Thursday, 15 May 2025
EducationNewsAgencyforAll

'มัลคอล์ม แม็กลีน' ผู้พลิกโฉมการขนส่งสินค้ายุคใหม่ ชายผู้ผลักดันให้เกิดการขนส่งด้วย ‘ตู้คอนเทนเนอร์’

ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับภาพรถบรรทุกขนกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่า 'ตู้คอนเทนเนอร์' ซึ่งตู้เหล่านี้มีบทบาทที่สำคัญสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ เพราะช่วยลดต้นทุนและเวลาในการขนถ่ายสินค้าระหว่างรถบรรทุก, เรือ และรถไฟ 

ในสัปดาห์นี้ จึงขอเล่าเรื่องราวของชายผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์

มัลคอล์ม แม็กลีน (Malcom McLean) ในวัยหนุ่มได้ซื้อรถบรรทุกมือสองและทำธุรกิจขนส่งสินค้าให้แก่เกษตรกร ระหว่างรอการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือ แม็กลีน เขาได้สังเกตวิธีการทำงานในยุคนั้นที่ยังใช้แรงงานคนเป็นหลัก... 

คนงานทยอยขนสินค้าลงจากรถบรรทุกแล้วไปเก็บในคลังสินค้าที่ท่าเรือ เมื่อเรือมาถึงท่าก็ทยอยขนสินค้าขึ้นเรือด้วยวิธีการชักรอก กว่าจะขนสินค้าขึ้นและลงเรือเสร็จก็ใช้เวลาหลายวัน หากช่วงไหนที่คนงานไม่ว่างหรือสภาพอากาศไม่ดี ก็หยุดทำงาน ส่งผลให้รถบรรทุกต้องจอดรอเป็นเวลานานเสียโอกาสในการไปวิ่งหารายได้ 

เมื่อเห็นดังนั้น แม็กลีน จึงคิดว่าจะมีวิธีการปรับปรุงการขนส่งให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการลดเวลาและต้นทุนในการขนส่ง แต่วิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เขาคิดได้ต้องมีการปรับปรุงหลายอย่าง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำมาก จึงได้แต่เก็บความคิดเอาไว้ในใจ

ในปี 1940 แม็กลีนวัย 42 ปี ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าของบริษัทรถบรรทุกที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น และมีรถบรรทุกมากกว่า 1,700 คัน ก็ได้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเอาไอเดียที่เคยคิดไว้ตอนหนุ่มมาทำให้เป็นจริง 

เขาจึงตัดสินใจขายธุรกิจรถบรรทุก แล้วนำเงินมาซื้อมาธุรกิจเดินเรือ Pan Atlantic Tanker ที่มีเรือขนส่งน้ำมันอยู่ 2 ลำ แล้วยังกู้เงินมาอีก 42 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อท่าเรือและอู่ต่อเรือ เพราะเขามั่นใจว่าวิธีการขนส่งแบบใหม่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการขนส่งไปได้

แม็กลีน มีความคิดว่า หากสามารถขนเฉพาะส่วน 'หางเทรลเลอร์' ของรถบรรทุกขึ้นไปไว้บนเรือแทนที่จะใช้คนงานทยอยขนสินค้าขึ้นลง จะช่วยลดระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้าและลดค่าใช้จ่ายได้ แต่เมื่อได้ทดลองจึงพบปัญหาว่า 'หางเทรลเลอร์' ที่มีล้อนั้น ลดพื้นที่บรรทุกสินค้าของเรือและยังไม่สามารถเอาหางเทรลเลอร์วางซ้อนกันได้ ส่งผลให้ในเรือหนึ่งลำขนส่งสินค้าได้ไม่มากต้นทุนการขนส่งจึงสูง 

แม็กลีน จึงได้พัฒนาส่วนหางเทรลเลอร์แบบใหม่ที่สามารถถอดล้อออกได้ เพื่อลดความสูงและสามารถวางซ้อนกันได้ แต่หางเทรลเลอร์แบบใหม่กลับใช้งานไม่สะดวกอย่างที่คิด แม็กลีน จึงได้ปรึกษากับ คีธ แทนท์ลิงเกอร์ (Keith Tantlinger) วิศวกรที่ทำงานในบริษัทผลิตเทรลเลอร์ และเขาก็ได้ช่วยออกแบบตู้คอนเทนเนอร์ที่สามารถแยกออกจากหางเทรลเลอร์ได้สำเร็จ

แล้วความฝันของแม็กลีน ก็เป็นความจริง!! 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1956 เรือ SS Ideal X เรือบรรทุกน้ำมันที่มีการปรับปรุงใหม่ เพื่อสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์บนดาดฟ้าเรือได้ แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์กไปยังฮุสตันพร้อมกับตู้คอนเทนเนอร์ 58 ตู้และน้ำมัน 15,000 ตัน 

จากนั้นในปีต่อมา เรือ Gateway City เรือคอนเทนเนอร์เต็มรูปแบบของแม็กลีนที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ได้มากถึง 226 ตู้ แต่ใช้เวลาในการขนสินค้าขึ้นลงเพียงแค่ 8 ชั่วโมง ก็ได้ออกให้บริการ ซึ่งหากเทียบต้นทุนการขนส่งแล้ว แบบเดิมจะอยู่ที่ 5.86 เหรียญต่อตัน ส่วนแบบใหม่จะลดลงเหลือ 0.16 เหรียญต่อตัน ถูกลงมากกว่าเดิมถึง 37 เท่า 

นอกจากนั้นรถบรรทุกและเรือไม่ต้องจอดรอขนสินค้าขึ้นลงเป็นเวลานาน สามารถเพิ่มเวลาในการวิ่งรับส่งสินค้าเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

การขนส่งวิธีใหม่ของแม็กลีน นอกจากจะเร็วกว่าและถูกกว่าแล้ว สินค้ายังมีโอกาสเสียหายและสูญหายน้อยกว่าวิธีเดิมอีกด้วย เพราะสินค้าไม่ได้ถูกยกขนโดยตรงและยังใช้แรงงานน้อยลง

จากจุดนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วงการขนส่ง ต่างให้ความสนใจกับการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ โดยในปี 1962 ท่าเรือนิวยอร์กได้เปิดตัวท่าเรือแห่งใหม่ที่เป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์แห่งแรกของโลก ตามมาด้วยการเปิดตัวท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่ร็อตเตอร์ดัมในปี 1966 และท่าเรือสิงคโปร์ในปี 1972  

แน่นอนว่า ในทุกวันนี้มีการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ทุกท่าเรือหลักของโลก แต่มันจะไม่เกิดขึ้นได้ หากจุดเริ่มต้นทั้งหมดไม่ได้มาจาก 'มัลคอล์ม แม็กลีน' บุคคลระดับตำนานที่มีอิทธิพลต่อวงการอุตสาหกรรมและการค้าของโลกยุคใหม่

เขียนโดย อาจารย์ ศรัณย์ ดั่นสถิตย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.pbs.org/wgbh/theymadeamerica/whomade/mclean_hi.html
https://www.shippingandfreightresource.com/leaders-and-visionaries-in-shipping-malcom-mclean/
https://www.maritime-executive.com/article/the-story-of-malcolm-mclean
https://portfolio.panynj.gov/2015/06/23/the-world-in-a-box-a-quick-story-about-shipping/
https://www.shippingandfreightresource.com/leaders-and-visionaries-in-shipping-malcom-mclean/

ดีกรีนักกีฬาไอซ์สเก็ตลีลาทีมชาติคว้าเหรียญทองมามากมาย แถมการเรียนยังเริ่ดคว้าปริญญาถึง 3 ใบ มากความสามารถต้องเธอคนนี้ “ทับทิม อัญรินทร์”

“ทับทิม อัญรินทร์ ธีราธนันพัฒน์” ดารานักแสดงหญิงที่มากความสามารถในวงการบันเทิงเป็นทั้งดารานักแสดง พิธีกร รวมไปถึงนักร้อง และยังไม่พอด้านกีฬาของสาวทับทิมยังเคยไปแข่งไอซ์สเก็ตเอเชียถึงต่างประเทศได้เหรียญทองมาครอบ และยังเรียนจนได้ปริญญาถึง 3 ใบกันเลยทีเดียว 

ทางด้านการศึกษา สาวทับทิมนั้นเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนอุดมศึกษา หลังจากนั้นสาวทับทิมได้ระดับปริญญาตรี 2 หลักสูตร ศิลปศาสตรบัณฑิตจากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (เอกภาษาอังกฤษ) บริหารบัณฑิตจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หลังจากที่เรียนคว้าปริญญาได้ 2 ใบแล้ว ทับทิมก็ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง อีกด้วย 

ทางด้านกีฬา สาวทับทิมนั้นมีความชื่นชอบในกีฬาไอซ์สเก็ตอย่างมาก โดยได้ฝึกฝน พัฒนาตนเองจนได้กลายมาเป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตลีลาทีมชาติไทยและได้ไปแข่งขันในรายการ Skate Asia 2016 คว้าเหรียญทองมาได้ถึง 5 เหรียญ 1 ในนั้นคือการนำศิลปะวัฒนธรรมอย่างมโนราห์มาผสานกับกีฬาไอซ์สเก็ตลีลาจนทำให้ชนะใจกรรมการได้เหรียญทองกลับมานั้นเอง 

เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงไทยที่มีความสามารถจริง ๆ การเรียนก็ดีแถมกีฬาก็ยังเริ่ดขนาดนี้ นับได้ว่าคงเป็นแบบอย่าง Idol ของใครหลาย ๆ คนกันเลยทีเดียวค่ะ 


แหล่งที่มา : 
https://www.sanook.com/campus/1404967/
https://www.tomasverner.com/ทับทิม-อัญรินทร์/

รู้เพื่อตั้งรับ!! 5+1 รูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังวิกฤติโควิด-19

มาตรการเร่งกระจายวัคซีนโควิด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศขณะนี้ ทำให้เกิดการคาดการณ์จากหลายฝ่ายถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยที่จะกลับสู่ระดับเดิมเช่นก่อนเกิดวิกฤติ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประสิทธิภาพของนโยบายการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิดแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ นโยบายการเงิน การคลัง ที่ผ่อนปรนต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำไปสู่การฟื้นตัวของภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของภาคครัวเรือน ตลอดจนการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และคาดเดาได้ยาก 

อย่างไรก็ตาม ตามหลักเศรษฐศาสตร์ได้อธิบายถึง 5 รูปแบบ ของการฟื้นตัวหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ได้แก่  V, U, W, Swoosh และ L-Shape ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในขณะนี้ 

ที่มา ห้องเรียนนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (https://www.set.or.th/set/education/knowledgedetail.do?contentId=7516&type=article)

1.) การฟื้นตัวแบบ V-Shape (V-Shape Rebound) “ลงเร็ว ฟื้นเร็ว”
เป็นรูปแบบที่ถูกคาดหวังอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด คือ เมื่อประเทศผ่านวิกฤติซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นกลับสู่ระดับเดิมได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการค้าระหว่างประเทศและรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังอาจไม่กลับมาฟื้นตัวในปีนี้ ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในลักษณะนี้มีความเป็นไปได้ยาก

2.) การฟื้นตัวแบบ U-Shape (U-Shape Rebound) “หดตัวนาน ฟื้นตัวช้า”
เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจเป็นไปได้สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมีรูปแบบคล้ายกับ V-Shape แต่แตกต่างตรงระยะเวลาของผลกระทบที่อาจนานกว่า ใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า ก่อนที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ระดับเดิม ทั้งนี้การออกนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ตลอดจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญถึงระยะเวลาที่เศรษฐกิจไทยจะสามารถผ่านพ้นช่วงฐานตัว U ไปได้ช้าเร็วเพียงใด

3.) การฟื้นตัวแบบ W-Shape (W-Shape Rebound) “ฟื้นเร็ว ดิ่งลงรอบสอง”
จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด หากเกิดการระบาดในระลอกใหม่อย่างรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ และรัฐบาลเลือกใช้มาตรการล็อกดาวน์ ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีรูปแบบ “ดับเบิ้ล ดิป” ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจหรือจุดที่ต่ำที่สุดอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น มาตรการผ่อนปรนที่ถูกใช้ในเวลาหรือสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวในรูปนี้ก็เป็นได้

4.) การฟื้นตัวแบบ Swoosh (Swoosh Rebound) “ไถลลงเร็ว ค่อยๆ ฟื้นตัว” หรือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตามแบบ “รูปเครื่องหมายไนกี้”
เป็นการไถลลงเร็วแบบตัว V และค่อยๆ ฟื้นตัว โดยการฟื้นตัวของนี้จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ มีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายถูกหางยาว ที่แสดงถึงการเติบโตอย่างเชื่องช้า แต่สุดท้ายเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้ก็ไปในแนวโน้มที่ดีและพุ่งขึ้นเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตามการผ่อนปรนมาตรการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การค้าทั้งภายในและระหว่างประเทศในช่วงแรกยังคงทำได้อย่างจำกัด

5.) การฟื้นตัวแบบ L-Shape (L-Shape Rebound) “หดตัวยาวนาน ไร้สัญญาณการฟื้นตัว” 
เป็นรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ที่เมื่อเศรษฐกิจปรับลดลงแล้ว อัตราการขยายตัวจะไม่สามารถกระตุ้นให้กลับมาเป็นปกติเท่ากับระดับก่อนหน้าเกิดวิกฤติได้ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องยาวนาน และไม่รู้ว่าจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้หรือไม่ ดังเช่น วิกฤติโลก Great Depression ที่ใช้เวลานานกว่า 10 ปี ในการฟื้นตัว ซึ่งการฟื้นตัวในรูปแบบนี้อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ และเกิดภาวะถดถอยในระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง 

นอกจากนี้ มีการกล่าวถึงรูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่งเพิ่มเติม คือ รูปแบบ K-Shaped หรือ ตัวอักษร K ซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกลับสู่ระดับเดิมได้และขยายตัวต่อเนื่องในบางกลุ่ม (แทนหางของตัว K ที่ชี้ขึ้นไปข้างบน) ขณะเดียวกันสำหรับบางกลุ่มอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ และยังคงเผชิญกับภาวะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ (แทนหางของตัว K ที่ชี้ลงมาด้านล่าง)

ที่มา : บทความการฟื้นตัวแบบรูปตัว K ของเศรษฐกิจไทย: ในวิกฤตยังมีโอกาส ธนาคารแห่งประเทศไทย (https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_31May2021.aspx)

อย่างไรก็ตาม แสงสว่างปลายอุโมงที่อาจเริ่มมองเห็นได้ในขณะนี้ คงเป็นความหวังของทุกคนที่จะร่วมใจผ่านพ้นวิกฤติโควิดของประเทศในครั้งนี้ไปด้วยกัน

เขียนโดย อาจารย์ กมลวรรณ รอดหริ่ง อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.set.or.th/set/education/knowledgedetail.do?contentId=7516&type=article
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_31May2021.aspx
https://www.prachachat.net/public-relations/news-521654
https://www.terrabkk.com/news/198705/

ศธ. ลุยสร้างระบบดูแลสุขภาพจิตในสถานศึกษา เน้นใช้ Home room รับฟังเสียงสะท้อน หาต้นตอ แก้ไขภาวะเด็กเครียด!

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมหารือการจัดระบบดูแลสุขภาพจิตผู้เรียน (Learning support) ในสถานศึกษา ร่วมกับ นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ว่า การหารือดังกล่าวจะนำไปสู่การทำบันทึกข้อตกลง ร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์กรมหาชน) เพื่อขับเคลื่อนการดูแลลูกหลานนักเรียน นักศึกษา และผู้เรียน ด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด (Reflection) โดยใช้ "อาข่าโมเดล" กรณีศึกษาดอยตุง (Home room) เพื่อรับฟังเสียงผู้เรียนของเรา ด้วยคำถาม 3 คำถาม ประกอบด้วย รู้สึกอย่างไร เรียนรู้อะไร และทำอย่างไรต่อ ซึ่งมีโรงเรียนที่นำไปใช้จนประสบความสำเร็จ อาทิ โรงเรียนมารีย์อนุสรณ์ จ.บุรีรัมย์ โรงเรียนบ้านตะโกล่าง จ.ราชบุรี เป็นต้น 

โดยความร่วมมือครั้งนี้ สอดคล้องกับงานของสำนักงาน กศน. ที่กระจายอยู่ในบริบทของชุมชนทั่วประเทศ และการพัฒนาศูนย์ Active center ที่คอยให้คำปรึกษาแนะนำกับนักศึกษาในเรื่องต่าง ๆ ต่อยอดไปสู่ศูนย์เรียนรู้ My care system เพื่อดูแลและรับฟังนักศึกษา จัดให้มีระบบคัดกรอง ระบบการส่งต่อ ระบบการบริหารจัดการ การพูดคุยและการพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับนักศึกษา กศน. ที่มิเพียงมุ่งเน้นแต่เรื่องความฉลาดทางด้านสติปัญญา (Intelligence Quotient :IQ ) เท่านั้น แต่จะมุ้งเน้นในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient: EQ) ด้วย พร้อม ๆ กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สนับสนุนส่งเสริมลงสู่ระดับชุมชน เพื่อสร้างรูปแบบคุณธรรมจากแนวคิดการสะท้อนคิด จากครอบครัว ชุมชน และสังคมไปพร้อมกัน

ด้านนพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า โดยในส่วนของความร่วมมือ ศูนย์คุณธรรมฯ มีตัวอย่างโรงเรียนคุณธรรมที่ประสบความสำเร็จเกิดขึ้นแล้ว 2-3 แห่ง อาทิ โรงเรียนมารีย์อนุสรณ์ จ.บุรีรัมย์ ที่นำเทคนิคการสะท้อนคิดไปใช้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งระบบ ดังนั้น หากสำนักงาน กศน. จะนำไปใช้ ก็จะเกิดสู่เป็น ศูนย์เซ็นเตอร์ (Center) ที่สามารถเกื้อกูลกันด้วยความเข้าใจ เชื่อมโยงสู่คนในชุมชนตามบทบาทของ กศน. พัฒนาไปสู่ระบบธนาคารจิตอาสา ที่มีระบบบริหารจัดการ การบริการ มีระบบส่งต่อ ตลอดจนเป็นพี่เลี้ยง ที่ปรึกษา ของครูหรือบุคลากรที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เพื่อเปิดใจคุยกันระหว่างผู้เรียนและพี่เลี้ยง เมื่อเป็นดังนี้ได้ ก็จะเป็นบันไดก้าวแรก ในการยกระดับเป็น กศน.องค์กรแห่งคุณธรรม 

ซึ่งการร่วมมือในครั้งนี้จะแก้วิกฤติให้กลายเป็นโอกาส โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แม้แต่ผู้ปกครอง ครู และตัวเด็กเอง ก็มีภาวะตึงเครียด ดังนั้น การนำเทคนิคการสะท้อนคิดดังกล่าว ด้วยคำถามเพียง 3 คำถาม เป็นเทคนิคที่สามารถปรับใช้ในสถานศึกษาทั่วประเทศ รวมทั้งครอบครัวและชุมชน และทำให้เราสามารถถอดรหัสความรู้สึกนึกคิดของเด็ก เป็นกระบวนการลดความตึงเครียดระหว่างกัน เริ่มจากการค้นหาจุดที่มีปัญหา เพื่อนำไปสู่การคลี่คลายสภาวะความตึงเครียด โดยสามารถใช้ในครอบครัว และในสถานศึกษา ด้วยวิธีโฮมรูม เพื่อรับฟังเสียงสะท้อน แทนการให้ข้อมูล และจะทำให้เราได้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ การได้รับอารมณ์และความรู้สึกของเด็กทั้งห้อง หรือแม้แต่พ่อแม่ ผู้ปกครองเอง ก็สามารถใช้คำถามเพื่อรับฟังความคิดของบุตรหลานได้เช่นกัน

“สำหรับที่มาของเทคนิค 3 คำถาม เกิดจากการถอดบทเรียนชาวอาข่า บนดอยตุง ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ขาดโอกาสในการเรียนหนังสือ แต่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข จึงถือว่าเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะในสถานกาณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่นนี้ ซึ่งยังต้องเรียนรู้ผ่านออนไลน์ อาข่าโมเดลจึงเป็นอีกทางออก ที่จะช่วยลดภาวะความตึงเครียด หรือแม้ว่าจะยังมีความตึงเครียด ก็จะรู้สาเหตุ และใช้ความเป็นจิตอาสาในการแก้ปัญหาให้กันและกันต่อไป” นพ.สุริยเดว กล่าว


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/108191

5 มหาลัยที่ค่าเทอมถูกใจในประเทศนิวซีแลนด์ !

ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นประเทศในฝันของใครหลาย ๆ ด้วยประเทศที่สวยงามและสภาพแวดล้อม บรรยากาศที่ร่มรื่น และสังคมที่เป็นมิตร จึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากที่จะได้ใช้ชีวิตหรือมีความฝันอยากที่จะเข้าศึกษาต่อในต่างประเทศ

นอกจากจะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศที่ดีแล้ว ประเทศนิวซีแลนด์ยังได้เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลกโดยได้รับการประเมินจากระบบการศึกษา 35 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศนิวซีแลนด์ให้ความสำคัญกับทุกระดับการเรียน การศึกษา อย่างในช่วงระดับอุดมศึกษาหรือภาคมหาวิทยาลัย ในประเทศนิวซีแลนด์มีมหาวิทยาลัยให้เลือกเข้าศึกษามากมาย โดยในวันนี้ทาง THE STUDY TIMES จะมานำเสนอ 5 มหาวิทยาลัยที่มีค่าเทอมถูกในประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อเป็นตัวเลือกหรือแนวทางให้ผู้ปกครองได้ตัดสินใจและลองพิจารณาให้ลูก ๆ ของคุณได้เข้าศึกษาต่อ แต่จะมีมหาวิทยาลัยอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ ! (อัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 25 มิถุนายน 2564) 

 

University of Canterbury

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองเมืองไครสต์เชิร์ช เป็นมหาวิทยาลัยของทางรัฐบาลนิวซีแลนด์ โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เปิดหลักสูตรการสอนตั้งแต่ ค.ศ.1873 ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้เปิดหลากหลายคณะ มีทุนการศึกษาให้นักศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงระดับปริญญาเอกกันเลยทีเดียว โดยมหาวิทยาลัย Canterbury มีคณะต่าง ๆ ที่น่าสนใจอาทิคณะ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์

โดยค่าเทอมของ University of Canterbury อยู่ที่ประมาณ NZ$32,950 หรือประมาณ 740,379.91 บาท สำหรับระดับปริญญาตรี และ NZ$35,040 หรือประมาณ 787,341.79 บาท ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก โดยค่าการศึกษาจะขึ้นอยู่กับสาขาหรือคณะที่เรียนเช่นกัน และอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการเวิร์คช็อปและค่าทัศนศึกษาของทางมหาวิทยาลัย 
เครดิตภาพ : scholarship-positions.com/

 

Massey University

เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ มี 3 วิทยาเขตตั้งอยู่ที่ Auckland , Wellington และ Palmerston North ประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีวิทยาเขตอยู่ที่ Albany และ Wellington มหาวิทยาลัยแห่งนี้เปิดหลักสูตรการสอนมาตั้งแต่ ค.ศ.1927 มีคุณภาพการสอนที่ยอดเยี่ยมอีกทั้งยังติดท็อป 300 ของโลกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย QS ประจำปี 2019 อีกทั้งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีวิชาการบินแห่งเดียวในประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีคณะให้นักศึกษาเลือกเรียนต่อมากมาย นอกจากนี้ยังมีทุนให้กับนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศมากมายอีกด้วย

โดยค่าเทอม Massey University จะอยู่ประมาณ NZ$29,190 หรือประมาณ 655,496.48 บาท สำหรับระดับปริญญาตรี และ NZ$32,240 หรือประมาณ 724,426.35 บาท สำหรับระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาทิเช่น ค่าหนังสือ ค่าหอพัก รวมไปถึงอุปกรณ์การเรียน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกด้วย 
เครดิตภาพ : manawatunz.co.nz

 

The University of Auckland

เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1883 มีนักศึกษามากที่ถึงประมาณ 40,000 คนต่อปี และ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิชาการอย่างมาก มีการพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องโดยสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีสาขาวิชาที่เด่น ๆ เช่นสาขาวิชาแพทยศาสตร์ บริหารธุรกิจ วิศวกรรมศาสตร์ และนิติศาสตร์ โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีการแจกทุนให้กับนักศึกษาต่างประเทศอีกด้วย 

โดยค่าเทอม The University of Auckland สำหรับระดับปริญญาตรีโดยประมาณคือ NZ$32,280 หรือประมาณ 725,325.14 บาท แล้วแต่สาขาหรือคณะที่เรียน และ NZ$35,048 หรือประมาณ 787,521.55 บาท สำหรับระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และอาจมีค่าธรรมเนียมนักศึกษาเพิ่มอีกด้วย
เครดิตภาพ : studyabroad.shiksha.com

 

Lincoln University

มหาวิยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1878 ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง Christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับให้อยู่ในระดับ 5 ดาวของ QS Stars Rating System 2018 เป็นมหาวิทยาลัยขนาดเล็กที่มีความสงบ และมีการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนอยู่เสมอ และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีการให้ทุนนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศค่อนข้างเยอะมาก มีสาขาที่เปิดสอนเด่น ๆ เช่นสาขา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สังคมศาสตร์ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ เป็นต้น

โดยค่าเทอมของ Lincoln University จะอยู่ที่ประมาณ NZ$27,930 หรือประมาณ 627,581.51 บาท สำหรับปริญญาตรี แล้วแต่สาขาหรือคณะที่เรียน และ NZ$31,410 หรือประมาณ 705,776.42 บาท สำหรับระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และอาจจะมีค่าที่พัก ค่าส่วนกลางของมหาวิทยาลัย และค่าทัศนศึกษาอีกด้วย 
เครดิตภาพ : https://en.wikipedia.org/

 

Auckland University of Technology (AUT)

เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองลงมาจาก The University of Auckland ได้รับสถานะเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อปี ค.ศ.2000 เป็นมหาวิทยาลัยที่มีศูนย์วิจัยและสถาบันกว่า 60 มีการวิจัยด้านอวกาศจนถึงปัญญาประดิษฐ์และวิทยาการหุ่นยนต์ รวมถึงด้านนิเวศวิทยาจนถึงกิจกรรมทางกายและโภชนาการ มีบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญอย่างมาก และมีการพัฒนาในการสอนอยู่เสมอ มีคณะที่โดดเด่นเช่น คณะการออกแบบและเทคโนโลยีสร้างสรรค์ คณะสุขภาพและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น

โดยค่าเทอมของ AUT ในระดับปริญญาตรีจะอยู่ที่ประมาณ NZ$32,430 หรือประมาณ 728,695.61 บาท และ NZ$36,100 หรือประมาณ 811,159.78 บาท ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก และอาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นค่าบริการนักศึกษาและค่าประกันสำหรับนักศึกษา
เครดิตภาพ : geteducation.co.th

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์ที่มีค่าเทอมและมาตรฐานการเรียน การสอน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษาหรือผู้ปกครองที่สนใจ อาจจะศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเป็นการตัดสินใจในการเลือกเรียนต่อในภาคปริญญาต่าง ๆ ทาง THE STUDY TIMES หวังว่าข้อมูลที่ได้นำเสนอจะเป็นอีกทางเลือกในการเลือกตัดสินใจในการเรียนต่อต่างประเทศนะคะ 


แหล่งข้อมูล : https://studyabroadaide.com/cheap-universities-in-new-zealand/

https://www.hotcourses.in.th/study-in-new-zealand/applying-to-university/top-universities-new-zealand-cheapest-fees-international-students/

https://www.hotcourses.in.th/study/newzealand/international/schools-colleges-university/134/list.html
 

THE STUDY TIMES X ClassOnline เสาร์อาทิตย์นี้ พบกับ LIVE วิชาสังคม และวิชาภาษาไทย

????THE STUDY TIMES X ClassOnline เสาร์อาทิตย์นี้

????วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม และ วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2564

⏰เวลา 16.00 น.

พบกับ LIVE วิชาสังคม และวิชาภาษาไทย

????วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม
วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

????วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม
วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์
ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

????ช่องทางรับชม LIVE
Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES
 

ศธ. ดันแผนแก้ปัญหา “ท้องวัยเรียน” ให้ได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม

ดร.วีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ในสถานศึกษาได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม ได้ร่วมกำหนดกรอบแนวทางการปฏิบัติในการให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่ตั้งครรภ์ กับกระทรวงพันธมิตร คือ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้เด็กที่ตั้งครรภ์ได้รับสิทธิครอบคลุม ทั้งบริการด้านสาธารณสุข การบริการด้านโอกาสทางการศึกษา และการบริการด้านสวัสดิการสังคม วางกรอบการทำงานออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับกระทรวง ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่หรือระดับสถานศึกษา

โดยกำหนดการบริการด้านสาธารณสุข คือ การบริการอนามัยเจริญพันธุ์ การให้ข้อมูล ความรู้ ให้คำปรึกษาด้านอนามัยเจริญพันธุ์ การให้บริการทางการศึกษา คือการเรียนการสอนในรูปแบบที่เหมาะสม ใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน การให้คำปรึกษา การติดตามและการส่งต่อ การให้ด้านสวัสดิการสังคมหรือการจัดหางาน การส่งเสริมและเพิ่มอาชีพ การให้บริการข้อมูลข่าวสาร การจัดครอบครัวทดแทน เป็นต้น

ด้วยความร่วมมือของทั้ง 3 กระทรวง มีเครือข่ายทั้งในระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่ภาคปฏิบัติ เชื่อมั่นในการดูแลเด็กและเยาวชนจะมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะเร่งเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทของสถานศึกษาและการดำเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. …. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการลงนามบังคับใช้โดยเร็ว อันจะเป็นกลไกการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากสถานการณ์ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น คือเด็กวัยรุ่น อายุ 15-18 ปี จำนวน 1,000 คน จะมีเด็กวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนจำนวน 30 คน

“ปรัชญาการทำงานด้านเด็กและเยาวชน คือ การที่สามารถช่วยเด็กได้แม้เพียง 1 คน ก็สามารถลดปัญหาของสังคม ปัญหาของประเทศได้อย่างมากมาย” ดร.วีระ กล่าว


ที่มา: https://moe360.blog/2021/07/05/children-pregnant/?fbclid=IwAR1wTC7WHoRY3W9bJVvDgT52FeSKfKn-oHEg5ZsQqv8UMb5X25TBx-tXCg0

‘จีน’ ใช้ประโยชน์จากภาวะโลกร้อน บุกขั้วโลกเหนือ เปิดเส้นทางเดินเรือ  ‘Polar Silk Road’

‘จีน’ ใช้ประโยชน์จากภาวะโลกร้อน บุกขั้วโลกเหนือ เปิดเส้นทางเดินเรือ  ‘Polar Silk Road’

พูดถึงมหาสมุทรอาร์กติกหลายท่านอาจไม่คุ้นว่าอยู่แถวไหน แต่หากบอกว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของหมีขาวและเต็มไปด้วยน้ำแข็งก็น่าจะพอคุ้นกันบ้าง

มหาสมุทรแห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นมหาสมุทรที่เล็กที่สุดและอยู่เหนือสุดของโลก ด้วยความหนาวเย็นจึงทำให้บางส่วนเป็นน้ำแข็งตลอดปี และเป็นน้ำแข็งเกือบทั้งหมดในช่วงหน้าหนาว นอกจากนั้นยังเชื่อมทวีปเอเชียกับยุโรปด้วยเส้นทาง Northern Sea Route

Northern Sea Route คือ เส้นทางเดินเรือที่เริ่มจากรัสเซียฝั่งตะวันออกที่อยู่ในเอเชีย แล้วมุ่งหน้าขึ้นเหนือเข้าสู่มหาสมุทรอาร์กติก เลาะริมชายฝั่งของรัสเซียจนถึงฝั่งตะวันตกที่อยู่ในทวีปยุโรป เส้นทางเดินเรือนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1872 แต่เพราะทะเลเป็นน้ำแข็ง จึงแล่นเรือได้เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน และต้องใช้เรือตัดน้ำแข็งแล่นนำทาง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือในเส้นทางนี้สูงและไม่สะดวกเมื่อเทียบกับเส้นทางอื่น

แต่จากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายมากขึ้น จนในปี 2017 เรือบรรทุกแก๊สของรัสเซียสามารถเดินเรือผ่านเส้นทางนี้ได้โดยไม่ต้องมีเรือตัดน้ำแข็งนำขบวน

จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้จีนเห็นโอกาสในการขยายเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่จึงประกาศในปี 2018 ว่าจะบุกเบิกเส้นทางสายไหมขั้วโลก (Polar silk road) เพราะหากใช้เส้นทางเดินเรือนี้จะประหยัดระยะเวลาเดินทางจากจีนไปยังท่าเรือรอตเตอร์ดาม ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เป็นแหล่งกระจายสินค้าที่สำคัญของยุโรปได้ถึง 30 - 40%

นอกเหนือจากเส้นทางการค้าใหม่แล้วจีนยังเข้าถึงแหล่งพลังงานที่สำคัญนั้นก็คือแก๊สธรรมชาติ โดยมีการถือหุ้นโครงการ Yamal ในประเทศรัสเซีย ผ่านทาง China National Petroleum Corp. (CNPC) จำนวน 20% และกองทุน China’s Silk Road อีก 9.9% ซึ่งบริเวณที่ตั้งของโครงการ Yamal นั้น คาดการณ์ว่ามีแก๊สธรรมชาติอยู่ถึง 15% ของทั้งโลก และจีนเองก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ การพัฒนาเส้นทางเดินเรือนี้จึงส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าแก๊สของจีน เมื่อต้นทุนการนำเข้าแก๊สถูกลงก็ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าภายในประเทศ

นอกจากนั้นจีนยังส่งเสริมทางด้านการวิจัยและเทคโนโลยี โดยสถาบันอวกาศและเทคโนโลยีของจีนร่วมมือกับมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็นได้ส่งดาวเทียมสำรวจขึ้นไปบริเวณนี้เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงสภาพของน้ำแข็งและส่งข้อมูลกลับมาเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเดินเรือ

จากเรื่องนี้เราเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการวางเป้าหมายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานว่าจะใช้ในการขนอะไร และจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศอย่างไร รวมถึงยังส่งเสริมทางด้านการวิจัยเพื่อนำผลที่ได้มาใช้ในภาคธุรกิจ แล้วคงต้องถามกลับว่าโครงการก่อสร้างพื้นฐานหลายโครงการในไทยมีแผนการที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติชัดเจนแบบนี้หรือไม่

เขียนโดย อาจารย์ ศรัณย์ ดั่นสถิตย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 

5 ทริค วางตัวให้ดูแพง เลอค่า!! การวางตัวให้ฉลาด เป็นเรื่องสำคัญ ในการได้รับโอกาสที่ดี

คุณไม่จำเป็นต้อง นามสกุลดัง รวยล้นฟ้า ใช้แบรนด์เนม แล้วจะได้รับคำนิยามว่าเป็น “ผู้ดีไฮโซ” แค่รู้จักวางตัวให้เป็น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทัศนคติ การกระทำบางอย่าง ก็ช่วยให้อัพเกรด มีเสน่ห์เล่อค่า สวยสง่า ดูแพง ไปไหนมาไหนใคร ๆ ก็ให้เกียรติยกย่อง  ตรงกันข้ามถ้าไม่รู้จักวางตัว เล่นมั่วไม่ทิ้งระยะห่าง คนที่เข้ามาหาก็จะมีทุกประเภท รวมทั้งคนที่ไม่ให้เกียรติคุณด้วย ทำให้เสียอิมเมจได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครคุณสามารถดูดีได้ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อนี้

1. อย่ามีนิสัยชอบนินทาผู้อื่น  เริ่มต้นจากการไม่นินทาคนอื่น เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น เกาะกลุ่มนินทาข้อเสียผู้อื่น โจมตีปมด้อยผู้อื่น เพียงเพราะเห็นภาพลักษณ์ภายนอก หรือแค่ไม่ถูกชะตา สะท้อนถึงการอบรมเลี้ยงดู  โดยเฉพาะเขียนแขวะคนโน้นทีคนนี้ทีลงโซเชียลมีเดีย ความดูแพงติดลบทันที


 
2. มีมารยาท รู้กาลเทศะ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนนิสัยใจคอแบบไหน อ่อนหวาน ขี้อาย แข็งแรง แข็งกร้าว มั่นใจ มาดมั่น การมีมารยาท รู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้จักให้เกียรติผู้อื่น เคารพผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญทุกคนต้องมีเป็นพื้นฐานเหล่านี้ค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของคำพูด “ขอบคุณ” “ขอโทษ” “ขออนุญาต” พูดให้ติดปากให้เป็นนิสัยไว้ คุณอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การรับรู้ของคนฟังยิ่งใหญ่กว่าที่คิด คำพูดของคุณอาจทำให้คนนั้นหัวใจพองโตและยิ้มได้ทั้งวันก็เป็นได้

3. รักษาศักดิ์ศรีให้คู่สนทนา ให้เกียรติตนเองและผู้อื่น อย่าใช้คำพูดทำร้ายจิตใจผู้อื่น อย่าทำลายศักดิ์ศรีของผู้อื่นด้วยคำพูด ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิด อะไรไม่ดีเก็บไว้ในใจ แต่ไม่ใช่เงียบนิ่งจนเกินเบอร์ คนที่ดูแพงเป็นที่ยอมรับจะไม่พูดพร่ำเพื่อ แต่พวกเขาสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พูดให้ตรง ไม่อ้อมค้อม แต่ใช้คำพูดเชิงบวก ไม่ทำร้ายจิตใจคนอื่น การพูดแต่ละครั้งจะพูดเฉพาะเรื่องสำคัญๆ คำพูดจึงมีพลังน่าเชื่อถือ การพูดแม้นไม่ได้พูดเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็สามารถฝึกกันได้ 

นิสัยในการยึดติดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล นิสัยที่ไร้เหตุผล ไม่ฟังคนอื่น เอาแต่ใจตัวเอง พูดจาดูถูกผู้อื่น ไม่ให้เกียรติ ไม่ใช่วิถีของคนที่มีคุณค่าในตัวเอง ต้องหัดเป็นคนที่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ใครพูดอะไรมาก็ให้ใจเย็นๆ ข่มอารมณ์ไว้ก่อน ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ตอบโต้ ใช้ความนิ่งสงบ สยบความพุ่งพล่าน คุณจะกลายเป็นคนที่ดูแพง และฉลาด เห็นไหมเท่จะตาย


4. มีความมั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง จากภายใน มีความมั่นใจ และเป็นตัวของตัวเอง คือสิ่งสำคัญ ให้สังเกตดูคนที่ดูคนสง่า ดูแพง น่าเกรงขาม ส่วนใหญ่มีบุคลิกที่เหมือนกัน 2 เรื่อง คือ “ความมั่นใจ” และ “เป็นตัวของตัวเอง” เพราะถ้าคุณไม่มีสองสิ่งนี้คุณก็จะเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่ไหลไปตามกระแสของโลกเท่านั้นเอง  

จงปลูกฝัง Mindset ตัวเองตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปว่าคุณเป็นดีมีความสามารถ ไม่ต้องพึ่งพาใคร คุณอยู่ได้ด้วยตัวเอง คุณสง่างาม คุณมีคุณค่า คุณคิดกับตัวเองอย่างไร มันจะเป็นออร่าฉายแสงสะท้อนผ่านการกระทำกับคนอื่นมากเท่านั้น ให้คุณทำไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเสียงส่วนใหญ่จะมอบเกียรตินั้นให้คุณ และอย่าไปให้ค่ากับเสียงส่วนน้อยที่เต็มไปด้วยอคติต่อตัวคุณ  ถ้าวันนี้คุณทัศนคติดี พูดดี ทำดี วางตัวดี  คนอื่นก็จะค่อยๆ เชื่อว่าคุณเป็นแบบนั้น และมอบเกียรติให้คุณโดยปริยาย

5. น่าค้นหา เป็นมิตร เข้าถึงง่าย สายตามีความเมตตา คนดูแพง เลอค่า มักมีออร่าเปล่งประกาย ดูเหมือนเป็นคนลึกลับ น่าค้นหา เข้าถึงยาก แต่เมื่อไหร่ที่ได้พูดคุย จะพบว่าเฟรนด์ลี่ น่ารัก และเข้าถึงง่ายกว่าที่คิด ถ้าอยากอัพเกรดให้ดูแพง ไม่ควรทำตัวให้เข้าถึงง่ายเกินไป อย่าคุยเล่นไปทั่วจนดูง่ายเกินไป ทางที่ดีควรวางมาดนิ่งๆ สวยๆ ยิ้มหวานๆ สายตามีความเมตตา จะทำให้คุณกลายเป็นคนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่ดูแพง แต่เป็นมิตรกับทุกคน จนใครๆ ก็ใกล้ชิดคุณ เพราะคุณเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูด น่าค้นหา และน่าหลงใหลกว่าใครๆ 
 

เชื่อว่า ถ้าหากคุณต้องการโอกาสที่ดีเข้ามาในชีวิต ต้องการได้รับการยอมรับ ต้องการคนให้เกียรติ  5 ทริคนี้สามารถช่วยคุณได้อย่างแน่นอนค่ะ

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


ข้อมูลอ้างอิง
https://today.line.me/th/v2/article/0Ra163
https://jelly.in.th/articles/how-to-be-classy-women

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

#ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top