Monday, 19 May 2025
AI

‘ผู้บริหาร Huawei’ ออกมาประกาศความสำเร็จของชิพ AI รุ่นใหม่  ชี้!! มีศักยภาพเหนือกว่า ชิพประมวลผลรุ่นดังของค่ายยักษ์ใหญ่ Nvidia

(9 มิ.ย.67) หวัง เถา COO ของบริษัท Huawei Ascend ได้แสดงผลทดสอบของชิพรุ่น Ascend 910B ในงานประชุม Nanjing World Semiconductor Conference เมื่อวันพฤหัส (6 มิถุนายน 2024) ที่ผ่านมา พบว่าการประมวลผลของชิพรุ่นนี้มีศักยภาพแทบไม่ต่างจาก Nvidia A100 และในการใช้งานกับบางรูปแบบ ยังแสดงผลลัพธ์เหนือกว่าชิพตัวดังของ Nvidia ถึง 20% 

ส่วนการทดสอบด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของ AI นั้นพบว่า ชิพ ของ Huawei แสดงประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพของ Nvidia ตั้งแต่ 80% ถึงเหนือกว่าเล็กน้อย จึงสรุปได้ว่า Huawei Ascend 910B เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการใช้งานชิพประมวลผลขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถทดแทนชิพของค่าย Nvidia ซึ่งมีราคาสูงกว่า แถมยังถูกปิดกั้นจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ

การประกาศความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ Huawei ถูกจับตามองอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ และเทคโนโลยีของบริษัท Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลอเมริกัน 

ทาง Huawei ก็ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีในแนวทางพึ่งพาตัวเอง และได้เปิดตัวชิพ Ascend ของตัวเองครั้งแรกในปี 2019 ที่มากับความพยายามในยกระดับระบบนิเวศน์ทั้งซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ของตนเอง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม AI ในประเทศที่ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงของชาติตะวันตก 

ดังนั้นการเปิดตัว Ascend 910B ของ Huawei ในครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนการขิงกลายๆว่า ชิพจีน ถึงจะพัฒนาช้าแต่ก็มานะ ทำถึง ทำทัน ชิพตัวดังของค่ายดังสหรัฐเหมือนกัน ต่อให้คว่ำบาตร Huawei หนักแค่ไหน ดอกไม้ 9 ชีวิตแดนมังกรตัวนี้ก็กลับมาได้ 
ถึงแม้ชิพ AI ของ Huawei จะไม่ได้กระทบยอดขายชิพของ Nvidia มากนัก ที่กินส่วนแบ่งชิพ AI ในตลาดจีนได้ถึง 90% อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐยังเป็นตัวกดให้ชิพจีนขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ยาก 

แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของความทะเยอทะยานแบบสู้ขาดใจของ Huawei นั้นทำให้นักพัฒนาAI จีนได้ติดปีก ที่มีโอกาสสร้างผลงาน AI ของตนบนชิพที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับชิพตัวท็อปของสหรัฐได้เหมือนกัน

อาทิ iFlytek หนึ่งในบริษัทด้าน AI ของจีนได้ปล่อยแพลทฟอร์มคอมพิวเตอร์ใหม่ที่ชื่อว่า Feixing One ที่พัฒนาบนชิพ Ascend ของ Huawei และจะนำเสนอรูปแบบการใช้งาน AI ที่คล้ายคลึงกับ ChatGPT ในเร็วๆนี้

ด้าน Nvidia เองก็ปรับกลยุทธ หลังรู้ข่าวการเปิดตัว Ascend 910B ของ Huawei ด้วยการเปิดตัว ชิพ AI รุ่นพิเศษอีก 3 รุ่น รวมถึงรุ่น H20 ที่ออกแบบมาเพื่อขายในตลาดจีนโดยเฉพาะ และพยายามไม่ติดเงื่อนไขการคว่ำบาตรของสหรัฐ แถมยังประกาศลดราคาชิพของตนในตลาดจีนลงอีกมากกว่า 10% เพื่อทำราคาให้ใกล้เคียงกับ Huawei และค่ายคู่แข่งจีน 

ซึ่งเป้าหมายการตลาดของ Nvidia ก็เบาๆ เราไม่ขออะไรมาก แค่ส่วนแบ่ง 100% ของตลาดชิพ AI ทั่วโลกเท่านั้นเอง  
แหล่งข่าวแวดวงเซมิคอนดัคเตอร์จีนยังบอกอีกว่า ค่ายยักษ์ใหญ่อีกค่ายอย่าง Tencent ก็เตรียมปล่อย ชิพ AI ของตนลงมาแข่งเพื่อขอแบ่งเค้กในตลาดจีนกับเขาด้วย

ไม่น่าเชื่อว่า มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ จะเป็นตัวเร่งให้ตลาดชิพในจีนมีการแข่งขันกันสูงยิ่ง ทั้งในแง่การพัฒนา และ การตลาด กลายเป็นศึกชิงเจ้ายุทธจักร AI อันดุเดือดที่ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว 

‘จีน’ จ่อสนับสนุน 'อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ' ขับเคลื่อนด้วย ‘AI’ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ด้าน ‘การสื่อสาร-กีฬา-สุขภาพ-ชำระเงิน’

(25 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เผยว่าจีนจะสนับสนุนการบริโภคอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทครุ่นใหม่ เช่น อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

คณะกรรมการฯ จะทำงานเพื่อผลักดันการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์-คอมพิวเตอร์ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาหลายเทคโนโลยี เช่น จอแสดงผลที่ยืดหยุ่น ซูเปอร์ชาร์จ ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ และโมเดลขนาดใหญ่บนอุปกรณ์ อีกทั้งจะสนับสนุนการใช้งานอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะในด้านต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร ความบันเทิง กีฬา การติดตามสุขภาพ และการชำระเงินผ่านมือถือ

จีนมีแผนสำรวจการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์โดยใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ และขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะในการทำความสะอาด การพักผ่อนหย่อนใจและสันทนาการ การดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการ ตลอดจนการศึกษาและการฝึกอบรม

ขณะเดียวกัน จีนจะส่งเสริมโมเดลการผลิตใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่งตามความต้องการลูกค้าแบบย้อนกลับ (reverse customization) การออกแบบแบบเฉพาะบุคคล และการผลิตที่ยืดหยุ่น รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภคและการเจาะตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ

‘นักแข่งโกะชาวเกาหลีใต้’ ตัดสินใจลาวงการ หลังพ่ายแพ้ให้ AI ลั่น!! รู้สึกทุกข์ทรมานไม่จางหาย และไม่สนุกกับเกมได้อีกต่อไป

(18 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Techsauce’ รายงานถึงกรณีนักแข่งหมากล้อม (โกะ) ชาวเกาหลีใต้พ่ายแพ้ให้กับ AI ที่ชื่อว่า AlphaGo โดยระบุว่า…

“การที่ AI เปิดตัวในการแข่งหมากล้อม (โกะ) ผมก็ได้รู้ว่า ผมไม่ใช่คนที่อยู่บนจุดสูงสุดแล้ว ถึงแม้ว่าผมจะเป็นที่ 1 จากการพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถเอาชนะได้”

อี เซดล คืออดีตนักแข่งหมากล้อมมืออาชีพชาวเกาหลีใต้ และเป็นอดีตอันดับ 1 ของโลก แต่เมื่อปี 2016 เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โปรแกรม AI ที่ชื่อว่า AlphaGo เจ้าตัวเผยว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังคงทุกข์ทรมานจากการที่พ่ายแพ้และไม่สามารถก้าวข้าม AlphaGo ได้

การพ่ายแพ้ในครั้งนั้นเป็นการสั่นสะเทือนทั้งวงการหมากล้อมและคนทั้งโลก หลังจากการพ่ายแพ้ทำให้อี เซดลตัดสินใจลาออกในปี 2019 เนื่องจากเขาไม่สามารถสนุกกับเกมได้อีกต่อไป เขายังออกมาเตือนอีกว่าเทคโนโลยีจะไม่ตามหลังนักแข่งหมากล้อมอีกต่อไป 

“ผมเผชิญกับปัญหาเรื่อง AI เร็วกว่าคนอื่น แต่ปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นกับคนอื่นเหมือนกัน และอาจจะเป็นจุดจบที่ไม่สวยเท่าไร” อี เซดล กล่าว

“ผมคิดว่า AI จะเอาชนะมนุษย์ได้ในสักวัน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นตอนนี้” อี เซดลไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้นี้ได้ เขาคิดว่าการแข่งหมากล้อมถือว่าเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งซึ่งสะท้อนลักษณะและสไตล์การเล่นของผู้เล่นแต่ละคน แต่ตอนนี้ศิลปะเหล่านี้ถูกโยนทิ้งไปโดยอัลกอริทึมที่สามารถคำนวณอย่างเฉียบคมและไร้ความปรานี

อีกสิ่งที่เขากังวลคือ AI อาจจะเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ “คนมักจะตะลึงในนวัตกรรมและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่การเข้ามาของ AI ทำให้หลาย ๆ อย่างหายไป” แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถมาแทนคนได้ ก็คือ ‘จิตวิญญาณ’

Spielberg ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังกล่าวไว้ว่า “ผมคิดว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการและอธิบายได้ และอัลกอริทึมยังไม่สามารถสร้างมันได้เช่นกัน มันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในพวกเราทุกคน”

อ้างอิง: https://www.businessinsider.com/lee-sedol-makes-surprise-move-before-final-match-against-alphago-2016-3

https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2024/07/10/defeated-by-ai-a-legend-in-the-board-game-go-warns-get-ready-for-whats-next 

‘นักวิจัยอิสราเอล’ พัฒนา AI ช่วย ‘ผู้ป่วยอัมพาต’ ให้สามารถ ‘พูด’ ได้ ใช้วิธีถอดรหัสคลื่นสมอง เปล่งเสียงผ่านความคิด แล้วส่งไปยังคอมฯ

เมื่อวานนี้ (17 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟของอิสราเอลเปิดเผยว่าคณะนักวิจัยของอิสราเอลได้พัฒนาวิธีการทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตและเป็นใบ้ให้สามารถ ‘พูด’ ผ่านพลังความคิด

โดยผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ และศูนย์การแพทย์ ซูราสกี เทลอาวีฟ ในวารสารนิวโรเซอร์เจอรี (Neurosurgery) ระบุว่า ขั้วไฟฟ้าวัดลึก (depth electrode) ที่ถูกฝังอยู่ในสมองของผู้ป่วยจะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเปล่งเสียงสองพยางค์ตามที่ผู้ป่วยจินตนาการถึง

คณะนักวิจัยชี้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงชนิดของคำกับกิจกรรมของเซลล์ในสมอง ซึ่งอาจเป็นความหวังของผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์จากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออาการบาดเจ็บทางสมอง ในการแสดงความรู้สึกผ่านคำพูดประดิษฐ์

นอกจากนั้นความก้าวหน้านี้อาจเปิดทางสู่การสร้างคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงระยะแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยยังสามารถพูดได้ เพื่อการตีความหมายหลังจากผู้ป่วยสูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ

คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษา ซึ่งเป็นโรคลมบ้าหมูที่มีขั้วไฟฟ้าฝังอยู่ในสมองก่อนผ่าตัด ออกเสียงพยางค์ ‘เอ’ และ ‘อี’ เพื่อบันทึกกิจกรรมของสมองขณะผู้ป่วยเปล่งเสียง ต่อจากนั้นใช้เทคนิคการเรียนรู้เชิงลึกและการเรียนรู้ของเครื่องมาฝึกฝนต้นแบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อระบุเซลล์สมองจำเพาะที่เกิดกิจกรรมทางไฟฟ้าอันบ่งชี้ความตั้งใจออกเสียงพยางค์ทั้งสอง

เมื่อคอมพิวเตอร์เรียนรู้การจำแนกรูปแบบของกิจกรรมทางไฟฟ้าในสมองของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับพยางค์ทั้งสองข้างต้นแล้ว คณะนักวิจัยขอให้ผู้ป่วยจินตนาการการออกเสียงพยางค์ทั้งสองเท่านั้น โดยคอมพิวเตอร์จะแปลสัญญาณไฟฟ้าและเล่นเสียง ‘เอ’ และ ‘อี’ ที่บันทึกไว้ก่อนหน้าตามลำดับ

คณะนักวิจัยกล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปคือทำให้การพูดสมบูรณ์แบบ แม้สองพยางค์ที่แตกต่างกันสามารถช่วยให้ผู้เป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์ส่งสัญญาณว่า ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ ได้แล้ว โดยนี่ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาส่วนต่อประสานสมอง-คอมพิวเตอร์ ที่สามารถผลิตเสียงพูดออกมาได้

‘อเมริกา’ อนุญาต ‘จีน’ ทดสอบ ‘แท็กซี่ไร้คนขับ’ รับส่งผู้โดยสารในรัฐแคลิฟอร์เนีย เผย!! ทำงานผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อ ‘รถ-คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง’ ในระบบคลาวด์

(17 ส.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า วีไรด์ (WeRide) สตาร์ตอัปแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) สัญชาติจีน ได้รับอนุญาตจากทางการรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกา ให้ทดสอบให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับโดยมีผู้โดยสารได้แล้ว โดยจะเริ่มทดสอบด้วยรถไร้คนขับจำนวน 12 คัน 

ข้อมูลแท็กซี่ไร้คนขับ WeRide
ตามข้อมูลจาก WeRide แท็กซี่ไร้คนขับจะใช้รถจากค่าย จีเอซี (GAC) หรือนิสสัน (Nissan) แล้วแต่พื้นที่ให้บริการ ซึ่งมาพร้อมกับการติดตั้งระบบไร้คนขับ ประกอบไปด้วยเรดาร์ เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบคันรถ กล้องวัดระยะความลึกหรือไลดาร์ (LiDAR) และกล้องรอบคันแบบ 360 องศา สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยระบบต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อระหว่างรถกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางในระบบคลาวด์ โดยทาง WeRide ระบุว่า ระบบไร้คนขับได้รับการฝึกในสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ที่รวมปัจจัยนอกตัวรถ ทั้งทางเดินเท้า คน จักรยาน อาคาร แม้แต่สภาพอากาศกว่า 230,000 ครั้ง สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะมีจักรยานหรือรถยนต์ตัดหน้าด้วยความแม่นยำร้อยละ 97 กับ 98 ตามลำดับ และมีระยะเวลาตอบสนองที่ 10 มิลลิวินาที และความคลาดเคลื่อนในการกะระยะไม่เกิน 5 เซนติเมตร

การเติบโตของบริษัท WeRide
ทั้งนี้ จากรายงานข่าวระบุว่า WeRide ได้ยื่นคำร้องขอกับคณะกรรมการกำกับกิจการสาธารณะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CPUC (California Public Utilities Commission) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นคำขอทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับที่มีคนขับสำรองในตำแหน่งคนขับ และแบบไร้คนขับโดยไม่มีคนขับนั่งอยู่ภายในตัวรถ เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากที่อนุญาต โดยให้บริการเฉพาะกลุ่มทดลอง และไม่มีการเก็บค่าโดยสารใด ๆ 

การอนุญาตให้ WeRide ทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับ ส่งผลให้มีการประเมินมูลค่าบริษัทสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 175,000 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2017 WeRide ได้ให้บริการในบางเมืองของจีน รวมถึงในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องขออนุญาตทดสอบในสิงคโปร์อีกด้วย

‘ญี่ปุ่น’ เล็งใช้ AI ‘วาด-แปลภาษา’ ผลงานใน ‘อุตฯ อนิเมะ-มังงะ’ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน-เพิ่มผลิตภาพในเวลาอันรวดเร็ว

(19 ส.ค. 67) นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า อุตสาหกรรมแอนิเมชันของญี่ปุ่นกำลังเปิดรับศักยภาพของ Generative AI หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Gen AI เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เพื่อหยุดยั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้สร้างสรรค์อยู่มากก็ตาม

โดยเมื่อปีที่ผ่านมา เคแอนด์เคดีไซน์ (K&K Design) เผยว่าใช้ Gen AI ในขั้นตอนการทำงานลงสีและวาดภาพพื้นหลัง ซึ่งสามารถลดเวลาวาดภาพพื้นหลังจากหนึ่งสัปดาห์ลงมาเหลือแค่ห้านาทีได้

ฮิโรชิ คาวาคามิ (Hiroshi Kawakami) ผู้อำนวยการบริษัทเคแอนด์เคดีไซน์ กล่าวว่า จำเป็นต้องทำงานโดยใช้ Gen AI เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงานขณะที่ต้องรักษาคุณภาพของการผลิตไว้ด้วย

การเติบโตของสตรีมมิ่งอนิเมะผ่านอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ได้เรียกร้องให้การผลิตมีคุณภาพและความเร็วในมาตรฐานที่สูงมาก และการขาดแคลนแรงงานเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ต้องใช้ Gen AI 

ตามข้อมูลจากสมาคมแอนิเมชันญี่ปุ่น (Association of Japanese Animations - AJA) รายงานว่า อุตสาหกรรมอนิเมะญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านเยนในปี 2022 (ราว 6.78 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า 

ถึงแม้อย่างนั้น การขยายตัวของตลาดถูกรั้งไว้ ส่วนหนึ่งเนื่องด้วยค่าจ้างที่ต่ำและชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน

ในแบบสำรวจแรงงานอุตสาหกรรมแอนิเมชันโดยสมาคมอนิเมะและภาพยนต์ญี่ปุ่น (Nippon Anime & Film Cultural Association) พบว่า 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีรายได้ต่อเดือนจากงานที่เกี่ยวกับอนิเมะต่ำกว่า 200,000 เยน (ราว 47,000 บาท) ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 219 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าเวลาทำงานปกติถึง 1.3 เท่า

การมอบหมายงานบางส่วนให้กับ AI อาจช่วยให้มนุษย์สามารถจดจ่ออยู่กับการวางแผนและการออกแบบตัวละครได้ ซึ่งผลิตภาพที่สูงขึ้นอาจนำไปสู่การปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ขณะที่การเพิ่มความหลากหลายของงานอาจช่วยเสริมการส่งออกไปยังต่างประเทศ

ทั้งนี้ AI ยังช่วยในเรื่องการแปลภาษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำการค้ากับต่างประเทศ ออเร้นจ์ (Orange) สตาร์ตอัป AI ได้พัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการแปลมังงะมากถึง 10 เท่า และได้รับเงินร่วมลงทุนจากกองทุนซึ่งร่วมกับบรรษัทการลงทุนแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Investment Corporation)

ผู้บริหารกองทุนกล่าวเกี่ยวกับการลงทุนในออเร้นจ์ว่า เป็นโครงการที่จะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น

คาดว่าในญี่ปุ่นมีงานมังงะประมาณ 700,000 ชิ้นงาน แต่กลับมีเพียง 14,000 ชิ้นงานเท่านั้นที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ออเร้นจ์ยังพิจารณาถึงการขยายบริการไปยังประเทศที่พูดภาษาสเปนและอินเดีย ที่ซึ่งมีผู้อ่านจำนวนมาก

บริษัทผู้ผลิตเว็บตูนเอ็นดอลฟิน (En-dolphin) กำลังพัฒนา Gen AI ที่สามารถสร้างภาพประกอบโดยเรียนรู้จากผลงานของศิลปินมังงะในอดีต ด้วยการมอบสคริปต์หรือภาพร่างคร่าว ๆ ระบบสามารถสร้างผลงานที่มีรูปแบบและองค์ประกอบเหมือนกับผลงานของศิลปินต้นฉบับได้

รัฐบาลยังได้ส่งเสริมให้มีการใช้ AI ในอุตสาหกรรมคอนเทนต์อีกด้วย โดยในเดือนกรกฎาคม กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (Ministry of Economy, Trade and Industry) เผยแพร่แนวทางการปรับใช้ AI ให้กับบริษัทเกมและแอนิเมชัน

แนวทางดังกล่าวระบุว่า Gen AI สามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเนื้อหาได้หลายแง่มุม ซึ่งในอนาคต รัฐบาลจะพิจารณามอบเงินอุดหนุนและการช่วยเหลืออื่น ๆ แก่บริษัทที่ใช้ AI โดยหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยแก้ปัญหาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมได้

แต่การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วก็มีความเสี่ยงเช่นกัน มีความกังวลว่าผลงานของญี่ปุ่นจะถูกนำไปรวมเข้ากับโมเดล AI ในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจนำไปสู่การเลียนแบบ

อย่างไรก็ตาม ก็มีกลุ่มนักวาดภาพประกอบชาวญี่ปุ่นมากกว่า 10,000 รายชื่อ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีข้อกฎหมายปกป้องผู้สร้างสรรค์ผลงานในปีที่ผ่านมา

เปิดตัว ‘หุ่นยนต์นวดระบบ AI’ ครั้งแรกของโลกในนครนิวยอร์ก มาพร้อมฟังชัน ‘สแกนกล้ามเนื้อ’ ช่วยให้นวดได้แม่นยำ-ตรงจุดยิ่งขึ้น

(2 ก.ย. 67) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์มาถึง ทุกอาชีพของมนุษย์มีสิทธิ์ที่จะถูก Disruption ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่อาชีพผู้ให้บริการนวดบำบัด เพื่อผ่อนคลาย หนึ่งในบริการที่นักท่องเที่ยวหลายคนชื่นชอบ และยังเป็นศาสตร์วิชาชีพที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยด้วย 

แต่วันนี้ อาชีพนี้กำลังจะถูกท้าทายด้วย หุ่นยนต์ AI รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาโดยบริษัท Aescape ที่ก่อตั้งขึ้นโดย ‘อิริค ลิทแมน’ ในปี 2017 โดยได้หยิบเอานวัตกรรมหุ่นยนต์ AI มาประยุกต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คน 

ซึ่งหุ่นยนต์นวดนี้ ก็เกิดจากไอเดียของตัวเขาเอง ที่ต้องเดินทางขึ้นเครื่องบินบ่อย จนมีปัญหากับกระดูกหมอนรองคอ ที่ทำให้เขาต้องใช้บริการนวดบำบัดเป็นประจำแทบทุกวันตลอดระยะเวลาหลายเดือน ที่ไม่สะดวกกับตารางการทำงานของเขา

ความยุ่งยากในการนัดจองนวด ทำให้เขาคิดหาทางเลือกอื่น เพื่อจะได้นวดทุกวัน ในช่วงเวลาที่สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องไปสปา

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ไอเดียของเขาขายได้ และได้รับเงินทุนสนับสนุนถึง 80 ล้านดอลลาร์ และใช้เวลาถึง 7 ปีในการพัฒนาไอเดียของเขาให้กลายเป็นหุ่นยนต์นวดระบบ AI ที่สามารถปรับระดับได้ตัวแรกของโลก และเพิ่งจะเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา 

และตอนนี้ หุ่นยนต์นวดของ Aescape ก็มีให้บริการแล้ว ที่โรงแรม Lotte New York Palace, โรงยิม Equinox บางสาขา และ ที่ Press Modern Massage สาขา Union Square ในนครนิวยอร์ก โดย ลิทแมน มีแผนการขยายพันธมิตรผู้ให้บริการหุ่นยนต์นวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเร็ว ๆ นี้

ทีนี้ลองมาฟังความเห็นของผู้เช่าซื้อหุ่นยนต์นวด Aescape รายใหญ่ตอนนี้ ซึ่งก็คือ Lotte New York Palace โดย ทริสตินา ดามิโก ผู้อำนวยการแผนกสปาของโรงแรม และยังเป็นนักนวดบำบัดที่มีใบรับรองวิชาชีพ และเธอก็ชื่นชมหุ่นยนต์นวดตัวนี้ว่า เหมาะที่จะใช้ในโรงแรมหรูระดับ Lotte Palace ที่มีห้องพักมากถึง 900 ห้อง และเป็นที่นิยมจากทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว ที่แต่ละคนมีความต้องการที่แตกต่างกัน 

และตั้งแต่เปิดบริการหุ่นยนต์นวดในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ก็มียอดนัดจองนวดกับหุ่นยนต์เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งจากแขกของโรงแรม และ ชาวนิวยอร์กในย่านมิดทาวน์ แมนฮัตตัน ที่นิยมแวะมานวดในช่วงพักกลางวันเพื่อผ่อนคลาย ก่อนกลับไปทำงานในช่วงบ่าย 

อิริค ลิทแมน เจ้าของธุรกิจหุ่นยนต์นวด อ้างอิงตัวเลขการประเมินจาก Global Wellness Institute ว่า ธุรกิจตลาดสายสุขภาพทั่วโลกมีโอกาสโตได้ถึง 7.4 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2025 ซึ่งหุ่นยนต์นวดที่คุณสามารถจองได้ตลอดเวลาที่ต้องการ สามารถเข้ามาเติมเต็มในตลาดที่กำลังขยายตัวนี้ได้ 

ที่ลิทแมนมั่นใจเช่นนั้น เพราะปัญหาการขาดแคลนบุคลากร และนักนวดบำบัดจำนวนมากในปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับธุรกิจหุ่นยนต์นวดของเขา ถึงแม้ลักษณะ และสไตล์จะแตกต่างจากการนวดด้วยมือมนุษย์ 

แต่ด้วยความฉลาดของระบบ AI ที่มีเซนเซอร์ในการสแกนจุดบนกล้ามเนื้อของมนุษย์ได้ถึง 1.2 ล้านจุด สามารถเก็บข้อมูลเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละคนได้ และสามารถปรับน้ำหนักการนวดได้ จนถึงจุดที่ลูกค้าแต่ละคนพอใจ ซึ่งลูกค้าจะได้รับประสบการณ์นวดเหมือนเดิมทุกครั้งที่มาใช้บริการ จึงให้ความรู้สึกเหมือนทุกคนเป็นลูกค้าประจำ

และอีกหนึ่งจุดขายที่แก้ปัญหาให้กับลูกค้าที่ไม่สบายใจที่ต้องแก้ผ้าต่อหน้าคนแปลกหน้า เมื่อเข้ารับบริการนวด เพราะการนวดด้วยหุ่นยนต์ ลูกค้าจำเป็นต้องสวมเสื้อ ที่ทำจากผ้าสแปนเด็กซ์ชนิดพิเศษที่เป็นลิขสิทธิ์ของแบรนด์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดการเสียดสีระหว่างหุ่นยนต์กับผิวหนังมนุษย์โดยเฉพาะ นอกจากจะปลอดภัยแล้ว ยังลดความรู้สึกลำบากใจของลูกค้าหลายคนเมื่อมาใช้บริการนวดด้วย 

เพียงแต่ข้อจำกัดของหุ่นยนต์นวดในตอนนี้ สามารถนวดได้เฉพาะบริเวณแผ่นหลังเท่านั้น ยังไม่ได้พัฒนาให้สร้างสามารถนวดบริเวณขา และ ฝ่าเท้าได้ แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ การนวดทรีตเมนต์แบบระยะสั้น ราคาไม่แพง และจองได้ง่าย ก็น่าจะเหมาะกับหุ่นยนต์นวดรุ่นใหม่เครื่องนี้ ที่สามารถจองผ่านแอปพลิเคชันของโรงแรม Lotte New York Palace โดยจะคิดค่าบริการอยู่ที่ 75 ดอลลาร์สำหรับการนวด 30 นาที

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลกยุค AI ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ที่หุ่นยนต์ถูกยกระดับเพื่อทำงานแทนมนุษย์ ส่วนมนุษย์กลับต้องไปทำงานแทนหุ่นยนต์ ที่มีหน้าที่เพียงนำทางลูกค้ามาใช้บริการกับหุ่นยนต์นวดเท่านั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยที่เราไม่อาจต่อต้านได้ แต่มนุษย์เราสามารถปรับตัวเองเพื่ออยู่ร่วมกับเทคโนโลยีในอนาคตให้ได้นั่นเอง

‘OpenAI’ วางแผนเปิดตัวแชตบอต ‘Strawberry’ โดดเด่น ‘คิดเป็นเหตุเป็นผล’ แตกต่างจาก AI ตัวอื่น

(11 ก.ย. 67) ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) เว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีรายงานว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) วางแผนที่จะเปิดตัว ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เน้นการใช้เหตุผล ภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

รายงานดังกล่าวระบุว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) จะแตกต่างจาก AI การสนทนาอื่น ๆ ตรงที่สามารถ ‘คิดก่อนตอบ’ แทนที่จะตอบคำถามในทันที โดยจะเน้นการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล สำหรับคำถามด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์

และจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ ระบุได้ว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ยังรองรับเฉพาะข้อความตัวหนังสือ และให้คำตอบเป็นตัวหนังสือเท่านั้น จึงยังไม่ใช่โมเดล AI แบบสื่อผสมผสาน (Multimodal)

อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดว่าผู้ใช้งานจะได้ใช้ ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ในรูปแบบใด และต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ ส่วนทางด้าน OpenAI ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานข่าวนี้

🔍ชวนส่องประเทศไหนเป็น ‘ผู้นำ’ ในการวิจัย AI กันนะ??

‘Center for Security and Emerging Technology at Georgetown University’ เปิดเผยรายชื่อประเทศ ‘ผู้นำ’ ในการวิจัย AI โดยประเทศที่มีจำนวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่มีการเผยแพร่ระหว่างปี 2556-2566 ได้แก่ ประเทศจีน จำนวน 557,326 ผลงาน รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 354,042 ผลงาน ส่วนจะมีประเทศใดติดโผอีกบ้าง มาดูกัน!!
 

'ดร.กอบกฤตย์' รับเชิญ 'กสทช.' ร่วมเสวนา 'ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพการเข้าถึงดิจิทัล' ในงาน 'สัมมนาการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงดิจิทัล ผ่านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม'

ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ได้รับเชิญจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้ร่วมเสวนาหัวข้อ 'การขับเคลื่อนการเข้าถึงดิจิทัลของคนทุกคนกับแนวคิด Inclusive Design และ Assistive Technology' ภายในงานสัมมนาที่ จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมอมารี หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ในการเข้าถึงดิจิทัล พร้อมเผยโครงการพัฒนา AI เพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางหูและตา ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

งานสัมมนาได้รับเกียรติจาก นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กสทช. ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน, ดร.ฉันทพัทธ์ ขำโคกกรวด นักวิชาการนโยบายและแผนเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เชี่ยวชาญจากหลายองค์กรที่มา ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังอย่างคับคั่ง

งานเริ่มต้นด้วยการกล่าวรายงานโดย ดร.ฉันทพัทธ์ ขำโคกกรวด ตามด้วยการกล่าวเปิดงานโดย นายต่อพงศ์ เสลานนท์ ซึ่งได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Digital Inclusion | สิทธิของทุกคนในการเข้าถึงดิจิทัล ผ่านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม”

ในการเสวนาหัวข้อ 'การขับเคลื่อนการเข้าถึงดิจิทัลของทุกคนกับแนวคิด Inclusive Design และ Assistive Technology' ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ร่วมเสวนากับดร.ตรี บุญเจือ, นายณัฐพล ราธี และนางสาวปนัดดา ประสิทธิเมกุล ซึ่งได้มีการแบ่งปันความคิดเห็นและประสบการณ์ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเข้าถึงของทุกคน

ดร.กอบกฤตย์กล่าวว่า ปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า พร้อมกับการพัฒนาเครื่องมือคำนวณและโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Chat GPT ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลและแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้

 “AI เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยเหลือผู้พิการในหลายด้าน เช่น การแปลงข้อความเป็นเสียงหรือภาพ เพื่อให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังสามารถแปลงข้อความเป็นภาษามือและสร้างซับไตเติ้ลให้กับวิดีโอได้อีกด้วย” ดร.กอบกฤตย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ดร.กอบกฤตย์ยังกล่าวถึงความท้าทายในการพัฒนา AI สำหรับผู้พิการ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานและข้อมูลที่จำเป็นในการสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพ “ปัญหาหลักอยู่ที่เรายังขาดมาตรฐานที่ชัดเจนในการสื่อสารและการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อสอน AI ทำให้เราจำเป็นต้องพัฒนาคลังข้อมูลที่หลากหลายและถูกต้อง”

งานเสวนาในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพการเข้าถึงดิจิทัลและสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่มในสังคมไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top