Sunday, 19 May 2024
เพื่อไทย

‘อั้ม เนโกะ’ ซัด!! ด้อมส้ม แต่งนิยายดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทยชี้!! ‘ก้าวไกล’ ปิ๋วตั้งรัฐบาล เพราะตัวเองไม่มีเสียงมากพอ

เมื่อไม่นานนี้ นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ ‘อั้ม เนโกะ’ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Aum Neko’ โดยช่วงหนึ่ง ‘อั้ม เนโกะ’ ได้อธิบายถึงปมดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับไทย ว่า ทักษิณพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกมาตั้งนานแล้ว และพรรคเพื่อไทยไม่เคยทอดทิ้งหรือลืมคนที่ลี้ภัยเลย พร้อมทั้งบอกสาเหตุที่ ‘พรรคก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นเพราะไม่มีเสียงที่มากพอ โดยระบุว่า…

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล ดีลในเรื่องที่ว่าหักหลังพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะว่าในหนังสือดาราหรือหนังสือแต่งนิยายดารา เขาบอกว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลคุณทักษิณจะไม่สามารถกลับไทยได้ อยากจะขําเป็นภาษาแมว พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืม ไม่เคยทิ้ง ในขณะสิบปีที่ผ่านมาที่อั้มต่อสู้ คนที่อยู่ในพรรคส้มไม่เคยอยู่เคียงข้างอั้ม”

“คุณทักษิณบอกมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเขาพร้อมจะกลับบ้าน พร้อมจะติดคุกอะไรยังไงก็ว่ากันไป แต่ถามว่าคุณทักษิณเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ เขาเห็นดีเห็นแดงกับคนที่ลี้ภัยอย่างพวกเราไหม? อั้มขอยืนยันตรงนี้ว่า คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมคนที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ… คุณคิดได้ยังไงว่าเขาต้องกันซีนพรรคก้าวไกล ไม่ให้พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อที่ทักษิณจะได้กลับบ้านได้ ขอด่าดัง ๆ คุณดูความจริงก่อน”

“ความจริงมันคืออะไร? คือรัฐบาลของพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งได้เลย เพราะคุณไม่มีเสียงมากพอในสภาฯ คุณมี 151 เสียง ไม่ได้มีเสียงมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งเสียงพรรคอื่น หรือพึ่งเสียง สว. แล้วคุณโกหกต่อสาธารณชนบอกว่าพรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เสียงของเราพอแล้ว นั่นคือ ‘คุณโกหก’ จริง ๆ คุณจัดตั้งไม่ได้ ทุกคนเห็น โลกเห็น แฟนคลับเห็น ว่าคุณจัดตั้งไม่ได้ แล้วคุณเองก็ไปโทรศัพท์คุยกับพรรคที่เป็นพรรคฝั่งรัฐบาลเผด็จการที่คุณด่า ทุกพรรคคุณไปคุย คุณไม่ได้เอามาคุยหน้าไมค์ด้วยซ้ำ แล้วคุณบอกว่าคุณดีเลิศ ประเสริฐศรี สามารถจัดตั้งได้ เพราะคุณคิดว่าเขาจะยกมือให้คุณ สรุปคือ คุณโกหกต่อสังคม แต่ประชาชนก็ปล่อยผ่าน เพราะว่านี่คือพรรคก้าวไกล…”

“คุณทักษิณไม่ได้ดีล และหักหลังพรรคก้าวไกล ถ้าคุณทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยตั้งใจที่จะถลกหนังตลบหน้าพรรคก้าวไกลเหมือนแมวข่วนหน้า นั่นแปลว่า เขาก็ไม่ต้องมานั่งยกมือ ไม่มานั่งโหวตให้คุณ ไม่ต้องมาอะไร แต่เขาพร้อมโหวตให้ตั้งแต่คุณยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ทุกคนที่อยู่ที่นี่จําได้ว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรกได้ สส. เข้ามาในสภาฯ คุณไม่ใช่เป็นพรรคเสียงอันดับหนึ่งนะ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่เขายอมที่จะยกมือขานชื่อของ ‘คุณธนาธร’ ให้ทั้งพรรค ตั้งแต่อดีตจนทุกวันนี้”

“ถ้าสมมติว่าพรรคก้าวไกลของคุณสามารถไปรวบรวมคนมาได้ สามารถที่จะจัดตั้งได้ พรรคเพื่อไทยเขาก็ยังจะยกมือให้คุณ ทุกวันนี้ถามว่าถ้าพรรคก้าวไกล คุณกลับมาจับมือพรรคเพื่อไทยได้ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมยกมือให้คุณ แต่ประเด็นคือคุณไม่มีความสามารถในการหาเสียงได้เกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ และของฝั่ง สว. รวมกันให้มากพอที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้”

“ดังนั้น เมื่อคุณจัดตั้งไม่ได้ คุณบอกว่าคุณประกาศเองเลยว่า ขอส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย แล้ว พอคุณส่งไม้ต่อไปแล้ว พรรคเพื่อไทยเขาก็ทําทุกวิถีทางเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยไปกันซีนพรรคคุณ เพื่อที่จะดีลให้ทักษิณกลับบ้านได้ ขอโทษค่ะ… อันนี้คือคุณบิดและมาหาว่าดิฉันเป็นนางแบก คนนั้นคนนี้เป็นนางแบก คุณพวกส้มบิด บิดจน โอ้โฮ! ลําไส้เจ็บไปหมดเลย คุณไม่มีความสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คุณด่าพรรคเพื่อไทยหวังผลทางการเมือง สร้างข่าวลวงว่าคุณทักษิณกันซีนไม่ให้พรรคก้าวไกลขึ้นมาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล คุณทําเองไม่ได้ แล้วคุณมาดักเพื่อไทยต่อ คือต่อให้พรรคก้าวไกลสามารถมาเป็นประธานรัฐสภาได้ มันทําให้เสียงของพรรคก้าวไกลได้เกินครึ่งหนึ่งและจัดตั้งรัฐบาลเอาพิธาตีเมียมาเป็นนายกได้ไหม? ก็ไม่ได้เพราะความจริงคือคุณมีแค่ 151 แค่นั้น คุณอย่าฝัน คุณยังไม่ได้เกินครึ่งสภาฯ เลย คุณยังไม่ได้พรรคเดียวเกิน 250 เสียง ยังไม่ได้พรรคเดียวถึง 375 เสียง”

“ดังนั้น คุณจึงไม่สามารถจัดตั้งพรรคได้ และพวกส้มบิดทั้งหลาย เลิกเชื่อละครน้ำเน่าที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและทักษิณว่า ดีลเพื่อที่จะไปกันซีนพรรคคุณได้แล้วค่ะ”

ไม่พลิก!! 'อนุทิน' คุม 'มท.1' ฟาก 'ป๊อด' ผงาด!! อาจมีขบถ ปชป.ซบบ้านป่า ส่วน พท.พร้อมเดินหน้า แต่แอบผวา 'ทักษิณ' ทำความดีละลายหาย

'เลียบการเมือง' สุดสัปดาห์ กับ 'เล็ก เลียบด่วน' สัปดาห์นี้ ขอวิเคราะห์การเมืองกันแบบซุบซิบ...เมาท์มอยดีกว่านะครับ ก่อนจะได้ดูโผ ครม.จริงๆ กันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้...

'เล็ก เลียบด่วน' สรุปอีกครั้งว่า... 'เพื่อไทย' ได้เป็นรัฐบาลรอบนี้เพราะมีลุง...มีลุงจึงมีเรา...152 เสียงของสมาชิกวุฒิสภาหรือ สว.ที่ขานชื่อ "เห็นชอบ" ให้เศรษฐา ทวีสิน นั้น เป็น สว.สายบิ๊กตู่ร่วมๆ 145 คน ดังนั้นจึงชอบแล้วที่ 'เสี่ยนิด เศรษฐา' ไปขอบคุณลุงตู่ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นวัฒนธรรมใหม่ทางการเมือง...

เอาไปเอามา...ดูเหมือนว่าไฮไลต์การจัดโผ ครม. อยู่ที่เก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกับคมนาคม...เมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นคำขาดขอคุม 'คมนาคม' พรรคน้องหนู อนุทิน ชาญวีรกูล ก็โค้งคำนับทุบโต๊ะบอกว่า "ได้ครับ" แต่ขอแลกกับมหาดไทย...นั่นเป็นที่มาของอนุทินรอบนี้จะนั่งรองนายกฯ ควบ มท.1  

ส่วน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อเจาะกระทรวงพลังงานไม่ได้ ก็มาดูเมกะโปรเจกต์ที่กระทรวงหูกวาง...

กระทรวงหูกวาง หรือ คมนาคมรอบนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' ให้จับตามองตำแหน่ง รมช.โควตาพรรคเพื่อไทยให้ดีๆ เขาคือ 'หมอหนุ่ย' นพ.สุรพงษ์ ปิยะโชติ นายก อบจ.กาญจนบุรี สายตรงของเจ้าสัวด้านขนส่งคมนาคม...คนนั้น  

เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 'หมอหนุ่ย' คนเชียงใหม่ แต่เคยเป็น สส.เมืองกาญจน์เมื่อปี 2554 เป็นแม่ทัพบัญชาการการรบ โดยมีเจ้าสัวสนับสนุนยุทธปัจจัยไม่อั้น ทำให้เพื่อไทยกวาด สส.เมืองกาญจน์ได้ 4 เขตจาก 5 เขต...วันนี้เลยได้รับบำเหน็จขึ้นแท่น รมช.แฮปปี้ทั้งเจ้าสัวและหมอหนุ่ยรวมทั้งคนเมืองกาญจน์ฯ...

รายนี้ก็เป็นการตบรางวัล จัดให้ตามที่คุณขอมา...ว่าที่รมว.ท่องเที่ยวและการกีฬา คนใหม่ ตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ออกอาการเคอะเขินระหว่างเดินทางร่วมทริปดูงานด้านการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต-พังงากับ ท่านนายกฯ เศรษฐา...ไม่ใช่ใครอื่น 'สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล' ลูกสาวคนโตของ 'กำนันป้อ' วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เสี่ยแป้งมันคนโตแห่งโคราชนั่นเอง...

เลือกตั้งรอบนี้ กำนันป้อ จับมือ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กวาดสส.โคราชเกือบเกลี้ยง...เพื่อไทยเลยจัดให้สองเก้าอี้...ประเสริฐว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม...กำนันป้อส่งคุณหนูสุดาวรรณคุมท่องเที่ยวฯ ยินดีด้วยนะครับ

สื่อมวลชนบางสำนักเขียนถึง 'บิ๊กป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า...อกหักพักบ้านป่า...ซึ่ง 'เล็ก เลียบด่วน' ก็ขอบอกว่าไม่มีอะไรผิดหรอกที่เขียนน่ะ แต่อย่าซ้ำเติมท่านนักเลย แค่เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 6 จปร.17 หลายคนแหกโผไปยกมือโหวตให้ 'เศรษฐา' ทั้งๆ ที่ตกลงกันว่าจะงดออกเสียงก็ชีช้ำพอแล้ว...โดยเฉพาะรายของ 'บิ๊กกี่' พล.อ.นพดล อินทปัญญา...เพื่อนเลิฟลุงป้อม งานนี้สนับสนุนนายกฯ เพื่อไทยเต็มลำ ทำไงได้ล่ะ...ก็สุดที่เลิฟของ 'บิ๊กกี่' เป็น สส.อยู่ที่พรรคเพื่อไทยนี่นา…

สำหรับพรรคพลังประชารัฐ จากนี้ไปก็คงอยู่ภายใต้การคอนโทรลของน้องชายบิ๊กป้อม คือ 'บิ๊กป๊อด' พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ว่าที่รองนายกฯ / รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม...อนาคตพรรค พปชร.แม้จะดูเทาๆ มัวๆ แต่อาจจะอยู่ยืนยาวกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ...ดีไม่ดีว่ากันว่าหากในอนาคตกลุ่ม 16 แห่งพรรคประชาธิปัตย์ถูกขับหรือขับตัวเอง อาจจะมาซุกกายอยู่บ้านป่ารอยต่อใน พ.ศ.ใหม่ก็เป็นไปได้...ไม่เชื่อลองไปถามเดชอิศม์ ขาวทอง

และสุดท้าย...ท้ายสุด เหนือการควบคุมของ นายกฯ เศรษฐา...แต่จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลเศรษฐา...แฟนคลับพรรคเพื่อไทยฝาก 'เล็ก เลียบด่วน' กระซิบกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ว่า หากพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตรไม่บริหารให้อยู่ในความพอดีของความเป็นนักโทษ...ต่อให้รัฐบาลสร้างผลงานดีแค่ไหนก็จะละลายหายไปกับความเสื่อมศรัทธาที่จะเกิดขึ้น...

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีในระดับพอสมควรแล้ว คนไทยให้อภัยและชื่นชมที่ทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าจะทำลายโอกาสดีๆ ที่พรรคเพื่อไทยจะได้ฟื้นตัว มีพลังสู้กับพรรคก้าวไกลและปัญหาของชาติ 

ก็ช่วยไม่ได้...เอวัง!!

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘เศรษฐา’ เผย จัดคณะรัฐมนตรีใกล้สำเร็จ หวังแถลงกรอบนโยบาย 8 ก.ย.นี้

(29 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีชื่อนายพิชิต ชื่นบาน จะมานั่งตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกฯ และก่อนหน้านี้มีการตั้งข้อสงสัยว่าจะมีชื่อนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นั่งตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายว่า ตนเข้าใจว่าคงได้รับมอบหมายให้ไปทำอย่างอื่น สำหรับนายพิชิตก็อยู่มานานแล้ว และเข้าใจว่าเสร็จ 100% แล้ว จริง ๆ ไม่อยากเปิดเผยชื่อเท่าไหร่ เพราะขณะนี้ตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติ 2 วัน

เมื่อถามว่าจะสามารถนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่อาจไปก้าวล่วง

เมื่อถามว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา วางกรอบแถลงนโยบายไว้ประมาณวันที่ 8 ก.ย.นี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าได้ก็ดี ซึ่งมีการนัดคุยเรื่องนโยบายกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอด โดยในวันที่ 30 ส.ค. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็จะเข้ามา วันนี้จะมีการคุยนโยบายกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ด้วย และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมาคุยนโยบายบางส่วนกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งคิดว่าไม่น่ามีประเด็นอะไร อย่างไรก็ตาม เราได้ร่างนโยบายไว้เรียบร้อยแล้ว โดยมีการนำของพรรคร่วมรัฐบาลมาเสริม หรือใครก็ตามที่มีนโยบายของพรรคก็สามารถนำมาหล่อหลอมเป็นนโยบายได้

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยังหวังว่าพรรคเพื่อไทย จะนำบางนโยบายของพรรคก้าวไกลมาใช้บ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า อะไรเป็นประโยชน์กับประเทศชาติเราก็จะพิจารณาหมด

เมื่อถามว่ามีเสียงสะท้อนจาก สส.ในพรรคเพื่อไทย ถึงความไม่พอใจเรื่องการแบ่งกระทรวงนายเศรษฐา กล่าวว่า ใจเย็น ๆ นิดหนึ่ง อาจจะมีเซอร์ไพรส์อะไรบ้างนิดหน่อย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ขอให้ดูรายชื่อทั้งหมดและโครงสร้างในการแบ่งงานก่อน พยายามเต็มที่ให้ทุกคนไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่าการประชุม สส.พรรคช่วงเย็นวันนี้ต้องทำความเข้าใจหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้ตนจะเข้าประชุมด้วย และถ้ามีโอกาสต้องชี้แจง หากมีปัญหาหรือความไม่เข้าใจภายในพรรคกันเอง เราคุยกันในบ้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในพรรคต้องชี้แจง ประนีประนอมกัน

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าโผ ครม.ชุดนี้เทียบไม่ได้กับครม.ชุดเก่า นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้ใจเย็นนิดหนึ่ง และต้องให้เกียรติว่าที่รัฐมนตรีทุกท่านด้วย ขอโอกาสและขอให้ดูที่ผลงานเป็นหลัก

‘เศรษฐา’ ลั่น!! วิจารณ์ว่าที่ รมต. ได้ในกรอบที่เหมาะสม มั่นใจ!! ทุกคนมีคุณสมบัติเหมาะนั่งตำแหน่งรัฐมนตรี

(30 พ.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่บางคนอาจไม่เหมาะกับบางตำแหน่งว่า ต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลและผู้ที่ประสานงานจัดตั้ง ครม.ด้วย ตนคิดว่าหน้าตาหรืออะไร ก็มีสิทธิ์ที่คนจะคิดกันได้ แต่ต้องให้เกียรติกับรัฐมนตรี และมั่นใจว่ารัฐบาลของเรามีภารกิจมาก มีเป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน เราคงวัดกันที่ตรงนี้ เพราะวันนี้ทุกคนคงต้องเริ่มทำงานแล้ว


เมื่อถามว่ามีเสียงสะท้อนว่าหากพลเรือนมาคุมกองทัพ อาจจะเป็นการถูกด้อยค่า นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่านายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีผู้รายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้อาวุโส เป็น สส. หลายสมัย เท่าที่ตนรู้จักนายสุทิน ท่านเป็นคนที่ให้เกียรติคน เชื่อว่าการประสานงานกับกองทัพจะเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งส่วนตัวตนจะเข้าไปช่วยดูตรงนี้ด้วย ก็ต้องให้แน่ใจว่าทุกสถาบันได้รับการดูแลเอาใจใส่ และได้รับการพูดคุยอย่างเหมาะสม สมฐานะ

เมื่อถามว่าว่าที่รัฐมนตรีทยอยเข้าไปกรอกประวัติที่ทำเนียบรัฐบาล ทางสำนักเลขาธิการ ครม. ได้แจ้งหรือไม่ว่าจะใช้เวลากี่วันและขั้นตอนต่อไปจะเริ่มได้เมื่อไหร่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ได้พูดคุยกับเลขาธิการ ครม. ระยะเวลาในการตรวจสอบน่าจะอยู่ที่ 2 วัน หลังจากนั้นก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เลย

เมื่อถามว่าทางเลขาธิการ ครม.ได้แจ้งเรื่องคุณสมบัติมาบ้างหรือไม่ เพราะมีรายงานว่ารัฐมนตรีบางคนคุณสมบัติไม่ผ่าน นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องยังไม่ถึงตน ตนยังไม่ทราบ

เมื่อถามถึงกรณีที่นายณฐพร โตประยูร จะทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ ว่ามีว่าที่รัฐมนตรี 4 คน ประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) คุณสมบัติไม่ผ่าน โดยอ้างอิงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ได้รับข้อมูล แต่ตนเชื่อว่าทั้ง 4 คนเป็นบุคคลที่เหมาะสมในการเข้าดำรงตำแหน่ง เหลือแค่เช็กคุณสมบัติจากเลขาธิการ ครม. อีกครั้ง

เมื่อถามถึงกรณีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนทราบเรื่องแล้ว วันนี้ นพ.ชลน่านคงประกาศเรื่องนี้เอง ต้องให้เกียรติท่าน ซึ่งท่านก็เป็น สส. หลายสมัย ทำประโยชน์ให้กับพรรคเพื่อไทยมานาน และเป็นที่รักของ สส. ทุกคน ตนเพิ่งเข้ามาใหม่ ท่านก็ให้การดูแลที่ดี เชื่อว่าไม่ว่าท่านจะตัดสินใจเช่นไร ในอนาคตท่านก็จะยังอยู่ในพรรค เพื่อไทยต่อไป ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ในพรรคมีการคุยกัน แต่ต้องให้เกียรติ นพ.ชลน่านในการแถลง

เมื่อถามย้ำว่าเรื่องเซอร์ไพรส์ที่นายเศรษฐาเคยบอกคือเรื่องที่ นพ.ชลน่านจะลาออกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ไม่ใช่ครับ นพ.ชลน่านประกาศไว้นาน หากมีการเลือกนายกฯ เสร็จเรียบร้อย และหากเสร็จภารกิจ นพ.ชลน่านก็จะมีการประกาศของท่านออกไป”

เมื่อถามต่อว่าถ้า นพ.ชลน่านลาออกใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องมีการประชุมพรรค เพราะเราเป็นพรรคที่มีสมาชิกเยอะ คงต้องว่าไปตามกฎพรรคการเมือง และคงต้องมีการรักษาการไปก่อน ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ภายใน 60 วัน ทั้งนี้ ขอฟัง นพ.ชลน่านแถลงก่อน

เมื่อถามว่ามองคุณสมบัติของคนที่จะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนต่อไปอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนในฐานะหนึ่งในสมาชิกพรรค คิดว่าต้องเป็นคนที่อยู่ในพรรคมานาน มีความรู้ความสามารถ รอบรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ความมั่นคงเศรษฐกิจและสังคม

เมื่อถามว่ามองว่านพ.ชลน่านจะมีโอกาสกลับมานั่งหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไปก้าวล่วงสิทธิของสมาชิกพรรคทุกท่านไม่ได้ ต้องให้เกียรติสมาชิก เราหนึ่งคนหนึ่งเสียง เราเคารพระบบพรรคการเมือง

เมื่อถามว่าส่วนตัวจะเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ขอพูดเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกกรรมการบริหารพรรค

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการจัดทำนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา นายเศรษฐา กล่าวว่า มีความคืบหน้าตลอด เมื่อวานนี้มีการพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แล้ว ซึ่งนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ว่าที่เลขาธิการนายกฯ เป็นคนเจรจาและรวบรวมข้อมูล แล้ววันนี้เวลา 11.00 น. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะเข้ามาพบตนที่พรรคเพื่อไทย เพื่อพูดคุยเรื่องนโยบาย ซึ่งเราก็เร่งด่วนในเรื่องนี้ เพราะอยากแถลงนโยบายโดยเร็วหลังเข้าถวายสัตย์ฯ เพื่อที่ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องทำ

เมื่อถามว่าหลังจากนำ ครม. ถวายสัตย์ฯ แล้ว คาดว่าจะใช้เวลากี่วันในการแถลงนโยบายต่อสภาฯ ได้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอไปดูนิดหนึ่งก่อน ขึ้นอยู่กับถวายสัตย์ฯ เมื่อไหร่ แต่คาดว่าจะไม่เกิน 1 สัปดาห์

เมื่อถามว่าภารกิจที่ว่าเน้นไปที่การท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซันตั้งตัวเลขไว้อย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า กำลังทำการศึกษาอยู่ ซึ่งในทุกเวทีที่เราพูดคุย การท่องเที่ยวที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุด รวมถึงเดือน ต.ค. ซึ่งใกล้ถึงช่วงไฮซีซันแล้ว ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้ลงพื้นที่ที่ จ.ภูเก็ตและพังงา ได้คุยกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการท่าอากาศยาน การบินไทย กระทรวงคมนาคมเรื่องแผนการพัฒนาและสนับสนุน และมีการคุยกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในเรื่องของการดูแลด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ซึ่งท่านก็สนับสนุนและเห็นชอบในเรื่องนี้ ฉะนั้นเรื่องนักท่องเที่ยวจีน ที่เรามีดำริว่าเราจะยกเลิกขอวีซ่าก็หวังว่าจะได้รับการตอบสนองที่ดีจากทุกภาคส่วน ส่วนตัวเลขวันประกาศคงจะมีการอธิบายให้ฟังว่าจะดีขึ้นอย่างไร แล้วจะเห็นผลเมื่อไหร่

'เศรษฐา 1' พอใช้ได้ 'ไม่โกง-ไม่รื้อรธน.' อยู่ยาว 3 ปี ติด!! บางกระทรวงแม้ลงตัว แต่ยังแอบขัดใจในดีกรี

มาถึงนาทีนี้ก็ใกล้จะประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 กันแล้ว...รออีกแป๊บบบ...โปรดเกล้าฯ เมื่อไหร่จะได้วิพากษ์วิจารณ์กันเต็มที่ 

ในชั้นนี้ประสา 'เล็ก เลียบด่วน' ขอแสดงความเห็นส่วนตัวถึงโครงสร้างและรูปลักษณ์ของรัฐบาลเศรษฐาสั้น ๆ 3 ประการ

ประการแรก - เป็นรัฐบาลที่เป็นผลิตผลของรัฐบาลผสมระหว่างฝ่ายที่อ้างว่าเป็นฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมซึ่งนำโดยพรรคสองลุง...ผลลัพธ์ที่ออกมาก็อย่างที่เห็น ๆ มันก็คือ เผ่าพันธุ์นักการเมืองทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น โดยมีนายทุนพรรคเข้ามาหยิบชิ้นปลามันอย่างสมน้ำสมเนื้อที่ได้ลงทุน เช่นกรณีกระทรวงคมนาคม, กระทรวงพลังงาน หรือแม้แต่กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น

ประการที่สอง - แม้หลายตำแหน่งจะลงตัว เหมาะสม แต่เหตุเพราะการแบ่งกระทรวงอาจจะไม่ถูกที่ถูกพรรค ทำให้การวางตัวคนบางตำแหน่งอาจจะดูขัด ๆ เขิน ๆ ไม่ ‘พุท เดอะไร้ท์ แมน ออน เดอะ ไร้ท์ จ๊อบ’ ...เช่น ภูมิธรรม เวชยชัย ควรนั่งมหาดไทยหรือรองนายกฯ ควบกระทรวงเชิงสังคม แต่กลับต้องไปนั่งว่าการพาณิชย์ หรือแม้แต่กรณี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ต้องไปนั่งว่าการศึกษาธิการ และกรณีสุทิน คลังแสง ที่หากไม่พลิกก็จะไปคุมกองทัพในตำแหน่งว่าการกลาโหม เป็นต้น

ประการที่สาม - แม้ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ก็พอจะคาดหมายได้ว่า...เคาะสุดท้าย...คำสั่งสุดท้าย...โผสุดท้ายที่ออกมาจากห้องสูท ชั้น 14 ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง...ซึ่งนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้...ดังกรณีตำแหน่งรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการปูนบำเหน็จให้คนชื่อพิชิต ชื่นบาน 'ทนายถุงขนม'

กรณีพิชิต ชื่นบาน นี่ต้องขอเสริมสักนิดว่า เมื่อตรวจสอบในเชิงตัวบทกฎหมายแล้ว ไม่สามารถไปห้ามเขาได้ครับ ที่พิชิตต้องไปนอนคุก 6 เดือนเมื่อปี 2551 กรณีพยายามติดสินบนบนศาลนั้นก็เป็นคำสั่งศาล ยังไม่ใช่ คำพิพากษา' ของศาลจากคดีอาญาแต่ประการใด...แต่ที่ 'เล็ก เลียบด่วน' ติดใจและสังคมก็น่าจะคาใจกันทั้งประเทศก็คือ ประเด็นจริยธรรม ที่เขาเป็นสินค้ามีตำหนิชัดเจน...

มาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญ สองวงเล็บ บัญญัติชัดเจนว่า...รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ส่วนกรณีของ 'บิ๊กทิน' สุทิน คลังแสง นั้นเป็นคนมีความรู้รอบตัว ถ้าให้เหมาะสมกับสเปกของเจ้าตัวน่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ หรือวัฒนธรรม หรือเกษตรและสหกรณ์ แต่ด้วยเหตุที่เก้าอี้รัฐมนตรีจำกัดและไม่สามารถนายทหารในสเปกเพื่อไทยได้ รวมทั้งลึกๆ อยากสร้างมิติใหม่ทางการเมืองให้พลเรือนที่ไม่ใช่นายกฯ คุมกลาโหม จึงส่งพ่อใหญ่หมอลำอย่างสุทินไปว่าการ...ซะเลย

ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงนายทหาร เตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับทักษิณ ชินวัตร ปรากฏชื่อ พล.อ.พิศาล  วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 สส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 27 ของพรรคเพื่อไทย แต่ พล.อ.พิศาล มีบาดแผลใหญ่กรณีสลายม็อบตากใบ 85 ศพ เมื่อปี 2547 เลยไม่ผ่าน...ต่อมาจึงมีชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ 'บิ๊กเล็ก' อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายทหารสายบุ๋น สายตรงลุงตู่...แต่สุดท้ายก็เงียบไป...

ฉะนั้นถึงนาทีนี้ ชื่อ 'บิ๊กทิน' จึงยังเต็งจ๋า...แต่นาทีสุดท้ายเมื่อต้องเผชิญแรงต้านจากกองทัพในระดับพอสมควร ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร...

ส่งท้ายวันนี้ 'เล็ก เลียบด่วน' สวมวิญญาณโหร นั่งเทียนพยากรณ์ว่ารัฐบาลเศรษฐาจะไปได้ยาวกว่าที่หลายคนกำลังแช่ง เพราะทุกพรรคจะถ้อยทีถ้อยอาศัยประสานผลประโยชน์กัน

วันนี้จึงขอบอกเพียงว่า...ครึ่งเทอมหรือสองปีจะผ่านไปได้ชิวๆ และถ้าไม่โกงและไม่ติดหล่มแก้รัฐธรรมนูญตามเกมพรรคก้าวไกลมากเกินไป..เอาไปเลยสามปี..!!

‘หมอชลน่าน’ ลาออก ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ เซ่นปมจับมือพรรคลุงจัดตั้งรัฐบาล

(30 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. จะลาออกจากกก.บห. จากนั้นเวลา 16.20 น. นพ.ชลน่าน พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากการประชุมกก.บห.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดสุดท้าย ที่ตนเคยระบุไว้ว่า ถ้าตนทำหน้าที่หัวหน้า ในฐานะประธานกก.บห. พิจารณารับผิดชอบในการตั้งรัฐบาลของพรรค พท. เสร็จเรียบร้อย ตนจะมาประกาศกับสื่อมวลชนผ่านไปยังประชาชนว่า เรื่องที่ตนจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ในเวลาดีเบตหาเสียงเลือกตั้ง สส. วันนี้ภารกิจก็เสร็จเรียบร้อย

“ผมนพ.ชลน่าน ขอทำตามที่เคยประกาศไว้ เป็นสัจจะที่ผมเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ถ้ากก.บห. มีมติจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติจับมือดีลกับลุงป้อม ผมในฐานะหัวหน้าพรรคพร้อมที่จะลาออก และขออนุญาตประกาศ ณ ตรงนี้ว่า ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อไทยตามที่ผมได้ประกาศเอาไว้ ณ บัดนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เหตุผลความจำเป็นที่ตนเลือกมาประกาศในวันนี้ เพราะเหตุผลความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ที่พรรค พท. มีความจำเป็นจาก กก.บห. และสมาชิกพรรคที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อย

ขณะที่นายประเสริฐ กล่าวว่า ในที่ประชุมกก.บห.นั้น นพ.ชลน่าน ได้กล่าวขอบคุณกก.บห.ทุกท่าน และชี้แจงประชาชนตามข้อบังคับเมื่อหัวหน้าพรรคลาออก กก.บห.ที่เหลือทั้งหมด ต้องหมดสภาพกก.บห. แต่ กก.บห. อื่น ๆ นอกจากหัวหน้าพรรคยังรักษาการอยู่ ซึ่ง ที่ประชุม กก.บห. วันนี้มีมติเลือกนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน ส่วนการสรรหา กก.บห.ชุดใหม่นั้น จะต้องทำในระยะเวลา 60 วัน

เมื่อถามว่า หากมีสมาชิกเสนอชื่อให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะรับหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน ยืนยันว่าการทำหน้าที่หัวหน้าที่ผ่านมา ตนทำงานด้วยความสุข ความภาคภูมิใจ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพรรคในวันที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 โดยทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาชน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากสมาชิกและบุคลากรภายในพรรคเป็นอย่างดี

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ช่วงวิกฤตรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพวกเราทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แต่สิ่งที่เราได้รับคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่มาก หลังเลือกตั้งยิ่งทำให้ผมรู้สึกเองว่าผูกพัน มีความรัก มีความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และเห็นผู้คนของพรรคทุ่มเทเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ฉะนั้น คำกล่าวอ้างวาทกรรม ข้อโจมตีหรือข้อที่เห็นแย้งต่าง ๆ เราล้วนเห็นว่าเป็นมิติหนึ่งทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราคือทำเพื่อประชาชน

“ถามว่ารู้ผมรู้สึกอะไร ผมไม่มีความรู้สึกที่จะเสียใจ โกรธเคือง หรืออะไรต่าง ๆ ผมไม่มีครับ เพราะผมถือว่าเป็นหน้าที่ ผมพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อทุกอย่างมีข้อจำกัด ทุกอย่างมีสิ่งต้องรับและผูกมัดไว้มันก็ต้องปฏิบัติตามแบบนั้น ผมไม่ได้หนีไปไหนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า การลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ยังคงเป็น สส. และว่าที่รัฐมนตรี ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมประกาศเอาไว้ ผมพูดไว้เพียงแต่จะลาออกจากหัวหน้าพรรค”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทั้ง 3 ท่านได้ต่างไหว้ พร้อมทั้งลุกขึ้นมาจับมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมว่า อยากฝากถึงประชาชนที่หมดศรัทธากับตัวเองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องศรัทธาและความเชื่อไปสิทธิส่วนบุคคล เป็นเสรีภาพบนพื้นฐานที่เขาได้รับ ซึ่งหวังว่าประชาชนที่มีความรู้สึกแม้จะแตกต่างกัน หรือจะมีความเชื่อหรือศรัทธาหรือไม่อย่างไรหากได้พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะไม่ต้องมาบอกว่าศรัทธาหรือไม่ศรัทธา แต่เราพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากัน และมองจุดสำคัญของแต่ละคนที่เป็นประโยชน์ของบ้านเมือง ตรงนั้นน่าจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

“เราไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของทุกคนได้ มีเพียงระดับหนึ่งที่เราสามารถตอบสนองได้ และเป็นเรื่องธรรมดา หน้าที่ของเราคือการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน สมาชิกพรรคการเมือง อยู่ในมิติทางการเมือง ก็แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องให้เหมาะสมที่สุด ภายใต้สิทธิเสรีภาพของกฎหมาย” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า จะเป็นเหมือนพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค แล้วมีการเสนอชื่อเข้ามาใหม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอให้ไปดูกระบวนการ เพราะระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองกับบุคคลต้องแยกกัน ตนแสดงความรับผิดชอบในฐานะบุคคล ไม่ได้เอาพรรคมาเกี่ยวข้อง เกี่ยวเพียงเล็กน้อยที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น

‘เศรษฐา’ ชี้!! โครงการพักหนี้เกษตรกรเริ่ม ต.ค.66 ได้ทันที เล็งขยายกรอบดูแลหนี้สินข้าราชการ-ผู้ประสบวิกฤตโควิด

(1 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าถึงการลดค่าไฟว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ตนได้โทรไปหาว่าที่ รมว.พลังงาน วันนี้ก็จะหารือกันอีกครั้ง โดยนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานนโยบายพรรคเพื่อไทยและว่าที่เลขาธิการนายกฯ จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ ขอให้รออีกนิด เข้าใจว่าอยากรู้ว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการการพูดคุย ถึงเรื่องงบประมาณ อย่างไรก็ตามวานนี้ ( 31 ส.ค.) ทางประธานสภาอุตสาหกรรม ก็ได้แสดงความกังวลเรื่องลดค่าใช้จ่ายผู้
ประกอบกาาร ทั้งค่าไฟค่าพลังงาน แน่นอนว่าเราให้ความสำคัญสูงสุด และชี้แจงแล้วว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

เมื่อถามถึงเรื่องความคืบหน้าการพักหนี้เกษตรกร หลังจากที่ได้คุยกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นนโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทย แต่เราต้องดูรายละเอียดว่าจะใช้จำนวนเงินเท่าไหร่ และจะเป็นการพักทั้งต้นและดอก หลักการเพื่อให้เกษตรกรมีเวลาไปฟื้นฟู ไปทำมาหากิน ไม่ใช่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องหนี้สิน ซึ่งเบื้องต้นประมาณเดือน ต.ค.สามารถทำได้ โดยตอนนี้ได้ให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารธกส. ไปดูเรื่องการอนุมัติ และประสานกับกระทรวงการคลังด้วย 

ทั้งนี้ เราจะไม่ดูเรื่องหนี้สินแค่เกษตรกร แต่เราจะดูแลเรื่องหนี้สินของประชาชน รวมถึงตำรวจ และหนี้สินในช่วงที่ประสบกับภัยพิบัติโควิด เราจะดูแลให้ครบทุกภาคส่วน ซึ่งการพักหนี้ชั่วคราวเป็นแค่การแบ่งเบาความทุกข์ ฟื้นฟูจิตใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเพิ่มรายได้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้น นโยบายของพรรคเพื่อไทยได้มีการคุยกันถึงการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำ 

เมื่อถามว่าสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ออกมาตั้งคำถามว่าการฟรีวีซ่าที่นายกฯ พูดหมายถึงอะไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องขอประทานโทษด้วยที่ตนพูดไม่ชัดเจน การฟรีวีซ่าไม่ได้หมายถึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่วีซ่าฟรีหมายถึงไม่ต้องขอวีซ่า หากไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศก็จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า โดยจะเป็นการยกเว้นขอวีซ่าชั่วคราวในช่วงที่เป็นไฮซีซัน ซึ่งไม่ใช่แค่กระทรวงการต่างประเทศที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ตนได้ดูเรื่องของความมั่นคง และได้มีการคุยกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงการท่าอากาศยานด้วย ซึ่งเราต้องดูทั้งหมดในการที่จะเข้ามาในประเทศ นอกจากนี้ยังมีการคุยกันหลายเรื่อง และมีการเห็นชอบในหลักการ ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยกับว่าที่ รมว.มหาดไทยด้วย ซึ่งท่านก็บอกว่าเห็นด้วยที่จะช่วยกันผลักดันนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะสามารถทำได้ภายใน 1 ต.ค. นี้

เมื่อถามถึงเรื่องการพัฒนากีฬาในประเทศ รัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อยู่ในการกำกับการดูแลของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ได้มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาหลายท่านเพื่อมาพบปะพูดคุยกัน การกีฬาแห่งประเทศไทย ยังมีเรื่องของกองทุนพัฒนากีฬา เข้าใจว่าอีกไม่กี่เดือนจะเข้าสู่ช่วงเอเชียนเกมส์แล้ว หลายสมาคมยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนค้างกันมาเป็นหลายล้าน ตรงนี้ก็ฝากผู้ที่ดูแลด้านกองทุนพัฒนากีฬาด้วย ว่าหากสามารถจ่ายเงินออกมาได้ก็เป็นขวัญกำลังใจให้กับนักกีฬา ที่จะไปแข่งขันในเอเชียนเกมส์ที่ใกล้เข้ามา เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับประเทศชาติ ซึ่งเท่าที่ฟังมาก็มีหลายสมาคมที่เดือดร้อน เมื่อถามว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ถูกตัดงบ 150 ล้านบาทจะกระทบการจัดงานโมโตจีพีหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตรงนี้น่าเป็นห่วง แต่ต้องมาดูก่อนว่า 150 ล้านบาทที่ตัดไป เอาไปทำอะไร มีทางไหนหรือไม่ที่จะคงไว้ซึ่งกิจกรรมต่างๆ

'นพ.กวิน' สำรวจ!! นโยบายสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทย เห็นด้วย!! สร้างรพ.รัฐขนาด 120 เตียงขึ้นไปประจำทุกเขตในกทม.

(3 ก.ย. 66) นายแพทย์กวิน ก้านแก้ว แพทย์ผู้อุทิศตนให้กับการรักษาคนไข้โดยไม่เคยย่อท้อ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Kawin Kankeow' ระบุว่า...

หนึ่งในนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทยที่ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งคือ กทม.ต้องมีโรงพยาบาลรัฐขนาด 120 เตียงขึ้นไปประจำทุกเขต

หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ยิ่งในช่วงหลังมีการพูดถึงว่าเป็นต้นเหตุทำให้ภาระงานของบุคลากรสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ผมไม่คิดเช่นนั้นครับ 

ผมคิดว่านโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค คือการปฏิวัติระบบบริการสุขภาพที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับคนไทยอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้คนยากจนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคได้โดยผ่านการสงเคราะห์ และด้วยนโยบายดังกล่าวทำให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างเท่าเทียมกันและเสมอภาคกัน

ฉะนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยเลยกับนโยบายการร่วมจ่ายของประชาชน เพราะเมื่ออยู่ในท้องถิ่นทุรกันดารเงินหลักร้อยบาทขึ้นไปก็ไม่ใช่เงินจำนวนที่ทุกคนมีพร้อมจะจ่าย

ทุกวันนี้ผมคิดว่าทุกจังหวัดของประเทศไทยยกเว้นกรุงเทพมหานคร ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างเหมาะสมแล้วผ่านการให้บริการของโรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

แต่สำหรับกรุงเทพฯ โรงพยาบาลที่ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชน เพราะโรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในกรุงเทพฯ มีน้อยมากๆ

ความแตกต่าง คือ การพิจารณาการใช้ทรัพยากรในการรักษาและการส่งต่อผู้ป่วยสำหรับโรงพยาบาลรัฐย่อมมีข้อจำกัดน้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมีปัจจัยเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมพบว่าผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เข้าถึงการรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ด้อยกว่าผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด บางกรณีการลงทุนย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐในต่างจังหวัดสำหรับคนกรุงเทพฯ อาจจะคุ้มกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้น การที่จะมีนโยบายสร้างโรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น ย่อมทำให้คนกรุงเทพฯ เข้าถึงการรักษาโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ส่วนตัวผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องสร้างทุกเขต ควรจะสร้างโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่เป็นจุดๆ ดีกว่า เพราะการเดินทางในกรุงเทพฯ สะดวกสบายอยู่แล้ว และการสร้างโรงพยาบาลเล็กๆ หลายๆ แห่งมีความสิ้นเปลืองในแง่ของการกระจายทรัพยากรที่มากกว่า

นอกจากนโยบายการสร้างโรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯ แล้ว การเปลี่ยนแปลงในระบบสาธารณสุขที่ผมอยากเห็นอีกประการหนึ่งคือ การกำหนดโครงสร้างให้โรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในแต่ละจังหวัดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ภายใต้ผู้บริหารที่สามารถกำหนดนโยบายและทิศทางการทำงานได้ทั้งจังหวัด

...และไม่เห็นด้วยเลยกับการนำโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งในจังหวัดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลเป็นเอกเทศไม่ขึ้นแก่กัน ทำให้ทิศทางการพัฒนาเป็นไปอย่างสะเปะสะปะและไม่เกิดการแชร์ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกัน

โรงพยาบาลรัฐทุกแห่งไม่จำเป็นต้องพยายามเพิ่มศักยภาพให้เท่าเทียมกันหมด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลที่อยู่ในอำเภอเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลจังหวัดมากๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีการรักษาที่ซับซ้อน เช่น การผ่าตัดหรือการคลอดบุตร เลย การที่มี CEO ของจังหวัดในการวางแผนการให้บริการสาธารณสุขทั้งจังหวัดจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรกระจายได้อย่างเหมาะสมกว่า

นอกจากนี้สิ่งที่ผมอยากเห็นอีกอย่างคือ การควบรวมสิทธิการรักษาหลักทั้งสามคือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาของข้าราชการ เข้าด้วยกัน

ถ้าเรามั่นใจว่าปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำได้ดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบอื่นอีก เพราะการดูแลรักษาคนไทยทุกคนควรมีมาตรฐานเดียวที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน และระบบประกันสังคมควรจะดูแลเฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค เช่น การออมเงิน การชดเชยรายได้ ในขณะที่ข้าราชการอาจได้สิทธิบางอย่างเพิ่มเติม เช่น ค่าบริการห้องพิเศษ

...เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นแพทย์ ก็หวังว่าจะได้เห็นนโยบายดีๆ เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ

‘เศรษฐา’ แจง!! หลังถูกสังคมวิจารณ์พฤติกรรม เผยปากกาหมึกหมด กลัวจดไม่ทัน ไม่ได้เจตนาโยน รับปากจะระวังมากขึ้น

‘เศรษฐา’ แจง!! ไม่ได้โยนปากกา หลังถูกสังคมวิจารณ์ เผยหมึกหมด-กลัวจดสิ่งที่หารือไม่ทัน รับปาก ต่อไปจะระวังมากขึ้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในจังหวะที่ นายเศรษฐาได้พบปะพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยระบุว่า...

“พี่น้องคนไทยหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง-ไรเดอร์ที่เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอย เชื่อมต่อการเดินทางไปยังเส้นเลือดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ช่วยหล่อเลี้ยงและมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล

เราจึงต้องดูแลคนกลุ่มนี้อย่างเหมาะสม สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดจอดรถ การบริหารจัดการใบอนุญาต การดูแลสวัสดิการ แพลตฟอร์ม การบังคับใช้กฎหมาย การมีเจ้าภาพดูแลอย่างชัดเจน ตลอดจนการสนับสนุนให้สามารถเปลี่ยนไปใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้

วันนี้มีโอกาสพูดคุยได้ทราบถึงมุมมองจากพี่น้องผู้ประกอบอาชีพ ก็ขอให้มั่นใจว่าเราให้ความสำคัญกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์-ไรเดอร์ และผมได้ฝากให้ท่านสุริยะไปดูแลต่อไปครับ”

‘คุณหญิงหน่อย’ ปูดเบื้องหลังดีล พท. - รทสช. ลงตัว เหตุทั้ง 2 พรรคมีนายทุนคนเดียวกันเป็นสะพานเชื่อม

‘คุณหญิงหน่อย’ เผยเบื้องหลังดีลร่วมจัดตั้งรัฐบาลระหว่าง ‘เพื่อไทย - รวมไทยสร้างชาติ’ ลงตัวง่าย เหตุเพราะทั้ง 2 พรรคมีนายทุนคนเดียวกัน ที่สำคัญหวังส่งคนคุมบางกระทรวง

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์กับ จอมขวัญ หลาวเพชร ถึงประเด็นที่พรรครวมไทยสร้างชาติ กลับมามีความใกล้ชิดและเจรจาได้ลงตัวกับเพื่อไทย แทนที่พรรคพลังประชารัฐในการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาว่า ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น มาจากนายทุน หรือ ผู้สนับสนุนของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความสัมพันธ์ที่ดี หรือว่าเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยด้วย เป็นสะพานเชื่อมให้ทั้ง 2 พรรคสามารถเจรจากันได้อย่างลงตัว

ทั้งนี้ หากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ผู้สนับสนุนของ 2 พรรค ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เป็นบุคคลเดียวกัน และที่สำคัญ ยังมีเป้าหมายที่จะส่งคนเข้าไปนั่งในบางกระทรวง ยิ่งทำให้เกิดพลังในการเจรจาเพิ่มมากขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top