Sunday, 19 May 2024
เพื่อไทย

เปิดรายละเอียด ‘แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น’ ที่คนไทยควรรู้ ภายใต้ ‘ผลลัพธ์-ข้อจำกัด’ ที่ผู้ออกนโยบายต้องคิดให้ดี

เมื่อวันที่ 7 ก.ย.66 Spacebar ได้โพสต์คลิปวิดีโออธิบายรายละเอียด ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ถึงความเป็นมาโครงการ รวมถึงข้อดี-ข้อเสีย และความเป็นไปได้ที่จะทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน หลังรัฐบาลเศรษฐา 1 ได้มีการประกาศไว้ว่า จะสามารถใช้ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 67 โดยระบุว่า...

เงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นเงินที่สามารถนำไปใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้เผยว่าจะทำบน ‘ระบบ Blockchain’ โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียนและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิรับเงิน คือ คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวน 56 ล้านคน เท่ากับต้องใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท โดยทางพรรคเพื่อไทยอธิบายไว้ว่า นี่คือมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการแจกเงิน 10,000 บาท เพื่อสู้กับความยากจน อันจะส่งผลให้เกิดการไหลเวียนทางเศรษฐกิจได้กว่า 3 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

สำหรับที่มาของเงินที่หลายคนเป็นห่วงว่าเอามาจากส่วนไหน เพื่อใช้ในการดำเนินการโครงการดังกล่าวนั้น ทางพรรคเพื่อไทย ได้ระบุว่า จะมีการนำมาจากการบริหารงบประมาณและภาษี โดยประกอบไปด้วย...

1.) ประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 67 = 260,000 ล้านบาท

2.) ภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย = 100,000 ล้านบาท

3.) การบริหารจัดการงบประมาณ = 110,000 ล้านบาท

4.) การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน = 90,000 ล้านบาท

โดยสามารถปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ

ในส่วนของร้านค้าที่สามารถรับเงิน 10,000 บาท หรือเข้าร่วมโครงการนี้ได้นั้น ต้องเป็นร้านที่จดทะเบียนการค้า จึงจะสามารถแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินสดได้ รวมถึงต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษี, เคยยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือยื่นแบบนิติบุคคลมาเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

‘พิมพ์พิชชา สส.พิษณุโลก’ โพสต์แจง!! ยังสังกัดเพื่อไทย ยัน!! ไม่คิดย้ายซบก้าวไกล และไม่ได้ร่วมก๊วนดูงานสิงคโปร์

(19 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูล นายปดิพัทธิ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นำคณะพา สส.ไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ และมีข่าวใช้งบประมาณเกินจริง คาดว่า 1.3 ล้านบาทโดยปรากฏชื่อ น.ส.พิมพ์พิชชา ชัยศุภกิจเจริญ เป็น สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ร่วมคณะไปด้วยนั้น ทำให้ น.ส.พิมพ์พิชชา ชัยศุภกิจเจริญ สส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย ออกมาชี้แจงเรื่องดังกล่าวในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า 

“ข้อมูลข่าวบิดเบือน ไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้ายังสังกัดพรรคเพื่อไทย และทำงานให้กับพี่น้องชาว เขต 4 เป็นปกติและไม่มีแผนการเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนี้จึงแจ้งเพื่อทราบโดยทั่วกันค่ะ ขอบคุณค่ะ”

‘เศรษฐา’ โพสต์ ‘ภารกิจต่างประเทศครั้งแรกรัฐบาลใหม่’ พร้อมแสดงบทบาทใหม่ไทยที่จะเปลี่ยนไปให้โลกได้เห็น

(19 ก.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 02.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมด้วยภริยา พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน และคณะ ประกอบด้วย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ออกเดินทางด้วยสายการบินไทย เดินทางถึงสนามบินจอห์นเอฟเคเนดี นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ระหว่างวันที่ 19 - 23 ก.ย.นี้ 

นอกจากนี้ นายเศรษฐา โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เมื่อ 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา ระบุว่า “#UNGA78 จะเป็นภารกิจต่างประเทศอย่างเป็นทางการแรกของรัฐบาลใหม่ เพื่อแสดงบทบาทใหม่ของไทยที่จะเปลี่ยนไปให้กับเวทีโลกเห็น ผมตั้งใจจะขับเคลื่อนการดำเนินการต่างๆ เพื่อบรรลุ #SDGs ความสำคัญในการยึดมั่นระบบพหุภาคี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและความต้องการของประชาคมโลกในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การระดมทุนเพื่อการพัฒนา และสิ่งแวดล้อมสีเขียว และด้านอื่นๆ อย่างครอบคลุม เดินหน้าเต็มที่เพื่อประสานความร่วมมือกับทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน และกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำจากนานาประเทศ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความมั่งคั่ง รวมทั้งความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคนครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจแรกจะเริ่มเวลา 11.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา) โดยเอกอัครราชทูตไทยประจำนครนิวยอร์ก จะเข้าบรีพงานให้กับนายกรัฐมนตรี และคณะ หลังจากนั้น นายกฯ มีกำหนดการเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Summit) และกล่าวถ้อยแถลงในลำดับที่ 10 ในช่วง Leaders‘Dialogue6 Mobilizing Finace and investments and the means of implementation for SDGs achievement โดยจะกล่าวถ้อยแถลง 3 นาที 

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! แนวโน้ม ศก.โลกไม่เอื้อ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ แนะทยอยแจกตลอด 4 ปี ดีกว่าทุ่มรวดเดียว 5.6 แสนลบ.

(3 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ในหัวข้อ ‘อีโก้ของพรรคเพื่อไทยเรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่เป็นใจเลย’ ว่า…

(1) วิกฤติขาดสภาพคล่อง

ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในเฟสที่ 2 คือการสร้างความวุ่นวาย สร้างวิกฤตทางเศรษฐกิจให้รุนแรงยิ่งขึ้น กับสร้างสงครามกลางเมือง เพื่อไปสู่การสร้างสงครามระหว่างประเทศ และไปสู่เฟสที่ 3 คือการเกิดสงครามใหญ่ หลังจากที่โลกได้ผ่านเฟสที่ 1 ของการเกิดโรคระบาดทั่วโลก (Pandemic) ไปแล้ว

การเกิดโรคระบาดทั่วโลกถูกใช้เป็นข้ออ้างให้ Fed พิมพ์เงินเข้ามาแก้วิกฤตกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ อันที่จริงเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปลายปี 2019 ได้เกิดปัญหาระบบขาดสภาพคล่อง จนดอกเบี้ยกู้ยืมชั่วข้ามคืนระหว่างสถาบันทางการเงิน (Repurchase Agreement) พุ่งขึ้นสูงถึง 9% ทำให้ Fed ต้องรีบพิมพ์เงินเข้ามาเติมสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน (ทำ QE หรือ Quantitative Easing)

และเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ที่ตลาดหุ้นทรุดตัว และ Fed ก็ใช้ข้ออ้างของ Pandemic ทำ QE อีกครั้งเพื่อเข้ามาพยุงตลาดหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นเป็นฟองสบู่ ขนาดใหญ่มากกว่าครั้งใด ๆ ในอดีต 

หลังจากได้ถอดบทเรียนจากวิกฤติการเงินในปี 2008 Fed จึงออกกฎกติกาให้สถาบันทางการเงินต้องกันสภาพคล่องเอาไว้ให้เพียงพอ 

นี่เป็นที่มาที่ทำให้เงินที่ Fed พิมพ์เพิ่มเข้ามาในระบบไหลไปที่สถาบันการเงินใหญ่ (Big 4 : Bank of America, JP Morgan, Wells Fargo, Citibank) ไปดันราคาหุ้นจนแทบไม่มีการปล่อยกู้สู่ภาคธุรกิจแท้จริง

นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎเทียบราคาสินทรัพย์กับราคาตลาด ในขณะทำการซื้อขาย เรียกว่า Mark to การเทียบราคาสินทรัพย์ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ แบบ Mark to market ทำให้เกิดกำไร-ขาดทุน ในจังหวะที่ซื้อขายกัน ตามราคาตลาดในขณะนั้น

ดังนั้นเมื่อ Fed เริ่มขึ้นดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 เรื่อยมา จากดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0 จนตอนนี้อยู่ที่กว่า 5% จึงทำให้ราคาหุ้นตก และราคาตราสารหนี้ ลดลง

การขาดสภาพคล่องของธุรกิจที่กู้ยืมเงินไปลงทุนแบบทำ Leverage ในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ร่วมกับการชะงักงัน/ถดถอยทางเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคาร/เจ้าหนี้

มิหนำซ้ำการลงทุนของธนาคารก็ขาดทุน เพราะเศรษฐกิจไม่ดีทั่วโลกก่อนการเกิด Pandemic และจาก Disruption ร่วมกับการแห่ถอนเงินออกของผู้ฝากเงินจากผลประกอบการ/การลงทุน ที่ไม่ดี/ขาดทุนของธนาคาร และนำเงินไปซื้อตราสารทางการเงินระยะสั้น (MMF: Money Market Fund; อายุไม่เกิน 1 ปี) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 5% ...ได้บังคับให้ธนาคาร จำต้องขายตราสารหนี้/พันธบัตร ออกไป ในราคาขาดทุน

หลายธนาคารในอเมริกาและยุโรปต้องล้มละลาย และถูกซื้อกิจการไป เช่นการซื้อธนาคาร Credit Suisse โดย ธนาคารใหญ่ UBS: Union Bank of Switzerland  

นี่เป็นการลดจำนวนธนาคารขนาดเล็กเพื่อให้เหลือธนาคารใหญ่ไม่กี่แห่งในระบบทางการเงินใหม่แบบดิจิตัล

Fed ให้การช่วยเหลือบางธนาคาร ที่ขาดสภาพคล่อง โดยให้กู้เงินจาก Fed ไปเติมสภาพคล่อง โดยให้ใช้หลักประกันเป็นพันธบัตรอเมริกาตามราคาหน้าตั๋วชดเชยการให้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ราคาแบบ Mark to market ที่มีราคาลดลง

แต่การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed กลับทำลายเศรษฐกิจ มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในธุรกิจที่กู้เงินมาซื้อกิจการ หรือ LBO: Leveraged BuyOut 

เพราะหนี้เงินกู้ (Equity loan) ได้เกิดเป็น Debt complex ...เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จึงไม่อาจหมุนเงิน มาจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยของหุ้นกู้ของบริษัทตัวเองได้ (เกิด Default บนตราสารหนี้ของตัวเอง) เพราะขาดสภาพคล่อง

(2) การรับมือของจีนที่ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’

เนื่องจากตลอด กว่า 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อต้องเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม จาก ยุค 3.0 สู่ 4.0 

จีนจึงต้องเผชิญกับวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องมีการล้มหายตายจากของบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของประเทศ (เช่น Evergrande และ Country Garden)

แต่จีนได้มีการเตรียมความพร้อม ด้วยการให้ 4 ธนาคารใหญ่ของจีนตั้งสำรองหนี้สูญในระดับสูงที่สุดในโลก เพื่อรับมือกับวิกฤตที่ 'เรือเศรษฐกิจโลก' บนการรองรับจาก 'หนี้ดอลลาร์' กำลังจะจม

อันที่จริงจีนได้วางแผนหนีออกจากดอลลาร์มากว่าสิบปีแล้ว เมื่อมองขาดว่า...การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้ควบคุมเรือเศรษฐกิจโลก หรือ Fed ด้วยการใช้ หนี้ดอลลาร์ (พันธบัตรอเมริกา; US Treasuries) เป็นผืนน้ำที่หนุนเรือเศรษฐกิจโลกเอาไว้กำลังจะไปไม่รอด เพราะดอลลาร์เสื่อมค่า  ดอลลาร์ไม่ทำงานเพื่อพยุงเรือ ดอลลาร์กำลังจะเสียหน้าที่ในการประคับประคองเรือเศรษฐกิจ ให้ลอยและแล่นต่อไปได้

จีนจึงจับมือกับกลุ่มตะวันออก ตั้งกลุ่ม BRICS+ (+ ซาอุดิอาระเบีย, อิหร่าน, ยูเออี, อียิปต์, เอธิโอเปียและ อาร์เจนตินา; กลุ่ม + มีผล 1 มกราคม 2024) เพื่อหาทางรอด...ออกจากเรือเศรษฐกิจที่กำลังจะจม เพราะ ดอลลาร์ที่พยุงเรือเสื่อมค่าลง

จีนออกกฎหมายควบคุมการเติบโตแบบฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ (30% ของ GDP) ที่ถึงตอนนี้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ 3 อันดับแรกของจีน ถูกปล่อยให้ล่มจม

สั้น ๆ จีนจะช่วยบางธุรกิจแห่งเศรษฐกิจอนาคตที่ถูกเลือกเท่านั้น 

สิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ด้วยการเทขายพันธบัตรอเมริกาออกไปอีก, เก็บเพิ่มทองคำในทุนสำรอง, บริหารการอ่อนค่าของเงินหยวน, การสร้าง ‘เรือลำใหม่’ บนตัวพยุงเรือเศรษฐกิจใหม่ (ด้วยเงินดิจิทัลของกลุ่ม BRICs) เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ซับซ้อน ยืดเยื้อและอ่อนไหว

มันจึงไม่สามารถพลิกวิกฤติสถานการณ์โลกเฉพาะหน้าได้

(3) สงครามโลกครั้งที่สามเกิดแน่ 

(แต่ไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2)
รัสเซียที่จับมือกับเกาหลีเหนือ กำลังนำชาติตะวันตกไปสู่หายนะระดับโลก เพราะปัจจุบันสหรัฐฯ ไม่มีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนือเลย

ดังนั้นสงครามโลกครั้งที่ 3 จะไม่ใช่รูปแบบเดิมเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 

สงคราม​โลกครั้งที่ 3 ในการควบคุมของมหาอำนาจตะวันออก​ จะมาในรูปแบบของ ‘สงครามไฮบริด’ เหตุและผลที่เป็นเช่นนั้น เป็นเพราะจะไม่มีการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์  

มหาอำนาจนิวเคลียร์​ คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นประเทศ​ที่มีอาวุธนิวเคลียร์ตามสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT)

แต่เกาหลีเหนือ เป็นประเทศที่พัฒนาทางทหารชั้นสูง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของชมรมนิวเคลียร์ (Nuclear​ Club) แต่ยังไม่เคยลงนามในสนธิสัญญา​ไม่แพร่กระจาย​อาวุธ​นิวเคลียร์​กับใคร 

ชาติตะวันตกกลัวว่าผลจากการร่วมมือกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ จะทำให้กองทัพรัสเซียมีกระสุนหลายล้านนัดเพื่อเอาชนะกองทัพยูเครน และเกาหลีเหนืออาจมีเทคโนโลยีขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีทุกเมืองในสหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธ​นิวเคลียร์  

เหตุใดความร่วมมือกับเกาหลีเหนือจึงมีประโยชน์สำหรับรัสเซีย?  

ด้วยการเพิ่มกิจกรรมทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลี เกาหลี​เหนือสามารถบังคับให้เกาหลีใต้ทิ้งการจัดหาอาวุธของตนให้กับประเทศ NATO และมุ่งเน้นไปที่ภารกิจการป้องกันประเทศ 

เพราะคาบสมุทร​เกาหลี​จะร้อนระอุกว่าวิกฤติไต้หวัน​

รัสเซียสามารถเสนอเทคโนโลยีทางทหารแก่เกาหลีเหนือได้มากมาย ซึ่งจะเปลี่ยนสมดุลทางอำนาจในภูมิภาค ของพันธมิตรที่เป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์​ ออสเตรเลีย​ นิวซีแลนด์​ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกลุ่มทหาร AUKUS 

คาบสมุทรเกาหลีจะลุกเป็นไฟ ไม่ใช่ไต้หวัน  

อำนาจของผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ว่าระเบียบโลกที่มีขั้วเดียวจะไม่มีอีกต่อไป และกระแสโลกที่มีต่อระบบหลายขั้วแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่อเมริกา​จะขัดขวางได้  

แต่อย่างไรก็ตามมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของโลกมายาวนานอย่างสหรัฐฯ ไม่ต้องการออกจากฐานอย่างสงบ เหมือนกับที่สหภาพโซเวียตของกอร์บาชอฟเคยถูกบีบให้ต้องทำ

และการเป็นมหาอำนาจของรัสเซียในวันนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแนวทางการสู้รบในยูเครน ยิ่งประสบความสำเร็จในสนามรบมากเท่าใด สถานะในการเมืองโลกของโลกหลายขั้วก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้คือ ผลของสงครามโลกครั้งที่สามรูปแบบใหม่ โดยปราศจากการสู้รบจากมหาอำนาจนิวเคลียร์​เหมือนสงครามโลก​ครั้งก่อน ๆ เลย

สั้น ๆ สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นแน่ แต่ในรูปแบบที่จีน รัสเซีย​ เกาหลี​เหนือ และอิหร่าน ควบคุมได้ และผลของสงครามที่เริ่มประจักษ์​แก่สายตาชาวโลก นั่นคือการดำรงอยู่ของ ‘โลกหลายขั้ว’ ที่ไม่มีใครขัดขวางได้

(4) อีโก้ของพรรคเพื่อไทย เรื่องแจกเงินหมื่นดิจิทัล

ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐพุ่ง เพราะไม่มีคนซื้อพันธบัตร
ทองดิ่ง น้ำมันดิ่ง หุ้นดิ่งเงินดอลแข็ง เงินบาทอ่อน (เทียบกับเงินดอล)

ลากดอกเบี้ยเพื่อดันดอลลาร์ให้แข็ง เพื่อทุบราคาน้ำมันของรัสเซีย ซาอุ เพื่อทุบราคาทองในสำรองฝั่ง BRICS

เฟดกะทุบให้เศรษฐกิจโลกเข้าภาวะถดถอยกันให้หมด เพื่อรักษาเงินดอลลาร์เอาไว้ เป็น fight for survival ของเงินดอลลาร์ สู้กับ de-dollarization ที่เป็นเป้าหมายของฝ่าย BRICS ลากดอกเบี้ยหนักขนาดนี้อีกไม่เกิน 2 ปี global recession แน่นอน 

จากเพจ สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา 

วันนี้เพจ ลงทุนแมน เขียนว่า

"เช้านี้ ค่าเงินบาท ทะลุ 37 บาท เป็นที่เรียบร้อย

- ยิ่งไม่มีความชัดเจน ในการแจกเงินดิจิทัล เงินบาทยิ่งอ่อนค่าไปเรื่อย ๆ และค่าเงินบาทที่อ่อนนี้ จะเป็นต้นทุนทางอ้อมของรัฐบาลเอง

1. ต่างชาติเทขายพันธบัตร หุ้น เรื่อยมา อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน หลังจากที่ตลาดรู้ว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัล 560,000 ล้าน ซึ่งชัดเจนว่าอ่อนกว่าภูมิภาค ทั้ง เยนญี่ปุ่น มาเลเซียริงกิต

2. ที่ต้องขายก็เพราะเหตุผลแรกคือ ข้อแรก ดอกเบี้ยสหรัฐมีอัตราที่สูงกว่า ข้อสอง ตลาดเก็งว่าราคาพันธบัตรของไทยจะลดลงในอนาคต เนื่องจาก Yield ที่สูงขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินของภาครัฐมาแจกเงิน 560,000 ล้าน

3. เมื่อรู้ว่าพันธบัตรจะราคาลดในอนาคต ก็ต้องรีบเทขายตอนนี้ เมื่อขายนำเงินกลับประเทศ ค่าเงินบาทก็อ่อนอย่างต่อเนื่อง

4. เงินต่างชาติก้อนใหญ่ ขายวันเดียวไม่หมด จึงต้องทยอยขายไปเรื่อย ซึ่งเราก็จะเห็นว่า ค่าเงินบาทรันเทรนด์ การอ่อนค่าแบบไปเรื่อย ๆ เหมือนมีคนทยอยขายเรื่อย ๆ

5. อีกประการคือ พันธบัตรระยะยาวสหรัฐ มี yield ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อคืนพันธบัตร 10 ปี ทำจุดสูงสุดใหม่ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงเงินกลับ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ

1. เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า เราจะต้องใช้เงินมากขึ้นในการนำเข้า น้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย

2. ผู้สินค้านำเข้าทุกอย่างจะจ่ายแพงขึ้นอีก ใกล้ตัวเราที่เห็นแล้วก็ iPhone ในไทยที่จะไม่ได้ขายที่ราคาถูกแบบเมื่อก่อน

3. สุดท้าย แบงก์ชาติ ก็คงพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย หรือ มีมาตรการอะไรเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท

4. ในขณะเดียวกันก็จะมีโครงการขนาดใหญ่มากดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอีก นั่นก็คือการแจกเงิน 560,000 ล้าน ซึ่งต้องกู้เงิน และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ก็แปลว่ารัฐบาลไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นเพื่อมาแจกเงินเช่นกัน ซึ่งรายละเอียดการแจกเงินยังไม่ชัดเจน และยิ่งไม่ชัดเจน ตลาดก็กังวล และเลือกที่จะขายออกมาก่อนแบบในช่วงนี้"

ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยดันทุรังจะแจกเงิน 560,000 ล้านบาทให้จงได้ ผมขอเสนอแนวทางประนีประนอมดังต่อไปนี้

(1) ควรทยอยแจก 4 ปี ในระหว่างที่เป็นรัฐบาล คือแจกทุกปี ๆ ละ 140,000 ล้านบาท ดีกว่าแจกรวดเดียว 560,000 ล้านบาท ภายในหกเดือนของปีแรก

(2) ตอนที่แจกปีละ 140,000 ล้านบาท ควรทยอยแจกทุกเดือน ๆ ละ 10,000 กว่าล้านบาท ผ่านแอป ‘คนละครึ่ง’ ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์ชัดแล้วว่าได้ผลจริงในการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้คน

ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลเพื่อไทยจะยอมลดอีโก้ของตนเองลงหรือไม่ หรือจะยอมปล่อยให้นโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัล ทำให้การคลังของบ้านเมืองพังเหมือนนโยบายจำนำข้าวที่ฉาวโฉ่ในอดีต

ด้วยความปรารถนาดี

‘เพื่อไทย’ ยืนยัน รับฟังข้อเสนอแนะทุกฝ่าย ปมเงินดิจิทัล 10,000 บาท อยากวอนคนค้าน ฟังเสียงปชช. เหตุลงพื้นที่มีแต่คำถาม “เมื่อไหร่จะได้”

(7 ต.ค.66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการ และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.)กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยรับทราบถึงข้อคิดเห็นจากหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งมีทั้งบวกและลบ จากนักวิชาการบางส่วน จึงขอทำความเข้าใจ ดังนี้ 

1. ที่มาของออกนโยบายดังกล่าว มาจากการที่พรรคเพื่อไทยได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน คนหาเช้ากินค่ำ และพี่น้องเกษตรกร ต่างต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก จากปัญหาที่สะสมมาตลอดระยะเวลาหลายปี โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนสะดุดจนติดลบ จนทำให้หนี้ครัวเรือนปี 63 พุ่งขึ้น 10 เท่าจากปี 53 และในไตรมาส 1 ปี 66 อยู่ที่ 90.6% ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนมาถึงปัจจุบัน หนี้ที่เพิ่มขึ้นเพราะประชาชนอ่อนแอเปราะบาง เป็นที่มาของการ ‘ลดรายจ่าย’

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า 2.จากการประเมินของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า โครงการดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 2-3 รอบ (fiscal multiplier) คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1-1.6 ล้านล้านบาท และประเมินจีดีพีไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ถึง 5-7%  แม้ถูกมองว่าเป็นการกระตุ้นระยะสั้น แต่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นการเริ่มต้นปูพื้นฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจในปี 2567 เพื่อที่ในปีต่อๆ ไป การลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามามากขึ้น เป็นที่มาของการ ‘เพิ่มรายได้’ ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ค่าแรง 600 บาทใน 4 ปี และเงินเดือนปริญญา 25,000 บาท ที่กำลังจะตามมา 3.โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่เป็นการลงทุนระยะยาว ยังมีหลากหลายโครงการที่รัฐบาลเตรียมการไว้ด้วยเช่นกัน เช่น โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือ โครงการแลนด์บริดจ์, โครงสร้างพื้นฐาน ที่ จ.ภูเก็ต, โครงการอีอีซี และระบบขนส่งมวลชนต่างๆ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น สามารถดำเนินควบคู่กันไปกับโครงการขนาดใหญ่ ที่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวอีกว่า และ 4.ขณะนี้ประเทศไทย อยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น กนง.ได้ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด 0.25% เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 จาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยติดกัน 8 ครั้ง นับตั้งแต่ 10 สิงหาคม 2565 อาจส่งผลให้การลงทุน และการส่งออกของไทยหดตัวลงได้ ดังนั้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ควบคู่การลดรายจ่ายให้กับประชาชนระดับฐานรากของสังคม และการลงทุนขนาดใหญ่ เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ เป็นทางออกที่เหมาะสม และจะช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาวได้

“พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล มองภาพใหญ่ ภาพรวม ของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ที่ สส.พื้นที่เราได้รับฟังเสียงสะท้อนมาตลอด ที่ผ่านมา ไม่มีใครบอกว่าไม่อยากได้เงินดิจิทัล 10,000 บาท มีเพียงคำถามว่า ‘เมื่อไหร่จะได้เงินหมื่น?’ ข้อกังวล เรารับทราบ ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการเราเปิดรับเสมอ แต่อยากให้คนที่คัดค้าน ฟังเสียงประชาชนร่วมด้วย คนที่เขารอรับ เขาอาจเสียงไม่ดังเหมือนพวกท่าน แต่พวกเขาเดือดร้อนและรออยู่” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว 

‘ชนินทร์’ ยัน!! เงินดิจิทัล 1 หมื่น ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยพ้นภาวะโคม่า

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกลุ่มนักวิชาการเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทว่า...

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการเติมกำลังซื้อครั้งใหญ่ให้ประเทศ กระจายอยู่ทุกชุมชน เงิน 1 หมื่นบาทต่อคนไม่ใช่แค่ช่วยปัญหาค่าครองชีพให้ประชาชนเดินต่อได้ แต่เป็นจำนวนมากพอที่จะดึงดูดการลงทุน เปิดธุรกิจใหม่ ๆ มารองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นและหมุนวนรอบต่อไปเรื่อย ๆ เงินจำนวนนี้หมุนเวียนต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจไทย 

ส่วนความกังวลที่มาของเงินและมาตรการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ที่อาจไม่รัดกุมนั้น รัฐบาลตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่ประสานความเห็น มุมมองรอบด้านจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ มาเป็นกรรมการร่วมตัดสินใจดำเนินนโยบาย มั่นใจได้ว่าการตัดสินใจใด ๆ รัดกุม โปร่งใส รักษาผลประโยชน์ประชาชนมากที่สุด 

รัฐบาลมีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศอย่างรวดเร็ว ปั๊มหัวใจเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ปลุกกำลังซื้อให้ฟื้นตัว ให้เศรษฐกิจประเทศพ้นโคม่า จากนั้นจะมีนโยบายอื่นๆมาเสริมให้ประชาชนสร้างรายได้ เศรษฐกิจหมุนเวียน ฟื้นประเทศไทย ยึดกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างรัดกุม

‘สส.ณัฐพงษ์’ ยัน!! ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ไม่ใช่การหาเสียง ย้ำ!! รัฐบาลมุ่งกระตุ้นกำลังซื้อ พ่วงกระตุ้นภาคการผลิต

นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า…

ทราบถึงความกังวลและความไม่เข้าใจของคนกลุ่มต่าง ๆ ขณะนี้อยู่ในช่วงที่รัฐบาลเริ่มต้นจัดทำนโยบาย หลายฝ่ายอาจไม่ทราบข้อมูลชัดเจน จากการหารือกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ทราบว่าจะประกาศความชัดเจนเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ 

โครงการนี้ไม่ใช่โปรยเงินหาเสียง แต่ต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจประเทศหมุนเวียนครั้งใหญ่ แม้นักวิชาการบางส่วนเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศกำลังดีขึ้นไม่จำเป็นต้องดำเนินโครงการนี้ แต่ในข้อเท็จจริงประชาชน โดยเฉพาะต่างจังหวัดยังยากลำบาก จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงไปที่ประชาชนจำนวนมากให้มีกำลังซื้อมากขึ้น เมื่อมีกำลังซื้อ สินค้าก็ขายได้ จะกระตุ้นภาคการผลิตสินค้าต่าง ๆ ให้คนมีงานทำ

‘ปลอดประสพ’ ยกราคาปลาทูแม่กลอง หนุนแจกเงินหมื่นบาท

(9 ต.ค.66) ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เขามีแค่ปลาทูตัวเดียว หมื่นบาทให้เขาไปเถอะ

ปลาทูแม่กลองตัวนี้ ชาวประมงไม่ได้นอน จับมาเมื่อเช้า ขายไป 5 บาท พ่อค้าคนกลางขายต่อ 7-10 บาท ร้านอาหารขาย 30 บาท ปลอดประสพได้มาทาน  นี่คือชีวิตจริง มันห่างไกลกับเงิน 10,000 บาทเหลือเกิน สงสารชาวบ้าน สงสารคนที่ไม่มี สงสารคนยากคนจน หมื่นบาทให้เขาไปเถอะครับ

‘สส.วันนิวัติ’ บอก!! ปชช.ต้องการเงินดิจิทัล 1 หมื่น เพื่อต่อยอดธุรกิจ

นายวันนิวัติ สมบูรณ์ สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ 286 หมู่บ้าน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน อยากได้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท คาดหวังนำเงินไปต่อยอดทำธุรกิจ ความคิดเห็นนักวิชาการบางส่วนเป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนำไปพิจารณาต่อ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน คนเกิดมาไม่เท่ากัน แต่รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้สิทธิประชาชนทุกคนใกล้เคียงกัน ลดความเหลื่อมล้ำให้มากที่สุด

‘สส.จิรัชยา’ ชี้!! ปชช. ผิดหวัง หลังนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ค้านเงินดิจิทัล 1 หมื่น ชี้!! หลายคนวางแผนใช้เงินเพื่อต่อยอดอาชีพ หวั่นไม่ได้รับเงิน

น.ส.จิรัชยา สัพโส สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชน อ.พรรณานิคม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร พบว่าหลังจากมีความเห็นนักวิชาการบางส่วนคัดค้านโครงการนี้ ทำให้ประชาชนผิดหวัง เนื่องจากวางแผนช่วงต้นปี 67 จะนำเงินดิจิทัลไปต่อยอดอาชีพ ซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ข้าว อุปกรณ์ซ่อมบ้านที่ผุพัง สะท้อนให้เห็นประชาชนรอคอยเงินดิจิทัลเข้ามาเติมเต็มชีวิตที่ยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top