Wednesday, 14 May 2025
Econbiz

'กฤชนนท์' ลงพื้นที่สายสีแดงจัดแผน 'เพิ่มรถสาธารณะ-จุดจอดรถ' แย้ม!! นโยบายรถไฟฟ้า 20 ตลอดสาย หนุนผู้ใช้บริการพุ่งเกินคาด

(25 มิ.ย. 67) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมและโฆษกกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการผลักดัน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรองนายกรัฐมนตรี โดยนำร่อง 2 โครงการ คือ 

1.โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน จำนวน 10 สถานี และช่วงบางซื่อ-รังสิต จำนวน 4 สถานี

2. โครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ จำนวน 16 สถานี ซึ่งขณะนี้มีประชาชนเข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

โดยจากการลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีรังสิต โดยได้มีการเจรจากับประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ระบบขนส่งเสริม หรือ Feeder System ยังไม่เพียงพอต่อการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะด้านของรถสาธารณะ และสถานที่จอดรถยนต์บริเวณสถานี ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานได้จัดทำแผนและเตรียมดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

นายกฤชนนท์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ทางหน่วยงาน กรมการขนส่งทางบก ได้จัดเตรียมแผนเพิ่มจำนวนการเดินรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะ โดยจะเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกจังหวัดปทุมธานี ภายในช่วง กรกฎาคม 2567 โดยจากแผนเบื้องต้น จะให้เอกชนเดินรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มอีก 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 วงกลมรังสิต / เส้นทางที่ 2 รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต / เส้นทางที่ 3 รังสิต-โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส และเส้นทางที่ 4 รังสิต คลอง 7 และเตรียมเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาต่อไป 

จากปัจจุบันนี้ที่มีรถโดยสารสองแถวขนาดเล็ก สีแดง และสีเขียว จำนวน 4 เส้นทาง วิ่งให้บริการตั้งแต่เปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ได้แก่ เส้นทาง 6188 รังสิต-จารุศร / เส้นทาง 1008 รังสิต-อำเภอหนองเสือ / เส้นทาง 1116 รังสิต-สถานีรถไฟเชียงราก และเส้นทาง 381 รังสิต-องครักษ์ 

นอกจากนี้ทางหน่วยงาน รฟท. ยังมีแผนที่จะปรับปรุงพื้นที่ เพื่อให้มีสถานที่จอดรถเพิ่มเป็น 200-300 คัน จากปัจจุบันที่สามารถจอดได้ 100 คัน พร้อมทั้งเร่งดำเนินการพัฒนาแผนการก่อสร้างเป็นอาคารจอดรถยนต์เพิ่มเติมต่อไป

อุปสรรค Landbridge 'ชุมพร-ระนอง' สารพันปัญหาจากทีมคัดค้าน สุดท้าย ECRL เชื่อม 2 ฝั่งทะเลของมาเลย์ ปาดหน้า เปิดปี 2570

(25 มิ.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ เหตุขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการ แลนด์บริดจ์ ช่วง ชุมพร-ระนอง โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“ถ้า #Landbridge ชุมพร-ระนอง มัวแต่ทะเลาะกันก็เลิกเถอะ รอไปใช้ #ECRL ของมาเลย์ เชื่อม 2 ฝั่งทะเล เปิด 2570”

“ส่วนไทย สร้างไม่ได้ กลัวผลกระทบสิ่งแวดล้อม กลัวคนต่างถิ่น สารพัดปัญหา สุดท้ายข้างบ้านเสร็จก่อน รอไปใช้นะ!!”

“วันนี้ผมมาขอระบายเรื่องแผนการพัฒนา Landbridge ช่วง ชุมพร-ระนอง หน่อยครับ เพราะผ่านมากว่า 2 ปี ที่เริ่มศึกษา หาข้อมูล และหาความเป็นไปได้ จนมาถึงการทดสอบความสนใจของเอกชน ที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาเส้นทาง”

“แต่!! ที่ผมได้ยินมา ทั้งในข่าว และมีคนในพื้นที่เล่าให้ฟังว่า มีการตั้งทีมคัดค้านเพื่อไม่ให้โครงการเกิด โดยยกสารพัดปัญหา สิ่งแวดล้อม ไม่คุ้มค่า เรือใช้เวลานาน ไม่มีสายเรือมาใช้ต่าง ๆ นา ๆ ตั้งมอบมาคัดค้าน ให้โครงการมีความมั่นคงต่ำ และสุดท้ายเอกชนก็จะไม่สนใจเข้ามาร่วม”

“แต่คุณรู้รึเปล่า ระหว่างที่เรามัวแต่ทะเลาะกัน มาเลย์ เขาทำนำหน้าเราไปแล้วกับโครงการ ECRL (East Coast Rail Link) เชื่อม 2 มหาสมุทร ระหว่างท่าเรือ Port Klang ฝั่งมหาสมุทรอินเดีย กับ Kuantan Port ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมันก็คือ Landbridge ที่เราพูดถึงกันอยู่เนี่ย!!”

“ซึ่งมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้าโครงการเรายังไม่ได้ข้อสรุป และยังคัดค้านเตะขากันไปมาอยู่แบบนี้ก็ “เลิกเถอะครับ” เสียเวลา เปลืองเงิน เอาไปใช้กับ EEC เถอะ เพราะถ้าช้ากว่านี้เราก็ไม่ทัน มาเลย์แล้ว”

>> เผื่อใครยังไม่รู้จัก Landbridge พร้อมผลการศึกษาเบื้องต้น รวมทั้งโครงการ ตามลิงก์ใน
https://www.facebook.com/share/VhDoED4eksUG13mz/?mibextid=WC7FNe

>> รายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน รายการ อัปเดตประเทศไทย EP.6
https://fb.watch/opmDXJfSvl/

>> รายละเอียด MR8 Landbridge ชุมพร-ระนอง ก่อนหน้านี้
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1364108297360979&id=491766874595130

>> สรุปตำแหน่งท่าเรือน้ำลึก และเส้นทาง MR8 เชื่อม 2 ฝั่งทะเล
https://www.facebook.com/share/mXvppD6gf4wVN6Kg/?mibextid=WC7FNe

“มาดูรายละเอียด โครงการ ECRL คู่แข่งของ Landbridge ของเรากันก่อน”

“ECRL เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง รัฐบาล จีน (75%) และมาเลย์ (25%) โดยเป็นรถไฟเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งทะเล เพื่อมาแก้ปัญหาช่องแคบมะละกา ที่หนาแน่นมาก และนำสินค้าเข้าแปรรูปในประเทศก่อนส่งออกทั้ง 2 ฝั่งทะเล”

รายละเอียดเส้นทาง ระยะทางรวม 665 กิโลเมตร
- ยกระดับ 138 กิโลเมตร
- อุโมงค์ 53 กิโลเมตร
- ระดับดิน 404 กิโลเมตร
- สายทางแยก 70 กิโลเมตร

“มาตรฐานการออกแบบรถไฟ
- รถไฟราง Standard Gauge (1.435 เมตร)
- ทำความเร็วรถโดยสารสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- เป็นทางคู่ ตลอดเส้นทาง
- ติดระบบจ่ายไฟฟ้า (OCS) ตลอดเส้นทาง”

“ซึ่งล่าสุด Update ความคืบหน้า เดือนมิถุนายน คืบหน้าแล้ว 65% คาดกว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571!!”

>> ลิงก์รายละเอียดโครงการ
https://www.mida.gov.my/wp-content/uploads/2024/03/East-Coast-Rail-Link-ECRL-–-Value-Adding-Disruptor-for-National-Logistics-by-MRL_compressed.pdf?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR2MDChMP1s0Db4zDglPjogg5c_TX9EVDJmMMi5zSN1JVzb5nf_1eJJugeQ_aem_CQvxFc87wf9Al93rMldtyA

>> VDO ความคืบหน้าโครงการ เดือนมิถุนายน 67
https://youtu.be/hNCcl6Po3d8?si=YPGGOuj0xVIlE3r9

“ซึ่งอีกหนึ่งความน่าสนใจของเล่นทางนี้ จะทำสายแยกมาติดกับทางรถไฟสายใต้ ของไทย (สถานีสุไหงโกลก) ซึ่งอนาคตอาจจะมีการเจรจารื้อฟื้นการเชื่อมโยงระหว่างประเทศได้
แต่ในอีกมุมหนึ่ง สินค้าไทยเราต้องไปอาศัยท่าเรือมาเลย์ ในการขนส่งมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่สะดวกมากขึ้นในการรับ-ส่งสินค้าเข้าสู่ โครงการ ECRL ได้โดยตรง”

“สุดท้ายผมขอฝากถึงผู้เกี่ยวข้อง ช่วยตัดสินใจให้ชัดว่าจะเอายังไง จะทำไม่ทำ เพราะถ้าช้ากว่านี้ มันก็สายเกินไปแล้ว”

'สมาคมโรงแรมไทย' ชี้!! นทท.ต่างชาติแตะ 16 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 7 แสนล้านบาท อานิสงส์ 'ฟรีวีซ่า'

(25 มิ.ย.67) นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวว่า การทยอยกลับมาของนักท่องเที่ยวตลาดหลัก ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมล่าสุด ตั้งแต่ 1 มกราคม -16 มิถุนายน 2567 มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยแล้วถึง 16,200,706 คน เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 765,584 ล้านบาท

กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งมาตรการภาครัฐหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นวีซ่าไทย-จีน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง การกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน และการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือ วีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน รวมถึงการโรดโชว์ของหน่วยงานการท่องเที่ยวไทยที่มีเป้าหมายในการขยายตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง มีส่วนช่วยผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

เชื้อไฟสงครามปะทุ!! เตรียมดันราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น หลังภัย 'ตะวันออกกลาง' และ 'รัสเซีย' ยังคุกรุ่น

(25 มิ.ย.67) หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลก ประจำสัปดาห์วันที่ 17-21 มิ.ย. 67 และแนวโน้มในสัปดาห์วันที่ 24-28 มิ.ย. 67 โดยระบุว่า ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์สงครามคุกรุ่นในตะวันออกกลางและรัสเซีย

- นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล นาย Benjamin Netanyahu ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 67 ว่า การโจมตีกลุ่มฮามาส (ในฉนวนกาซา) กำลังจะสิ้นสุดลง และเป้าหมายของกองทัพอิสราเอลจะเปลี่ยนไปเป็นที่ชายแดนทางตอนเหนือของอิสราเอลติดกับเลบานอน ทั้งนี้กองทัพอิสราเอลประกาศจะปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ ต่อฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ทางตอนใต้ของเลบานอน ซึ่งอาจส่งผลให้ความขัดแย้งลุกลามกลายเป็นสงครามในภูมิภาค

- วันที่ 21 มิ.ย. 67 ทหารยูเครนใช้โดรน (Unmanned Aerial Vehicles) โจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย 4 แห่ง กำลังการกลั่นรวมกว่า 400,000 บาร์เรลต่อวัน (ประมาณ 6% ของกำลังการกลั่นรวม) ทำให้เกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้ อนึ่งรัสเซียใช้โรงกลั่นดังกล่าวผลิตเชื้อเพลิงให้เรือรบที่ปฏิบัติการในทะเลดำ

- Energy Information Administration (EIA) รายงานว่าอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 มิ.ย. 67 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 21.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากประชาชนจำนวนมากออกมาใช้รถยนต์ช่วงฤดูขับขี่ท่องเที่ยว (วันที่ 27 พ.ค.-2 ก.ย. 67)

- Petroleum Planning and Analysis Cell (PPAC) ของอินเดียรายงานว่าปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ค. 67 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.7% อยู่ที่ 5.12 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบ 

หมายเหตุ >> SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ภายใต้การเร่งผลักดันให้เกิดโดย ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่กองทุนน้ำมันได้มากขึ้น โดยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศจนเพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศได้ถึง 90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นธรรมในประเทศได้ 

'กรณ์' เฉลย!! ไทยไปต่อยังไง ในวันที่ภาคอุตสาหกรรมหลักเริ่มถดถอย แนะ!! ถึงเวลาลงทุนพัฒนาความรู้ความสามารถของคนไทยอย่างจริงจัง

(26 มิ.ย. 67) กรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมของไทย โดยระบุว่า…

คุณผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่า ไทยเราจะสามารถพัฒนาเป็นประเทศที่รํ่ารวยด้วยการเน้นธุรกิจบริการได้หรือไม่?

คำถามนี้ผมว่าสำคัญ เพราะอย่างที่ Lee Kuan Yew เคยปรารภไว้ว่า ‘ไม่เคยมีประเทศไหนรํ่ารวยได้โดยไม่เป็นประเทศอุตสาหกรรม’

ไทยเราก็เหมือนกัน รายได้ต่อหัวประชากรไทยเพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 10 ปีในยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ ที่มีต่างชาติลงทุนในภาคอุตสาหกรรมไทยมากมาย

แต่วันนี้ประเทศที่กำลังโตด้วย play book เดิมของเราคือเวียดนาม ส่วนเรากำลังถดถอยในแทบทุกอุตสาหกรรมหลัก (เช่น ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์)

สาเหตุที่ถดถอยเพราะเราขาด key components ที่จะแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นคน (ทั้งปริมาณและคุณภาพ) สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ วัตถุดิบ และเทคโนโลยี

แต่ดีที่เรายังมี อุตสาหกรรมบริการ โดยเฉพาะท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะแตกขยายเพิ่มเติมไปสู่ การบริการทางการแพทย์ การเสริมสวย หรือการดูแลผู้สูงวัย

ที่ท้าทายคือ ‘การส่งออกบริการ’ ยังยากกว่าการ ‘ส่งออกสินค้า’ และนี่คือส่วนหนึ่งของความยากในการสร้างความมั่งคั่งด้วยธุรกิจบริการ

บริการส่วนใหญ่ที่เราขายต่างชาติได้คือบริการที่ลูกค้าต้องบินมาหาเรา

หากเราดูอินเดียหรือฟิลิปปินส์ เขาส่งออกบริการผ่านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น IT service หรือ call centre และอุตสาหกรรมบริการที่สร้างมูลค่าสูงจริง คืออุตสาหกรรมบริการที่ส่งออกได้ ซึ่งเป็นประเภทบริการที่เรามีน้อย

ดังนั้น หากคนถามว่า เศรษฐกิจไทยจะไปทิศทางไหน ผมมองว่าโดยศักยภาพ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปทางด้านบริการ และรวม food service เป็นหนึ่งประเภทการบริการด้วย

ส่วนเราจะมีอุตสาหกรรมบริการที่จะมีมาตรฐานคุณภาพที่ส่งออกได้นั้น คนของเราต้องเก่งขึ้นมาก เพราะสุดท้าย บริการที่ส่งออกได้จะต้องพึ่งความรู้ด้านเทคโนโลยีและภาษาเป็นตัวเชื่อมถึงลูกค้า
ดังนั้นนโยบายที่จำเป็นคือการลงทุนพัฒนาความรู้ความสามารถของคนไทย

Lee Kuan Yew ท่านตระหนักว่าสิงคโปร์เล็กเกินไปที่จะเป็นประเทศอุตสาหกรรม ท่านจึงมียุทธศาสตร์ตั้งแต่ยุค 1980’s ที่จะพัฒนาให้สิงคโปร์เป็นผู้ขายบริการ และอุตสาหกรรมที่เขาเลือกคือ ‘การเงิน’

เศรษฐีไทยเองใช้บริการกันอยู่แทบทุกคนครับ

คนไทยเฮ!! 'รัฐบาล' ยัน!! 'การแพทย์สะดวก' เพื่อคนไทยทุกกลุ่ม พร้อมแล้ว!! 'เอื้อผู้พิการ - ร้านยาใกล้บ้าน - 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรปชช.ใบเดียว'

(26 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล ขานรับนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งการอำนวยความสะดวกจัดทำโครงการพัฒนาระบบบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service (OSS) รวมไปถึงเชิญชวนคลินิกและร้านขายยาเข้าร่วมโครงการ ‘30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว’ ตั้งเป้าหมายให้มีคลินิกและร้านขายยาเอกชนร่วมโครงการฯ 5,000 แห่ง ภายในปี 2568

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดแพลตฟอร์มสำหรับการตรวจประเมินและออกเอกสารรับรองความพิการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยระบบดิจิทัล ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ รวมไปถึงการดึงคลินิกและร้านขายยาเอกชนให้เข้าร่วมโครงการ ‘30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว’ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้ารับบริการโดยไม่ต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาล 

นอกจากนี้ รัฐบาลร่วมกันบูรณาการส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงบัตรประจำตัวคนพิการ โดยจัดทำโครงการพัฒนาระบบบริการคนพิการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว หรือ One Stop Service (OSS) ภายใต้เเนวคิด ‘จุดเดียวจบครบถึงเบี้ย’ เพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการของคนพิการ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้พัฒนาฐานข้อมูลและแอปพลิเคชัน เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการขึ้นทะเบียน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้...

- ระยะที่ 1 คือ การพัฒนาแพลตฟอร์มการตรวจประเมินและออกเอกสารรับรองความพิการแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้เชื่อมต่อกับระบบยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวคนพิการ 

- ระยะที่ 2 คือ ‘จุดเดียวจบครบถึงเบี้ย’ การเชื่อมโยงระบบบัตรประจำตัวคนพิการกับการยื่นขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ โดย พม. จะได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาระบบยื่นคำขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้พิการสามารถดำเนินการยื่นขอสวัสดิการเบี้ยความพิการ และเข้าถึงสวัสดิการได้มากขึ้น 

พร้อมกันนี้ สภาเภสัชกรรม ดึงให้คลินิกและร้านขายยาเอกชนเข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์กรณีที่มีอาการเจ็บป่วยไม่รุนแรงหรือไม่ซับซ้อน แบ่งเบาภาระโรงพยาบาล และลดความแออัด โดยร้านยาในโครงการนี้จะเป็นร้านยาคุณภาพที่ผ่านการรับรองจากสภาเภสัชกรรม นับเป็นโอกาสให้ร้านยามีส่วนในการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าถึงบริการได้น้อยก็สามารถเข้ามารับบริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการได้ที่ร้านยา ซึ่งจะเป็นการช่วยดูแลในเบื้องต้นได้มากขึ้นเช่นกัน 

นายชัย กล่าวว่า ปัจจุบันในโครงการฯ มีร้านยาเข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ โดยให้การดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไปแล้วกว่า 2 ล้านครั้ง และติดตามผลการให้บริการภายหลัง 3 วัน ซึ่งร้านยาเป็นหน่วยบริการเดียวที่มีการติดตามผลการให้บริการ โดยกว่าร้อยละ 90 หายจากอาการที่เป็นอยู่ ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้นที่น่าพอใจ พร้อมตั้งเป้าหมายให้มีร้านยาเข้าร่วมให้ถึง 5,000 แห่ง ภายในปี 2568 เพิ่มสัดส่วนร้านยาที่ร่วมโครงการฯ ต่อประชากรเป็น 1:10,000 

“นายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อประชาชน ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ เพื่อความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จึงพร้อมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับคนด้อยโอกาสในสังคม ให้ได้รับการดูแลที่ทั่วถึง สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ระบบเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถเข้าใช้บริการได้ใกล้บ้าน” นายชัย กล่าว

‘นายกฯ’ เปิดโครงการ ‘Phenix’ ศูนย์กลาง ‘อาหาร’ แบบครบวงจร เชื่อ!! ช่วยผลักดันไทยสู่ Hub ด้านอาหารของโลกอย่างแท้จริง

(26 มิ.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Phenix จุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้รับเกียรติให้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ฟีนิกซ์” ศูนย์กลางด้านอาหารครบวงจรระดับโลกที่รวบรวมผู้ประกอบการและผู้บริโภคในอุตสาหกรรมอาหารจากทั่วทุกมุมโลกเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านอาหาร ตลอดจนเพิ่มโอกาสทางการค้าของไทยทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ  

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นับเป็นโอกาสที่ดีที่ AWC ได้ร่วมกับพันธมิตรส่งเสริมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอาหาร ที่ประกอบด้วย ศูนย์กลางการขายส่งอาหารของโลก และ International Pavilion (World’s Food Wholesale Hub และ International Pavilion) ตลอดจนฟูดเลานจ์ที่รวบรวมร้านอร่อยไว้ให้ผู้บริโภค พร้อมทั้งรองรับกิจกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านอาหารต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นในอนาคต ฟีนิกซ์ จะเป็นสถานที่ที่มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวนานาชาติ และเป็นอีกหนึ่งพลังของ Soft Powerด้านอาหารไทยที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Must Eatใน 5 Must Do in Thailand 

“ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งครับว่าโครงการฟีนิกซ์จะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย 
ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สอดคล้องกับโครงการ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” (Thai Kitchen to the World) ของรัฐบาล เพื่อทำให้ประเทศไทยเราเป็น Hub ด้านอาหารของโลกอย่างแท้จริง ขอแสดงความยินดีกับ AWC กับก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนโครงการฟีนิกซ์ และมีส่วนร่วมในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เป็นหมุดหมายด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลกต่อไป ผมขอเปิดโครงการฟีนิกซ์ จุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘ศิริวัฒน์ แซนด์วิช’ ร่วมก๊วนปั่นหุ้น ‘PRINC’ บดขยี้ภาพลักษณ์ ‘ฮีโร่นักธุรกิจสู้ชีวิต’

(26 มิ.ย.67) สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจจากนักลงทุนทั้งตลาดหุ้น โดยประกาศใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ผู้กระทำความผิดร่วมกันสร้างราคาหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC สั่งปรับเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 426.79 ล้านบาท

ผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น PRINC ประกอบด้วย นายสาธิต วิทยากร นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ น ส.พัลลภา วิทยากร นางพเยาว์ ชลาชีพ นางสมปอง ศรีสุภรวงศ์ และ น.ส.ภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์

บุคคลทั้ง 6 ได้ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคาหลักทรัพย์ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2560 จนถึงเดือนมิถุนายน 2561 โดยมีความสัมพันธ์กันในทางส่วนตัว เส้นทางการเงิน ทางหุ้นหรือธุรกิจ หรือผ่านการเชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน

และร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคา ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เช่น ผลักดันราคาต่อเนื่อง สลับขายทำกำไรระหว่างวัน และครองคำสั่งเสนอซื้อ (Bid) ทำราคาปิด

ก.ล.ต.สั่งลงโทษนายสาธิต และนายศิริวัฒน์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รายละ 1,052,733 บาท ห้ามนายสาธิต ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 33.5 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 67 เดือน

ห้ามนายศิริวัฒน์ ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 28 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 56 เดือน

สั่ง น.ส.พัลลภา ชำระค่าปรับจำนวน 287.24 ล้านบาท นางพเยาว์ ชำระค่าปรับ 81.53 ล้านบาท นางสมปอง ชำระค่าปรับ 3.13 ล้านบาท และ น ส.ภีชญา ชำระค่าปรับ 52.77 ล้านบาท และห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ออกหลักทรัพย์ตามที่เงื่อนเวลาที่ ก.ล.ต.กำหนด

คดีปั่นหุ้น PRINC ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ค่าปรับจำนวน 426.79 ล้านบาท เพราะแม้จะเป็นวงเงินสูง แต่คดีปั่นหุ้นบริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการ 40 คน นำโดย นายอมร มีมะโน อดีตผู้บริหารบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ ก.ล.ต.ฟ้องบังคับชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน 2.3 พันล้านบาท

แต่ความน่าสนใจคดีปั่นหุ้น PRINC อยู่ที่มีคนชื่อดังเข้าร่วมขบวนการปั่นหุ้น สมคบคิดกันหลอกต้มเงินนักลงทุนด้วย คือ นายสาธิต และนายศิริวัฒน์

นายสาธิต เป็นประธานกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ PRINC โดยชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในตลาดหุ้น หลังขายหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH จำนวน 71.94 ล้านหุ้น หรือ 9.04% ของทุนจดทะเบียน ให้กลุ่มธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในราคาหุ้นละ 151.50 บาท รวมเป็นเงิน 10,900 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565

คนที่เป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียน เจ้าของโรงพยาบาล มีเงินจนอยู่ในฐานะมหาเศรษฐี ใครจะคิดว่าจะเข้าร่วมแก๊งปั่นหุ้น หากินกับการสร้างภาพลวงตาหลอกนักลงทุนรายย่อย ได้เงินไม่กี่สิบกี่ร้อยล้านบาท

ค่าปรับที่ ก.ล.ต.เรียกชำระ นายสาธิต จ่ายได้สบายอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงที่เสียหาย กลายเป็นนักปั่นหุ้น จะลบล้างอย่างไร

ส่วนนายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ วนเวียนในตลาดหุ้นมายาวนานประมาณ 40 ปี เคยเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ก่อนผันตัวเองเป็นนักลงทุน และมักอ้างเป็นตัวแทนของนักลงทุน ปกป้องผลประโยชน์ของรายย่อย ในการเคลื่อนไหวเรียกร้องการแก้ปัญหาตลาดหุ้น และการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ

ชื่อเสียงของนายศิริวัฒน์ ดังกึกก้อง หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ในฐานะนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ มีหนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องลงมาขายแซนด์วิช และประกาศจะนำบริษัทที่ผลิตและขายแซนด์วิชเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น แต่ไม่บรรลุเป้าหมายการนำหุ้นแซนด์วิชเข้าระดมทุน

ชะตากรรมของนายศิริวัฒน์ ในปี 2540 เรียกความสนใจไปทั่วโลก จนสื่อดังจาก บี.บี.ซี.เข้ามาสัมภาษณ์ มีการนำเรื่องราวของนักธุรกิจที่ตกอับลงมาขายแซนด์วิช สร้างเป็นภาพยนตร์

ภาพนายศิริวัฒน์ ถูกวาดไว้สวยหรู ในฐานะนักธุรกิจสู้ชีวิต

แต่แม้จะตกอับจนต้องขายแซนด์วิช นายศิริวัฒน์ ก็ไม่ได้เหินห่างจากตลาดหุ้นเท่าใดนัก ยังโผล่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนอยู่หลายครั้ง

ภาพลักษณ์การเป็นฮีโร่นักสู้ชีวิตที่สวยหรูของนายศิริวัฒน์ ดำรงมาหลายสิบปี แต่การเข้าร่วมขบวนการปั่นหุ้น PRINC กำลังทำลายภาพลักษณ์ที่ดีจนหมดสิ้น

‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดตัวศูนย์ ‘TCDC’ แห่งใหม่ นำร่อง 10 จังหวัด หนุนทุนวัฒนธรรม-ความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันสู่ซอฟต์พาวเวอร์

(26 มิ.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ร่วมเปิดงานประกาศจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ (New TCDC) ใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย นครราชสีมา ปัตตานี พิษณุโลก แพร่ ภูเก็ต ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุตรดิตถ์ และอุบลราชธานี โดยมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยในแต่ละจังหวัดเข้าร่วมงาน อาทิ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายพชร จันทรรวงทอง สส. นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายนิกร โสมกลาง สส. ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย เป็นต้น 

น.ส.แพทองธาร กล่าวเปิดงานว่า งานนี้เป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของนโยบายการยกระดับทุนวัฒนธรรม เสริมทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ให้เป็นพลังขับเคลื่อนกระบวนการ Soft Power ที่สำคัญของประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ทุนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นหนึ่งปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่ประเทศไทยมีภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่ามากมาย แต่ยังขาดการบูรณาการและกลไกที่เหมาะสมในการนำมาพัฒนา และต่อยอดให้กลายเป็นทรัพยากรหลักของประเทศ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลจึงมีนโยบาย "สร้างคน เพิ่มทักษะ" ผ่านการจัดตั้ง "ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ" หรือ TCDC แห่งใหม่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาสำคัญในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ดนตรี การออกแบบ ศิลปะ และวิถีชีวิตอื่น ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับนโยบาย “1 ครอบครัว 1 Soft Power” (OFOS) ที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกบ้าน ทุกครัวเรือนอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าฝึกอบรมผ่าน TCDC โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งค่ายมวย 400 แห่งที่จะร่วมอบรมมวยไทยด้วย เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด จนถึงระดับประเทศ 

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า นโยบายการสร้างคนผ่านการ Upskill-Reskill จะสำเร็จได้ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) ที่เป็นจุดตั้งต้นในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ ใน 10 จังหวัดขึ้นในระยะแรก รวมถึงการผนึกกำลังขององค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ที่มาร่วมอำนวยความสะดวกในการจัดหาทรัพยากรพื้นฐานและความร่วมมือ ไปจนถึงหน่วยงานสนับสนุนอย่างสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ในการจัดหาหลักสูตรในการอบรม พัฒนาทักษะ พร้อมออกใบรับรองศักยภาพ ทั้งหน่วยงานที่รับช่วงต่อในการสร้างงาน เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานเหล่านี้ได้เข้าถึงตลาดงานที่สำคัญ ที่จะเชื่อมต่อความสำเร็จทั้งระบบไปสู่ตลาดระดับประเทศและตลาดโลกได้

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลักกับองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับการคัดเลือกจัดตั้ง TCDC แห่งใหม่ ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทุนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในระดับภูมิภาค การสร้างเครือข่ายและกลไกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพของคนในพื้นที่ และการส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่น โดยทั้ง 3 เป้าหมาย จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของเรา ไปสู่การสร้าง Soft Power ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป

ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์ 10 จังหวัดคัดเลือกมาจาก 24 จังหวัด ซึ่งดูจากความพร้อม เมื่อมีการจัดตั้งแล้ว 10 จังหวัดนี้จะเป็นการพัฒนาทั้งต้นน้ำและกลางน้ำ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงปีหน้า ส่วนการเดินสายไปเยี่ยมชมศูนย์ต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ในอนาคตเราอยากให้มีศูนย์ระดับนานาชาติตามมหานครใหญ่ ๆ ทั่วโลก

‘รมว.ปุ้ย’ เร่ง ‘สมอ.’ ออกมาตรฐานรองรับการพัฒนาอุตฯ หุ่นยนต์ เสริมบทบาทภาคการผลิต-ความปลอดภัย-ปฏิบัติการทางการแพทย์

(26 มิ.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้ง First s-curve และ New S-curve เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่ออนาคต รวมทั้งได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งกำหนดมาตรฐานเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว 

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการกระบวนการผลิต เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ในการเชื่อมโลหะในอุตสาหกรรมยานยนต์ หุ่นยนต์ที่ใช้ในกระบวนการอัดฉีดพลาสติก และหุ่นยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ปฏิบัติการทางการแพทย์ มีระบบประสาทสัมผัสด้านความปลอดภัย มีการเรียนรู้คำสั่งและสามารถควบคุมได้ 

ซึ่งมติที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ จำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม ที่ใช้ทำงานเสี่ยงอันตรายในโรงงานอุตสาหกรรมแทนแรงงานคน จำนวน 2 มาตรฐาน และหุ่นยนต์ดูแลส่วนบุคคล จำนวน 4 มาตรฐาน ได้แก่ หุ่นยนต์บริการในร้านอาหาร หุ่นยนต์เคลื่อนย้ายคน หุ่นยนต์ที่ช่วยประกอบชิ้นส่วนหรือยกของ และหุ่นยนต์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ 

ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับความปลอดภัย และยังเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยอีกด้วย

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า นอกจากบอร์ดจะเห็นชอบมาตรฐานหุ่นยนต์ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีมติเห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. เสนอ จำนวนรวมทั้งสิ้น 150 เรื่อง เช่น ลวดเหล็กกล้าเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม ดวงโคมไฟฟ้าฝังพื้น ดวงโคมไฟฟ้าใช้ในที่เลี้ยงสัตว์น้ำและพืชน้ำ ดวงโคมไฟฟ้าสำหรับสระว่ายน้ำ ระบบรางจ่ายไฟฟ้าสำหรับดวงโคมไฟฟ้า ยางรัดของ เครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในไร่สวนและสนามหญ้า โคมไฟหน้าและท้ายรถยนต์ โคมไฟตัดหมอกด้านหน้ารถยนต์ ไฟเลี้ยวรถยนต์ อุปกรณ์สัญญาณเสียงเตือนในรถยนต์ อุปกรณ์ล็อกประตูรถยนต์ การป้องกันการโจรกรรมยานยนต์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก อุปกรณ์มองภาพของรถยนต์ กระจกมองหลังรถยนต์ รวมทั้งมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ 

พร้อมทั้ง ได้อนุมัติรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปี 2567 อีกจำนวน 44 เรื่อง เช่น เต้าเสียบ-เต้ารับ กรวยจราจรจากน้ำยางข้น กำแพงกันเสียงชนิดดูดซับเสียงจากฟองน้ำยางธรรมชาติ และมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ เป็นต้น รวมเป็นมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำในปีนี้กว่า 1,300 เรื่อง

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรฐานหุ่นยนต์ทั้ง 6 เรื่องที่บอร์ดมีมติเห็นชอบ เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของหุ่นยนต์ที่อ้างอิงตามมาตรฐานสากล มีรายการทดสอบด้านความปลอดภัยที่สำคัญ เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน การปล่อยมลพิษทางด้านเสียง การสั่น ความร้อน การแผ่รังสี การรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า การเบรกและการหยุดฉุกเฉิน การควบคุมความเร็ว ความแรง และพลังงานที่เกิดจากการสัมผัสระหว่างผู้ใช้งานกับหุ่นยนต์ มีการควบคุมการทำงานของเซ็นเซอร์ และอุปกรณ์ตรวจจับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งาน สามารถใช้งานหุ่นยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 

สำหรับการกำหนดมาตรฐานของ สมอ. ในปีนี้ ตามนโยบาย Quick win ของรัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา ที่ตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 เรื่อง ซึ่งขณะนี้ สมอ. คาดว่าจะกำหนดมาตรฐานได้ 1,300 เรื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมให้นำไปใช้ในกระบวนการผลิต และยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย เลขาธิการ สมอ. กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top