใช่เพราะว่า ทำข้อสอบอะไรก็ผ่านฉลุย หรือว่าได้คะแนนดีไปซะทั้งหมด แต่ถ้าเทียบกับการเข้าสู่สนามสอบหลายรอบ หลายครั้ง ก็นับว่ามากพอสมควร อาจเนื่องด้วยผู้เขียนร่ำเรียนชั้นอุดมศึกษาในคณะ “นิติศาสตร์” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเมื่อเรียนจบชั้นปริญญาตรีแล้ว หากประสงค์จะประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย ก็ต้องมีการเข้าสู่สนามสอบหลายสนาม นับจากเรียนจบ เส้นทางกว่าจะประกอบวิชาชีพกฎหมายอย่าง “ทนายความ ผู้พิพากษา อัยการ” จึงต้องเข้าสู่สนามสอบมากมาย และใช้เวลายาวนาน

หากเทียบกับผู้ที่มีความเลิศในทางวิชาการ ผู้เขียนถือว่าเป็นรอง สอบตกบ้าง สอบผ่านบ้าง แต่มาถึงวันนี้ ผู้เขียนก็ได้ผ่านสนามสอบมาพอสมควร หากต้องการเทคนิคการสอบให้ได้ที่ 1 อาจข้ามบทความนี้ไป แต่หากต้องการเทคนิคของคนกลางๆ ทางวิชาการแล้วสอบผ่าน ให้อ่านให้จบ!!!

ในที่นี้ผู้เขียนจึงอยากมาแบ่งปันเทคนิคส่วนตัว ซึ่งเชื่อมโยงจากการสอบผ่านในระดับชั้น “เนติบัณฑิต” และประสบการณ์การสอบ “ผู้ช่วยผู้พิพากษา” สนามใหญ่ของผู้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง

เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านและผู้ที่สนใจเทคนิคนี้นำไปใช้บ้าง ไม่ใช่เพียงในสนามสอบวิชากฎหมายเท่านั้น สนามสอบอื่นก็อาจมีประโยชน์ได้ ต้องบอกว่า “เทคนิค” ล้วนๆ ไม่มี “เนื้อหา” ปนเลยหล่ะ

ทุกครั้งที่ผู้เขียนจะเข้าสู่สนามสอบ สิ่งที่ผู้เขียนจะรู้สึกสนุกและมีพลังอย่างมาก ต้องบอกว่าไม่ใช่เนื้อหาที่จะสอบเลย เพราะเนื้อหาที่ว่าเป็นเนื้อหาวิชากฎหมายที่เยอะและยาก หัวไม่ดีเลิศอย่างเรา อ่าน 3 รอบ บางทียังไม่เข้าใจ แต่เมื่อตั้งเป้าหมายแล้วว่าต้องสอบให้ได้ เพราะฉะนั้นการวางแผนจึงสำคัญพอ ๆ กับการเตรียมตัวด้านวิชาการ

1.) รู้จักตัวเอง

สำคัญมากสำหรับการสอบแต่ละครั้ง เราจะต้องรู้จักและประเมินความสามารถในทางวิชาการของเราอย่างถ่องแท้ และเป็นธรรมกับตัวเองมากที่สุด ไม่เข้าข้างตัวเอง หรือประเมินตัวเองต่ำเกินไป เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราต้องเตรียมในส่วนของเนื้อหาอย่างไรและใช้เวลาเท่าไหร่

2.) จะเอาแค่สอบผ่าน หรือต้องการได้คะแนนดีที่สุด

หากประเมินตัวเองแล้ว เราจะต้องรู้ว่าสนามสอบนั้น ต้องการอะไร ? บางสนามสอบต้องทำคะแนนได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเรียงลำดับคะแนนในการถูกคัดเลือก แต่บางสนามสอบต้องการคะแนนผ่านเกณฑ์ก็ถือว่าผ่าน ซึ่งตัวเราเองต้องตัดสินใจว่าเราต้องการแบบไหน การตัดสินใจสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราวางแผนในการเตรียมตัวได้ชัดเจนมากขึ้น

3.) ศึกษา “ข้อสอบ” และ “การตอบ”

ข้อนี้การตอบข้อสอบกฎหมายจะชัดเจน เพราะการตอบข้อสอบกฎหมายจะเป็นอัตนัยทั้งหมด โจทย์ยาวและซับซ้อน การตอบต้องตรงประเด็น ในชั้นเนติบัณฑิตและระดับผู้ช่วยพิพากษา ต้องแม่นในตัวบทกฎหมาย และคำพิพากษาฎีกา ที่สำคัญเวลาในการสอบก็จำกัด เพราะฉะนั้นจะต้องศึกษาลักษณะของ “ข้อสอบ” สังเกตการตั้งคำถาม และรู้ว่าเขาถามอะไร เพื่อจะได้ตอบให้ตรงตำถาม ที่สำคัญคือการตอบ วิธีการตอบให้ดี เป็นเรื่องที่ต้องฝึก ฝึก ฝึกและฝึก จนสามารถสังเคราะห์คำตอบที่ออกมาจากการเขียนสไตล์ของตัวเองให้ได้ ซึ่งข้อนี้คนที่สอบได้คะแนนดี จะฝึกจนชินในการใช้ภาษา แล้วทำให้มีเวลาในการไป Focus กับประเด็นที่ต้องตอบ เพราะวิธีการหรือรูปแบบการตอบ เราได้ฝึกมาแล้ว

4.) ศึกษา “กฎระเบียบ” ใน “วันสอบ” “สนามสอบ” ให้ละเอียดและแม่นยำ

เรื่องนี้ เพื่อบริหารเวลาและสถานการณ์ในห้องสอบให้ราบรื่น และทำให้เราไม่ตื่นสนามสอบหากมีความเข้าใจในกระบวนการ ขั้นตอน กฎระเบียบใน “วันสอบ” ทั้งหมด ข้อนี้ผู้เขียนให้ความสำคัญมาก !! ถามว่าทำไม ? ก็เพราะผู้เขียนไม่ใช่ผู้ที่เลิศทางวิชาการ แต่ผู้เขียนตั้งเป้าว่าต้องสอบผ่าน ซึ่งการสอบให้ได้คะแนน ก็ต้องทำข้อสอบให้ได้มาก และทันเวลาด้วย ! การบริหารเวลาและสถานการณ์ในห้องสอบจึงสำคัญ

ผู้เขียนขอแบ่งปันประสบการณ์ครั้งที่ผู้เขียนสอบในระดับชั้นเนติบัณฑิตและการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาก็แล้วกัน

ผู้เขียนก็จะต้องรู้ว่าสนามสอบอยู่ที่ไหน ใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปสนามสอบเท่าไหร่ เดินทางอย่างไร เผื่อให้ทันเวลา จะขับรถหรือนั่งรถโดยสารสาธารณะ ผู้เขียนรู้ว่าการเดินทางในกรุงเทพมหานครนั้นรถติด หากผู้เขียนขับรถไปก็จะทำให้เสียเวลาในการท่องหนังสือ ในวันสอบทุกครั้งผู้เขียนก็จะให้คุณพ่อไปส่งบ้าง หรือนั่งรถโดยสารสาธารณะบ้าง เพื่อจะได้มีเวลาทวนก่อนเข้าห้องสอบ

-การบริหารเวลาในการทำข้อสอบเนติบัณฑิต

เนื่องจากว่าในแต่ละวิชาผ่านเกณฑ์ 50 คะแนน ผู้เขียน “ตัดสินใจ” แล้วว่าจะเอาแค่ผ่านเกณฑ์ ข้อสอบมี 10 ข้อ ข้อละ 10 คะแนน ผู้เขียนใช้วิธีเลือกมา 4 ข้อแม่น หมายถึงว่า 4 ข้อนี้ผู้เขียนต้องได้ 7 คะแนนขึ้นไป เพื่อจะได้เน้นการอ่านเตรียมตัวสอบให้จำกัดขึ้น เพราะทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย 7 คูณ 4 ได้ 28 คะแนน / 50 - 28 เหลือ 22 คะแนนก็จะผ่าน เพราะฉะนั้น 6 ข้อที่เหลือก็ข้อให้ได้ข้อละ 3 - 4 คะแนนก็พอ และห้ามมีข้อที่ได้ 0 คะแนน ซึ่งหมายความว่า ต้องเขียนทุกข้อ เขียนอะไรได้ก็เขียนพอให้มีคะแนน

นอกจากนี้เวลาในการทำข้อสอบนั้นมีจำกัดมาก ตกข้อละ 24 นาที แต่ผู้เขียนให้เวลาข้อละ 20 นาทีเท่านั้น หากยังเขียนตอบไม่เสร็จก็เปลี่ยนข้อทันที แล้วค่อยมาเก็บตกประเด็นที่เหลือ เพราะอย่าลืมว่าทุกข้อคะแนนเท่ากันคือ 10 คะแนน หากข้อนึงได้่ 10 อีกข้อนึงได้ 0 ก็ไม่คุ้มค่ะ ทำให้ข้อนึงได้ 6 แล้วอีกข้อได้ 5 รวมกันก็ยังได้ 11 คะแนน และอาจได้มากกว่านั้นอีก

ไม่เพียงเท่านั้น การจัดการตัวเองในการทำธุระส่วนตัวก็สำคัญเช่นกัน ในห้องสอบจะเปิดแอร์เย็นมากและจะทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย การเตรียมเสื้อกันหนาวมาเผื่อเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเสียเวลาเข้าห้องน้ำอยู่นั่นแหละ เสียเวลาทำข้อสอบไปอีก หรือหากสนามสอบไหนมีให้พักเบรกเข้าห้องน้ำ ก็ต้องประเมินดีๆ ว่าช่วงพักเบรกเราจะเข้าห้องน้ำทันหรือไม่ ซึ่งในการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ผู้เขียนประเมินแล้วว่าใน 1 ฮอล์สอบ คนสอบเป็นพันคนและห้องน้ำมีน้อย ช่วงพักเบรกเข้าห้องน้ำก็สั้นเหลือเกิน ต้องต่อแถวเข้าห้องน้ำ คงไม่ทันแน่นอน ผู้เขียนจึงเตรียมแพมเพิสผู้ใหญ่พกติดไปเลยเผื่อฉุกเฉิน ! แม้เรื่องจริงจะไม่ได้ใช้ แต่ก็อุ่นใจขึ้นเยอะ หรือแม้กระทั่งเรื่องจำนวนปากกา ดินสอ นาฬิกา บัตรสอบที่ต้องพกเข้าไป รายละเอียดพวกนี้ หากสามารถเตรียมตัวได้ไม่ติดขัด ก็จะทำให้การทำข้อสอบของเราราบรื่นขึ้นไม่มากก็น้อย

5.)นอนให้พอ ผ่อนคลาย มั่นใจในตัวเองก่อนลงสู่สนามจริง

ไม่มีวันไหนสำคัญเท่าวันสอบจริง ต่อให้เตรียมตัวมาดีแค่ไหน แต่วันสอบจริงสมองเบลอเพราะนอนไม่พอหรืออยู่ในภาวะเครียดจนคิดคำตอบไม่ออก ก็น่าเสียดาย เพราะฉะนั้นจงมั่นใจในตัวเองให้มาก เพราะที่ผ่านมาเราก็เตรียมตัวดีที่สุดในเวลาที่มีแล้ว หากสอบครั้งนี้ไม่ผ่าน ก็เป็นบทเรียนในครั้งหน้า จะได้แก้ไขอย่างถูกทาง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเคล็ดลับส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นที่อยากจะเล่าสู่กันฟัง แบ่งปันในฐานะผู้ที่เคยเป็น “สิงห์บ้างแมวบ้าง” ในสนามสอบ ผู้เขียนไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่เมื่อต้องสอบเมื่อไหร่ผู้เขียนก็เต็มที่และมีพลังสนุกไปกับมันอยู่เสมอ ขอให้ “สิงห์สนามสอบ” ทุกท่านโชคดีในการสอบของท่านนะคะ


เขียนโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of content editor THE STUDY TIMES

เปิดใจ ‘ครูเสริฐ’ แม้เกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เพราะพลังรักจากแม่ ถ่ายทอดจิตวิญญาณความเป็นครู นำไปสู่การส่งต่อพลังที่ดี ให้กับเด็กนักเรียน

“ต้องขอบคุณที่พ่อเดินจากผมกับแม่ไปตั้งแต่ผม 2 ขวบ”

คำพูดของลูกผู้ชายที่ประสบกับจุดแตกหักของครอบครัวในแบบที่สังคมตีความว่าคือความแตกแยก แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ เรื่องมันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น มันกลับเป็นจุดตัดของชีวิตที่ขยายพลังความรักและความปรารถนาดีของแม่ให้เห็นชัดและยิ่งใหญ่จนโอบกอดและห่อหุ้มหัวใจของลูกชายเอาไว้ได้ทั้งดวง

ครูเสริฐ คุณครูสอนเด็กชั้นประถมโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ที่มีความตั้งใจจะทำอาชีพครูตั้งแต่เด็ก ครูเสริฐทำทุกอย่างให้ตัวเองได้เป็นครูที่ดีพร้อม ถึงแม้จะไม่ได้เรียนครูมาโดยตรง เพราะได้รับทุนเต็มให้ไปเรียนในสาขาวิชาอื่น แต่ในแผนการของครูเสริฐนั้น ทุกวิชา ทุกกิจกรรม ทุกงานคือส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่การสร้างตน เพื่อกลายเป็นครูที่ดี แล้วอะไรทำให้ผู้ชายคนนี้ถึงรักการเป็นครูนัก

ครูเสริฐสอนนักเรียนชั้นไหน?

ผมมาลงที่สอนชั้น ป.1 ครับ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

ทำไมเลือกสอนเด็ก ป.1?

การสอนเด็กเล็กน่าจะเป็นทางของผม แต่ให้ไปสอนอนุบาลเลยผมก็กลัวว่าจะไปทับเด็ก (หัวเราะ) คือผมสูง 182 ซม. เด็กอนุบาลตัวเล็กไปสำหรับผม ป. 1 สูงประมาณเอวผมก็พอได้ ผมชอบสอนเด็กเล็กเพราะเค้าใสซื่อ ปากกับใจตรงกันจริง ๆ ไม่มีมารยา ไม่มีอะไร

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ครูเสริฐรักการเป็นครู?

น่าจะเป็นคุณครูที่เราเรียนด้วยเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากเป็นครูเหมือนอย่างท่าน

ครูเสริฐเคยเจอครูที่ไม่ชอบบ้างมั้ย?

(คิดนานก่อนจะตอบ) น้อยมาก เคยมีนะ จำได้ว่ามีครูที่ตีเพื่อนเรา เราก็แบบว่าเค้าตีเพื่อนเราทำไม แต่ผมก็ไม่ได้อะไรนะ

วิธีการสอนในชั้นเรียนของครูเป็นแบบไหน?

ผมเคยตอบคำถามในการอบรมครูครั้งหนึ่ง วิทยาการถามว่า ครูที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร ผมตอบไปว่า ครูที่ดีที่สุด คือครูที่สามารถเข้าไปนั่งในหัวใจเด็กได้ ผมไม่ใช่คนเก่งนะ ผมตอบไปตามที่ผมรู้สึก ถ้าครูสามารถเข้าไปนั่งในใจเด็ก ๆ ได้ เด็กเค้าจะเชื่อฟัง เค้าจะทำตามที่เราบอกทุกอย่าง

ในชั้นเรียนผม ผมจะสอนไม่ยากนะ เน้นให้เด็กมีความสุข แล้วเค้าจะรักการเรียนเอง อย่างช่วงที่ผ่านมาเรียนออนไลน์ ผู้ปกครองชอบมาก พอถึงเวลาเริ่มเรียนผมก็เอาเครื่องดนตรีมาเล่นให้เด็ก ๆ ได้ร้องเพลงผ่านการเรียนแบบออนไลน์ เด็กได้เต้นได้ร้องเพลง เค้าก็สนุกกับการเรียนและจำบทเรียนได้

ซึ่งผมได้ไปอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยาสมัยใหม่มา อธิบายความแตกต่างระหว่างจิตวิทยาสมัยใหม่และสมัยเก่าคร่าว ๆ คือเค้าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับ positive psychology ให้มองโลกในแง่บวก บวกไว้เลย เด็กจะมีความสุข ให้กำลังใจเค้า บอกเค้าว่า หนูทำได้นะ หนูเก่ง อย่างตอนที่เด็กฟันหลุด ผมก็บอกเค้าว่า หนูฟันหลุดเพราะว่าหนูโตแล้วนะลูก เราให้กำลังใจเค้า

ในวัยที่ครูเสริฐอายุเท่านักเรียนของครู ครูมีเรื่องให้ต้องไม่มีความสุขบ้างมั้ย?

(ครูเสริฐคิดอยู่เสี้ยววินาที) ไม่ค่อยมีนะ จริง ๆ ต้องขอบคุณคุณแม่ผมนะ คุณแม่ผมจบแค่ ป. 4 เป็นแม่ค้า แต่เลี้ยงลูกแบบจิตวิทยาสมัยใหม่ตรงกับที่ผมไปอบรมมาเลย คือพ่อแม่ผมแยกทางกัน เป็นบ้านอื่นเค้าจะพูดถึงกันไม่ดีให้ลูกฟัง แต่มาม้าไม่เคยพูดลบถึงพ่อให้ผมฟังเลย ต้องขอบคุณคุณพ่อที่จากผมไปตั้งแต่ผม 2 ขวบ ผมไม่เคยโกรธพ่อผมเลยนะ คุณแม่ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น จริง ๆ ผมต้องบอกว่าคุณแม่คือครูคนแรกที่สำคัญของผม แม่ทำให้ผมอยากส่งต่อพลังที่ดีให้กับเด็ก

ครูเสริฐอยากให้ลูกศิษย์ได้อะไรติดตัวไปจากครู อยากเห็นลูกศิษย์ครูโตไปเป็นยังไง?

อยากให้เค้าเข้าใจความเป็นคน เหรียญมีสองด้าน ให้เราพิจารณาทุกคน อะไรทำให้เค้าเป็นแบบนี้ อะไรทำให้เค้าทำแบบนี้ มันมีอะไรที่นำพาเค้ามาให้เค้าเป็นแบบนี้ อยากให้เค้าเข้าใจว่าความเก่งไม่เก่งไม่สำคัญ ขอให้เป็นคนดีของประเทศ รู้จักเอาตัวรอด นำประโยชน์ที่ได้ไปใช้ เมื่อได้ดีแล้ว อย่าลืมตอบแทนบุญคุณ เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ในเวลาเดียวกัน ผมเป็นครูผมก็รู้นะ เด็กบางคนเก่ง เด็กบางคนไม่เก่ง แต่เด็กทุกคนเป็นคนดีได้

อยากฝากอะไรให้กับคนที่ผ่านเข้ามาอ่าน?

อยากให้เข้าใจคน อย่างที่บอกเหรียญมีสองด้าน เรื่องนี้พูดแล้วก็ขนลุกนะ เด็ก ๆ ทุกคนทำได้ เค้าแค่ขาดโอกาส ผมเคยคัดเด็กเป็นนางรำแล้วผมคัดเด็กอ้วนดำมารำ ครูคนอื่นเค้าก็ถามว่าทำไมคัดเด็กอ้วนดำมารำล่ะคะครูเสริฐ สำหรับผม ถึงเค้าจะอ้วนดำ แต่พอจับแต่งตัวแต่งหน้าออกมาสวยเลย และพอเค้าได้โอกาสที่เค้าคิดว่าเค้าไม่น่าจะได้รับ เค้าก็ตั้งใจกับมันมาก ผมให้เด็กคนนั้นอยู่ข้างหน้า หนูอยู่ข้างหน้าทำให้ดีนะลูก แล้วเค้าก็ทำออกมาได้ดีเลย เด็กทุกคนต้องการแค่โอกาส กำลังใจที่เป็นพลังบวก ความเชื่อมั่นที่เรามีต่อเด็กสามารถทำให้เด็กเรียนไม่เก่งกลายเป็นเรียนเก่ง ไม่สวยกลายเป็นสวย แค่กำลังใจอย่างเดียวก็เพียงพอ เด็กเค้าจะพยายามเอง

ขอฝากถึงพ่อแม่ด้วย ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนกลับบ้านมาคุณต้องมอบความสุขให้กับลูก รับฟังลูก กอดลูก การกอดคือสัมผัสที่ทรงพลังมากกว่าคำพูด กอดของพ่อแม่คือเกาะกำบังของลูก อย่าส่งลูกออกไปนอกบ้าน อย่าไล่ลูกไปอยู่ในที่ที่อันตราย บ้านคือสวรรค์ของลูก

ครูเสริฐเป็นตัวอย่างชิ้นดีชิ้นหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า ถึงแม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ครบสมบูรณ์แบบ แต่ความใส่ใจของผู้เป็นแม่หรือสมาชิกที่เหลือในครอบครัวก็สามารถเติมเต็มความสุขให้ลูกจนเอ่อล้นได้ ครูเสริฐได้ส่งต่อพลังความห่วงใยและความหวังดีนั้นไปยังนักเรียนในชั้นของครู พลังบวกของแม่ครูเสริฐนั้นได้แผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ

จากจุดเริ่มต้นที่แตกหัก ในแบบที่สังคมตีความว่าคือความแตกแยก กลับกลายเป็นจุดตัดขยายอนุภาพแห่งความรักจากแม่สู่ลูก สู่หัวใจที่เต็มอิ่มไปด้วยรักของลูก สู่จิตวิญญาณของความเป็นครูที่รักและหวังดีต่อเด็ก พลังรักของคุณแม่ครูเสริฐสัมฤทธิ์ผลแล้ว นั่นคือตัวครูเสริฐเอง

ครูเสริฐ คุณครูสอนชั้นประถมที่อยากทำให้เด็กทุกคนเป็นคนดีและมีความสุข


ขอขอบคุณ ครูประเสริฐ ปานเพชร ครูเอกชน สอนประจำ ณ  โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์  เขตคลองเตย  กรุงเทพมหานคร สอนวิชา ภาษาอังกฤษ  ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น

สัมภาษณ์และเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

ไขข้อข้องใจ การสอบ SAT คืออะไร? ทำไมต้องสอบ? จำเป็นไหม? ทำความรู้จักกับสนามสอบสำคัญอย่าง SAT ในทุกแง่มุมที่ควรรู้

ในประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ล้วนใช้คะแนนจากการสอบ SAT หรือ Scholastic Aptitude Test เพื่อยื่นสมัครเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งข้อสอบตัวนี้ยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงหลักสูตรอินเตอร์ในประเทศไทย

ชวนมาทำความรู้จักกับสนามสอบสำคัญอย่าง SAT ในทุกแง่มุมที่ควรรู้ เพื่อนำไปสู่การพิชิตคะแนนในฝัน

SAT คืออะไร?

SAT คือ การสอบเพื่อนำคะแนนไปยื่นในระดับอุดมศึกษา ณ ต่างประเทศ

โดยตัวข้อสอบนั้นจะได้รับการพัฒนาจากองค์กร College Board อย่างสม่ำเสมอ เพื่อทดสอบว่าคุณเป็นคนที่มีทักษะการอ่าน การวิเคราะห์ และการเขียนที่ดีในระดับมาตรฐานที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งส่วนที่จะถูกเน้นความสำคัญมากที่สุดคือ Mathematics และ Reading & Writing

อายุเท่าไหร่ถึงสอบได้?

การสอบ SAT ไม่ได้มีการกำหนดอายุของผู้เข้าสอบ แต่เนื่องจากคะแนนจะมีอายุแค่ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ประกาศผล ดังนั้นจึงนิยมสอบกันอย่างเร็วที่สุดในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

ลักษณะการสอบ SAT:

ข้อสอบ SAT มี 2 PARTS ได้แก่

1.) Evidence-Based Reading & Writing

ใช้เวลา 1 ชม. 40 นาที (คะแนนเต็ม 800) แบ่งข้อสอบออกเป็น 2 ชุด คือ

– Reading มี 52 ข้อ

– Writing and Language มี 44 ข้อ จาก 4 บทความ

2.) Mathematics

ใช้เวลา ใช้เวลา 1 ชม. 20 นาที (คะแนนเต็ม 800) แบ่งข้อสอบเป็น 2 ชุด คือ

– Math Test : Calculator มี 38 ข้อ เป็นทั้งแบบ Choice และ เติมคำตอบ โดยสามารถใช้เครื่องคิดเลขในการช่วยคำนวณได้

– Math Test : No Calculator มี 20 ข้อ เป็น Choice 16 ข้อ และเติมคำตอบ 4 ข้อ โดยห้ามใช้เครื่องคิดเลข คะแนนเต็ม 1,600 (Part ละ 800 คะแนน) ตอบผิดไม่ติดลบ

วิธีสมัครสอบ:

การสมัครสอบสามารถทำได้ผ่านทางออนไลน์ โดยจะต้องชำระเงินล่วงหน้าผ่านทางช่องทางที่กำหนด

ที่สำคัญ ควรเช็คสถานที่สอบที่ใกล้ที่สุดเพื่อความสะดวก และควรวางแผนการสมัครแต่เนิ่น ๆ เนื่องจากสถานที่สอบหลายแห่งมักเต็มเร็ว ซึ่งอาจทำให้ต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อไปสอบที่อื่นแทน

คะแนนนี้มีผลอย่างไร?

คะแนนจากการสอบทั้งหมดสูงสุดจะอยู่ที่ 1,600 คะแนน (พาร์ทละ 800 คะแนน) ค่าเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่ทำได้จะอยู่ที่ 1,060 คะแนน นั่นหมายความว่าหากยิ่งทำคะแนนได้สูง โอกาสที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ยิ่งมีมาก

ทำอย่างไรให้ได้คะแนนดี?

สิ่งแรกที่ควรศึกษา คือรูปแบบการสอบ SAT และการฝึกทำข้อสอบปีเก่า ๆ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองพลาดตรงส่วนไหน อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าควรตอบลักษณะไหนจึงจะเข้าข่ายข้อถูกมากที่สุด

SAT เทียบกับ ACT อย่างไหนดีกว่า?

การสอบทั้งสองแบบมีความแตกต่างไปตามความถนัด ซึ่งโดยส่วนมาก มหาวิทยาลัยมักจะรับผลคะแนนทั้งสองแบบในการสมัครเข้าเรียน

หากคุณถนัดในสายวิทยาศาสตร์ ACT อาจตอบโจทย์มากกว่า SAT ที่เน้นไปในด้านคณิตศาสตร์ สิ่งสำคัญคือการทบทวนข้อสอบและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับในส่วนของการเปิดรับสมัคร ในแต่ละปี College Board จะประกาศเปิดสอบเป็นรอบ ๆ ทำให้สามารถติดตามข่าวสารได้โดยตรงทั้งบนเว็บไซต์ หรือหน้าเพจที่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าว

ใครที่รู้ตัวว่าอยากไปเรียนต่อ หรือกำลังรอสอบรอบต่อไป อย่ารอช้า เตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้ แล้วไปลุยเลย!


ขอบคุณที่มา

https://www.wegointer.com/2021/02/what-students-should-know-about-the-sat/

https://www.bachelorstudies.com/article/what-students-should-know-about-the-sat/

https://www.ignitebyondemand.com/sat-คืออะไร/

กระทรวงการต่างประเทศ เร่งประสานจีน ส่งนักศึกษาไทยกลับไปเรียนต่อ เผยหน่วยงานด้านการศึกษาของจีน ยังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คาดเมื่อจีนมีมาตรการผ่อนคลาย นักศึกษาไทยควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้เดินทางกลับไป

เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ที่นักศึกษาไทยในจีน ต้องเดินทางกลับก่อนกำหนด เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่เมื่อสถานการณ์ในจีนเริ่มคลี่คลายลง กระทรวงการต่างประเทศ จึงได้เร่งประสาน และ เสนอให้ฝ่ายจีนพิจารณาอนุญาต ให้นักศึกษาไทยกลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ประมาณ 700 คน เดินทางกลับไปเรียนก่อน แต่ได้รับคำตอบเบื้องต้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า

จีนยังไม่อนุญาตให้นักศึกษาต่างประเทศกลับไปศึกษาต่อได้ เพราะยังเป็นช่วงฤดูหนาวที่ประเมินแล้วว่า เชื้อโควิด-19 ยังแพร่กระจายได้ดี จึงยังมีความเสี่ยงต่อการระบาด และ เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ประสานไปอีกครั้ง

แต่หน่วยงานด้านการศึกษาของจีน ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย และ ความเสี่ยงในการแพร่ระบาด แต่รับที่จะนำไปผลักดันต่อไป เมื่อจีนมีมาตรการผ่อนคลาย นักศึกษาไทยควรเป็นกลุ่มแรกที่จะได้เดินทางกลับไป ทั้งนี้ ฝ่ายไทยจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด จึงขอให้นักศึกษาและผู้ปกครองที่กำลังรอคอยอยู่คลายความกังวลใจ


ที่มา: https://news.ch7.com/detail/471582

กยศ. แจงข่าวกรณีให้นายจ้างเอกชนหักเงินเดือนลูกจ้าง เพื่อคืนให้กองทุน เผยนายจ้างทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ หนุนลูกหนี้ช่วยจ่ายหนี้กว่า 1.35 ล้านคน ปี 64 เตรียมปล่อยกู้ 38,000 ล้านบาท ส่งต่อโอกาสการศึกษาให้นักเรียน - นักศึกษา

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากการที่กองทุนได้มีหนังสือถึงหน่วยงานองค์กรนายจ้างภาคเอกชนในการหักเงินเดือนเพื่อชำระเงินคืนกองทุนตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 นั้น

ขอชี้แจงว่า การดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เริ่มจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กตามลำดับ ทั้งนี้ มีหน่วยงานที่กองทุนต้องแจ้งหักเงินเดือนทั้งหมดประมาณ 107,000 แห่ง และมีผู้กู้ยืมที่เป็นพนักงานของหน่วยงานเหล่านี้ที่อยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนทั้งหมด 1,735,000 ราย ในช่วงที่ผ่านมา

โดยกองทุนได้แจ้งหักเงินเดือนไปยังนายจ้างแล้ว 14,813 แห่ง เป็นจำนวนผู้กู้ยืมทั้งสิ้น 1,268,000 ราย และอยู่ในระหว่างการแจ้งหักเงินเดือนในเดือนมีนาคมอีก 92,935 แห่ง ซึ่งมีผู้กู้ยืมจะอยู่ในเกณฑ์หักเงินเดือนจำนวน 466,000 ราย

ทั้งนี้ กองทุนได้จัดประชุมชี้แจงให้นายจ้างได้รับทราบและเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นายจ้างทุกภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่งผลให้ ณ 31 ธ.ค.63 มีลูกหนี้จ่ายหนี้ปกติกว่า 1.35 ล้านคน

สำหรับขั้นตอนการหักเงินเดือนของพนักงานหรือลูกจ้างที่เป็นผู้ยืมเงิน กยศ. ผ่านองค์กรนายจ้างนั้น กองทุนจะจัดส่งหนังสือแจ้งหักเงินเดือนไปตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์ของผู้กู้ยืมเงินได้รับทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน จากนั้นกองทุนจะจัดส่งหนังสือแจ้งให้นายจ้างทราบถึงข้อมูลของผู้กู้ยืมเงิน รวมทั้งจำนวนเงินที่ต้องหักนำส่งล่วงหน้าประมาณ 30 วัน

ทั้งนี้ นายจ้างสามารถตรวจสอบข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งผ่านระบบรับชำระเงินกู้ยืมคืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาผ่านกรมสรรพากร (e-PaySLF) โดยเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ กยศ. www.studentloan.or.th ซึ่งกองทุนจะมีการปรับข้อมูลผู้กู้ยืมให้เป็นปัจจุบัน และจะแจ้งข้อมูลที่ต้องหักและนำส่งให้นายจ้างได้ทราบผ่านระบบดังกล่าวในทุกวันที่ 5 ของเดือน ทั้งนี้ กองทุนขอชี้แจงรายละเอียดการหักเงินเดือนเพื่อความชัดเจน ดังนี้

1.) เมื่อพนักงานได้รับเงินเดือน ลำดับการหักเงินเดือนกองทุนอยู่ในลำดับ 3 โดยลำดับแรกเป็นการหักภาษี ณ ที่จ่าย ลำดับที่ 2 หักกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และประกันสังคม และลำดับที่ 3 หักเงินกองทุน กยศ.

2.) หากนายจ้างไม่ดำเนินการหัก ฯลฯ ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ได้ระบุให้ นายจ้างจะต้องชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินที่นายจ้างยังไม่ได้นำส่ง หรือตามจำนวนที่ยังขาดไปแล้วแต่กรณี

แต่ที่ผ่านมาหากหน่วยงานแจ้งเหตุผลข้อขัดข้อง หรือความจำเป็นที่ไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนผู้กู้ยืมได้ผ่านขั้นตอนในระบบให้กองทุนรับทราบก็ไม่ต้องชดใช้เงินให้กับกองทุน และหากไม่สามารถดำเนินการหักเงินเดือนได้ กองทุนยินดีที่จะอนุโลมและผ่อนผันให้ ซึ่งในปัจจุบันกองทุนยังไม่เคยเรียกให้นายจ้างชดใช้เงินหรือเรียกเงินเพิ่มจากนายจ้างแต่อย่างใด

3.) การคำนวณยอดหักเงินเดือน กองทุนจะใช้ยอดหนี้ตามตารางชำระรายปี หารด้วย 12 เดือน หรือจำนวนเดือนที่เหลือก่อนถึงวันครบกำหนดชำระหนี้ (5 กรกฎาคมของทุกปี) และในงวดปีถัดไปจะเริ่มหักเงินเดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมของทุกปีจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมเงินที่ไม่สามารถชำระตามอัตราที่แจ้ง สามารถขอปรับลดจำนวนเงินได้โดยแจ้งความประสงค์ขอลดจำนวนการหักเงินเดือนได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” โดยกองทุนอนุโลมให้ชำระขั้นต่ำเพียง 100 บาท แต่ผู้กู้ยืมเงินยังมีหน้าที่ต้องไปชำระเงินในส่วนที่ขาดไปของงวดนั้นให้ครบตามจำนวนที่ต้องชำระก่อนวันครบกำหนดชำระหนี้รายปี

“กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตั้งต้นมาจากงบประมาณแผ่นดินที่มาจากเงินภาษีของประชาชน และใช้เงินชำระหนี้ของผู้กู้ยืมรุ่นพี่หมุนเวียนเพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กองทุนขอเรียนว่า ปัจจุบัน กองทุนไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินตั้งแต่ปี 2561 และในปีการศึกษา 2563 มีผู้ขอกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นจาก 28,000 ล้านบาท เป็น 33,000 ล้านบาท”

สำหรับปีการศึกษา 2564 นี้กองทุนได้เตรียมเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 38,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมจำนวน 624,000 รายไว้เรียบร้อยแล้ว กองทุนขอยืนยันว่า กองทุนจะเป็นหลักประกันของทุกครอบครัว เพื่อให้บุตรหลานและนักเรียน นักศึกษารุ่นหลังมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ทุกคนอย่างแน่นอน โดยไม่มีการจำกัดโควตาการให้กู้ยืมแต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากนายจ้างมีข้อสงสัยสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.องค์กรนายจ้าง” หรือ โทร. 09 4212 6250 - 79 (30 คู่สาย) และสำหรับผู้กู้ยืมที่ชำระเงินผ่านองค์กรนายจ้างที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ไลน์บัญชีทางการ “กยศ.หักเงินเดือน” หรือโทร. 0 2016 4888


ที่มา: https://www.prachachat.net/finance/news-625000

วิทยาศาสตร์พัฒนาชาติ Part.2 เส้นทางการคัดเลือก 240 ทุน ม.ปลาย ก้าวเข้าโรงเรียนวิทยาศาสตร์อันดับหนึ่งไทย (MWIT)

กว่า 50% ของ 240 คน แต่ละรุ่น เข้าเรียนคณะแพทย์ จุฬาฯ ศิริราช รามา และอื่นๆ

กว่า 25% คณะวิศวะฯ สถาปัตฯ วิทยาศาสตร์

25% ที่เหลือโดยประมาณ เลือกเรียนตามคณะที่สนใจ ทุนต่างประเทศมากมายที่ได้ไปเรียนต่อ

นี่คือผลสำเร็จที่เป็นตัวชี้วัดได้ว่า นักเรียนมหิดลทุกคนสำเร็จในก้าวแรกสู่อาชีพที่มั่นคง และเป็นขุมกำลังและความหวังประเทศไทย

ผลงานชัดทุกปีของนักเรียนที่นี่ คือการนำชื่อเสียงมายังโรงเรียน และประเทศชาติผ่านการแข่งขันทางด้านวิชาการ หลากหลายรูปแบบ ทั้งโครงงาน โอลิมปิกวิชาการ และด้านอื่นๆ

ทุกปี มีตัวแทนประเทศไทย โอลิมปิกวิชาการ ทุกสาขาวิชา

คณิตศาสตร์ โอลิมปิก ,ฟิสิกส์ โอลิมปิก ,เคมี โอลิมปิก ,ชีววิทยา โอลิมปิก ,คอมพิวเตอร์ โอลิมปิก และดาราศาสตร์ โอลิมปิก

ทุนเรียนต่อในประเทศ ต่างประเทศมากมาย ที่ได้รับ และนักเรียนมหิดลฯ สนใจไปเรียนกัน

-ทุนเล่าเรียนหลวง

-ทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

-ทุนกระทรวงการต่างประเทศ

-ทุนธนาคารแห่งประเทศไทย

-ทุนวิวัฒนไชยานุสรณ์

-ทุนโอลิมปิก

-ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น (Monbukagakusho:MEXT)

-ทุนมหาวิทยาลัย KAIST (Korea Advanced Institute of Science & Technology)

และอื่นๆ ทั้งไทย และต่างประเทศ

ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ ทั้ง 240 คน โดดเด่นและสำเร็จได้ 100% เริ่มต้นจากการคัดสรรที่เข้มข้น คัดกรองจากทั่วประเทศ ผ่านคุณสมบัติตามกำหนด มาสอบรอบแรกกว่า 15,000 คน แข่งขันเข้มข้น จากการสอบสองรอบ สอบสองวิชา คือ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยา) โดยรอบแรก รับมา 600 คน จากนั้นคัดต่อ เหลือแค่ 240 คน เข้าเรียนห้องละ 24 คน 10 ห้องเรียน (เรียนเฉพาะ สายวิทย์ คณิตศาสตร์)

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของ นักเรียน และ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์”

ปัจจัยแห่งความสำเร็จของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เกิดจากองค์ประกอบ 5 อย่าง ดังต่อไปนี้

1.กระบวนการสรรหานักเรียนที่มีประสิทธิภาพ การคัดทั้งรอบแรกและรอบสอง

2.) หลักสูตรที่เน้นการพัฒนานักเรียนเป็นรายบุคคล เหมาะตามความสนใจและส่งเสริมในความถนัด เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ ทุกแขนง

3.) ครูที่มีคุณภาพสูง ในแต่ละด้าน แต่ละวิชา จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ประสบการณ์สูง

4.) อาคาร สถานที่ สื่อ เครื่องมือ อุปกรณ์ดีเยี่ยม ซึ่งสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียน

5.) บิดา มารดา และผู้ปกครองนักเรียน ที่มองเห็นถึงโอกาส และให้การสนับสนุนการศึกษาของบุตรหลานตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบัน และมุ่งมั่นต่อไปในอนาคต

เส้นทางสู่ MWIT”

เส้นทางสู่การเป็นนักเรียน MWIT มีดังต่อไปนี้

1.) นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้มีคุณสมบัติตามประกาศการรับสมัคร ฯ สมัครเข้าสอบเพื่อเป็นนักเรียนของโรงเรียนรอบที่หนึ่งในช่วงปลายปีของแต่ละปี ผ่านทางเว็บไซต์ของโรงเรียน MWIT

2.) นักเรียนที่สมัครสอบรอบที่หนึ่งเข้าสอบในศูนย์สอบที่โรงเรียนจัดทั่วประเทศตามประกาศในแต่ละปี

3.) ประกาศรายชื่อนักเรียนที่สอบผ่านในรอบที่หนึ่ง จำนวน 600 คน

4.) นักเรียนที่สอบผ่านรอบที่หนึ่ง เข้าสอบรอบที่สอง ซึ่งเป็นการสอบทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ

5.) ประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตัวจริง 240 คนแรก และสำรอง อีก 360 คนที่เหลือ เรียกสำรองทุกปี ประมานอันดับที่ 120 - 190

ประวัติจุดเริ่มต้นก่อตั้ง MWIT

https://www.facebook.com/292042747492220/posts/3587365571293238/?sfnsn=mo

มหิดลวิทยานุสรณ์ นามพระราชทาน

https://www.facebook.com/292042747492220/posts/3591326447563817/

ตัวอย่างรายละเอียดการรับสมัครสอบ เข้าม.4  รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ปีการศึกษา 2564

https://www.facebook.com/292042747492220/posts/3594006723962456/?sfnsn=mo

ตัวอย่างประกาศรายชื่อรอบแรกปี การศึกษา 2564

https://www.facebook.com/292042747492220/posts/4020235601339564/?sfnsn=mo

รายละเอียดหลักสูตรการเรียน

https://www.facebook.com/292042747492220/posts/3911333725563086/?sfnsn=mo

นักเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นนักเรียนทุน ม.ปลาย ทุน 100% เรียนฟรี มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ที่พัก และสวัสดิการอื่นๆ อีกมากมาย

จากความสำเร็จแต่ละขั้นตอน ของนักเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จึงเป็นอีกหนึ่งความหวังว่า ประเทศไทยจะมีบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มารับใช้ชาติในวันและโอกาสข้างหน้า


เขียนและรวบรวมข้อมูล โดย AodDekTai คุณพ่อผู้สนใจการศึกษาไทยและต่างประเทศ

อ้างอิงข้อมูลและบทความจาก เว็ปไซต์ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และเพจ โรงเรียน Mahidol Wittayanusorn School (Official)


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top