Monday, 19 May 2025
เกาหลีใต้

เกาหลีใต้ออกหมายจับ 'ยุนซอกยอล' ผู้นำคนแรกที่ถูกหมายจับขณะดำรงตำแหน่ง

(30 ธ.ค. 67) หน่วยสอบสวนร่วมของเกาหลีใต้เปิดเผยการขอหมายจับกุมยุน ซอก-ยอล ประธานาธิบดีที่ถูกถอดถอน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเกาหลีใต้ที่มีการยื่นขอหมายจับกุมประธานาธิบดีที่ยังอยู่ระหว่างดำรงตำแหน่ง

หน่วยสอบสวนร่วมที่ประกอบด้วยสำนักงานสอบสวนการทุจริตของคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูง สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ และสำนักงานใหญ่การสอบสวนของกระทรวงกลาโหม ได้ยื่นขอหมายจับกุมยุนจากศาลแขวงโซลตะวันตกตอนเที่ยงคืน

ทั้งนี้ หน่วยสอบสวนร่วมเคยส่งหมายเรียกตัวยุนเข้าสอบปากคำ จำนวน 3 รอบ แบ่งเป็นวันที่ 18 ธ.ค. 25 ธ.ค. และ 29 ธ.ค. แต่ฝ่ายยุนปฏิเสธจะรับหมายเรียกดังกล่าว รวมถึงยังไม่ยื่นเอกสารสำหรับการแต่งตั้งทนายความฝ่ายจำเลยของตัวเอง

กลุ่มหน่วยงานสอบสวนของเกาหลีใต้ระบุยุนเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในข้อกล่าวหาก่อกบฎ เนื่องด้วยกรณีเขาประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉินเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ซึ่งถูกยกเลิกในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมาเพราะรัฐสภาเกาหลีใต้ลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบด้วย

เปิดไทม์ไลน์สุดท้าย 'เจจูแอร์' พบชนนกจริง เผยก่อนเกิดเหตุ บิน 13 เที่ยวใน 48 ชม.

(30 ธ.ค. 67) กรณีสายการบินเจจูแอร์ 7C2216 ที่เผชิญเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ขณะลงจอดที่สนามบินนานาชาติมูอัน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (29 ธ.ค.)   จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 179 ราย รายงานข่าวจากสำนักงานการบินพลเรือนเกาหลีระบุว่า เครื่องบินโบอิ้งรุ่น  737-800 ที่เกิดเหตุ  พบว่ามีการใช้งานหนักถึง 13 เที่ยวบินภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงก่อนอุบัติเหตุ โดยเส้นทางบินครอบคลุมทั้งภายในประเทศ เช่น มูอัน เกาะเชจู และอินชอน รวมถึงเส้นทางระหว่างประเทศ เช่น ปักกิ่ง กรุงเทพฯ โกตาคินาบาลู นางาซากิ และไทเป

นอกจากนี้ เครื่องบินลำนี้ถูกใช้ในเที่ยวบินเช่าเหมาลำสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ จัดโดยบริษัทท่องเที่ยวในเมืองกวางจู ซึ่งมีการเดินทางไป-กลับระหว่างหลายประเทศในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมา

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องบินที่อาจมากเกินไปในช่วงเวลาเร่งด่วนของเทศกาลท่องเที่ยว โดยเฉพาะเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่เพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปี และเป็นที่จับตามองว่า การใช้งานเครื่องบินอย่างเข้มข้นในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุหรือไม่

ขณะที่กระทรวงกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานดับเพลิงของเกาหลีใต้ได้เปิดเผยไทม์ไลน์เหตุการณ์สุดท้ายของเที่ยวบิน 7C2216 ซึ่งระบุเวลาท้องถิ่นดังนี้

08:54 น. หอบังคับการบินสนามบินมูอันอนุญาตให้เครื่องบินลงจอดบนรันเวย์ 01 ซึ่งทำมุม 10 องศาทางตะวันออกเฉียงเหนือ

08:57 น. หอบังคับการบินแจ้งเตือน "ระวัง พบฝูงนก"

08:59 น. นักบินแจ้งว่าเครื่องบินชนกับฝูงนก และส่งสัญญาณฉุกเฉิน “เมย์เดย์” พร้อมขอบินวนเพื่อลงจอดใหม่

09:00 น. เครื่องบินเริ่มบินวน และขอเปลี่ยนรันเวย์ลงจอดไปยังรันเวย์ 19

09:01 น. หอบังคับการบินอนุญาตให้ลงจอดที่รันเวย์ 19

09:02 น. เครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ 19 ที่ระยะประมาณ 1,200 เมตรจากความยาวรันเวย์ทั้งหมด 2,800 เมตร

09:02:34 น. หอบังคับการบินส่งสัญญาณ "Crash Bell" แจ้งเตือนหน่วยกู้ภัยและดับเพลิง

09:03 น. เครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์และชนเข้ากับกำแพง

09:10 น. กระทรวงคมนาคมได้รับรายงานอุบัติเหตุจากเจ้าหน้าที่สนามบิน

09:23 น. ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุชาย 1 ราย และนำส่งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

09:38 น. ประกาศปิดสนามบินมูอัน

09:50 น. ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุรายที่สองจากส่วนหางของเครื่องบิน

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า นักบินของเครื่องบินที่ประสบเหตุได้แจ้งขอความช่วยเหลือเนื่องจากถูกนกชนเมื่อเวลา 8.59 น. และได้บินวนกลับ (ขึ้นบินโดยไม่ลงจอด - Go Around) ซึ่งสัญญาณที่ส่งออกไปในเวลานั้นเป็นสัญญาณถูกนกชนครั้งแรกและครั้งเดียว ในเวลา 08.57 น. หรือ 2 นาทีก่อนนักบินส่งสัญญาณฉุกเฉิน หอควบคุมการบินสนามบินมูอันได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับกิจกรรมของนกในบริเวณใกล้สนามบิน และอีก 2 นาทีต่อมา นักบินได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือพร้อมตะโกนว่า “เมย์เดย์ เมย์เดย์ เมย์เดย์” จากนั้นจึงแจ้งว่า “นกชนเครื่องบิน นกชนเครื่องบิน นกชนเครื่องบิน กำลังบินวน”

เกาหลีใต้เล็งออกกระตุ้นท่องเที่ยว งดค่าขอวีซ่า 6 ประเทศ รวมกัมพูชาด้วยหวังดึงเขมรเที่ยว

(30 ธ.ค. 67) รัฐบาลเกาหลีใต้เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว โดยกำลังพิจารณาอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์สามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า เฉพาะผู้ที่เดินทางมาทางเรือ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและการแพร่ระบาดของโควิด-19  

รายงานระบุว่า ในการประชุมเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่กรุงโซล เมื่อ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตัวแทนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและวิสาหกิจเอกชนกว่า 60 คนเข้าร่วม รัฐบาลยังได้ประกาศแผนแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้สามารถพักในโฮมสเตย์ในเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้สงวนไว้สำหรับชาวต่างชาติเท่านั้น  

นายฮัน ด็อกซู อดีตรักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่า จะเร่งนำร่องโครงการสำหรับนักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์ทันที เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวขาเข้าอย่างรวดเร็วและยั่งยืน  

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมมีมาตรฐานขยายระยะเวลาการยกเว้นการลงทะเบียนออนไลน์ผ่านระบบ Korea Electronic Travel Authorization (K-ETA) ไปจนถึงเดือนธันวาคมปีหน้า และยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์จาก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และอินเดีย ก็จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกวีซ่า ไปจนจบปีหน้าเช่นกัน แต่ไร้ความชัดเจนในมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า K-ETA สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย

จากข้อมูลของหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ระบุว่า ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนเกาหลีใต้ถึง 13.74 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2019 แต่ถือว่า ยังต่ำกว่าเป้าหมาย 20 ล้านคนที่รัฐบาลตั้งไว้ โดยมาตรการข้างต้นมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการเติบโตของการท่องเที่ยวและเสริมสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยรัฐบาลจะเพิ่มงบประมาณและจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น "Korea Grand Sale" ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า และ "Beyond K-Festa" ในเดือนมิถุนายน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก  

ก่อนหน้านี้  เกาหลีใต้ถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไทย แต่ในปีที่ผ่านมา คนไทยต้องเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการติดตม.เกาหลีจากหลายประการ จนเกิดกระแส #แบนเกาหลี บนโซเชียลมีเดียช่วงหนึ่ง  

กระแสดังกล่าวส่งผลให้ช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปยังเกาหลีใต้ลดลงถึง 19.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เหลือเพียง 20,150 คน นอกจากนี้ จำนวนสะสมของนักท่องเที่ยวไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ลดลง 19.1% เหลือ 168,328 คน ส่งผลให้ประเทศไทยที่เคยติดอันดับ 3 ของชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งนักท่องเที่ยวไปเกาหลีใต้ในเดือนเมษายน และอันดับ 5 ในเดือนพฤษภาคม มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง  

ส่งจดหมายถึงกองเชียร์ ประกาศสู้จนถึงที่สุด ก่อนศาลตัดสินถอดถอน เกาหลีใต้เร่งจับกุม

(2 ม.ค. 68) ทนายความของประธานาธิบดียุน ซอกยอลแห่งเกาหลีใต้ ซึ่งถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่หลังจากประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ได้เปิดเผยข้อความผ่านจดหมายน้อยที่ประธานาธิบดียุนซอกยอลส่งถึงบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนในวันที่ 1 มกราคม ระบุว่าเขาจะสู้จนถึงที่สุดหลังจากศาลเกาหลีใต้อนุมัติการออกหมายจับยุนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งคนแรกที่ต้องเผชิญการจับกุมในข้อหาก่อกบฏ

ข้อความในจดมหมายระบุว่า "ผมเห็นว่าพวกคุณกำลังต่อสู้อย่างหนักผ่านไลฟ์สดในยูทูป ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศนี้ร่วมกับพวกคุณ เนื่องจากกองกำลังภายในและภายนอก ละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศ รวมถึงกิจกรรมของกลุ่มต่อต้านรัฐ เกาหลีใต้จึงตกอยู่ในอันตราย ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศนี้พร้อมกับทุกคน"

พรรคประชาธิปไตย (ดีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านและมีเสียงข้างมากในสภา ได้ยื่นญัตติถอดถอนประธานาธิบดียุนเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม กล่าวว่า จดหมายของยุนไม่ช่วยให้เขาพ้นผิดแต่อย่างใด โดยนาย โจ ซึงแร โฆษกของพรรคดีพี กล่าวว่า ความพยายามในการก่อกบฏยังไม่เพียงพอสำหรับยุนและตอนนี้เขากำลังปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือขึ้น

สำนักงานการสอบสวนการทุจริตสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ มีเวลาที่จะดำเนินการหมายจับยุนจนถึงวันที่ 6 มกราคม และศาลมีกำหนดพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดีในวันที่ 3 มกราคม หากศาลตัดสินให้ยุนถูกถอดถอน จะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน

ทนายความของยุนกล่าวว่า การออกหมายจับประธานาธิบดีไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย เนื่องจาก CIO ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการดำเนินการดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียุนได้ส่งข้อความถึงผู้สนับสนุนที่รวมตัวกันที่หน้าบ้านพักประธานาธิบดีในกรุงโซล โดยกล่าวว่า "ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศ" และขอบคุณผู้สนับสนุนที่ต่อสู้ผ่านการถ่ายทอดสดทางยูทูบ

ปัจจุบันนายยุนกำลังเผชิญกับการสอบสวนในข้อหาก่อกบฏหลังจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม โดยศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าเขาจะถูกถอดถอนหรือไม่

พรรคฝ่ายค้านวิจารณ์ข้อความล่าสุดของยุน โดยกล่าวหาว่าเขากำลังยุยงให้เกิดความวุ่นวาย ขณะที่หน่วยงานปราบปรามการทุจริตกำลังดำเนินการตามหมายจับโดยเร็วที่สุด หลังจากศาลแขวงโซลออกหมายจับนายยุนในข้อหาวางแผนการประกาศกฎอัยการศึกและการใช้อำนาจในทางมิชอบ

หากจับกุมนายยุนได้ เจ้าหน้าที่จะนำตัวเขาไปสอบสวนที่สำนักงานของ CIO ก่อนจะควบคุมตัวที่สถานที่กักขังในเมืองอึยวัง ใกล้กับสำนักงานของ CIO

นอกจากนี้ คณะที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดียุนได้ยื่นหนังสือลาออกยกชุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม หลังจากที่รักษาการประธานาธิบดีชเว ซังม็อก อนุมัติการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ 2 คนเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดียุน

การลาออกเกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่รักษาการประธานาธิบดีชเว อนุมัติการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ 2 คน ซึ่งส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีองค์คณะผู้พิพากษา 8 คนจากทั้งหมด 9 คน การพิจารณาคดีของประธานาธิบดียุนจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 6 เสียง

พรรคพลังประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของรักษาการประธานาธิบดีชเว ว่าเป็นการกระทำที่ "ดันทุรัง" และขาดการปรึกษาหารืออย่างเพียงพอ

เปิดประวัติ 'ชอลซู' หุ่นสังหารตัวใหม่จาก 'Squid Game' แรงบันดาลใจจากตัวละครในแบบเรียนเกาหลี

(3 ม.ค. 68) หลังจากที่ Netflix เปิดตัวซีรีส์เรื่องดัง Squid Game ซีซั่น 2 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2024  ซีรีส์นี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความสำเร็จด้วยยอดผู้ชมรวมถึง 68 ล้านวิวภายในวันที่ 1 มกราคม 2025 แต่ยังครองอันดับหนึ่งในหมวดคอนเทนต์ยอดนิยมใน 92 ประเทศทั่วโลก

แม้เรื่องราวของซีซั่น 2 จะปิดฉากลง แต่ก็มีการเปิดตัวอย่างความเข้มข้นของ ซีซั่น 3 ที่วางแผนฉายในปี 2025 โดยหนึ่งในจุดเด่นที่มีการพูดถึงคือการเปิดตัวตุ๊กตาสังหารตัวใหม่ อย่าง 'ชอลซู' ที่มาเป็นคู่หูของ 'ยองฮี' หรือตุ๊กตาเด็กผู้หญิงในชุดสีเหลืองที่คนไทยรู้จักในชื่อ 'โกโกวา' จากเกม AEIOU

สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างชอลซูและยองฮี มาจากตัวละครในแบบเรียนประถมของเกาหลีใต้  โดยตัวละครนี้ปรากฏครั้งแรกในปี 1948 ผ่านฝีมือของ คิมแทฮยอง หนึ่งในผู้จัดทำตำราเรียนแห่งชาติ ชอลซูและยองฮีเปรียบเสมือนตัวแทนความทรงจำวัยเด็กของชาวเกาหลีใต้ คล้ายกับ 'มานะ-มานี' จากแบบเรียนภาษาไทยระดับประถมศึกษาปีที่ 1–6 บเรียนภาษาไทย ระดับประถมศึกษาปีที่ 1–6 รวม 12 เล่ม (ภาคเรียนละ 1 เล่ม) ซึ่งใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2521–2537 

นอกจากถูกใช้เป็นตัวละครในเรื่อง Squid Game ชอลซูและยองฮียังเป็นแรงบันดาลใจให้มีการสร้างสติ๊กเกอร์เซ็ตที่ใช้ในแอปพลิเคชัน  Kakao ด้วย

การปรากฏตัวของชอลซู ในซีรีส์ทำให้แฟน ๆ หลายคนจับตามองว่าจะมีการนำหุ่ชอลซูมาใช้ในเกมใด เพราะในซีรีส์ทั้งภาค 1 และ 2 ผู้สร้างมีการนำการละเล่นในวัยเด็กของชาวเกาหลีมานำเสนอในซีรีส์ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เกมตีกระดาษ (ตั๊กจี) เกมแกะน้ำตาล (ดัลโกนา) และหมากเก็บ (กงกี)

Squid Game จึงไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่สร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นสื่อกลางที่ช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมและความเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีใต้สู่สายตาชาวโลกอีกด้วย

ม็อบหนุน-ต้านยุนซอกยอล ชุมนุมกลางโซลแม้อากาศหนาวจัด

(6 ม.ค. 68) ผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านประธานาธิบดียุนซอกยอล ของเกาหลีใต้ รวมตัวชุมนุมในเช้าวันนี้ ท่ามกลางอากาศหนาวจัด หิมะตกหนัก และสภาพถนนเปียกชื้นในกรุงโซล  

ชาวเกาหลีใต้นับหมื่นคนฝ่าหิมะตกหนักในวันอาทิตย์นี้ (5 ม.ค.) เพื่อแสดงจุดยืนทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านการควบคุมตัวนายยุน ซ็อกยอล ซึ่งถูกถอดถอนจากตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากที่เขาประกาศกฎอัยการศึกโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ  

ผู้ชุมนุมจำนวนมากต้องใช้ผ้าห่มฟอยล์เพื่อเพิ่มความอบอุ่น โดยกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านได้ชุมนุมกันในจุดต่าง ๆ บนถนนใกล้เคียงในย่านฮันนัม กรุงโซล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักประธานาธิบดี ที่นายยุนยังพำนักอยู่ระหว่างกระบวนการถอดถอนจากตำแหน่ง เนื่องจากกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567  

การชุมนุมบางส่วนเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคืนในพื้นที่ดาวน์ทาวน์ของกรุงโซล ก่อนจะมีการเคลื่อนไหวต่อในเช้าวันนี้ใกล้บ้านพักประธานาธิบดี โดยสภาพอากาศในพื้นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -5 องศาเซลเซียส และมีหิมะหนากว่า 5 เซนติเมตรในบางเขต ทางการจึงได้ออกคำเตือนเรื่องหิมะตกหนัก  

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ต้องระงับความพยายามในการจับกุมตัวนายยุน หลังเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่สอบสวนกับหน่วยรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดี ซึ่งยืดเยื้อหลายชั่วโมง  

อย่างไรก็ตาม ทีมสอบสวนระบุว่าจะพิจารณาขั้นตอนดำเนินการต่อไป โดยหมายจับที่ออกให้มีกำหนดหมดอายุในวันจันทร์นี้  

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังศาลอนุมัติหมายจับนายยุนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเขาปฏิเสธหมายเรียกสอบปากคำถึงสามครั้ง ซึ่งทำให้ยุนซอกยอล มีแนวโน้มเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุมในระหว่างดำรงตำแหน่ง  

เมื่อช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านนายยุนได้ปิดถนน 8 เลน ส่งผลให้การจราจรติดขัดทั้งสองฝั่ง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนเรียงแถวเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนนายยุนได้จัดการชุมนุมใกล้เคียงในจุดอื่น ๆ ของพื้นที่เดียวกัน

ยุนซอกยอล มาจากการเลือกตั้ง มีสิทธิ์ได้รับการอารักขาตามกฎหมาย จึงไม่อนุญาตให้หน่วยงานสอบสวนเข้ามาค้นทำเนียบได้

เมื่อวันที่ (5 ม.ค. 68) หน่วยอารักขาประธานาธิบดียืนยัน ‘ยุนซอกยอล’ ยังได้รับสิทธิอารักขาในฐานะประมุขที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่อนุญาตให้สำนักงานสอบสวนฯ เข้ามาในเขตทำเนียบ

พัคชองจุน หัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดี ยุนซอกยอล แถลงข่าวภายหลังศาลยกคำร้องของทนายความประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่กล่าวหาว่าหมายจับนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย

พัคชองจุน กล่าวว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดีไม่ได้อนุญาตให้สำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้ามาในเขตทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 3 มกราคม เพื่อดำเนินการตามหมายจับที่ออกให้กับประธานาธิบดียุน ซ็อก-ย็อล

พัคชองจุน กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดีไม่มีเจตนาขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานสอบสวน แต่การถอดถอนประธานาธิบดียุน ซ็อก-ย็อลได้ผ่านมติของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

พัคชองจุน ยืนยันว่า ยุนซอกยอล ยังคงเป็นประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนผู้ทรงอำนาจอธิปไตยของเกาหลีใต้ และยุนยังคงได้รับการอารักขาความปลอดภัยที่เหมาะสมตามบทบัญญัติของกฎหมาย

‘เกาหลีใต้’ เผย!! กล่องดำ ‘เจจูแอร์’ หยุดทำงาน 4 นาที ก่อนเครื่องพุ่งไถล ชี้!! แหล่งกำเนิดพลังงานทั้งหมดบนเครื่องบิน ไฟสำรอง อาจถูกตัด

(11 ม.ค. 68) กล่องบันทึกข้อมูลการบิน (flight data recorder) และกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (cockpit voice recorder) ของเครื่องบินเจจูแอร์ (Jeju Air) ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. หยุดทำงานราว ๆ 4 นาทีก่อนที่เครื่องบินจะลื่นไถลรันเวย์ไปชนกับกำแพงคอนกรีตที่สนามบินนานาชาติมูอัน ตามข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้วันนี้ (11 ม.ค.)

พนักงานสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือรวม 179 คน และถือเป็นโศกนาฏกรรมทางการบินครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ เตรียมที่จะวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้ ‘กล่องดำ’ ทั้ง 2 ใบหยุดทำงานไปเฉยๆ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนั้น

ทางกระทรวงระบุว่า กล่องบันทึกเสียงภายในห้องนักบินถูกนำมาตรวจวิเคราะห์เบื้องต้นในเกาหลีใต้ และเมื่อพบว่าข้อมูลบางส่วนหายไป จึงได้มีการส่งไปยังห้องแล็บของคณะกรรมการความปลอดภัยขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด

ด้านกล่องบันทึกข้อมูลการบินที่เสียหายก็ถูกส่งไปตรวจวิเคราะห์ในสหรัฐฯ แล้วเช่นกัน

เที่ยวบิน 7C2216 ของเจจูแอร์ซึ่งออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังสนามบินมูอันในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ ลงจอดในสภาพที่ล้อไม่กาง ก่อนจะลื่นไถลหลุดรันเวย์ไปชนกับกำแพงคอนกรีตจนเกิดระเบิดไฟลุกท่วม คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือไป 179 คน และมีเพียงลูกเรือ 2 คนที่นั่งอยู่ในส่วนท้ายเครื่องเท่านั้นที่รอดมาได้

นักบินผู้ควบคุมเครื่องได้แจ้งไปยังหอควบคุมการบินว่าเครื่องบิน ‘พุ่งชนนก’ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินราวๆ 4 นาทีก่อนที่เครื่องจะชนเข้ากับกำแพงคอนกรีตปลายรันเวย์

ทั้งนี้ หอควบคุมการบินเองได้มีการแจ้งเตือน ‘กิจกรรมของนก’ บริเวณรอบๆ สนามบิน ก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะส่งสัญญาณ Mayday ประมาณ 2 นาที และหลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว นักบินได้ตัดสินใจยกเลิกการลงจอด และนำเครื่องกลับไปบินวน 1 รอบ

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะบินวนจนครบรอบ เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ลำนี้กลับหักเลี้ยวอย่างกะทันหัน และตรงเข้าไปยังรันเวย์เดี่ยวของทางสนามบินมูอันจากทิศทางตรงกันข้าม ก่อนจะลงจอดในสภาพที่ท้องเครื่องบินครูดไถลไปกับพื้นด้วยความเร็วสูง

ซิม ไจดง (Sim Jai-dong) อดีตพนักงานสอบสวนอุบัติเหตุของกระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้ ระบุว่าการค้นพบว่ากล่องดำหยุดทำงานในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้ายถือว่าน่าประหลาดใจ และสะท้อนว่าแหล่งกำเนิดพลังงานทั้งหมดบนเครื่องรวมถึงไฟสำรองอาจถูกตัด ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

กระทรวงคมนาคมเกาหลีใต้แถลงว่า ข้อมูลอื่นๆ ที่มีอยู่จะถูกนำมาใช้ในกระบวนการสอบสวน พร้อมยืนยันว่าจะตรวจสอบต้นตอของอุบัติเหตุครั้งนี้อย่างโปร่งใส และแชร์ข้อมูลให้ครอบครัวของเหยื่อได้ทราบ

ครบรอบ 57 ปี ปฏิบัติการ ‘Blue House raid’ ภารกิจลับเกาหลีเหนือส่งทีมลอบสังหารผู้นำเกาหลีใต้

เหตุการณ์ประกาศกฎอัยการศึก (Martial law) ของ Yoon Suk Yeol ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเกาหลีใต้ ทำให้นึกถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของสองเกาหลี นั่นก็คือ ‘Blue House raid’ (หรือที่เรียกในเกาหลีใต้ว่า เหตุการณ์วันที่ 21 มกราคม) เป็นปฏิบัติการบุกทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ (Blue House) โดยหน่วยคอมมานโดของเกาหลีเหนือเพื่อสังหาร Park Chung-hee ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในขณะนั้น ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หรือ Blue House ในวันที่ 21 มกราคม 1968 ผลก็คือ หน่วยกล้าตายของกองทัพประชาชนเกาหลี (The Korean People's Army : KPA) ทั้ง 31 นาย ถูกสังหาร จับกุม หรือหลบหนี และตัวประธานาธิบดี Park Chung-hee เองไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

พลตรี Park Chung-hee (บิดาของ Park Geun-hye ประธานาธิบดีคนที่ 11 ของเกาหลีใต้) ได้ยึดอำนาจรัฐของเกาหลีใต้ด้วยการรัฐประหารเมื่อปี 1961 และปกครองในฐานะเผด็จการทหารจนถึงการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 3 ของเกาหลีใต้ในปี 1963 Blue House raid เกิดขึ้นในบริบทของความขัดแย้งในเขต DMZ (เขตปลอดทหาร) ของสองเกาหลี (ระหว่าง ปี 1966–69) หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติเกาหลีใต้ในปี 1967 ผู้นำเกาหลีเหนือได้สรุปว่า การต่อต้านภายในประเทศของ Park Chung-hee ไม่ได้ถือเป็นการท้าทายต่อการปกครองของเขาอีกต่อไป ในวันที่ 28 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 1967 คณะกรรมการกลางแห่งพรรคแรงงานแห่งเกาหลีได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ Kim Il-sung ผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้นจึงแจ้งให้คณะทำงาน "เตรียมให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการต่อสู้ของพี่น้องชาวเกาหลีใต้ของเรา" ภายในเดือนกรกฎาคมนั้นเอง หน่วยปฏิบัติการพิเศษคือ หน่วย 124 ซึ่งพึ่งจัดตั้งขึ้นได้ไม่นานของกองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) ก็ได้รับมอบหมายให้ทำการลอบสังหาร Park Chung-hee ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้

การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าในปี 1967 กำลังทหารของสหรัฐฯเข้าสู่สงครามเวียดนาม ภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพสหรัฐฯต้องทุ่มเทกับสงครามในเวียดนามใต้ จึงน่าจะไม่สามารถใช้มาตรการตอบโต้เกาหลีเหนือได้โดยสะดวก ในปี 1965-68 ความสัมพันธ์เกาหลีเหนือ - เวียดนามเหนือใกล้ชิดมาก และเกาหลีเหนือยังให้ความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่เวียดนามเหนืออีกด้วย การโฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงการจู่โจมของหน่วยกล้าตายในฐานะขบวนการกองโจรต่อต้านของเกาหลีใต้ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกองกำลังเวียดกงในเวียดนามใต้

เกาหลีเหนือเตรียมการด้วยการจัดชายหนุ่ม 31 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ KPA ให้สังกัดในหน่วย 124 ซึ่งเป็นหน่วยคอมมานโดปฏิบัติการพิเศษ และได้รับการฝึกฝนเป็นเวลาแรมปี และใช้เวลา 15 วันสุดท้ายในการฝึกซ้อมปฏิบัติการตามวัตถุประสงค์ด้วยการจำลอง Blue House เพื่อการฝึกแบบเต็มรูปแบบ ชายที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนในการแทรกซึมและเทคนิคการขุดเจาะ อาวุธศึกษา การเดินเรือ การปฏิบัติการทางอากาศ การแทรกซึมแบบสะเทินน้ำสะเทินบก การต่อสู้ด้วยมือเปล่า (โดยเน้นการต่อสู้ด้วยมีด) และการปกปิดซ่อนพราง Kim Shin-jo หนึ่งในสองสมาชิกของหน่วย 124 ผู้รอดชีวิตกล่าวว่า "มันทำให้เราไม่กลัว เพราะไม่มีใครคิดจะมองหาศพเราในสุสาน" การฝึกของพวกเขาหนัก เข้มงวด และมักจะอยู่ในสภาพที่โหดร้าย เช่น การวิ่งด้วยความเร็ว 13 กม. / ชม. (8 ไมล์ต่อชั่วโมง) พร้อมกับสัมภาระหนัก 30 กก. (66 ปอนด์) บนพื้นที่ที่ขรุขระ ซึ่งบางครั้งการฝึกดังกล่าวทำให้เกิดการบาดเจ็บตามเท้าและนิ้วเท้า

ปฏิบัติการโจมตี เริ่มขึ้นด้วยการแทรกซึม วันที่ 16 มกราคม 1968 หน่วย 124 ได้ออกจากค่ายทหารที่ตั้งของหน่วย 124 ที่เมือง Yonsan ต่อมาวันที่ 17 มกราคม 1968 เวลา 23.00 น. พวกเขาลักลอบเข้าไปในเขตปลอดทหารโดยตัดผ่านรั้วลวดหนามของกองพลทหารราบที่ 2 กองทัพบกสหรัฐฯ พอถึงเวลาตี 2 ของวันรุ่งขึ้นพวกเขาจึงได้ตั้งแคมป์ที่ Morae-dong และ Seokpo-ri ในวันที่ 19 มกราคมเวลา 5.00 น. หลังจากข้ามแม่น้ำ Imjin แล้วก็ตั้งแคมป์พักบนภูเขา Simbong เวลา 14.00 น. มีพี่น้อง Woo สี่คนจาก Beopwon-ri พากันมาตัดฟืนและเดินเข้ามาในที่ตั้งของหน่วย 124 หลังจากการถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าจะฆ่าพี่น้องสี่คนหรือไม่ ที่สุดจึงตกลงใจที่จะทำการอบรมปลูกฝังลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แก้พี่น้องสี่คนนี้ และปล่อยตัวทั้งสี่ไปพร้อมคำเตือนอย่างหนักแน่นว่า ห้ามแจ้งตำรวจ อย่างไรก็ตามพี่น้องสี่คนเมื่อถูกปล่อยตัวก็ได้แจ้งการปรากฏตัวของหน่วย 124 ทันทีที่สถานีตำรวจ Changhyeon ในเมือง Beopwon-ri หลังจากหน่วย 124 ได้รื้อที่พักและเพิ่มความเร็วฝีเท้าเป็นมากกว่า 10 กม. / ชม. โดยแบกยุทโธปกรณ์คนละ 30 กก. ข้ามภูเขา Nogo และมาถึงภูเขา Bibong ในวันที่ 20 มกราคม เวลา 07.00 น. ทหาร 3 กองพันจากกองพลทหารราบที่ 25 ของเกาหลีใต้เริ่มค้นหาผู้แทรกซึมบนภูเขา Nogo แต่หน่วย 124 ได้ออกจากพื้นที่ไปแล้ว เมื่อหน่วย 124 เข้าสู่กรุงโซลในคืนวันที่ 20 มกราคมจึงได้แบ่งเป็นหน่วยย่อยเล็ก ๆ ชุดละ 2 - 3 นาย และมารวมกลุ่มกันใหม่ที่วัด Seungga-sa ที่ซึ่งพวกเขาได้เตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการโจมตี

ในขณะเดียวกันกองบัญชาการสูงสุดของเกาหลีใต้ได้เพิ่มกำลังทหารจากกองทหารพลราบที่ 30 และกองพลทหารพลร่มในการค้นหา และตำรวจเกาหลีใต้ก็เริ่มค้นหาตามเขต Hongje-dong, เขต Jeongreung และภูเขา Bukak ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้นำมาใช้ทั่วกรุงโซล หัวหน้าหน่วย 124 จึงตระหนักว่า แผนเดิมของพวกเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จน้อยมาก จึงได้มีการปรับแผนใหม่ ด้วยการเปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบกองทัพบกเกาหลีใต้ (ROKA) ของกองพลทหารราบที่ 26 พร้อมด้วยเครื่องอิสริยาภรณ์ประจำหน่วยซึ่งพวกเขานำมาด้วยอย่างถูกต้อง พวกเขาจัดกำลังและเตรียมที่จะเดินขบวนในช่วงสุดท้ายไปยัง Blue House โดยสวมรอยเป็นทหารเกาหลีใต้ที่กลับมาจากการลาดตระเวนต่อต้านการแทรกซึม เมื่อหน่วย 124 เดินเท้าไปตามถนน Segeomjeong ใกล้กับเขต Jahamun มุ่งหน้าไปยัง Blue House ระหว่างทางได้ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และที่ตั้งทางทหารของ ROKA หลายหน่วย

เวลา 22.00 น. ของวันที่ 21 มกราคม 1968 หน่วย 124 ได้เข้าใกล้จุดตรวจ Segeomjeong – Jahamun ห่างจาก Blue House เพียงไม่ถึง 100 เมตร ก็ถูกสารวัตร Jongro Choi Gyushik หัวหน้าตำรวจซึ่งเดินเข้ามายังจุดที่หน่วย 124 กำลังเดินเท้าอยู่ และเริ่มตั้งคำถามกับพวกเขา คำตอบของสมาชิกหน่วย 124 ทำให้สารวัตร Choi Gyushik สงสัยจึงชักปืนพกออกมา แต่ถูกสมาชิกของหน่วย 124 ยิงก่อน จากนั้นก็เริ่มทำการยิงและขว้างระเบิดใส่จุดตรวจ หลังจากยิงต่อสู้กันหลายนาที หน่วย 124 ก็ได้สลายตัวแยกย้ายกันไป โดยบางส่วนมุ่งหน้าไปที่ภูเขา Inwang ภูเขา Bibong และ ภูเขา Uijeongbu สารวัตร Choi Gyushik และ Jung Jong-su รองสารวัตรเสียชีวิตระหว่างการยิงปะทะ สมาชิกหน่วย 124 นายหนึ่งถูกจับแต่พยายามฆ่าตัวตาย กว่าจะผ่านคืนนี้ไปมีชาวเกาหลีใต้ 92 คนต้องกลายเป็นผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุปะทะ ในจำนวนนี้มีพลเรือนราว 24 คนที่ติดอยู่บนรถบัสท่ามกลางห่ากระสุน วันที่ 22 มกราคม 1968 ทหารจากกองพลที่ 6 กองทัพบกเกาหลีใต้ได้เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่เพื่อจับกุม/สังหารสมาชิกของหน่วย 124 โดยทหารจากกรมทหารที่ 92 กองพลทหารราบที่ 30 จับกุม Kim Shin-jo ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวบ้านใกล้ภูเขา Inwang ทหารจากกองพันที่ 30 กองบัญชาการป้องกันเมืองหลวงได้สังหารหน่วยคอมมานโดอีก 4 นายในเขต Buam-dong และบนภูเขา Bukak

วันที่ 23 มกราคม 1968 ทหารจากกองพันทหารช่างสังกัดกองพลทหารราบที่ 26 ได้สังหารคอมมานโด 124 นายหนึ่งบนภูเขา Dobong และวันที่ 24 มกราคม 1968 ทหารจากกองพลทหารราบที่ 26 และทหารกองพลที่ 1 ได้สังหารหน่วยคอมมานโด 124 อีก 12 นายใกล้เมือง Seongu-ri วันที่ 25 มกราคมหน่วยคอมมานโด 3 นายถูกสังหารใกล้เมือง Songchu วันที่ 29 มกราคม หน่วยคอมมานโดอีก 6 นายถูกสังหารใกล้ภูเขา Papyeong ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในระหว่างการพยายามลอบสังหารครั้งนี้ประกอบด้วย ฝ่ายเกาหลีใต้มีผู้เสียชีวิต 26 คน และบาดเจ็บ 66 คน (พลเรือน 24 คน) ทหารอเมริกัน 4 นายถูกสังหารจากความพยายามที่จะสกัดกั้นผู้แทรกซึมที่พยายามหลบหนีด้วยการข้ามเขตปลอดทหาร สมาชิก 31 นายของหน่วย 124 ถูกสังหารไป 29 นาย Kim Shin-jo ถูกจับ ส่วนอีกคน Pak Jae-gyong สามารถหลบหนีกลับเกาหลีเหนือได้ ศพของสมาชิกหน่วย 124 ที่เสียชีวิตถูกฝังในสุสานทหารเกาหลีเหนือและจีนในเกาหลีใต้

วันที่ 22 มกราคม 1968 กองบัญชาการสหประชาชาติ (UNC) ประจำเกาหลีใต้ ได้ขอให้มีการประชุมคณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหาร (MAC) เพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนี้ UNC ขอให้มีการประชุมในวันที่ 23 มกราคม แต่เกาหลีเหนือขอให้เลื่อนออกไปอีกหนึ่งวัน และในวันเดียวกันนั้นเอง เกาหลีเหนือก็ได้ยึดเรือ USS Pueblo (AGER-2) ของกองทัพเรือสหรัฐฯเอาไว้ ดังนั้นการประชุม MAC ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มกราคมจึงไม่เพียงเป็นการพูดคุยหารือกับเรื่องของการโจมตี Blue House เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจับกุมเรือ USS Pueblo โดยเกาหลีเหนืออีกด้วย การยึดเรือ USS Pueblo ทำให้สหรัฐฯและนานาชาติต้องหันความสนใจจาก Blue House raid ไปในระดับหนึ่ง อีกทั้ง Blue House raid เกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่การรบที่ Khe Sanh เริ่มต้นขึ้นในเวียดนามใต้ และวันที่ 31 มกราคมเกิดการโจมตีที่เรียกว่า ‘การรุกใหญ่ตรุษญวน (Tet Offensive)’ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วเวียดนามใต้ ทำให้การสนับสนุนของสหรัฐฯเกาหลีใต้ในการตอบโต้เกาหลีเหนือจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในกรุงไซ่ง่อนกองกำลังเวียดกงได้พยายามลอบสังหาร NguyễnVệnThiệu ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ที่ Independence Palace (ทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้) แต่ถูกตีโต้กลับอย่างรวดเร็ว 

ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่า ความคล้ายคลึงกันของการโจมตีทั้งสองจุด โดยหน่วยคอมมานโดในจำนวนใกล้เคียงกัน (31 นายในกรุงโซลและ 34 นายในกรุงไซง่อนตามลำดับ) ได้อนุมานว่า ผู้นำเกาหลีเหนือมีความเข้าใจในการปฏิบัติการทางทหารของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ดังนั้นจึงอาจมีความเกี่ยวข้องและต้องการใช้ประโยชน์จากผลการรบในสงครามเวียดนามด้วย ประธานาธิบดี Johnson มองว่าการยึด USS Pueblo และกำหนดเวลาของ ‘การรุกใหญ่ตรุษญวน’ น่าจะมีการประสานงานกันเพื่อเบี่ยงเบนทรัพยากรของสหรัฐฯไปจากเวียดนามใต้ และเป็นการบีบบังคับให้เกาหลีใต้ถอนทหารบกสองกองพลและทหารนาวิกโยธินอีกหนึ่งกรมออกจากเวียดนามใต้ นายพล Charles H. Bonesteel III ผบ. กองกำลังสหรัฐฯประจำเกาหลีใต้ในขณะนั้น กลับเห็นต่างจากประธานาธิบดี Johnson ด้วยว่า เขามองไม่เห็นความเกี่ยวข้องดังกล่าว เขามองว่า Blue House raid ได้รับการวางแผนไว้ในระดับลับสูงสุดในเกาหลีเหนือ ในขณะที่การยึด USS Pueblo ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ด้วยเพราะเป็นจังหวะที่เกาหลีเหนือได้โอกาสจึงฉวยเอาไว้ได้พอดี

เพื่อตอบโต้ปฏิบัติการ Blue House raid รัฐบาลเกาหลีใต้ได้จัดตั้งหน่วย 684 โดยใช้กำลังจากบรรดานักโทษฉกรรจ์ เพื่อที่จะลอบสังหาร Kim Il-sung ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยแลกกับอิสรภาพ อย่างไรก็ตามหลังจากการปรับปรุงความสัมพันธ์ภายในของสองเกาหลี ซึ่งเริ่มหันมาพูดคุยกันด้วยสันติวิธีมากขึ้น ภารกิจการลอบสังหารของหน่วยนี้ก็ถูกยกเลิก และในปี 1971 และพยายามกำจัดหน่วยนี้ทิ้ง เพื่อให้ภารกิจเป็นความลับ จึงทำให้สมาชิกของหน่วย 684 ส่วนใหญ่ถูกสังหาร ในเดือนพฤษภาคม ปี 1972 Kim Il-sung ผู้นำเกาหลีเหนือได้แสดงความเสียใจต่อ Lee Hu-rak หัวหน้าสำนักงานข่าวกรองกลางเกาหลี (KCIA) ระหว่างการประชุมร่วมกันในกรุงเปียงยาง โดยอ้างว่า “Blue House raid เป็นปฏิบัติการที่ถูกวางแผนโดยฝ่ายซ้ายสุดโต่งและไม่ได้สะท้อนถึงเจตนาของเขาหรือของพรรคเลย” หลังจากประธานาธิบดี Park Chung-hee รอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารอื่น ๆ อีกหลายครั้ง และ Yuk Young-soo ภรรยาผู้เป็นมารดาของ Park Geun-hye ประธานาธิบดีคนที่ 11 ของเกาหลีใต้ก็เสียชีวิตจากความพยายามในการลอบสังหารเขาเมื่อ 15 สิงหาคม 1974 ในที่สุดประธานาธิบดี Park Chung-hee ก็ถูก Kim Jae-gyu ผู้อำนวยการ KCIA ยิงเสียชีวิตในปี 1979 ด้วยสาเหตุที่ยังไม่ชัดเจนจนทุกวันนี้ว่า นี่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเองหรือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำรัฐประหารโดยหน่วยข่าวกรองหรือไม่

Kim Shin-jo หนึ่งในสองผู้รอดชีวิตสมาชิกของหน่วย 124 ซึ่งเป็นสมาชิกคนเดียวของหน่วยฯที่ถูกทางการเกาหลีใต้จับไว้ได้ ถูกทางการเกาหลีใต้สอบปากคำเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัว และหลังจากที่เขาได้กลายเป็นพลเมืองของเกาหลีใต้ในปี 1970 พ่อแม่ของเขาก็ถูกประหารชีวิต และทางการเกาหลีเหนือได้ทำการกวาดล้างจับกุมญาติพี่น้องของเขาทั้งหมด ต่อมา Kim Shin-jo ได้กลายเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์ Sungrak Sambong ในจังหวัด Gyeonggi-do เขาแต่งงาน มีบุตรสองคน และยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในเกาหลีใต้จนทุกวันนี้

กระแสข้าวเหนียวมะม่วง มาแรง!! ปี 67 ยอดส่งออกพุ่ง 4,716 ล้าน เพิ่มขึ้นเกือบ 46 % เกาหลีใต้ นำเข้าอันดับ 1 ชู!! ซอฟต์พาวเวอร์ ข้าวเหนียวมะม่วงไทย คู่มาตรการลดภาษี

(2 มี.ค. 68) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงตัวเลขการส่งออกมะม่วงสดของไทย ปี 2567 มูลค่ารวม 4,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.68%

โดยตลาดส่งออก 5 อันดับแรก คือ เกาหลีใต้ 2,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.7%, มาเลเซีย 1,191 ล้านบาท ลดลง 12.8%, ญี่ปุ่น 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.8%, เวียดนาม 131 ล้านบาท ลดลง 15.7% และ 5.สปป.ลาว 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.3%

สาเหตุเกาหลีใต้ นำเข้าอันดับที่ 1 เป็นผลจากมาตรการรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ขยายโควตานำเข้าผลไม้เขตร้อน ลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรชั่วคราว เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคและลดปัญหาขาดแคลนสินค้าในประเทศ โดยปรับอัตราภาษีมะม่วงและมังคุด 0% จากเดิม 30% ทุเรียน 5% จากเดิม 45% ส่งผลให้มะม่วงไทยเป็นที่ต้องการมากขึ้น

ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจลดภาษีผลไม้ลงอีก จะช่วยสนับสนุนการส่งออกมะม่วงและผลไม้ของไทย ซึ่งปัจจุบันเกาหลีใต้นำเข้า 6 ชนิด คือ มะม่วง มังคุด ทุเรียน กล้วย มะพร้าว และสับปะรด เติบโตได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ กระแสข้าวเหนียวมะม่วงในสื่อโซเชียลมีเดีย และพฤติกรรมผู้บริโภคเกาหลีใต้ที่นิยมรับประทานผลไม้สดหลังอาหารหรือเป็นอาหารว่างด้วย

รัฐบาลไทยมุ่งมั่นส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรรมไทยให้เติบโตไปพร้อมกับตลาดโลก โดยการรักษามาตรฐานคุณภาพและผลักดันผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย และเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top