Monday, 19 May 2025
เกาหลีใต้

‘เกาหลีใต้’ สร้าง ‘ดวงอาทิตย์เทียม’ ได้สำเร็จ ร้อนกว่าดวงอาทิตย์จริง 7 เท่า นาน 48 วินาที

(3 เม.ย. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ เกาหลีใต้สร้าง ‘ดวงอาทิตย์เทียม’ ร้อนกว่าดวงอาทิตย์จริง 7 เท่า ระบุข้อความว่า…

“นับเป็นครั้งแรกที่เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันโทคามัค แอดวานซ์ รีเสิร์ซ (Tokamak Advanced Research หรือ KSTAR) หรือชื่อที่รู้จักในวงการเทคโนโลยีพลังงานว่า ดวงอาทิตย์เทียมของเกาหลีใต้ (Korean Artificial Sun) พัฒนาโดยสถาบัน Korea Institute of Fusion Energy (KFE) ในประเทศเกาหลีใต้ สามารถสร้างอุณหภูมิได้สูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส หรือก็คือร้อนกว่าแกนกลางดวงอาทิตย์ที่มีอุณหภูมิประมาณ 15 ล้านองศาเซลเซียสประมาณ 7 เท่า และสามารถคงอุณหภูมินี้ไว้ได้นาน 48 วินาที ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในการทดสอบระหว่างเดือนธันวาคม 2023 - กุมภาพันธ์ 2024”

และระบุเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะสามารถสร้างอุณหภูมิได้มหาศาลแล้ว ยังสามารถอยู่ในโหมดการจำกัดสูง (High Confinement Mode) หรือโหมด H ซึ่งเป็นขั้นที่พลาสมาเสถียร ได้นานกว่า 100 วินาที ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของ KSTAR เพราะเมื่อในปี 2021 ศักยภาพของ KSTAR สามารถสร้างอุณหภูมิสูงเพียง 1 ล้านองศาเซลเซียส และอยู่ในโหมดการจำกัดสูงได้เป็นเวลา 30 วินาทีเท่านั้น”

แม้ว่าจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาและขนาดใหญ่เท่ากับดวงอาทิตย์ แต่ด้วยกระบวนการสร้างพลังงานภายในที่อาศัยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้ออกมาได้ความร้อนในระดับเดียวกันกับดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะดวงนี้ เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันนี้จึงเสมอเหมือนเป็นดวงอาทิตย์เทียมนั่งเอง
ดังนั้นผลลัพธ์ในการทดลองของ KSTAR ครั้งนี้ ก็จะถือเป็นข้อมูลล้ำค่าให้โครงการอื่น ๆ นำไปศึกษาและพัฒนาเพิ่มเติม เช่น โครงการเครื่องปฏิกรณ์ทดลองเทอร์โมนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ ( International Thermonuclear Experimental Reactor หรือ ITER) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ระดับนานาชาติมูลค่า 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.82 แสนล้านบาท โครงการนี้ตั้งอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แต่มีหลายประเทศร่วมพัฒนา เช่น เกาหลีใต้ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และรัสเซีย

สังคมเกาหลีเดือด กระแส 4B Movement ลาม ทำอัตราเด็กแรกเกิดเกาหลีใต้ต่ำที่สุดในโลก

ขบวนการสตรีนิยม (กลุ่ม เฟมินิสต์) ในเกาหลีใต้ กำลังตกเป็นจำเลยสังคมเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกาหลีใต้มีอัตราเด็กแรกเกิดน้อยที่สุดในโลก เนื่องจากจุดกระแส 4B Movement ที่ให้ผู้หญิงเกาหลีลุกขึ้นมาปฏิเสธการแต่งงาน และการมีลูก 

กระแส 4B Movement ย่อมาจากแนวทางการปฏิเสธบรรทัดฐานของสังคมต่อผู้หญิง 4 ประการของเกาหลีใต้ได้แก่...

- Bihon (非婚) - ปฏิเสธการแต่งงานกับผู้ชาย
- Bichulsan (非出産) - ปฏิเสธการมีลูก
- Biyeonae (非戀愛) - ปฏิเสธการดูตัวกับผู้ชาย
- Bisekseu ( 非sex) - ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย 

โดยกระแส 4B Movement เริ่มเกิดขึ้นราวๆ ปี 2019 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 'คิมจียอง เกิดปี 82' นิยายแนวเฟมินิสม์ เรื่องดังของเกาหลีใต้ ของ 'โช นัม-จู' ที่มียอดจำหน่ายสูงกว่า 1 ล้านเล่ม ต่อมาถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดยดาราชื่อดังระดับแถวหน้าของเกาหลีใต้อย่าง ช็อง ยู-มี และกงยู มาแล้ว 

และเคยเป็นนิยายที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากกลุ่ม 'ชายแท้' และ 'กลุ่มอนุรักษ์นิยม' ในเกาหลีใต้อย่างรุนแรง ถึงกับประกาศบอยคอดนักแสดงหญิงทุกคนที่อ่านนิยายเล่มนี้ออกสื่อ หรือจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยอ่านนิยายเล่มนี้โดยเด็ดขาด 

แต่ในขณะเดียวกัน นิยายเล่มนี้ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ชื่นชมอย่างถล่มทลายจากนักวิจารณ์วรรณกรรม และ กลุ่มนักอ่านผู้หญิง และเป็นต้นกำเนิดของกระแส 4B Movement ของกลุ่มสตรีนิยมสุดโต่งในเกาหลีใต้ในเวลาต่อมา ที่คาดว่าน่าจะสมาชิกราวๆ 5 พัน - 5 หมื่นคนทั่วประเทศ

แม้จะมีเคลื่อนไหวในกลุ่มสตรีนิยมของเกาหลีใต้มานานหลายปีแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็มีการพูดถึงกระแส 4B ขึ้นมาอีก เมื่อมียูทูปเบอร์ 2 สาวชื่อดัง จอง เซ-ยองและ แบ็ก ฮา-นา ได้แสดงความคิดเห็นของพวกเธอผ่านช่อง SOLOdarity ว่าการแต่งงานเป็น 'สาเหตุที่แท้จริงของระบบปิตาธิปไตย' หรือระบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และ 2 สาวยูทูบเบอร์ยังสนับสนุนให้ผู้หญิงเกาหลีลุกขึ้นมาปฏิเสธค่านิยมที่ว่าด้วยเรื่องหน้าที่ของผู้หญิงที่ฝังรกลึกมาแต่โบราณ รวมถึง การต้องแต่งงาน หรือ ต้องมีลูกให้ได้

จึงทำให้มีการหยิบประเด็นเรื่อง 4B กลับมาถกเถียงกันอย่างร้อนแรงใน Tiktok ของเกาหลีใต้อีกครั้งโดยดาว TikTok สาวชื่อ Jeanie ได้ออกมาวิจารณ์ว่า การปฏิเสธผู้ชายนั่นต่างหากที่อาจทำให้ผู้หญิงสูญพันธุ์ และเกาหลีก็จะสิ้นชาติ แต่ประเด็นคือ กระแส 4B เกิดจากการที่สังคมเกาหลีมีแนวคิดเหยียด และรังเกียจผู้หญิงมาตลอด จึงทำให้ผู้หญิงเกาหลีใต้จำนวนมากลุกขึ้นมาต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิง และ บรรทัดฐานทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงเกาหลี

ซึ่งตอนนี้กระแส 4B ก็เริ่มลุกลามออกไปนอกเกาหลีแล้ว จากการแชร์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก และกำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกาหลีใต้มีอัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำที่สุดในโลกในปี 2023 ที่ผ่านมาด้วยอัตราเด็กแรกเกิดเพียง 0.78 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 2.3 และสอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นของผู้หญิงเกาหลีใต้ล่าสุด กว่า 65% ระบุว่าไม่ต้องการมีลูก

สื่อเกาหลีใต้ชี้ว่า กระแส 4B ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการตอบโต้ของผู้หญิงเกาหลี ต่อความรุนแรงในสังคมที่ผู้หญิงมักเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ อาทิ คดีฆาตกรรมหญิงสาวในห้องน้ำสาธารณะเมื่อไม่นานมานี้ โดยชายหนุ่มที่อ้างว่าโกรธแค้นเพราะฝ่ายหญิงหมางเมิน ไม่สนใจเขา 

อย่างไรก็ตาม กระแส 4B Movement ก็ยังถือว่าเป็นเพียงกลุ่มเคลื่อนไหวเล็กๆ ในเกาหลีใต้เท่านั้น ไม่อาจระบุว่าเป็นตัวแทนกลุ่มประชากรหญิงของเกาหลีใต้ทั้งหมดได้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกาหลีใต้มีเด็กเกิดน้อย หรือ ผู้หญิงเกาหลีใต้ไม่อยากแต่งงาน หรือ ไม่อยากมีลูก ไม่ได้เกิดจากกระแสเรื่อง 4B Movement เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาเรื่องปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม สวัสดิการช่วยเหลือของรัฐบาล หรือค่านิยมโดยรวมที่เปลี่ยนไปของคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ด้วย 

เพราะเรื่องของหัวใจ และ ความรักระหว่างหญิง-ชาย กับ ความพร้อมในการดูแลลูกนั้น ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน 

 

‘เรือเซวอล’ อับปาง ขณะเดินทางไปเกาะเชจู โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้กว่า 300 คน

ในวันนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้ นั่นก็คือโศกนาฏกรรม ‘เรือเซวอล’ อับปาง ที่คร่าชีวิตไปกว่า 300 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมทั้งสิ้น

โดยเหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 เรือเซวอลกำลังมุ่งหน้าจากเมืองอินชอนสู่เกาะเชจูตามตารางเวลาที่กำหนด โดยบนเรือส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนดันวอน ที่กำลังออกไปทัศนศึกษา

เมื่อรวมจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือแล้ว เรือลำนี้บรรจุผู้โดยสารกว่า 476 ชีวิต ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของน้ำหนักผู้โดยสาร ที่เจ้าของเรืออ้างว่าเซวอลสามารถบรรทุกได้

ในวันเกิดเหตุ กัปตันอีจุนซอก วัย 69 ปี ผู้กุมชะตาชีวิตคนบนเรือเกือบ 500 คน กลับไม่ได้อยู่ในห้องควบคุมเรืออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับสั่งให้ลูกเรือเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างแทน ซึ่งเมื่อเรือเข้าสู่ช่องแคบ ที่เต็มไปด้วยโขดหินและคลื่นแรงใต้ทะเล ลูกเรือที่ไม่มีประสบการณ์มากพอก็ตัดสินใจผิดพลาดได้หันหัวเรือกะทันหัน และกระปุกพวงมาลัยเรือที่ทำงานขัดข้อง จึงเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้เซวอลศูนย์เสียการทรงตัว

นอกจากความหละหลวมในการทำหน้าที่ของเขาแล้ว เรือลำนี้ยังบรรทุกสินค้าที่ไม่สมดุลและเกินน้ำหนักมาตรฐาน คอนเทนเนอร์สินค้าที่จัดวางอย่างไม่รัดกุม รวมถึงน้ำอับเฉาที่มีน้อยกว่าที่ทางการกำหนด โดยเรือเซวอลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้ซื้อมาเพื่อใช้งานต่อเมื่อปี พ.ศ. 2555

หลังจากนั้น บริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้มีการปรับปรุงเรือและทำการต่อเติม เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้เองจึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เพราะการต่อเติมเรือ ทำให้ศูนย์ถ่วงเรือมีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทฯ ยังได้ยื่นขอบรรทุกสินค้าเกือบ 2,000 ตัน ซึ่งต่อมากรมทะเบียนเรือ ได้ปรับลดน้ำหนักบรรทุกสินค้าของเซวอลลงเหลือครึ่งหนึ่ง และกำหนดให้ต้องบรรทุกน้ำอับเฉาถึง 2,000 ตัน เพื่อให้เรือสามารถทรงตัวอยู่ได้

และดูเหมือนว่าโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เกิดจากความประมาทของตัวกัปตันและความเห็นแก่ได้จากทางบริษัทเจ้าของเรือเซวอล ที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์บนเรือยิ่งสร้างความสลดใจ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้แล้วแทนที่กัปตันอีจุนซอก จะลำเลียงผู้โดยสารไปยังเรือชูชีพ แต่กลับออกคำสั่งให้ทุกคนอยู่ประจำที่รอคำสั่งต่อไป ขณะที่เรือประมงและเรือพาณิชย์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็ทยอยเข้าให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารบริเวณดาดฟ้าเรือและผู้โดยสารที่กระโดดลงทะเลเพื่อเอาชีวิตรอด

ส่วนกัปตันอีจุนซอกและลูกเรืออีกจำนวนหนึ่ง ก็เลือกที่จะสละเรือและหลบหนีออกมา ทำให้คนที่ยังติดค้างอยู่ภายในตัวเรือชั้นต่าง ๆ รวมกว่า 300 รายเสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 5 ที่กำลังจะไปทัศนศึกษา แต่กลับต้องมาพบจุดจบอันน่าเศร้า สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวเกาหลีทั้งประเทศ รวมถึงคนที่ทราบข่าวทั่วโลก

ทั้งนี้ วันที่ 15 พฤษภาคม กัปตันอีจุนซอก หัวหน้าวิศวกรประจำเรือ และลูกเรืออีก 2 คนถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ขณะที่ ลูกเรืออีก 11 คนถูกตั้งข้อหาละสละเรือละทิ้งหน้าที่ และเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ศาลได้ตัดสินให้กัปตันอีจุนซอกรับโทษจำคุก 36 ปี หัวหน้าวิศวกรรับโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกเรือที่เหลือรับโทษจำคุกระหว่าง 5 ถึง 20 ปี และในปี 2560 ทางการเกาหลีใต้ จึงได้กู้ซากเรือเซวอลขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลได้จนสำเร็จ หลังจากที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานานกว่า 3 ปี

‘รัฐบาลเกาหลีใต้’ ประกาศมาตรการเล็งพึ่ง ‘หมอต่างชาติ’ หลังแพทย์ฝึกหัดลาออก-หยุดงานประท้วง ต้านแผนปฏิรูป

(10 พ.ค. 67) การลาออกและผละงานประท้วงของเหล่าแพทย์ฝึกหัดจำนวนมากในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากไม่พอใจแผนการปฏิรูปของรัฐบาล โดยเฉพาะการเพิ่มโควต้ารับนักศึกษาแพทย์ในแต่ละปีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานานหลายเดือนและยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งกระทบต่อการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนนั้น

ล่าสุด นายฮัน ด็อก-ซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ ประกาศในวันศุกร์ที่ 10 พ.ค.ว่า เกาหลีใต้จะเปิดรับแพทย์ต่างชาติที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลต่าง ๆ ของเกาหลีใต้ได้ ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาปัญหาติดขัดในการให้บริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาล

นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อก-ซู กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า “มีระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์ถี่ถ้วนเพื่อป้องกันไม่ให้แพทย์ที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะ (ที่มีใบอนุญาตจากต่างประเทศ) มารักษาคนไข้ของเรา”

หลังรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศมาตรการพึ่งหมอต่างชาติ นายลิม ฮยอน-แท็ก หัวหน้าสมาคมแพทย์เกาหลี (KMA) ก็ได้แชร์รูปประกอบรายงานข่าวเรื่องแพทย์จบใหม่ชาวโซมาเลีย พร้อมข้อความว่า “เร็ว ๆ นี้”

ก่อนที่ภาพดังกล่าวจะถูกลบทิ้งไปหลังจากถูกกระแสตีกลับในโลกออนไลน์ที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์การโพสต์ดังกล่าวอย่างหนัก ซึ่งนายคิม แจ-ฮยอน เลขาธิการขององค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งที่สนับสนุนการรักษาพยาบาลฟรี กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเป็นการเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน

“โพสต์นั้นแสวงหาประโยชน์จากโรคกลัวอิสลามและทัศนคติแบบเหมารวมต่อประเทศกำลังพัฒนา” คิม แจ-ฮยอนกล่าว

ทั้งนี้ แพทย์ฝึกหัดในเกาหลีใต้จำนวนเกือบหมื่นคนได้ลาออกหรือหยุดงานประท้วงมาตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อประท้วงแผนปฏิรูปของรัฐบาลที่มุ่งเพิ่มโควต้ารับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นอีกปีละ 2,000 คน โดยกลุ่มผู้ประท้วงโต้แย้งว่าแผนปฏิรูปดังกล่าวจะกัดกร่อนคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่คนไข้

ก่อนหน้านี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พยายามหาทางไกล่เกลี่ยมาแล้วแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากกลุ่มแพทย์ที่ประท้วงต้องการให้ยกเลิกแผนปฏิรูปดังกล่าวไปทั้งหมด โดยขณะนี้การต่อสู้ในเรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นศาล คาดว่าศาลสูงโซลจะมีคำตัดสินออกมาในสัปดาห์หน้า

‘YG’ ประกาศขาดทุน 7 พันล้านวอน หลังชวดต่อสัญญา ‘ลิซ่า BLACKPINK’

(12 พ.ค.67) YG Entertainment อดีตค่ายเพลงของ ลิซ่า BLACKPINK ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปีที่ 10 พบว่าการไม่มีอยู่ของวงดังส่งผลกระทบให้ค่ายเพลงขาดทุนทันที 7,000,000,000 วอน ซึ่งต่างจากปีก่อนช่วงเวลาเดียวกัน บริษัททำกำไร 36,500,000,000 วอนและตั้งแต่หมดสัญญาราคาหุ้นก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาแค่ 6 เดือน หุ้นของบริษัทตกลงมาเกือบ 30%

ทางบริษัทอ้างว่าการขาดทุนนี้มาจากการลงทุนใน 
ทรัพย์สินทางปัญญา และการปั้นวงใหม่ชื่อ BABYMONSTER โดยไม่ได้กล่าวถึงวง BLACKPINK แต่อย่างใด

และถึงแม้ทางค่ายจะพยายามต่อสัญญากับ ‘ลิซ่า’ ด้วยราคาแพงหูฉี่ 2,700 ล้านบาท แต่ลิซ่าก็ปฏิเสธ และไปเซ็นสัญญาแบบพาร์ตเนอร์กับ RCA รับเงินค่าสัญญาพร้อมอิสรภาพในการทำเพลงรวมถึงได้ครอบครองลิขสิทธิ์ผลงานตนเองในราคา 6,000 ล้านบาท

สำรวจมุมมอง 'คนเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น' ต่อคนไทย ฝ่ายหนึ่งเหยียด ฝ่ายหนึ่งรักคนไทยแบบสุดใจ

ไม่นานมานี้ ยูทูบช่อง 'FlukeKee_TH' ได้นำเสนอคลิปในหัวข้อ 'สื่อเกาหลีเหยียดคนไทยสะเทือนสัมพันธ์ ผิดกับคนญี่ปุ่นที่รักคนไทยแบบสุดหัวใจ' โดยมีเนื้อหาดังนี้...

จากกรณีนักข่าวเกาหลีใต้คนหนึ่งได้ออกมาพูดในสื่อไลฟ์สด แล้วได้มีการเหยียดเชื้อชาติคนไทย จนลุกลามกลายเป็นกระแสให้คนไทยที่เดิมทีก็เริ่มจะมีทัศนคติที่แย่ลงกับเกาหลีใต้อย่างมากในพักหลังๆ เริ่มรู้สึกแย่ลงไปอีก

โดยนักข่าวผู้นี้ที่พยายามนำเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติของไทยผ่านหลายมุมมองของคนเกาหลีใต้เข้าสู่รายการทีวี พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ทำนองเหยียดคนไทย ต้องส่งคนไทยกลับประเทศ และอื่นๆ

อันที่จริงแล้ว ในระยะหลังคนไทยหลายคนต่างก็มีประสบการณ์ฝังใจตรงกันว่า เวลาที่คนไทยตั้งใจไปเที่ยวเกาหลีใต้ มักต้องมาพบปัญหามากกว่าชาติอื่นๆโดยเฉพาะการติดด่าน ตม.บ้าง และบ้างก็ถูกส่งตัวกลับอย่างไม่ใยดี ถูกไล่ มีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการกระทำของตม.ประเทศเกาหลีใต้ที่ปฏิบัติต่อคนไทยนั้น เหมือนกับว่าคนไทยเป็นบุคคลต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมเลยทีเดียว

แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการสื่อว่าคนเกาหลีใต้ทั้งหมดเป็นคนที่คิดไม่ดีกับคนไทย แต่จากผลสำรวจคนเกาหลีใต้เกินกว่า 50% มักจะมีทัศนคติไม่ชอบคนไทยและส่วนใหญ่จะเหยียดดูถูกคนเชื้อชาติในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะยกเว้นการดูถูกก็แต่ประเทศมาเลเซีย, บรูไน และสิงคโปร์เท่านั้น ส่วนที่เหลือคนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่มองว่าเป็นประเทศที่ยากจน ต่ำต้อย ด้อยพัฒนา ล้าหลังโบราณ แตกต่างจากประเทศเกาหลีใต้ที่เขาจะมองตัวเองว่าเป็นประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้ว มีเทคโนโลยีที่ล้ำเลิศและชาติอื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ได้เลยแม้แต่น้อย

มีอยู่กรณีหนึ่งที่เจ้าของช่องแชร์ให้เห็นถึงความเจ็บปวดของคนไทยที่ได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ และถูกเหยียดหยามทันทีที่พวกเขาพูดภาษาไทยออกไปหลังจากพวกคนเกาหลีใต้ได้ยิน ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีอยู่ว่า คนไทยได้เข้าไปในคาเฟ่หนึ่งของเกาหลีใต้ ตอนแรกพนักงานต้อนรับที่เป็นคนเกาหลีใต้นั้นก็ต้อนรับอย่างปกติ แต่พอเจ้าของร้านได้ยินว่าพูดภาษาไทยเท่านั้น ก็ทำท่าทีไม่พอใจเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ มาด่าใส่คนไทยเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ไล่คนไทยให้ออกไปให้หมด ไม่ต้อนรับแถมยังตะโกนด่าไล่หลัง ซึ่งก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมต้องเหยียดหยามดูถูกคนไทยขนาดนั้น

นอกจากนี้ในเพจของเกาหลีใต้นั้น ก็มีการโพสต์และแสดงความคิดเห็นกันมากมาย เกี่ยวกับคนไทย ยกตัวอย่างเช่น...

"ไปบอกรัฐบาลไทยด้วยนะ จัดการคนในประเทศของตนให้ดี ทั้งเป็นผีน้อย และลักลอบค้ายาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ต้องตรวจคนไทยให้หนักๆ"

"คนไทยไม่ต้องมาก็ได้นะ มีแต่จะสร้างปัญหา และความเดือดร้อนให้กับประเทศเกาหลีใต้"

***กลับกันถ้าเปรียบเทียบกับ 'ประเทศญี่ปุ่น' ประเทศที่เจริญมาเป็นร้อยๆ ปีนั้น หากคนไทยคนไหนเคยไปเที่ยว ก็จะรับรู้และสัมผัสได้เลยว่าชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญและให้เกียรติกับคนไทยอย่างมาก พร้อมที่จะต้อนรับคนไทยด้วยความจริงใจเป็นอย่างดี เพราะประเทศญี่ปุ่นเขาจะมองว่าคนไทยนั้น มีความซื่อสัตย์และเป็นมิตรที่ดีที่สุด เมื่อคนญี่ปุ่นอยู่ร่วมหรือทำงานกับคนไทย คนญี่ปุ่นจะมีความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ความรู้สึกเหล่านี้ของชาวญี่ปุ่น เป็นแบบนี้ ติดต่อกันมาหลายศตวรรษแล้ว 

ทางช่อง เผยอีกว่า เคยมีกระทู้หนึ่งได้เปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างการไปเที่ยวเกาหลีใต้กับประเทศญี่ปุ่นว่าแตกต่างกันมาก ในแง่ของการให้เกียรติต่อคนไทย โดยผู้โพสต์กระทู้นั้นได้เล่าว่า เขาเคยมีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ้เคยแวะไปร้านราเมง เมื่อเจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นได้รู้ว่าคนไทยมาเที่ยว และแวะรับประทานอาหาร เจ้าของก็มีความสุขเป็นอย่างมากและให้การต้อนรับลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าเป็นญาติของเขาคนหนึ่ง รวมทั้งคนในร้านก็พยายามที่จะมาสอบถามพูดคุย แล้วก็มาทักทายด้วยมิตรภาพอย่างมีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตนและแนะนำที่พักอาศัยสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถึงขนาดจะเป็นไกด์นำเที่ยวพาเที่ยวให้ทั่วเมืองโอซากา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ตัดภาพกลับมาเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลีใต้แล้วผิดกันอย่างสิ้นเชิง มิตรภาพที่คนเกาหลีใต้มีต่อคนไทยนั้นมันแตกต่างกับญี่ปุ่นมาก เพราะคนไทยโดนคนเกาหลีใต้เหยียดหยาม แล้วก็ดูถูกไม่ให้เข้าประเทศ บางครั้งก็มีการทำร้ายร่างกายคนไทย

ที่น่าสนใจ คือ เกี่ยวกับเรื่องนี้คนญี่ปุ่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจแทนคนไทยเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะช่วยปกป้องคนไทยทั้งในสื่อโซเชียลหรือแม้กระทั่งในรายการทีวีของญี่ปุ่นเองก็มีการทำข่าวและรุมประณามในการกระทำของคนเกาหลีใต้ ที่ปฏิบัติต่อคนไทยอย่างไร้มนุษยธรรม อีกทั้งชาวญี่ปุ่นเองก็ยังออกมาให้กำลังใจคนไทยที่ถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ และถูกทำร้ายร่างกาย

นี่คือความน่ารักของคนญี่ปุ่นที่มีต่อคนไทยอย่างเห็นได้ชัด...

อย่างไรก็ตาม ถีงแม้คนไทยจะถูกกระทำเช่นนี้จากเกาหลีใต้ แต่ทำไมคนไทยยังต้องสนับสนุนและเปิดใจเวลาคนเกาหลีใต้มาเที่ยวหรือมาทำงานในไทย ซึ่งบางคนก็มีงานมีอาชีพดีๆ บางคนได้มาเป็น YouTuber บางคนได้เป็นดารา-ศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย นั่นก็เพราะว่านิสัยของคนไทยนั้น เป็นคนที่ไม่ได้เจ็บแค้นหรือมีอคติกับสิ่งที่ผ่านมา และก็ยังมองว่าชาวเกาหลีใต้บางกลุ่มบางคน ก็มีนิสัยที่ดีเช่นกันนั่นเอง

'พิธา' โผล่!! เวทีประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย ประเทศเกาหลีใต้ ย้ำ!! ‘ก้าวไกล’ เป็น ‘สะพาน’ เชื่อมช่องว่างความขัดแย้งของสังคม

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นเวทีเสวนาในงานประชุม Asian Leadership Conference (งานประชุมความเป็นผู้นำแห่งเอเชีย) ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

ทั้งนี้ ระหว่างเสวนา พิธาได้ตอบคำถามจากพิธีกรหลายคำถาม เริ่มด้วยการอธิบายแนวคิดและยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง และเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทย เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนต่อนักการเมืองและผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมฟังการเสวนาในวันนี้

โดยพิธายังได้อธิบายถึงการต่อสู้ของประชาชนต่อระบอบอำนาจของชนชั้นนำและผลพวงของระบอบรัฐประหาร พร้อมย้ำถึงความพยายามและความจริงใจของพรรคก้าวไกลในการหาฉันทามติใหม่ของสังคมไทย

พิธากล่าวถึงช่องว่างความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมไทย และย้ำว่าพรรคก้าวไกลได้เสนอตัวและมองตัวเองเป็น ‘สะพาน’ ที่เชื่อมระหว่างความขัดแย้งเหล่านี้ โดยหวังให้ผู้มีอำนาจมองถึงความจริงใจ นอกจากนี้ พิธาได้กล่าวถึงความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ของการเมืองไทย ด้วยความหวังที่จะลดโอกาสของความรุนแรงและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเมื่อกลุ่มหนึ่งอยากให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มหนึ่งอาจไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพิธาตอบว่าการเปลี่ยนแปลงต้องมีจังหวะทั้งช้าทั้งเร็วเหมือนทำนองดนตรี บางอย่างที่สำคัญก็อาจต้องเปลี่ยนแปลงก่อน บางอย่างที่ต้องใช้ความรอบคอบและใช้เวลาก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่า และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง

จากนั้นพิธาได้เน้นย้ำถึงความฝันของคนไทย เมื่อพิธีกรถามว่าเขามองอนาคตประเทศไทยอย่างไร พิธาตอบว่าความฝันของคนไทยนั้นเรียบง่าย คืออยากเห็นครอบครัวคนไทยที่สามารถมีชีวิตที่ดี มีปากท้องที่ดี สามารถทำงานและเลี้ยงครอบครัวได้ และคนรุ่นใหม่ก็ต้องมองเห็นอนาคตของตัวเองด้วย แต่ความฝันเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากการเมืองไทยยังไม่ดี

‘เกาหลีเหนือ’ ปล่อย ‘ลูกโป่งติดขยะ’ ลอยเข้า ‘เกาหลีใต้’ 150 ลูก ตอบโต้เอาคืน!! หลังโดนโสมขาวส่งใบปลิวต่อต้านรัฐบาลมาให้

(29 พ.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทัพเกาหลีใต้แถลงวันนี้ว่า เกาหลีเหนือได้ส่งลูกโป่งหิ้วขยะมากกว่า 150 ลูกลอยข้ามพรมแดนเข้ามาในเกาหลีใต้ หลังจากเกาหลีเหนือเตือนว่า จะตอบโต้ที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ส่งลูกโป่งติดใบปลิวต่อต้านรัฐบาลเกาหลีเหนือลอยข้ามพรมแดนเข้าไปในเกาหลีเหนือ

ด้านคณะเสนาธิการร่วมหรือเจซีเอส (JCS) ของเกาหลีใต้แถลงว่า นับตั้งแต่คืนวันอังคารที่ผ่านมา ลูกโป่งเหล่านี้ได้ลอยข้ามพรมแดน 2 เกาหลีกระจายไปยังหลายพื้นที่ทั่วเกาหลีใต้ โดยลอยไปไกลที่สุดถึงจังหวัดคยองซังใต้ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ และเมื่อตกถึงพื้นก็ทำให้ขยะที่ติดมากับลูกโป่งกระจายเกลื่อนพื้น การกระทำของเกาหลีเหนือละเมิดกฎหมายสากลอย่างชัดเจน และคุกคามความปลอดภัยของประชาชนเกาหลีใต้ ขอเตือนเกาหลีเหนืออย่างจริงจังให้ยุติการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและหยาบช้า

เจซีเอสแนะนำประชาชนอย่าแตะต้องลูกโป่งและขยะที่ผูกติดมา โดยขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจใกล้เคียง และเตือนว่าลูกโป่งเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายได้หากตกลงมาใส่ ดังที่เคยทำให้ยวดยานและหลังคาบ้านเสียหายในปี 2559 เจซีเอสจะร่วมกับตำรวจและรัฐบาลหามาตรการรักษาความปลอดภัย และกำลังประสานงานกับกองบัญชาการสหประชาชาตินำโดยสหรัฐที่ดูแลความเคลื่อนไหวในเขตปลอดทหารที่แบ่ง 2 เกาหลี

ทั้งนี้ เกาหลีเหนือประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะส่งกองขยะและเศษกระดาษข้ามพรมแดนเพื่อตอบโต้ที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเกาหลีใต้ส่งลูกโป่งติดใบปลิวชักชวนให้ชาวเกาหลีเหนือลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล เกาหลีเหนือเรียกร้องมาโดยตลอดให้เกาหลีใต้ยุติการกระทำนี้

‘เกาหลีใต้’ เผชิญแผ่นดินไหว 4.8 แมกนิจูด ครั้งหนักสุดของปีนี้ ภาครัฐฯ ส่งข้อความเตือน ปชช. หวั่นเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อเวลา 08.26 น. เกิดแผ่นดินไหวบริเวณพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดช็อลลาเหนือ ของเกาหลีใต้ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 4.8 แมกนิจูดตามมาตราริกเตอร์ ความลึก 8 กิโลเมตร ทั้งนี้ ถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้

หลังเกิดเหตุได้มีการส่งข้อความสั้นเตือนภัยแผ่นดินไหวไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบเหตุระมัดระวังความเป็นไปได้ที่อาจมีวัตถุสิ่งของตกใส่และอาฟเตอร์ช็อกที่อาจเกิดตามมา

ขณะที่นายฮัน ด็อกซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ สั่งการให้รัฐบาลดำเนินมาตรการทั้งหมดเพื่อตอบสนองเหตุแผ่นดินไหว ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่ายังเกิดเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนขึ้นที่เมืองเซจง แดจอน และชอนันด้วย

ยาง ซอยอน ที่อาศัยอยู่ในเขตบูอัน เปิดเผยว่า ตนได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคำรามราวกับกำลังอยู่ในไซต์ก่อสร้างตอนที่ตนกำลังจะออกไปทำงานก่อนที่บ้านจะเริ่มสั่นไหว

‘เกาหลีใต้’ ปัดข้อเรียกร้องผ่อนผัน K-ETA ‘ไทย’ แม้ยอดนทท.ไทยลดลง หลังพบประชากรแฝงชาวไทยเพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

(25 มิ.ย.67) หนังสือพิมพ์ The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว S. Korea unlikely to grant temporary K-ETA exemption to Thailand ระบุว่า จากกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้ ผ่อนผันประเทศไทยไม่ต้องเข้าระบบการขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศ หรือ K-ETA อย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2567 เนื่องจากพบจำนวนท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาเกาหลีใต้ลดลง 

ล่าสุด กระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้ดูแลระบบ K-ETA ได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า เป็นการยากที่จะดำเนินการผ่อนผันดังกล่าว

“เราจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้ข้อยกเว้น K-ETA สำหรับประเทศต้นทางที่มีผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจำนวนมาก K-ETA เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้หลังจากตระหนักว่า มีข้อจำกัดในการควบคุมการเข้าเมืองและป้องกันการอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายตามนโยบายวีซ่าของประเทศเท่านั้น” แถลงการณ์ของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ ระบุ

แถลงการณ์ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนข้อร้องเรียนจากนักเดินทางชาวไทยว่าแผนการเยือนเกาหลีใต้ถูกยกเลิกเนื่องจากการปฏิเสธการเข้าประเทศผ่าน K-ETA กรณีของบางครอบครัวและนักท่องเที่ยวกลุ่ม (ที่ไม่สามารถเข้าเกาหลีได้) เนื่องจากการปฏิเสธ K-ETA ถูกพบเห็นในช่วงแรกของการดำเนินการ ทั้งนี้ ระบบ K-ETA มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะไม่ขัดขวางความต้องการของนักเดินทางที่เดินทางมายังเกาหลีใต้

รายงานของสื่อเกาหลีใต้ กล่าวต่อไปว่า K-ETA ซึ่งเปิดตัวเต็มรูปแบบในเดือน ก.ย. 2564 กำหนดให้นักเดินทางจากประเทศที่ได้รับยกเว้นการทำวีซ่า ต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าเกาหลีใต้ เพื่อปรับปรุงการตรวจสอบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมทั้งสกัดกั้นบุคคลที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมฯ ของเกาหลีใต้ คาดหวังว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว 20 ล้านคนในปี 2567 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางคนชี้ว่า การคัดกรองด้วยระบบ K-ETA ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งถือว่ายากเมื่อเทียบกับระบบอนุญาตการเดินทางทำนองเดียวกันในประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและจีน

ข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดยองค์การการท่องเที่ยวเกาหลีเผยว่า เกาหลีใต้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยราว 119,000 คนในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ลดลงร้อยละ 21.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ข้อมูลเดียวกันนี้แสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงเวลาที่อ้างถึง ซึ่งแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ข้อมูลจากรัฐบาลเกาหลีใต้ พบว่า ประชากรแฝงชาวไทยในเกาหลีใต้ได้เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในชาติที่มีประชากรแฝงอยู่ในเกาหลีใต้มากที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top