คำคมประจำวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
คำคมประจำวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
.
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ หากเรามี ‘โลกใบนี้’ เป็นคุณครู

คำคมประจำวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564
.
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ทุกที่ หากเรามี ‘โลกใบนี้’ เป็นคุณครู
หลาย ๆ ครั้งที่ทุกคนมักจะประสบพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก บางคนขอยอมแพ้กับอุปสรรค ยอมลดค่าของตัวเองลง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ลุกขึ้นสู้รวมไปถึง “Oprah Winfrey” เจ้าของรายการและพิธีกร The Oprah Winfrey Show ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในอเมริกา THE STUDY TIMES ขอมาเล่าถึงประวัติและความสำเร็จในชีวิตของเธอที่กว่าจะถึงจุดสูงสุด เธอได้ผ่านจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิตมาแล้ว
Oprah Gail Winfrey เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน Oprah ได้ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 29 มกราคม ปี 1954 ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมือง Kosciusko รัฐ Mississippi โดยตัวเธอนั้นเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก พ่อของ Oprah เป็นคนงานเหมืองแร่และช่างตัดผม ส่วนแม่ของ Oprah ทำอาชีพแม่บ้าน ซึ่งครอบครัวของ Oprah นั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร พ่อกับแม่ของเธอหย่ากัน ทำให้ Oprah อยู่กับแม่และยาย แต่เธอก็มักจะถูกแม่ตีและด่าทออยู่ประจำ
ด้วยความฉลาดของ Oprah ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่ชอบเรียนหนังสือและสามารถอ่านหนังสือออกได้ตั้งแต่ 2 ขวบและ Oprah สามารถสอบเลื่อนขั้นจากชั้นอนุบาลมาอยู่ประถมได้ด้วยคะแนนที่ดีมาก ๆ ในช่วงนั้นเองคุณครูประจำชั้นก็ได้ เห็นแววความเก่งและขยันขันแข็งในการศึกษาเล่าเรียนของเธอ คุณครูจึงได้มอบทุนการศึกษาให้เธอได้เข้าเรียนระดับชั้นมัธยมต่อ
แต่โชคชะตาก็เหมือนจะไม่เป็นใจ Oprah ในอายุ 9 ขวบเธอโดนลูกพี่ลูกน้องข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศจนเธออายุ 14 ปีเธอได้ตั้งครรถ์ ทำให้แม่ของเธอโกรธมากและนำเธอไปที่สถานการณ์กักกันเยาวชน แต่เหมือนโชคก็ยังเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อพ่อของ Oprah ทราบว่าเธออยู่ที่นั้นจึงได้นำเธอกลับมาเลี้ยงดู และได้อยู่กับแม่เลี้ยง ถึงแม่เลี้ยงจะดุแต่ก็ทำให้ Oprah มีวินัยในตัวเองมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ได้คลอดลูกชาย เคราะห์ร้ายที่ลูกชายของเธอเสียชีวิตหลังจากนั้น 2 สัปดาห์เนื่องจากการคลอดก่อนกำหนด
หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น Oprah ก็ได้กลับไปเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่ East Nashville High School และในระหว่างที่เรียนที่นี่ ตอนที่เธออายุได้ 16 ปี ได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุ ฯ แถมเธอยังได้รับรางวัลจากการประกวดกล่าวสุนทรพจน์และเรียนจบด้วยเกียรตินิยม จึงทำให้ Oprah ได้รับทุนการศึกษา เพื่อเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่ Tennessee State University เป็นเวลา 4 ปี
ในระหว่างเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก เธอได้เข้าเรียนในสาขา Speech Communications and Performing Arts ได้มีโอกาสเข้าร่วมขบวนการประกวด Miss Black America และได้รับตำแหน่ง Miss Black Tennessee และ Miss Black Nashville อีกด้วย ซึ่งทำให้สถานีโทรทัศน์ CBS ยื่นข้อเสนอให้เข้าร่วมทำงานที่สถานีวิทยุท้องถิ่น WVOL โดย Oprah นั้นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ประกาศข่าวหญิงผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และยังมีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัย 19 ปี เท่านั้น และเมื่อพอขึ้นเรียนในชั้นปีที่ 2 Oprah ได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวของช่อง Nashville ซึ่งได้กลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน คนแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งนี้ด้วยความสามารถและความฉลาดของเธอ
แต่แล้วชีวิตก็พลิกล็อกเมื่อ Oprah ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดทำให้เธอโดนปลดจากตำแหน่ง ผู้ประกาศข่าว เป็นเพียงแค่พิธีกร แต่นั้นก็เหมือนจะเป็นโชคชะตาของเธอเพราะทำให้รู้ว่าตัวเธอเองชอบและสนุกกับการเป็นพิธีกรมากกว่าการเป็นผู้ประกาศข่าว เธอเลยตัดสินใจย้ายตัวเองไปอยู่ที่เมือง Chicago และได้เข้าทำงานเป็นพิธีกรรายการ AM Chicago ที่ WLS-TV เพียงแค่เดือนเดียวก็ทุบสถิติเรตติ้งรายการทอล์คโชว์ได้ และ หลังจากนั้นทางทีมงานได้เปลี่ยนชื่อรายการเป็น “The Oprah Winfrey Show” ซึ่งออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 1986 ซึ่งถูกถ่ายทอดไปมากกว่า 120 ช่อง 126 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นรายการที่มีเรทติ้งทีวีสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีวีสหรัฐฯ
โดยเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในรายการอย่าง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 1993 วันที่ Oprah ได้สัมภาษณ์ “Michael Jackson” ซึ่งตัวของ Michael เองนั้นไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อใด ๆ มาเป็นเวลานานกว่า 14 ปี กลายเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้ชมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา โดยมีผู้ชมมากกว่า 90 ล้านคนภายในวันเดียว
นอกจากนี้ Oprah ยังได้จัดตั้งกองทุนการกุศล The Oprah Winfrey Foundation ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลในด้านของการศึกษาให้กับเด็กหญิงชาวอเมริกาใต้ เป็นจำนวนกว่า 51 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1,700 ล้านบาท เพราะตัวของ Oprah คิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดดังคำที่เธอเคยกล่าวไว้ว่า
“Education is the key to unlocking the world, a passport to freedom.”
"การศึกษาคือกุญแจสู่โลก คือพาสปอร์ตสู่อิสระเสรี"
ปัจจุบัน Oprah ดำรงตำแหน่ง Chairman และ CEO ของรายการที่ออกอากาศมา 25 ปีอย่าง The Oprah Winfrey Show ประสบความสำเร็จกับช่องเคเบิล OWN หรือ Oprah Winfrey Network และเป็นผู้ก่อตั้งนิตยสาร O หรือ The Oprah Magazine และบริษัทโปรดักชัน Harpo Films
และนี้คือความสำเร็จในชีวิตที่กว่าจะมีทุกวันนี้ได้ Oprah ก็ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายที่ทำร้ายจิตใจของเธอมานับไม่ถ้วน ทั้งโดนล่วงละเมิดทางเพศ คำดูถูกเหยียดหยามมามากมาย แต่สุดท้ายเธอก็ผ่านพ้นมาได้ ด้วยความตั้งใจและความจริงใจของเธอ ทำให้ Oprah ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้
แหล่งที่มา :
https://www.blueoclock.com/oprah-winfrey-story/
https://thestandard.co/oprah-winfrey-powerful-woman-in-the-world/
ปัจจุบันกระแสกัญชงกับกัญชาในไทยกำลังมาแรงมากจากกระแสการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมายทั้งในด้านการครอบครอง การปลูก และการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่า “กัญชง” กับ “กัญชา” เหมือนหรือต่างกันยังไง ผมเลยไปสืบค้นจากอินเตอร์เน็ตก็พบความกระจ่างในเพจ “ทันข่าว Today” ซึ่งระบุว่า ทั้งกัญชาและกัญชงเป็นพืชชนิดเดียวกัน มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่สามารถสังเกตในเบื้องต้นได้คือ กัญชงมีใบแคบเรียวและสีเขียวอ่อนกว่า มีลำต้นสูงและแตกกิ่งก้านน้อยกว่า ช่อดอกมียางน้อยกว่ากัญชา จึงมีการนำกัญชงไปใช้เป็นพืชเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้าและเยื่อกระดาษ
แต่ถ้าต้องการจำแนกให้ลึกลงไป เพจดังกล่าวก็ให้พิจารณาจากสารประกอบที่เรียกว่าแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) โดยเฉพาะสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นั่นคือ THC (Delta-9-Tetrahydrocannabinol) และสารสำคัญอีกชนิดคือ CBD (Cannabidiol) ซึ่งช่วยยับยั้งการออกฤทธิ์ของ THC ถ้าต้นที่มีสาร THC น้อยกว่า 0.3 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้ง จะถือว่าเป็น Hemp หรือกัญชง แต่ถ้ามีค่า THC สูงกว่านี้ถือว่าเป็น Marijuana หรือกัญชา กรณีใช้ทางการแพทย์ต้องสกัดสาร THC, CBD รวมถึงสารประกอบแคนนาบินอยด์อื่น ๆ ออกมาจากต้น ซึ่งแตกต่างจากการเสพกัญชาที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชโดยตรง
สำหรับที่อินเดีย มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย ระบุว่า กระแสที่กำลังมาแรงในปัจจุบันคือ “กัญชง” แต่ว่าการแปรรูปกัญชง (Hemp / Cannabis Sativa) เชิงอุตสาหกรรมในอินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ดี คนอินเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้ประโยชน์จากกัญชงมาตั้งแต่โบราณ โดยนำกัญชงมาเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรแบบอายุรเวท (Ayurveda) และเครื่องเทศประกอบอาหาร รวมถึงเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า กระเป๋าและเชือกด้วย ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักวิจัยของอินเดียเข้าใจในศักยภาพของกัญชงเป็นอย่างดี และตระหนักในการควบคุมผลกระทบต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์กัญชงมีแนวโน้มที่จะได้รับการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ง่าย
จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าในปัจจุบันตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียยังมีมูลค่าเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของตลาดโลกเท่านั้น ในขณะที่ การใช้/บริโภคในอินเดียจะขยายตัวได้อีกมาก ทั้งการนำกัญชงไปใช้ในการผลิตน้ำมัน อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ เส้นใยสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของใช้สำหรับทำความสะอาด ปุ๋ย และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กระดาษรีไซเคิล วัสดุเฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงพลังงานชีวมวล นอกเหนือจากการนำมาผลิตเพื่อใช้ในทางการแพทย์ อาทิ ยาบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์ และอาการเจ็บปวดเรื้อรังต่าง ๆ นอกจากนี้ คาดว่าภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้คนอินเดียหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งเมล็ดกัญชงจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ทดแทนถั่วและเนื้อสัตว์ โดยปราศจากกลูเตน และมักจะเป็นการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ด้วย เพราะกัญชงเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีศัตรูพืช จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง
ผลิตภัณฑ์จากกัญชง
ขอบคุณภาพจาก : https://medium.com
ทั้งนี้ ผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกและสมาพันธ์ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์นานาชาติ (IFPMA) และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) ประมาณการณ์ว่า ในปี 2567 ตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 584.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลการสำรวจของ All India Institutes of Medical Sciences ที่พบว่าผู้บริโภคชาวอินเดียจะตอบรับต่อผลิตภัณฑ์กัญชงได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามีคนอินเดียจำนวนไม่น้อยกว่า 7.2 ล้านคนที่เคยใช้กัญชงมาแล้ว โดยการซื้อมาทดลองใช้เอง และมีราคาขายปลีกในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกรัม
ตาม พรบ. The Narcotic Drugs and Psychotropic Substances Act (1985) รัฐบาลกลางของอินเดียอนุญาตให้ปลูกกัญชงได้เฉพาะที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลหรือ THC ไม่เกิน 0.3 % โดยน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกัญชงในอินเดียส่วนใหญ่มีระดับสาร THC สูงกว่าที่กำหนดไว้ การผลิตและซื้อ-ขายกัญชงในอินเดีย จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พรบ. ดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐให้สามารถพิจารณาอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์จากใบและเมล็ดของกัญชงได้ ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบและส่งเสริมโดยกระทรวงการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย (Ministry of Ayurveda, Yoga & Naturopathy: AYUSH) เป็นระยะ
ในปัจจุบันมีเพียงสามรัฐในอินเดียที่อนุญาตให้มีการปลูกกัญชงได้ ได้แก่ รัฐอุตตราขัณฑ์ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐมัธยประเทศ ส่วนรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐก็มีแนวโน้มจะอนุญาตให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเช่นกัน อาทิ รัฐมณีปุระ รัฐอานธระประเทศ และรัฐหิมาจัลประเทศ โดยรัฐอุตตราขัณฑ์เป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกได้ โดยได้ให้ใบอนุญาตแก่ Indian Industrial Hemp Association (IIHA) ซึ่งเป็น NGO สามารถเพาะปลูกเพื่อทำการทดลองในพื้นที่ 6,250 ไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายเป็น 62,500 ไร่ และมุ่งเน้นการผลิตเมล็ดพันธุ์ และนำมาแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับป็นสิ่งทอเป็นหลัก
แม้ว่าจะมีการเพาะปลูกในไม่กี่รัฐ แต่มีผู้นำกัญชงมาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วภายใต้กิจการของสตาร์ทอัพประมาณ 30-40 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ (Biotech Startups) อาทิ บริษัท Bombay Hemp Company (BOHECO) โดยมีโรงงานแปรรูปอยู่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ (เมือง Almora) และในรัฐอุตตรประเทศ (เมือง Lucknow) นอกจากนี้ ยังมี Startups อีกหลายรายที่พร้อมจะผลิตเชิงอุตสาหกรรม และขยายตลาดทั้งภายในอินเดียและตลาดโลก อาทิ Hemp Street, Best Weed และ India Hemp Organics โดยมีแบรนด์หลักในตลาด ได้แก่ VEDI, SATLIVA, BOHECO Life และ B LABEL
ขอบคุณภาพจาก : https://www.vice.com
ทั้งนี้ การผลิตสินค้าจากกัญชงในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปี 2564 จากการที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานทางอาหาร (The Food Safety and Security Authority of India : FSSAI) ของอินเดียซึ่งเทียบได้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ได้จัดทำร่างกฎระเบียบสำหรับการกำกับดูแลสินค้าที่นำกัญชงมาผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ The Food Safety and Standards (Food Products Standards and Food Additives) Amendment Regulations, 2020 ซึ่งผู้ประกอบการในอินเดียมองว่าจะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นสัญญาณที่เปิดให้สินค้ากัญชงมีการแข่งขันกันอย่างเสรีในตลาด โดย FSSAI ได้ยอมรับว่ากัญชงเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งล่าสุดได้มีการกำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกัญชงต้องมี THC ไม่เกิน 0.2mg/kg โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดการเตรียมการผลิตเครื่องดื่มกัญชงและสถานบริการเครื่องดื่มกัญชงตามมาเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม คุณสุพัตรา แสวงศรี ทูตพาณิชย์ไทยประจำนครมุมไบ ประเทศอินเดียได้ให้ความเห็นว่าการเพาะปลูกและการแปรรูปในอินเดียยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่สินค้าจากต่างชาติจะเข้าไปแทรกตลาดหากมีราคาที่เทียบเคียงได้กับจีน ทั้งนี้ อินเดียเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับกัญชงในอัตรา 30% โดยผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตให้นำเข้าไปเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น โอกาสที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย จึงน่าจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในการแปรรูปกัญชงเพื่อการแพทย์และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีสภาพอากาศเหมาะสมและเกษตรกรมีทักษะในการปลูกที่ดี รวมถึงโอกาสจากการเข้าไปถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนให้กับ Tech-Startups ของอินเดียที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อรองรับการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อภาครัฐของอินเดีย (FSSAI) มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าจากกัญชงที่ชัดเจนแล้ว ในขณะที่ ผู้บริโภคในอินเดียเองก็มีความคุ้นเคยกับกัญชงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอื้อให้เกิดการตอบรับของตลาดได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย
ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยหรือนักลงทุนไทยที่สนใจธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ที่ประเทศอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองจากประเทศจีน
ขอขอบคุณสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างปรแทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย
เขียนโดย: อดุลย์ โชตินิสากรณ์ อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญการค้าในอินเดียแบบเจาะลึก
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2564
.
✏️ เรียนให้จบ เพื่อลบคำสบประมาท
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 14 กรกฎาคม 2564
.
✏️ถึงการเรียนจะแย่ แต่เพื่อพ่อแม่หนูจะสู้
ในปัจจุบันคนภาษาที่ 2 ที่นอกจากจะมีความสำคัญแล้ว ถ้าเราเก่งในภาษาที่ 3 อีกด้วยถือว่าเราจะก้าวประสบความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ “ภาษาจีน” ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในประเทศไทยเพราะนอกจากการทำงานแล้ว วัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างรวมไปถึงเศรษฐกิจอีกด้วย
ในช่วงโควิดแบบนี้ถ้าไปเรียนภาษาจีนข้างนอกก็คงจะไม่ดีหนัก แล้วถ้าเราเรียนรู้ภาษาจีนจากแอพลิเคชันในโทรศัพท์ น่าจะเป็นการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น THE STUDY TIMES ขอแนะนำ 10 แอปพลิเคชันที่คุณสามารถฝึกภาษาจีนได้ง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
ChineseSkill – Learn Chinese
เป็นแอปพลิเคชันสอนภาษาจีนสำหรับผู้ที่เริ่มต้น โดยตัวแอปนี้จะเริ่มสอนตั้งแต่ทักษะการฟัง การอ่าน การเขียนและการพูด มีเนื้อหาต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน มีคำศัพท์พื้นฐานจนไปถึงขั้นสูงสุดเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้การเรียนจะเป็นการเล่นเกมเพื่อฝึกทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน ทั้งสนุกและได้ความรู้อีกด้วย
Written Chinese Dictionary
เป็นแอปพลิเคชันแปลคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาจีนที่ โดนผู้ใช้งานจะได้เรียนรู้ตัวอักษรจีนประกอบด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นคำหนึ่งคำ สำหรับบทเรียนก็มีตั้งแต่ในระดับ HSK 1 ถึง 6 สามารถเลือกบทเรียนอักษรภาษาจีนอย่างง่าย, จีนดั้งเดิมและแมนดาริน แถมยังมีเรื่องสั้นภาษาจีนให้เลือกอ่านเพื่อฝึกทักษะภาษาจีนอีกด้วย
HSK Online - HSK
แอปพลิเคชันที่ให้ผู้ใช้งานสามารถผ่านการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน HSK ได้อย่างง่ายดาย มีระบบการเรียนรู้แบบ AI ที่มีการโต้ตอบอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีคำแนะนำจากผู้เชียวชาญคอยแนะนำตลอด นอกจากนี้ยังมีแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัดมีให้เลือกอีกมากมายเพื่อพัฒนาทักษะภาษาจีนของผู้ใช้งาน
HSK Hero – Chinese Characters
เป็นแอปพลิเคชันที่สอนภาษาจีนในรูปแบบของเกม เป็นการทดสอบผู้ใช้งานในเรื่องของคำศัพท์ที่มีตั้งแต่ HSK ระดับ 1 ถึง 6 โดยตัวแอปพลิเคชันจะเน้นไปที่การจำคำศัพท์ภาษาจีน ทริคต่าง ๆ ในการจำคำศัพท์ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นในภาษาจีน
Word Match – learn Mandarin
แอปพลิเคชันที่เน้นไปที่การเรียนรู้อักษรจีนขั้นพื้นฐาน โดยแอปจะเป็นการสอนในรูปแบบมินิเกม เป็นการสอนโดยการใช้รูปภาพและคำศัพท์ภาษาจีนนั้น ๆ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถจำคำศัพท์ภาษาจีนได้ง่าย ๆ ผ่านการเล่นมินิเกมรวมไปถึงได้ความสนุกอีกด้วย
และนี้ก็เป็นการแนะนำแอปพลิเคชันสอนภาษาจีนตอนแรก ทาง THE STUDY TIMES หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ฝึกภาษาจีนด้วยความเพลิดเพลินและได้พัฒนาทักษะการเรียนภาษาจีนให้เก่งขึ้นอีกด้วยนะคะ สัปดาห์หน้าเราจะมาแนะนำอีก 5 แอปพลิเคชันที่สอนภาษาจีนกัน อดใจรอกันนะคะ
ที่มา : https://www.iphonemod.net/10-application-practice-chinese-language.html
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หลาย ๆ คนพอได้ยินชื่อโรงเรียนแห่งนี้แล้วจะนึกถึงเด็กที่เป็นสุดยอดความเป็นเลิศทั้งด้านการเรียนและกิจกรรม ประวัติและชื่อเสียงมีมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญมีการสอบเข้าแข่งขันเข้าเรียนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย วันนี้ THE STUDY TIMES จะมาเล่าประวัติ ความเป็นมาของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งนี้กัน
เดิมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีชื่อว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” โดยโรงเรียนนี้แต่ก่อนสังกัดอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยพันเอก หลวงพิบูลสงคราม อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขณะนั้น โดยแต่ก่อนใช้โรงเรียนมัธยมหอวัง ถนนพญาไทเป็นสถานศึกษา ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตั้งอยู่เลขที่ 227 ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมี ม.ล. ปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการท่านแรกของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเป็นโรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย (คือโรงเรียนที่สามารถเรียนได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง)
โดยแต่ก่อนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่เตรียมนักเรียนแผนกต่าง ๆ ไว้สำหรับเข้าศึกษาในคณะต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะในสมัยก่อนจะเรียกสั้น ๆ ว่าโรงเรียนเตรียมจุฬา
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นมีความเจริญอย่างมากต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2484 ทางโรงเรียนได้มีการจัดพิธีไหว้ครูและมีการแต่งคำประพันธ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนแรกที่ทำให้เกิดการมีพิธีไหว้ครูเกิดขึ้น เป็นแบบแผนให้โรงเรียนอื่น นอกจากนี้โรงเรียนยังถูกมรสุมจากสงครามโลกครั้งที่ 2 หนักมาก โดนทหารญี่ปุ่นมาตั้งกองทัพในโรงเรียน ทำให้นักเรียนต้องย้าย อพยพไปอยู่ตามแถวชานเมือง และพอสงครามทหารญี่ปุ่นจบลงเหล่าทหารอังกฤษก็เข้ามาพัก กว่าทุกอย่างจะสงบลงใช้เวลานานหลายปี
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2490 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โอนไปสังกัดกรมวิสามัญศึกษา และมีระเบียบกำหนดให้นักเรียนที่เรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้ สอบคัดเลือกเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนักเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาของโรงเรียนทั่วไป ทั้งยังตัดคำว่า”แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย” ออก คงเหลือคำว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา” เท่านั้น ม.ล.ปิ่น มาลากุล ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ช่วงนี้ตอนหนึ่งว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชื่อยาวนัก จึงได้เปลี่ยนเป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เฉยๆ แต่ พระเกี้ยวนั้นเป็นของสูง จะทิ้งกันได้อย่างไร โรงเรียนได้เก็บไว้เป็นเครื่องหมายรวมจิตใจของอาจารย์และนักเรียนจนกระทั่งทุกวันนี้”
คำขวัญของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นก็คือ “ความเป็นเลิศทางวิชาการและคุณธรรม” นิมิตฺตํ สาธุ รูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา (ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี)
และนี้ก็เป็นประวัติส่วนหนึ่งของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่มีประวัติและชื่อเสียงกันมาอย่างยาวนาน สำหรับสายการเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นมี
- สายวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์
- สายภาษา – คณิตศาสตร์
- สายภาษา - ภาษา ซึ่งภาษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีสายภาษาดังนี้ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาสเปน ภาษาจีน ภาษาเกาหลี
ในแต่ละปีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะมีการสอบเข้าโรงเรียนโดยการสมัครสอบของโรงเรียนจะสมัครสอบผ่านออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://admission.triamudom.ac.th โดยวิชาในแต่ละสายที่มีการจัดสอบจะมีดังต่อไปนี้
ผู้ที่ต้องการสอบสายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ จะต้องสอบวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
ผู้ที่ต้องการสอบสายภาษา - คณิตศาสตร์ จะต้องสอบวิชาคณิตศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
ผู้ที่ต้องการสอบสายภาษา - ภาษา จะต้องสอบวิชา สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
โดยการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะสอบที่ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี โดยในปีที่ผ่านมามีนักเรียนจากทั่วประเทศกว่า 12,765 คนมาสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาโดยโรงเรียน เปิดรับนักเรียน 1,520 คน ใน 8 แผนการเรียน นักได้ว่าเป็นการแข่งขันที่สูงมากจริง ๆ สำหรับนักเรียนคนไหนที่อยากจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนแห่งนี้ก็ขอให้เตรียมตัว อ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนและเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้ ทุกอย่างที่เราตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จแน่นอนค่ะ THE STUDY TIMES เป็นกำลังใจให้นะคะ
แหล่งที่มา
https://www.triamudom.ac.th/website/index.php/2016-07-13-03-51-27/2016-07-13-07-27-57
https://tuemaster.com/blog/ประวัติโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
https://www.thairath.co.th/content/234067
https://www.webythebrain.com/article/6-questions-for-triamudom
ครูพิม ณัฏฐณี สุขปรีดี นักจิตวิทยาพัฒนาการ ผู้ซึ่งมีความสนใจพิเศษในเรื่องพัฒนาการเด็กวัยแรกเกิดจนถึงวัยรุ่นตอนต้น ให้ข้อมูลว่า ในทางพัฒนาการมอง ‘ความฉลาด’ คือ ทักษะ หรือความสามารถที่เด็กทำได้ดีเป็นพิเศษ หรือมีแนวโน้มที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ง่ายกว่าทักษะอื่นๆ ในความเป็นจริงทุกคนจะมีความฉลาด สิ่งที่ถนัด สิ่งที่เรียนรู้ได้เร็วเฉพาะด้านของตัวเอง
แต่ในปัจจุบัน พ่อแม่ส่วนใหญ่ให้นิยามความฉลาดมาจากการพูดเป็นหลัก โดยมองว่า เด็กที่สามารถพูดคุย ตอบโต้สื่อสารได้ เป็นเด็กฉลาด หรือเด็กที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เป็นเด็กฉลาด ซึ่งเป็นความเข้าใจไปเองของผู้ปกครอง ไม่ใช่ความฉลาดตามช่วงวัย หรือสะท้อนศักยภาพของสมองที่แท้จริง เนื่องจากสื่อเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบันออกแบบมาให้ง่าย สะดวกต่อการใช้งาน การที่เด็กเล็กใช้งาน Smartphone หรือ Tablet ได้จึงเป็นเรื่องปกติ ความเข้าใจผิดในนิยามความฉลาดรูปแบบนี้ทำให้ผู้ปกครองมองข้ามความฉลาดและพัฒนาการที่แท้จริงที่ควรจะเกิดขึ้นกับเด็กในแต่ละช่วงวัยไป
การสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย
• ช่วงประมาณ 1 ขวบ เด็กควรมีการสื่อสารแบบ specific ในการเรียกคุณพ่อคุณแม่ คนใกล้ชิด ด้วยคำเฉพาะ หรือเสียงเฉพาะ เช่น พ่อแม่ ป๊าม๊า
• ช่วงประมาณ 1 ขวบครึ่ง เด็กควรจะพูดคำศัพท์เดี่ยวๆ ได้ คือ คำที่มีความหมายและเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น เด็กมองเห็นลูกบอลแล้วพูดว่า บอลๆ อยากกินนมแล้วพูด นมๆ เป็นคำที่หมายถึงสิ่งนั้นจริงๆ จึงจะเรียกว่าการสื่อสาร ซึ่งการที่เด็กไม่รู้จะพูดอะไรกับผู้ใหญ่ คิดคำไม่ออก อาจทำให้พูดออกมาเป็นภาษาต่างดาวหรือผสมภาษาใหม่ขึ้นมาเอง สิ่งนี้เป็นสัญญาณว่าเด็กกำลังต้องการความช่วยเหลือ หรือมีปัญหาในเรื่องของการสื่อสาร
• ช่วงประมาณ 2-3 ขวบ เด็กต้องพูดเป็นประโยคได้ มีประธาน กิริยา กรรม สามารถเข้าใจได้
กรณีต่อมาคือ เด็กพูดได้ตามช่วงวัยและพัฒนาการแล้ว แต่ไม่ชอบสื่อสารกับคนอื่น เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ บุคลิกภาพ ที่เป็นคนพูดน้อย เก็บตัว หรืออีกแบบคือ อยากสื่อสาร แต่ขาดทักษะเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนอื่น ซึ่งหากเป็นรูปแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะมีส่วนช่วยเหลือได้เยอะมาก โดยใช้เวลาที่อยู่บ้านทำการฝึกพูดกับลูกก่อน
สิ่งที่จะช่วยเสริมทักษะการสื่อสารต่อมาคือ การอ่าน เด็กที่ชอบอ่านหนังสือมีแนวโน้มจะสื่อสารได้ดี เนื่องจากมีคลังคำศัพท์ในหัวเยอะ ภาษาทางวรรณกรรมหรือการเขียนเป็นภาษาที่สวยงาม เด็กจะได้รับการปลูกฝังทางภาษาที่ดีไปด้วย หนังสือที่เด็กอ่านได้มีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทาน วรรณกรรมเยาวชน สารคดี นิตยสาร การ์ตูนที่มีคุณภาพ
สิ่งสำคัญในการสื่อสาร คือ เด็กต้องรู้จักเข้าใจตัวเองก่อน ถึงจะกล้าสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมั่นใจ การสร้างความมั่นใจให้กับตัวเด็กเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เขากล้าที่จะพูดและแสดงออก วิธีที่สามารถทำได้คือ เวลาที่ลูกแสดงความคิดเห็นที่บ้าน ผู้ปกครองอย่าเพิ่งตัดสินว่าเขาเถียง เพราะเมื่อเด็กโดนเบรคบ่อยๆ จากในบ้านจะทำให้รู้สึกว่าการไปพูดกับคนอื่นนอกบ้าน เป็นการไม่ดีต่อตัวเองหรือไม่
กรณีที่เด็กเคยสื่อสารกับเพื่อนและมีความผิดพลาดบางอย่าง เช่น พูดแล้วทะเลาะกัน เพื่อนไม่เข้าใจ คุยกันคนละภาษา พัฒนาการไม่ตรงกัน ต้องอาศัยพ่อแม่เข้ามาช่วยซักถาม ต้องหาก่อนว่าปัญหาคืออะไร กรณีที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กที่ไม่พูดอะไรจนเหมือนไม่มีเพื่อน กรณีนี้อาจแปลว่าต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากขาดทักษะทางสังคม ต้องการการกระตุ้นและการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
กรณีที่เด็กมีข้อมูลอยู่ในหัวแต่ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ ครูพิมพ์กล่าวว่า ในเรื่องของการสื่อสารอาจไม่ได้มองเรื่องของการพูดเพียงอย่างเดียว การสื่อสารสามารถถ่ายทอดออกมาในรูปแบบอื่นได้ เช่น อาจลองให้ลูกเขียน วาดรูป ทำท่าทาง ฝึกให้คุ้นเคยกับการแสดงออกก่อน จากนั้นค่อยนำมาปรับว่าจะแสดงออกในเรื่องของการพูดอย่างไร ตัวอย่างคือ ระหว่างที่ลูกเขียนให้ดู เราอาจจะพูดไปกับเขาด้วย บางครั้งพ่อแม่ต้องเป็นคนที่นำลูกก่อน ทำให้ลูกรู้วิธีการพูด เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลากับลูกพอสมควร เพราะบางเรื่องลูกไม่สามารถที่จะฝึกได้ด้วยตัวเอง
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่สื่อสารเก่ง สื่อสารเป็น รู้วิธีที่จะสื่อสารออกไป พ่อแม่จะช่วยลูกได้โดยการลดเวลาเรียนรู้ เพิ่มเวลาเล่น คุมตารางเวลาของลูกที่เหลือให้เป็นโอกาสที่เขาได้ฝึกตัวเอง การไปเที่ยว ทำกิจกรรมร่วมกัน คำถามง่ายๆ ที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กเรียนรู้การสื่อสารโดยธรรมชาติ
ครูพิมพ์ฝากไว้ว่า คุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของลูก สิ่งที่ได้จากการฟังข้อมูลเป็นแนวทางอย่างหนึ่ง แต่จะไปถึงตัวเด็กได้ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ บางครั้งอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือความรู้สึกของตัวเราเอง ที่อยากเปลี่ยนแปลง ซัพพอร์ต หรือสงสารลูก พยายามทำให้ความรู้สึกชัดเจนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความต่อเนื่องมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง วิธีการแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องมีคือการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงทั้งตัวลูกและตัวเอง
สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : ลูกฉลาด...แต่ไม่สามารถสื่อสารได้
Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/470271574330379
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: ภารวี สุภามาลา
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2564
✏️คนเก่ง ไม่ใช่คนที่ได้คะแนนดี แต่คือคนที่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
✏️มองทุกปัญหาเป็นครู เรียนรู้ แก้ไข เพื่อไปสู่ความสำเร็จ