Wednesday, 14 May 2025
Econbiz

‘อัญยา เมดิเทค’ ผนึกกำลัง ‘เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง’ ต่อยอด ‘DoCare’ ใช้ติดตาม-วิเคราะห์-แก้ปัญหาการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ

(28 มิ.ย. 67) บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันระบบงานวิศวกรรม อาคารแบบครบวงจรในรูปแบบ System Integrator และ บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด ผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ ที่จะนำนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลมายกระดับของการให้บริการแก้ปัญหาการนอนหลับให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

ความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกันในครั้งนี้ บริษัท Nexter Living ได้นำเอาระบบ DoCare - Smart Technology for Healthy Living ซึ่งเป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่ช่วยให้คนไข้สามารถได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บ้าน มาใช้งานร่วมกับการให้บริการทางการพยาบาลและการแพทย์ของ บริษัท อัญยา เมดิเทค

นางสาวทักษอร คงคาประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด เปิดเผยว่า อัญยา เมดิเทค เป็นผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ที่มีจุดเริ่มต้นจากการอยากให้ทุกคนได้รับการช่วยเหลือให้นอนหลับได้ดีขึ้น และมีสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ อัลไซเมอร์ และโรคร้ายต่าง ๆ การนอนไม่มีคุณภาพจึงเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม ซึ่งตลอดการดำเนินงานร่วม 4 ปี อัญยา เมดิเทค ได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านยอดจำหน่าย และผู้ที่เข้ารับการรักษา โดยความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท Nexter Living ในครั้งนี้จะช่วยในเรื่องการปรับปรุงรูปแบบการให้บริการลูกค้าของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีที่สุด

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัท Nexter Living ที่เป็นกลุ่มธุรกิจในเครือของเอสซีจี บริษัทชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลและให้บริการของเราให้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ยังทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย” นางสาวทักษอร กล่าวทิ้งท้าย

ระบบ DoCare - Smart Technology for Healthy Living เป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่พัฒนาโดย บริษัท Nexter Living ที่จะช่วยให้คนไข้ได้รับการดูแลที่ดีอย่างต่อเนื่องจากที่บ้านของตัวเอง ช่วยลดเวลาการเดินทางไปศูนย์ให้บริการในกรณีที่ไม่จำเป็น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเก็บข้อมูลสุขภาพแบบอัตโนมัติ แล้วส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลได้ในทันที ซึ่งระบบ DoCare มีเทคโนโลยีการตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับที่แม่นยำสูงสามารถส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามผลได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเรื่องการดูแลสุขภาพและช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น

นายดุสิต ชัยรัตน์ Smart Home Living Solution Director บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า ระบบ DoCare เป็นนวัตกรรมระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่มีความแม่นยำสูงสามารถติดตามและดูแลสุขภาพคนไข้ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับแล้ว ระบบ DoCare ยังมีเทคโนโลยีตรวจจับการล้ม และการขอความช่วยเหลือฉุกเฉินแบบไร้สาย ที่ช่วยยกระดับด้านการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยจากที่บ้านอีกด้วย ซึ่งระบบ DoCare จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการดูแลติดตามคุณภาพการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น 

นายดุสิต ชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า “เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง เป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบงานวิศวกรรม อาคารแบบครบวงจรที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผสมผสานกับงานบริการ เพื่อช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาวะที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยความร่วมมือทางธุรกิจกับ อัญยา เมดิเทค เป็นโอกาสที่ดีในการนำเอานวัตกรรม DoCare ของบริษัทมาช่วยให้เกิดประโยชน์ต่องานบริการด้านสุขภาพให้กับผู้คน”

ความร่วมมือทางธุรกิจของ บริษัท เน็กซเตอร์ ลีฟวิ่ง จำกัด และ บริษัท อัญยา เมดิเทค จำกัด ในครั้งนี้ได้นำนวัตกรรม DoCare ระบบติดตามสุขภาพทางไกลที่ช่วยให้คนไข้ได้รับการตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับอย่างแม่นยำและต่อเนื่องจากที่บ้าน มาผสานการให้บริการจากผู้นำศูนย์บริการด้านสุขภาพเพื่อการนอนหลับแบบครบวงจร ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประสบปัญหาการนอนไม่มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่หลับ การนอนละเมอ รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีอันตรายค่อนข้างมาก ให้สามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วโดยที่ไม่จำเป็นเดินทางไปโรงพยาบาลในกรณีที่ไม่จำเป็นอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ อัญยา เมดิเทค (Anya Meditec) โทรศัพท์ 061-271-1477 Facebook https://www.facebook.com/AnyaMeditec/ หรือ https://anyameditec.com

ไทยเล็งเก็บ ‘Carbon Tax’ เป็นชาติที่ 2 ในอาเซียน ต่อจากสิงคโปร์ กำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนฯ คาด!! ดีเดย์ปลายปี 68

(28 มิ.ย. 67) Business Tomorrow รายงานว่า กรมสรรพสามิตไทย ได้เปิดเผยถึงการเตรียมใช้ภาษีคาร์บอนเป็นกลไกภาคบังคับเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หวังให้ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนในรูปแบบภาคบังคับจะสามารถนำไปนำไปใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ที่อียูจะเรียกเก็บจากผู้นำเข้าสินค้าไปยังอียูในปี 2569 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ส่งออกในระยะแรก

คาดว่าภาษีคาร์บอนของไทยสามารถบังคับใช้อย่างเร็วสุดภายในปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567) เพื่อให้ทันการเก็บค่าธรรมเนียม CBAM ในปี 2569 ขณะที่ พ.ร.บ. Climate Change ที่จะเป็นกฎหมายเพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับในรูปแบบ ระบบ Emission Trading Scheme (ETS) น่าจะบังคับใช้ได้ในปี 2572

>> ค่าธรรมเนียม Carbon Tax ของไทยจะอยู่ที่เท่าไหร่ ?

ดังนั้น ในระยะแรกจึงเป็นเรื่องที่ดี หากมีการปรับใช้ภาษีคาร์บอนโดยใช้หลักการแปลงภาษีสรรพสามิตที่เดิมมีการผูกกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน เพื่อไม่สร้างภาระทางภาษีเพิ่มแก่ประชาชน และสามารถให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ในระหว่างรอกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับจาก พ.ร.บ. Climate Change ในภายหลัง 

ทั้งนี้ประเทศไทยอาจกำหนดราคากลางที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งน้อยกว่าราคาคาร์บอนของอียู (EU ETS) หรือ Carbon Tax ของสิงคโปร์ที่อยู่ที่ประมาณ 2,700 และ 700 ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การมีกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในรูปแบบภาคบังคับจะช่วยผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกไปยัง EU หรือประเทศที่มีการใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ลดหย่อนค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายให้แก่ประเทศที่บังคับใช้ได้

ทั้งนี้ ผลกระทบอาจแบ่งเป็น 2 ระยะ

- ระยะแรก ผู้ส่งออกใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียม CBAM โดยไม่มีภาระภาษีภายในประเทศเพิ่ม เนื่องจากใช้ภาษีสรรพสามิตแปลงมาเป็นภาษีคาร์บอน ในช่วงก่อนมี พ.ร.บ. Climate Change ทั้งนี้ภาครัฐควรจัดหากลไกกองทุนเพื่อนำรายได้ดังกล่าวสนับสนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดด้วย

- ระยะหลังจากที่ พ.ร.บ. Climate Change บังคับใช้ จะมีกลไก Emission Trading Scheme และการกำหนดพิกัดอัตราภาษีคาร์บอนที่ยังไม่เก็บอยู่เดิม จะส่งผลต่อต้นทุนของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมภายในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นไปตามบริบทของการดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก

‘การรถไฟฯ’ จับมือ ‘ททท.’ จัดกิจกรรมการเดินทาง เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ ‘สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม’ ที่สถานีหัวลำโพง

เมื่อวานนี้ (28 มิ.ย. 67) การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ผนึกความร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม ‘สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม’ โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมกันในการเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยนางสาวณภัทรา กมลรักษา ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมการรถไฟแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้เกียรติเข้าร่วมงานชวนเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ทางรถไฟ 6 เส้นทาง ‘สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม’ ณ สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง)

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Thailand Vision ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ‘IGNITE THAILAND’ เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยว ‘เมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว’ โดยเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่เมืองใกล้เคียง ผ่านระบบขนส่งสาธารณะของประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่น และเป็นการสร้างความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวให้เดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี  

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม ได้ขานรับนโยบายดังกล่าว และร่วมเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่ Tourism Hub ที่สำคัญของโลกอย่างเป็นรูปธรรม โดยล่าสุดในวันนี้ กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และภาคีพันธมิตรภาคีเอกชน ได้แก่ บริษัทบุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดตัวกิจกรรมท่องเที่ยวทางรถไฟ ‘สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม’ เพื่อส่งมอบประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ผ่านการเดินทางโดยรถไฟ ที่มีความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2567 จำนวน 6 เส้นทาง ประกอบด้วย

เดือนกรกฎาคม 2567 กิจกรรมโดยรถไฟ KIHA 183 จำนวน 4 เส้นทาง พร้อมแพ็กเกจท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ราคา 3,999 บาท ต่อท่าน ได้แก่ 
- เส้นทางที่ 1 กรุงเทพ - ราชบุรี (ภาคกลาง) ในวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2567 
- เส้นทางที่ 2 กรุงเทพ -สวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ภาคกลาง) ในวันที่ 13 – 14 กรกฎาคม 2567 
- เส้นทางที่ 3 กรุงเทพ - สุพรรณบุรี (ภาคกลาง) ในวันที่ 20 – 21 กรกฎาคม 2567 
- เส้นทางที่ 4 กรุงเทพ - ปราจีนบุรี (ภาคตะวันออก) ในวันที่ 27 – 28 กรกฎาคม 2567  

เดือนสิงหาคม กิจกรรม ‘สิงหาแม่พาเที่ยว’ 2 เส้นทางรถไฟ ในรูปแบบ One Day Trip ได้แก่ 
- เส้นทางที่ 1 แม่พาลูกเที่ยว ชวนนั่งรถจักรไอน้ำประวัติศาสตร์ กรุงเทพ - ฉะเชิงเทรา (ภาคตะวันออก) ในวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ราคา 799 และ 329 บาทต่อท่าน 
- เส้นทางที่ 2 Royal Blossom รถไฟสายแห่งความสุข กรุงเทพ - กาญจนบุรี ซึ่งเป็นการเปิดให้บริการขบวนรถท่องเที่ยว SRT Royal Blossom เป็นครั้งแรก ในวันที่ 17 สิงหาคม 2567 ราคา 1,799 บาทต่อท่าน 

พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษของเดือนสิงหาคม กิจกรรม ‘สิงหาแม่พาเที่ยว’ เฉพาะคุณแม่รับบัตรกำนัล มูลค่าเท่ากับราคาตั๋วโดยสารฟรี 1 สิทธิ์ต่อ 1 ครอบครัว เพียงแสดงบัตรประชาชนของคู่คุณแม่คุณลูก และสำเนาทะเบียนบ้าน (สามารถรับบัตรกำนัลได้ในวันเดินทาง)

นอกจากนี้ ตลอดการเดินทาง ยังได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด สนับสนุนน้ำดื่มทุกทริป และมอบบัตรกำนัลฟรี สำหรับคุณแม่ในกิจกรรมสิงหาแม่พาเที่ยว บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบเจลอาบน้ำเดทตอลให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่าน พร้อมผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคของเดทตอล สำหรับใช้ทำความสะอาดบนขบวนรถไฟนำเที่ยวทุกขบวน ในส่วนของบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบกรมธรรม์ดูแลค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 50,000 บาท รวมถึงค่ารักษาพยาบาลจากอาหารเป็นพิษให้กับนักท่องเที่ยวทุกท่านอีกด้วย 

ขณะที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมสนับสนุนนำมัคคุเทศก์มืออาชีพ ช่วยบรรยายความรู้และข้อมูลต่าง ๆ พร้อมจัดกิจกรรมสุดพิเศษเพื่อเพิ่มบรรยากาศแห่งความสุขบนขบวนรถไฟ ตลอดเดือนกรกฎาคม อาทิ เส้นทางราชบุรี พบกับคุณเจ ชลัช นายแบบมากฝีมือที่จะมาร่วมเดิน Fashion Show ผ้าขาวม้าของดีประจำเมืองราชบุรีครั้งแรกบนรถไฟ เส้นทางสวนสนประดิพัทธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พบกับอาจารย์อัส มนต์คเนศวร์ สิริปภัสสร ที่จะมาบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์อันทรงคุณค่าด้วย Saxophone ครั้งแรกบนรถไฟ เส้นทางสุพรรณบุรี ที่จะพาทุกท่านร่วมย้อนวันวานกับ ‘น้าโย่ง’ ที่จะมาขับร้องเพลงฉ่อยเรื่องราวการกำเนิดเมืองอู่ทองที่สอดแทรกความเป็นไทย ให้ทุกท่านได้ร่วมสนุกและเพลิดเพลิน และเส้นทางปราจีนบุรี พบกับเคล็ดลับการสักการะท้าวเวสสุวัณ จากซินแสเป็นหนึ่ง วงษ์ภูดร ที่จะพาทุกท่านร่วมมูเตลูกันแบบจัดเต็ม 

นายสุรพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ คาดหวังว่าจากความร่วมมือในกิจกรรมครั้งนี้ จะช่วยเปิดมิติใหม่ในการเดินทางท่องเที่ยวทางรถไฟ พร้อมกับช่วยสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศได้ตลอดทั้งปี นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่น และทำให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศเติบโตเข้มแข็งมั่นคงต่อไป 

สำหรับ ผู้ที่สนใจจองโปรแกรมท่องเที่ยวทั้ง 6 เส้นทาง สามารถซื้อตั๋วได้ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศหรือผ่านระบบออนไลน์ D-ticket ของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย 1690

'วงเสวนาฯ' ชี้ 'การเมือง' มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล ส่งผลต่อ 'เศรษฐกิจมหภาค-การคลัง'

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 
อดีต รมว.กระทรวงพลังงาน 
กล่าวในงานเสวนาเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน’ ชื่นชมทีมงานที่สร้าง EEC ชี้!!  ทำเป็นเมืองการบินได้อย่างเต็มที่

‘ธนกร’ หนุน ‘พีระพันธุ์’ ออกมาตรการ ลดค่าใช้จ่ายพลังงาน เพื่อลดภาระค่าครองชีพ มั่นใจ!! การเพิ่มวงเงิน ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ 3 เดือน ช่วยกลุ่มเปราะบางได้แน่

(29 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานน้ำมันและก๊าซหุงต้มที่มีการปรับขึ้นราคา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของพี่น้องประชาชน ตนขอสนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 2/2567 ที่เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือค่าน้ำมัน (กลุ่มเบนซิน และกลุ่มดีเซล โดยให้ใช้กับยานพาหนะ)อีก 120 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567  

นอกจากนี้ ยังมีมติลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อช่วยลดภาระของประชาชน ให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน เร่ง ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว โดยการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มสถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

“รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เรื่องค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทั้งน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ก๊าซ LPG หวังช่วยตรึงราคาพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย บรรเทาความเดือดร้อนได้ในระยะ 3 เดือน” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

'วงเสวนาฯ' ชี้ 'การเมือง' มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล ส่งผลต่อ ' เศรษฐกิจมหภาค-การคลัง'

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ 
ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 
กล่าวในงานเสวนาเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน’ ในหัวข้อ ‘ปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยใน 20 ปีที่ผ่านมา และนโยบายการเงินที่ควรพิจารณาใหม่’

'วงเสวนาฯ' ชี้ 'การเมือง' มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล ส่งผลต่อ ' เศรษฐกิจมหภาค-การคลัง'

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล 
ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย 
กล่าวในงานเสวนาเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน’ ในหัวข้อ ‘ยกเครื่องเศรษฐกิจไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน’ 

'วงเสวนาฯ' ชี้ 'การเมือง' มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ นโยบายของรัฐบาล ส่งผลต่อ ' เศรษฐกิจมหภาค-การคลัง'

รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ 
นักเศรษฐศาสตร์ด้านนโยบายการคลังและการพัฒนา
คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
กล่าวในงานเสวนาเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตอย่างยั่งยืน’ ถึงปัญหาการขาดดุลการคลัง ‘เรื้อรัง’

'พีระพันธุ์' ขานรับ 'ก.เกษตร' เร่งช่วยชาวสวนปาล์มสุราษฎร์ฯ แก้ปัญหาราคาตกต่ำ พร้อมหนุนไฟฟ้าระบบโซลาร์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่เกษตรกร

‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ลงพื้นที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี รับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ พร้อมเร่งแนวทางผลิตน้ำมันระบบไพโรไลซิสจากขยะพลาสติกและเศษถ้วยยางพาราเพื่อช่วยลดมลภาวะและช่วยเกษตรกร รวมทั้งเร่งการสนับสนุนไฟฟ้าระบบโซลาร์เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้เกษตรกรและประชาชนอย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (29 มิ.ย.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำจากชาวสวนปาล์มและโรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ หรือ CPO ณ บริษัท ปาล์มทองคำ จำกัด อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีครั้งนี้ เพื่อพบพูดคุยปัญหากับชาวสวนปาล์มที่ประสบปัญหาราคาปาล์มตกต่ำโดยตรง พบว่าปัจจุบันปัญหาลดน้อยลงแล้วและลานเทก็รับซื้อทะลายปาล์มจากชาวสวนยางในราคาสูงขึ้น แต่ปัญหาคืออยากให้กรมการค้าภายในประกาศราคารับซื้อทะลายปาล์มในราคาสูงขึ้น เพราะราคาปุ๋ยกับค่าใช้จ่ายอื่นไม่ลดลง ส่วนปัญหาของโรงหีบหรือโรงสกัดคืออยากให้วางระบบการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบของโรงงานไบโอดีเซลให้มีความเป็นธรรมกับลานเทและโรงสกัดมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีกฎหมายกำกับดูแลลานเทและโรงสกัดแต่กลับไม่มีกฎหมายกำกับดูแลโรงงานไบโอดีเซลในการซื้อน้ำมันปาล์มดิบ CPO และการขายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ รวมทั้งน้ำมัน B100 ที่นำมาผสมน้ำมันดีเซล ซึ่งนายพีระพันธุ์รับว่าจะนำไปพิจารณา ทั้งนี้ปัจจุบันนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน ทำงานร่วมกันเพื่อเร่งหามาตรการแก้ไขและช่วยเหลือพี่น้องชาวสวนปาล์มอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพลังงาน แม้ว่าจะไม่ใช่กระทรวงหลักที่ดูแลปัญหาดังกล่าว ทว่า ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้ขอให้กระทรวงพลังงานช่วยดำเนินการให้ผู้ค้าน้ำมัน เช่น ปตท. และ บางจาก รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ B100 จากโรงงานผลิตไบโอดีเซลที่นำมาใช้ผสมน้ำมันดีเซล ในราคาประมาณ 33-35 ต่อกิโลกรัม ตามที่สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ประกาศไว้ เนื่องจากมองว่าจะทำให้การรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบหรือ CPO จากโรงหีบหรือโรงสกัดในราคาสูงขึ้นได้ จากนั้นโรงหีบหรือโรงสกัดก็จะไปซื้อผลปาล์มจากลานเทในราคาสูงขึ้น และจะทำให้ลานเทสามารถขยับราคารับซื้อผลปาล์มจากชาวสวนปาล์มสูงขึ้นด้วยตามลำดับ 

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะบังคับผู้ค้าน้ำมันให้รับซื้อน้ำมัน B100 ในราคาใดราคาหนึ่ง ต่างจากกระทรวงพาณิชย์ นอกจากนั้นโรงงานผลิตไบโอดีเซลเป็นขั้นตอนที่อยู่ห่างจากการซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรที่ลานเทมาก จึงขอความร่วมมือให้ผู้ค้าน้ำมันที่จะซื้อน้ำมัน B100 จากโรงงานไบโอดีเซลต้องทำความตกลงกับโรงสกัดและลานเทว่าจะรับซื้อทะลายปาล์มจากชาวสวนปาล์มในราคาสูงขึ้นด้วยเสียก่อน ขณะเดียวกัน จะผลักดันการนำน้ำมันปาล์มดิบ CPO ขยะพลาสติก และเศษถ้วยยางไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตน้ำมันระบบไพโรไลซิสในชุมชนเพื่อช่วยลดมลภาวะและช่วยลดภาระด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้เกษตรกร

“ก่อนหน้านี้ เคยให้ความเห็นไว้ว่า หากต้องการจะช่วยเหลือชาวสวนปาล์มจริง ๆ แล้ว ควรให้กระทรวงพาณิชย์กำกับให้ลานเทรับซื้อผลปาล์มในราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศตามกฎหมายมากกว่า เพราะปัญหาในปัจจุบันคือ ลานเทส่วนมากไม่รับซื้อผลปาล์มในราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ ในขณะที่โรงหีบหรือโรงสกัดส่วนใหญ่กลับเป็นผู้รับซื้อผลปาล์มจากลานเทตามราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ ปัญหาอีกอย่างคือเรายังไม่มีการขึ้นทะเบียนลานเทว่า มีจำนวนเท่าใด ขนาดใด ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อมาดูกระบวนการรับซื้อปาล์มของลานเทในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันมากที่สุดของประเทศ จากนั้นจะนำไปสู่การบูรณาการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวสวนปาล์มอย่างยั่งยืนต่อไป”

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ ยังได้รับฟังเสียงจากชาวสุราษฎร์ธานี ที่ต้องการให้ช่วยส่งเสริมไฟฟ้าจากแสงแดดหรือระบบโซลาร์เซลล์ ซึ่งนายพีระพันธุ์แจ้งให้ทราบว่าปัจจุบันกระทรวงพลังงานกำลังเตรียมการที่จะสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรและชาวบ้านในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในเรื่องนโยบายและงบประมาณ แต่ในระยะยาวต้องทำกฎหมายการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นการเฉพาะเพื่อลดขั้นตอนการขออนุญาตและกำหนดมาตรการสนับสนุนอย่างยั่งยืนด้วย ปัจจุบันกระทรวงพลังงานได้เจรจากับกระทรวงการคลังที่จะให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์รูฟ มาหักภาษีเงินได้ คาดว่าจะสามารถนำเข้าที่ประชุม ครม. ได้ในเร็วๆ นี้ 

กับดักประเทศไทย วนเวียนสถานะ 'นักรบรับจ้าง' (ผลิต) ยาวนาน ไม่เคยอยากเปลี่ยนไปกินเนื้อ ทั้งที่ศักยภาพมีมากเกินพอ

(1 ก.ค. 67) คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสะท้อนข้อจำกัดของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายสิบปีมานี้ ว่า...

“เราไม่ชอบกินเนื้อ แต่เราชอบแทะเม็ด”

“หนึ่งในความคิดที่เป็นข้อจำกัดของเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี คือเราไม่เคยคิดจะกินส่วนที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด ในห่วงโซ่การผลิตของโลกเลย”

“ประเทศไทยนั้น มีความเก่งในด้านการผลิตไม่แพ้ใครนะครับ ด้วยความที่เราเป็น OEM มายาวนาน ขอแค่มีโจทย์กับคำสั่งซื้อมา ผมว่าคนไทยเราผลิตได้หมดแหละ อยากได้อะไรขอให้บอก เราสร้าง Product Champion ออกมาได้เรื่อย ๆ ตั้งแต่ข้าว, ยาง, ชิ้นส่วนรถยนต์, ฮาร์ดดิสก์, ทุเรียน, อาหารหมา-แมว บลา ๆ ๆ”

“แต่ในความดีก็มีความแย่ คือเราเป็นนักรับจ้างผลิตที่เก่งกาจและซื่อสัตย์ เราดูจะพอใจแค่หน้าที่ที่เราได้ เหมือนกินผลไม้ เราก็ชอบนั่งแทะเม็ด กินเนื้อติดเม็ด ไม่เคยอยากเปลี่ยนไปกินเนื้อ กินไก่เราก็แทะคอไก่ อย่างดีก็ปีกไก่ ไม่ได้กินน่อง หรือต่อให้อยากเปลี่ยนไปกินส่วนดี ๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”

“ให้เห็นภาพชัดที่สุด ลองดูสิครับว่า คนที่ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถยนต์ได้เก่งที่สุดในโลกคนนึงอย่างเรา ทำไมเราไม่มีแบรนด์รถยนต์ของตัวเองเลย?”

“หรือประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรหลายอย่างเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก เรากลับต้องแข่งกันที่ราคาเสียเป็นส่วนใหญ่?”

“ลองดูประเทศจีนครับ จีนก็เริ่มจากการเป็น OEM แบบเรา เริ่มทีหลังเราด้วย แต่จีนทำแบบนั้นอยู่อาจจะแค่สิบกว่าปี และก็ยกระดับตัวเอง จากการผลิตสินค้า ไปผลิตแพลตฟอร์ม ผลิตแบรนด์ ผลิตเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือเนื้อสันใน หรือน่องไก่ ที่แพงกว่า อร่อยกว่า ทำจนมีปัญหากับเบอร์ 1 อย่างอเมริกา”

“ส่วนเราไม่เคยมีปัญหากับยักษ์ใหญ่คนไหน เพราะไม่เคยมีใครมองเราเป็นภัยคุกคามนั่นแหละ อย่างมากก็ทะเลาะกับเขมร”

“สุดท้าย ปัญหาทั้งหมดก็วนกลับมาที่รัฐ เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐเราไม่เคยวางแนวนโยบายแบบ 'คิดใหญ่' ที่จะพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนา Platform หรือแบรนด์ เราก็เลยต้องทำงานหนักด้วยการเป็นผู้ผลิต ที่ทั้งเหนื่อย กำไรน้อย แถมผันผวน เพราะของที่เราทำได้ดี วันนึงก็จะไม่เป็นที่ต้องการแล้ว ต้องหา Product Champion ใหม่ไปเรื่อย ๆ”

“พูดภาษาบ้าน ๆ คือรัฐ ไม่เคยวาง Career Path ของประเทศเราเองให้ชัดเลย หรือคิดในแง่ร้าย คือผู้นำเราถูกจ้างมาให้วางแผน ให้ประเทศเราเป็นพนักงานผู้ซื่อสัตย์ไปตลอดกาล”

“ถ้าเริ่มตอนนี้ แม้จะสาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ เราต้องวาง Position ตัวเองในโลกได้แล้ว ว่าเราจะยืนตรงไหน โตไปตรงไหน แล้วหาแนวทางไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก แล้วค่อยมารู้ตัวเมื่อสายว่าโลกเขาไม่ต้องการเราอีกแล้ว”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top