Tuesday, 8 April 2025
สหรัฐอเมริกา

หนี้สหรัฐฯ พุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนทางศก.

หนักหนา!! หนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่งทะลุ 31 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางเงินเฟ้อแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อัตราดอกเบี้ยระดับสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่ง

ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (4ต.ค.) ที่ผ่านมา พบว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ไต่ระดับอยู่ใกล้ ๆ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์

รายงานข่าวของซีเอ็นเอ็น ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งกู้เงินในช่วงการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 เพื่อพยุงเศรษฐกิจประเทศ ในขณะที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ตลาดแรงงานและห่วงโซ่อุปทาน หนี้ค้างชำระของสหรัฐฯพุ่งเกือบ 8 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี 2020 และพุ่งขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเพียง 8 เดือน

การกู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริหารประเทศ และในระยะแรกๆ ของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ปัจจุบันต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายระลอกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

คณะกรรมการฝ่ายบริหารงบประมาณแผ่นดินสหรัฐฯ (CRFB) ประมาณการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า นโยบายต่างของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจทำให้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในระหว่างปี 2021 - 2031

“การกู้ยืมเงินมากจนเกินไปจะทำให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อแบบต่อเนื่อง จะผลักให้หนี้สาธารณะพุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อย่างเร็วที่สุดในปี 2030 และทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเป็นสามเท่าตัวในช่วง 10 ปีข้างหน้า หรืออาจเร็วกว่านั้น หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วขึ้น หรือมากว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้” CRFB ระบุ

เทรนด์มะกันนัดกันปล้น เหตุความผิดไม่ระคายผิว สะท้อน!! ถ้าการเมืองดี๊ดี…อะไรก็ดีจริงเหรอ?

คลิปที่ว่อนในโลกโซเชียลไทยคลิปหนึ่งมาจากอเมริกา แดนในฝันของใครหลายคน เป็นคลิปที่ถ่ายในร้านขายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในคลิปจะเห็นชายคนหนึ่งเดินไปหยิบมือถือเครื่องนั้นเครื่องนี้ตามชอบใจ แล้วเดินออกจากร้านไปโดยไม่จ่ายเงิน คนที่เห็นถึงกับเงิบ แบบนี้ก็ได้เหรอ?

ทำให้นึกถึงเรื่องจริงไม่อิงนิยายที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนียนี่แหละ!!

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย จนชาวบ้านระอา โดยเฉพาะในแอลเอและซานฟรานซิสโก ลามไปในย่านธุรกิจอย่างยูเนี่ยนสแควร์ 

ใครที่เคยไปเยือนซานฟรานซิสโก ให้นึกถึงต้นสายรถรางที่เริ่มจากยูเนี่ยนสแควร์อันแสนคึกคักมีชีวิตชีวา แต่ช่วงนี้ปล้นกันถี่ๆ ร้านค้าหลายร้านถึงกับปิดร้านหนีไปเลย เพราะนอกจากปล้นเดี่ยวแล้ว ยังมีพัฒนาการไปเป็นการนัดออนไลน์ไปปล้นพร้อมกัน ต่างมาต่างไปแต่ใจริลักเหมือนกัน 

ในลอสแองเจลิส เกิดม็อบโจรปล้นกลางวันแสกๆ แบบเย้ยฟ้าท้าดิน คนกลุ่มหนึ่งนัดมารวมตัวกันหน้าร้าน 7-11 ไม่ได้มารวมเพื่อทำกิจกรรมสร้างสรรค์แต่อย่างใด แต่นัดมาปล้นร้านนี้ 

การปล้นเป็นไปอย่างเปิดเผยและเป็นกันเอง ไม่มีการคาดหน้าคาดตาหรือปกปิดใบหน้าทั้งสิ้น!!

เมื่อกลุ่มคนมาถึงก็บุกเข้าปล้นอย่างหน้าด้านๆ บ้างเข้าไปในร้าน โยนข้าวของทั้งของกินของใช้ให้คนรอรับนอกร้าน แล้วไอ้ที่บุกปล้นก็ไม่ใช่น้อยๆ นับดูคร่าวๆ น่าจะร่วมร้อยได้ ที่ปล้นแบบไม่แคร์ใดๆ ในโลกใบนี้ 

สาเหตุที่พวกนี้กล้ายกพวกปล้นกลางวันแสกๆ เพราะกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียนี่แหละ!!

‘ลอตเตอรี่พาวเวอร์บอล’ แจ็กพอร์ตแตกแล้ว!! ผู้โชคดีจากแคลิฟอร์เนีย รับเน้น ๆ 2.04 พันล้านดอลฯ

(9 พ.ย. 65) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ‘ลอตเตอรี่พาวเวอร์บอล’ ของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่มีผู้โชคดีติดต่อมาแล้วกว่า 40 งวด จนทำให้เงินรางวัลทบไปเรื่อย ๆ จนแตะอยู่ที่ 2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.5 หมื่นล้านบาท

ล่าสุด ลอตเตอรี่พาวเวอร์บอล ‘แจ็กพอตแตก’ โดยมีผู้ถูกรางวัล 1 คน จากรัฐแคลิฟอร์เนีย รับคนเดียวเน้น ๆ มูลค่า 2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท โดยเลขรางวัลพาวเวอร์บอลงวดล่าสุดคือ 10-33-41-47-56 และเลขพาวเวอร์บอลคือ 10

73% นศ.มะกัน ตะลุย 'ช้อปหรู-เที่ยวสนั่น' หลังรัฐบาล 'ไบเดน' ยกหนี้ กยศ. ให้

นักศึกษาอเมริกันทั่วประเทศเริงร่า หลังจากที่โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ประกาศว่ายกหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาให้นักศึกษาทั่วประเทศสูงสุดถึง 20,000 ดอลลาร์ต่อคน รอเพียงการพิจารณาจากศาลสูงของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เท่านั้น 

ด้วยนโยบายนี้ นักศึกษาในระบบกู้ยืมเงินด้านการศึกษาจะได้รับสิทธิ์ และมีการคำนวนยอดหนี้กันใหม่ทั้งหมด ที่จะทำให้มีภาระการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนน้อยลงสูงสุดถึง 300 ดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่านักศึกษาเหล่านี้จะมีเงินเหลือไว้ใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากขึ้นกว่าเดิม 

แต่ทว่า จากการสำรวจพบว่า มีนักศึกษา กยศ. สหรัฐฯ มากถึง 73% ตอบว่า เขาตั้งใจจะใช้จ่ายเงินที่เหลือจากการยกหนี้กู้ยืมเรียนของรัฐบาลไปช้อปปิ้ง ซื้อของฟุ่มเฟือย ดินเนอร์หรู ซื้อสินค้าไอทีใหม่ๆ หรือไม่ก็เอาเงินไปเที่ยวกันเสียมากกว่า แม้จะรู้ตัวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และรู้สึกผิดก็ตาม แต่ก็จะเอาเงินไปใช้ในเรื่องกิน-เที่ยวอยู่ดี 

ขณะที่มีนักศึกษาเพียง 37% เท่านั้น ที่วางแผนว่าจะสำรองเงินส่วนนี้ไว้สำหรับค่าเช่าบ้าน และ ค่ากินอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเงินกู้ยืมจะลดลง แต่ค่าครองชีพนั้นสูงขึ้นมาก การใช้ชีวิตประจำวัน จึงไม่ได้สบายกว่าเดิมสักกี่มากน้อย 

นี่จึงเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายยกหนี้ กยศ. ของโจ ไบเดน ด้วยเหตุผลว่า เป็นการใช้ภาษีประชาชนชาวอเมริกันในทางที่ผิด เพราะเป็นการผลักภาระหนี้สินของคนกู้เงิน มาใช้ชาวอเมริกันผู้เสียภาษีส่วนใหญ่ที่ไม่ได้กู้เป็นผู้จ่าย 

‘หนุ่มมะกัน’ ทำร้ายหลานเจ้าของร้านอาหารไทย หลังถูกเจ้าของร้านปฏิเสธ ‘ไม่ให้กินฟรี’

‘ชายชาวอเมริกัน’ ลงมือทำร้ายร่างกาย ‘หลานชายเจ้าของร้านอาหารไทย’ แห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย หลังถูกเจ้าของร้านปฏิเสธไม่ให้ ‘กินฟรี’

เหตุระทึกดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย. เวลาประมาณ 17.15 น. ที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งในเมืองเบิร์กลีย์ (Berkeley) โดยตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ ABC7 ระบุว่า หลานชายเจ้าของร้านพยายามเข้าไปเจรจากับลูกค้าที่มีปัญหา ก่อนจะถูกอีกฝ่ายใช้กำลังทำร้าย

ภาพจากกล้องวงจรปิดในร้านเผยให้เห็นว่า ชายคนดังกล่าวลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเตะหลานเจ้าของร้านจนล้มหงายหลังไปกับพื้นก่อนจะกระทืบเข้าที่ท้อง และพยายามวิ่งหนีไปที่ประตู ทว่าถูกลูกค้าพลเมืองดีหลายคนช่วยกันล็อกตัวเอาไว้ได้จนกระทั่งตำรวจมาถึง

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอเหตุการณ์แบบนี้ มันน่าตกใจ และทุกคนก็กลัวมาก” หนึ่งในเจ้าของร้านที่ชื่อ ซาราห์ (Sarah) ให้สัมภาษณ์กับ ABC7

เรื่องเล่าใต้ผืนธงชาติสหรัฐฯ เมื่อชาวมะกันเองก็ยังคลั่งชาติ สิ่งที่ปราชญ์ 3 นิ้วควรรู้ ก่อนกรอกหูเด็กไทยให้ชังชาติตน

ทุกครั้งที่มีการให้ความสำคัญเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นชาติ คนบางกลุ่มจะหงุดหงิดและโจมตีกล่าวหาผู้ที่นิยมชมชอบสัญลักษณ์ต่างๆ ที่แสดงถึงความเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองว่าเป็นพวกคลั่งชาติเสมอ

ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือเครื่องยึดเหนี่ยวสู่ความเป็นชาติ ให้ทุกคนรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเพื่อสร้างประโยชน์ในสังคมไปในทิศทางเดียวกัน โดยทางสังคมวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า ‘Solidarity’ หรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมและในความเป็นประเทศ

นักวิชาการตาสว่างมีตรรกะว่า รัฐชาติเป็นเรื่องสมมุติ การที่คนไทยไม่เจริญส่วนหนึ่งมาจากความคลั่งชาติและสถาบัน จากนั้นก็ด่าทอทุกอย่างเกี่ยวกับชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์ โดยมั่นใจไปเองว่าการหยามหมิ่นรากเหง้าตัวเอง คือ ความก้าวหน้าแบบลิเบอรัล ที่ตลกมากที่สุด คือ ชนคนกลุ่มนี้มักอ้างอิงทำนองว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาไม่คลั่งชาติเด็ดขาด เพราะคิดเอาเองว่าประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างอเมริกาไม่มีเรื่องแบบนี้

อเมริกานั้นเหมือนเบ้าหลอมรวมชาติพันธุ์ เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมจับฉ่ายจากทั่วทุกมุมโลกมาตกคลั่กบนแผ่นดินเดียวกัน และสิ่งที่รวมใจอเมริกันทั้งปวงก็คือความเป็นชาติ โดยมีสัญลักษณ์ชัดเจนอย่างธงชาติอเมริกันนั่นแหละ

อยากเล่าว่า เด็กอเมริกันทุกคนต้องมายืนตาแป๋วทุกเช้าไม่ต่างไปจากนักเรียนไทย จากนั้นก็สาบานตนต่อธงชาติหรือที่เรียกว่า Pledge of Allegiance  ตามนี้...

“I pledge allegiance to the Flag 
of the United States of America, 
and to the Republic for which it stands, 
one Nation under God, indivisible, 
with liberty and justice for all.”
______________________________
"ข้าพเจ้าขอสาบานต่อธงชาติแห่งสหรัฐอเมริกาว่า
จะจงรักภักดีต่อสาธารณรัฐแห่งนี้
ที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภาพ
ภายใต้พระผู้เป็นเจ้าอันไม่อาจแบ่งแยก
ด้วยเสรีภาพและความยุติธรรมต่อส่วนรวม"

‘นายกฯ’ มอบชะลอมให้ ‘กมลา แฮร์ริส’ ส่งไม้ต่อให้สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพเอเปค 2023

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 65 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ชะลอมสัญลักษณ์ไทย ส่งไม้ต่อให้กับสหรัฐอเมริกาเพื่อรับหน้าที่ตำแหน่งประธานเอเปคในปีหน้า เพื่อทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมเอเปค 2023 ต่อจากไทย 

ซึ่งการส่งมอบตำแหน่ง เป็นช่วงท้ายการประชุมเอเปค โดยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมอบชะลอมซึ่งภายในบรรจุผลไม้จำลอง และการบูรสำหรับไล่แมลง โดยชะลอมจะห่อหุ้มด้วยใยบัว ซึ่งการออกแบบเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์การประชุมเอเปคปีนี้ของไทย โดยจัดทำสองชิ้น ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้สำหรับส่งมอบให้กับสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งชิ้นเก็บไว้เป็นที่ระลึกในประเทศไทย

‘รัฐบาลสหรัฐฯ’ พร้อมหนุน ‘ยูเครน’ สู้รัสเซียสุดกำลัง แต่ ‘กองทัพสหรัฐฯ’ อยากให้เจรจายุติสงคราม

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘Thailand Vision’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และกองทัพสหรัฐฯ โดยระบุข้อความว่า…

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 สำนักข่าว CNN ของสหรัฐฯ รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กับกองทัพสหรัฐฯ กำลังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันสุดขั้ว ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับยูเครน โดยคณะเจ้าหน้าที่ความมั่นคงประจำเทียบขาว และกระทรวงต่างประเทศ ต้องการสนับสนุนให้ยูเครนสู้รบกับรัสเซียต่อไป ในขณะที่กองทัพสหรัฐฯ มองว่าควรผลักดันให้มีการเจรจาเพื่อยุติสงคราม

กองทัพสหรัฐฯ นำโดย พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ (Gen. Mark Milley) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสหรัฐฯ ได้พยายามเสนอนโยบายการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งผบ.สส.สหรัฐฯ ท่านนี้ พยายามผลักดันนโยบายดังกล่าวมาตลอดเกือบทั้งเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ตะกอนสองสีในหัวใจ เหยียดผิวในถิ่นมะกัน ความเกลียดชังจากคนขาว ที่ซ่อนไว้ใต้คำสวยหรูอย่าง 'สิทธิอันเท่าเทียม'

เรื่องของการเหยียดสีผิวนั้นเป็นเรื่องสาหัสมากในประเทศสหรัฐอเมริกายุคก่อน และถึงแม้ในปัจจุบันจะดูเหมือนว่าการเหยียดผิวนั้นเบาบางลง แต่บอกได้เลยว่าการเหยียดผิวระหว่างคนขาวและคนดำยังคงดำรงอยู่ในอเมริกา เพียงแต่ซ่อนไว้ภายใต้หน้าฉากอันสวยหรูของคำว่า 'สิทธิอันเท่าเทียม'

องค์กรลับที่ตั้งขึ้นเพื่อทำลายล้างคนผิวดำและผิวสีอื่นที่ไม่ใช่คนขาวคือ องค์กร 'คู คลักซ์ แคลน’ อำนาจของคู คลักซ์ แคลนแข็งแกร่งช่วงระหว่างปี คศ.1865-1870 มีกองกำลังอันเกรียงไกร สามารถกำราบคนดำในรัฐนอร์ทแคโรไลน่า, เทนเนสซี และจอร์เจียอยู่หมัด   

สมัยประธานธิบดี ยูลิซิส เอส. แกรนต์ มีการประกาศว่า คู คลักซ์ แคลน เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายนอกกฎหมาย ถือเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครอง จึงมีการกวาดล้างกลุ่มเอียงขวาจัดอย่างจริงจังช่วงปี ค.ศ. 1868-1870 จนทําให้กลุ่มสลายตัวชั่วระยะหนึ่ง

ปลายศตวรรษที่ 19 เริ่มมีคนผิวสีอย่างเม็กซิกันและเอเซียอพยพเข้ามาอาศัยในอเมริกามากขึ้น จึงทำให้องค์กรนี้กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนผิวดำแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่คราวนี้เหมารวมเอาคนยิว คนเม็กซิกัน คนเอเซียและฝรั่งผิวขาวด้วยกันเองแต่นับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคด้วย

ปีค.ศ. 1915 ที่แอตแลนต้า บาทหลวงของศาสนาคริสต์ วิลเลียม เจ. ซิมมอนส์ อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าในความฝันให้ฟื้นฟู คู คลักซ์ แคลน ขึ้นอีกครั้ง ซิมมอนส์ซึ่งเดิมมีแนวคิดนิยมคนผิวขาวอยู่แล้วจึงรวบรวมคน 34 คนประกาศการก่อตั้ง คู คลักซ์ แคลน ขึ้นใหม่ 

อยากจะเรียกการกลับมาขององค์กรนี้ว่ารุ่นพิมพ์นิยม เพราะคู คลักซ์ แคลน ที่ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่นี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนผิวขาวอย่างถึงขนาดจนประกาศอย่างหน้าชื่นตาบานว่า การเป็นชาวแคลนนั้นถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวชาวอเมริกันเลยทีเดียว สมาชิกก็ไม่ใช่กระจอกงอกง่อยเป็นคนขาวจนๆ คลั่งชาติอย่างพวกระดับล่าง แต่ประกอบด้วยนักธุรกิจผู้ร่ำรวย และมีนักกฎหมายระดับสูงอีกมากมาย

ในปี คศ.1922 เฉพาะที่เท็กซัสก็มีคดีทำร้ายร่างกายกว่า 100 คดีที่เกี่ยวข้องกับ คู คลักซ์ แคลน และในปี คศ.1923 เกิดคดีรุมทำร้ายที่โอกลาโฮม่าที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ 

ความกร่างของคู คลักซ์ แคลน ดูได้จากการส่งจดหมายขู่และไล่ที่ไปยังบ้านของคนผิวดำและคนผิวขาวซึ่งสนับสนุนคนผิวดำ เมื่อไม่ได้รับการปฏิบัติตามก็จะเข้ารุมทำร้าย 

นอกจากนี้ยังมีการเผาบ้าน บ้างก็ตัดแขนขา บ้างก็เอายางรถยนต์ห้อยคอผู้เคราะห์ร้ายแล้วจุดไฟ บ้างก็จับมัดไปวางให้รถไฟทับ บ้างก็จับแขวนคอ บางครั้งสมาชิก คู คลักซ์ แคลน จะมีการเผาไม้กางเขนบริเวณเชิงเขาหรือบริเวณใกล้บ้านของเหยื่อ ที่เรียกว่า Cross Burning เพื่อเป็นการเเสดงอํานาจและการข่มขู่เหยื่อ สรุปเลยคือพวกนี้สรรหาสารพัดวิธีในการทารุณกรรมนั่นเอง

ประมาณปี 1950 เด็กผิวขาวและเด็กผิวดำที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน เวลานั่งรถโรงเรียน เด็กผิวดำจะต้องสละที่นั่งด้านหน้าให้เด็กผิวขาวนั่งก่อน ส่วนเด็กผิวดำจะต้องนั่งเบาะหลังเท่านั้น บนรถเมล์ คนผิวดำจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่งก่อน ไม่เช่นนั้นถือว่าผิดกฎหมาย หรือในร้านอาหารก็จะมีการแยกที่นั่ง หรือบางร้านไม่ต้อนรับคนผิวดำ ในโรงภาพยนตร์แยกไม่ให้คนสองสีผิวปะปนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการใช้ห้องน้ำสาธารณะ การดื่มน้ำจากก๊อกน้ำสาธารณะไปจนถึงมหาวิทยาลัย    


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top