Friday, 6 June 2025
ยูเครน

‘ทรัมป์’ เล็ง!! ยกเลิกสถานะ ‘ผู้ลี้ภัยยูเครน’ 2.4 แสนคน ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการกลับลำ!! จากนโยบายต้อนรับชาวยูเครนในสมัย ‘โจ ไบเดน’

(8 มี.ค. 68) แผนการยกเลิกการคุ้มครองชาวยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ที่จะยกเลิกสถานะทางกฎหมายของผู้อพยพกว่า 1.8 ล้านคน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสหรัฐฯ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชั่วคราว ซึ่งริเริ่มในสมัยรัฐบาลไบเดน

เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์และแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งเปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะเพิกถอนสถานะพักพิงของชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา ราว 530,000 คน ภายในเดือนนี้ โดยแผนการเพิกถอนสถานะพักพิงของคนกลุ่มนี้รายงานครั้งแรกโดยสำนักข่าว CBS News

อีเมลภายในของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) ที่รอยเตอร์ได้รับ ระบุว่า ผู้อพยพที่ถูกเพิกถอนสถานะพักพิงอาจเผชิญกระบวนการเนรเทศแบบเร่งด่วน

ทั้งนี้ โครงการของไบเดนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างช่องทางทางกฎหมายชั่วคราว เพื่อป้องกันการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

นอกจากชาวยูเครน 240,000 คน ที่หนีภัยจากการรุกรานของรัสเซีย และชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา 530,000 คนแล้ว โครงการเหล่านี้ยังครอบคลุมชาวอัฟกานิสถานกว่า 70,000 คน ที่หลบหนีจากการยึดครองของกลุ่มตาลีบัน

อันดรีย์ โดบรีอันสกี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของคณะกรรมการชาวยูเครนแห่งอเมริกา กล่าวว่า “คนเหล่านี้จำนวนมากไม่มีบ้านให้กลับไป เรากำลังพูดถึงคนที่เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนราบ เราจะส่งพวกเขากลับไปที่ไหนกัน ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

มันจบแล้วกี้ บทเรียนของ ‘ขี้ข้า’ ประเทศมหาอำนาจ หลัง ‘เซเลนสกี’ ถูกถีบออกมาจาก ‘ห้องทำงานรูปไข่’

เป็นมีมไปทั่วโลกหลังที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกประธานาธิบดีของยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกีไปหารือแต่สุดท้ายกลายเป็นภาพที่เซเลนสกีถูกถีบออกมาจากห้องทำงานรูปไข่ นั่นทำให้ประเทศอื่นๆที่ยืนเคียงข้างยูเครนอย่างยุโรปสั่นคลอน เพราะหากมองกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของสงครามคือการที่ยูเครนต้องการจะเข้านาโต้ โดยการสนับสนุนจากชาติสมาชิกนาโต้โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในเวลานั้น

ย้อนกลับไปในการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-11กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการประกาศถึงกร้าวในที่ประชุม NATO ระบุข้อความชัดเจนในปฏิญญาวอชิงตันว่า “พันธมิตร NATO จะยับยั้งและป้องกันภัยคุกคามทางอากาศและขีปนาวุธทั้งหมดด้วยการปรับปรุงการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธแบบผสมผสาน” และยืนยันว่า “NATO ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือ ความมีประสิทธิผล ความปลอดภัย และความมั่นคงของภารกิจป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” โดยขณะนั้นพี่ใหญ่ของนาโต้คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง

คำถามคือเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบายระดับชาติเปลี่ยนได้หรือ….?

ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าชาติสมาชิกนาโต้ในยุโรปต้องไขว้เขวเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมาและประกาศกร้าวว่าจะเป็นคนกลางเพื่อจบปัญหาสงครามยูเครน จุดนี้นี่แหละที่ทำให้การสนทนา 10 นาทีสุดท้ายเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนและสหรัฐจาก ดีล เป็น โดดเดี่ยว  หากมองว่ามาถึงวันนี้ที่ยูเครนเข้าประเทศชาติ และพลเรือนมาเป็นตัวแปรในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แถมยังมาขอเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่วันนั้นสัญญาว่าจะให้เองตามที่ปรากฏในหน้าสื่อ ทำให้เซเลนสกี ถึงเลือกที่จะพูดว่าก็ใช่ไงสงครามมันไม่ได้เกิดที่หน้าบ้านคุณนี่ และคำนี้นี่แหละที่ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์สติหลุด

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์มา อเมริกาก็ซ่อนตัวอยู่หลังสงครามมาตลอด แม้ฝ่ายตนจะบอบช้ำจากการทำสงครามแต่หากเทียบกับคนในประเทศที่อเมริกาไปทำสงครามนั้น เทียบความสูญเสียกันไม่ได้เลยแถมการทำสงครามที่ผ่านมาหลายครั้งอเมริกาเลือกจะใช้วิธีการใช้ตัวแทนในการทำสงครามไม่ว่าจะในยูเครน ตะวันออกกลางหรือแม้กระทั่งใกล้บ้านเราอย่างผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้หรือข้างบ้านเราอย่างสงครามระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงและกองทัพเมียนมา  หลายครั้งจะเห็นได้ว่าการที่ฝ่ายต่อต้านมีอาวุธที่ทันสมัยขนาดกองทัพเมียนมายังไม่มีนั่นคงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆกองกำลังเหล่านี้จะสามารถผลิตมันขึ้นมาเองได้หากไม่ได้มีเงินทุนจัดหาและสนับนุน

จากที่มีรายการรายงานเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า มีการตรวจพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม NGO สัญชาติอเมริกันและ USAIDS ให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและยุทโธปกรณ์ให้กับเครือข่ายกบฏในพื้นที่ โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วยเอกสารการโอนเงิน จากเครือข่าย NGO และ USAIDS ไปยังบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มกบฏ  อาวุธและอุปกรณ์สื่อสาร บางส่วนที่ตรวจพบมีเครื่องหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ NGO ต่างชาติ  รวมถึงข้อมูลปฏิบัติการลับ ที่บ่งชี้ว่าเงินทุนที่ได้รับจากองค์กรเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย  นั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งลับของสหรัฐฯนั่นเอง  เช่นกันในฝั่งเมียนมาก็มีรายงานว่าองค์กร NGO อย่าง Free Burma Ranger ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับเงินทุนจาก NGO เหล่านี้ด้วยเช่นกันในการสนับสนุนสงครามให้แก่กองกำลังกะเหรี่ยงที่ทำสงครามกับกองทัพเมียนมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทรัมป์มองออกว่าการที่เขาจ่ายเงินไปในสงครามแบบนี้มันคือการจ่ายเงินไปให้คนอื่นใช้แต่ผลที่ได้ในแต่ละที่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับสหรัฐฯอย่างเป็นรูปธรรมเลย หากสหรัฐฯจะมองใหม่ว่าเข้าไปขอคืนดีกับผู้นำกองทัพเมียนมาและช่วยเมียนมาแก้ปัญหาภายในประเทศนั่นอาจจะทำให้เมียนมามีทางเลือกที่จะไม่ไปคบค้ากับจีนและรัสเซียมากไปกว่านี้  ซึ่งน่าจะเป็นการหยุดการแผ่ขยายอำนาจของจีนและรัสเซียในภูมิภาคนี้ได้ด้วย

สุดท้ายเอย่าก็หวังแค่ว่ากลุ่มกองกำลังทั้งหลายคงได้ตระหนักถึงสิ่งที่สหรัฐฯ กระทำกับยูเครน  หากกองกำลังเหล่านั้นคิดแค่เพียงว่า “สู้แล้วรวย” คนซวยคือชาวบ้านที่เป็นกองเชียร์ต่อไป แต่หากคิดได้ว่าที่เขาให้มาไม่มีอะไรฟรี  หากคิดถึงคนของตัวเองในวันที่สหรัฐฯจะมาขอค่าอาวุธคืนโดยจ่ายเป็นทรัพยากรที่คุณมี  คุณจะยอมไหม  อย่างน้อยวันนี้กี้ก็เห็นธาตุแท้ของอเมริกาแล้ว

‘เซเลนสกี’ เยือนซาอุฯ เข้าเฝ้าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน หารือความร่วมมือทวิภาคีท่ามกลางสงครามยูเครน-รัสเซีย

(11 มี.ค. 68) สื่อซาอุดีอาระเบียรายงานว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้พบปะกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ที่พระราชวังอัล-ซาลาม ในเมืองเจดดาห์ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ (10 มี.ค.) โดยมีพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับทวิภาคีและระดับนานาชาติ

การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย ขณะที่ซาอุดีอาระเบียยังคงรักษาบทบาทเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลางที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจในระดับโลก

สำนักข่าวของทางการซาอุดีอาระเบียระบุว่า มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน และประธานาธิบดีเซเลนสกี ได้หารือถึงแนวทางการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และพลังงานระหว่างสองประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยูเครนในด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของสงคราม

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมถึงความพยายามในการหาทางออกทางการทูตสำหรับความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่

แหล่งข่าวระบุว่า ซาอุดีอาระเบีย มีบทบาทสำคัญในเวทีโลกด้านพลังงาน และการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง โดยได้แสดงท่าทีสนับสนุนแนวทางสันติภาพ รวมถึงการแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการทางการทูตมาโดยตลอด

การพบปะครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามของทั้งสองประเทศในการกระชับความสัมพันธ์และร่วมมือกันในหลายมิติ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความมั่นคงของหลายประเทศ

รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ชี้หากยูเครนต้องการสันติภาพกับมอสโก ต้องยอมสละดินแดนบางส่วนที่รัสเซียยึดครองมาตั้งแต่ปี 2014

(12 มี.ค. 68) สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) กล่าวถึง ยูเครนจำเป็นต้องยอมรับการสูญเสียดินแดนที่รัสเซียยึดครองตั้งแต่ปี 2014 เพื่อให้เกิดข้อตกลงสันติภาพกับมอสโก

รูบิโอระบุว่า การยอมรับความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยุติสงครามที่ยืดเยื้อและลดความสูญเสียเพิ่มเติม เขาเน้นย้ำว่าการคาดหวังให้ยูเครนได้ดินแดนกลับคืน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจว่า ตอนนี้ไม่มีวิธีแก้ไขด้วยกำลังทหารสำหรับสถานการณ์” นายรูบิโอกล่าว “รัสเซียไม่สามารถยึดครองยูเครนได้ทั้งหมด และจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับยูเครนที่จะผลักดันรัสเซียกลับไปเป็นเหมือนในปี 2014 ภายในระยะเวลาอันสมควร”

คำกล่าวของรูบิโอเกิดขึ้นก่อนการเจรจาสันติภาพที่กำลังจะมีขึ้นในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ประสานงาน แต่ทว่า ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะไม่เข้าร่วมการเจรจาโดยตรง แต่จะส่งผู้แทนเข้าร่วมแทน

นอกจากนี้ รูบิโอยังระบุว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณากลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในครั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐจะยุติการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองบางส่วนกับยูเครนแล้ว รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม แต่รูบิโอกล่าวว่าวอชิงตันยังคงให้ข้อมูลแก่เคียฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้เคียฟสามารถป้องกันตนเองจากการโจมตีของรัสเซียต่อไปได้ เขายังกล่าวอีกว่าไม่มีภัยคุกคามในการยุติการเข้าถึงโครงข่ายดาวเทียม Starlink ของยูเครน ซึ่งเป็นบริการอินเทอร์เน็ตจาก SpaceX ของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ (Elon Musk)

อย่างไรก็ตาม นักการทูตตะวันตกเตือนว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ไม่มีแนวโน้มที่จะประนีประนอม และยืนยันที่จะรักษาดินแดนที่ยึดครองไว้ทั้งหมด

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงท่าทีของรูบิโอ ซึ่งเคยเป็นผู้วิจารณ์รัสเซียอย่างแข็งขัน แสดงถึงการปรับนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

ยูเครนตอบรับข้อเสนอจากสหรัฐฯ ยอมหยุดยิง 30 วัน กลายเป็นก้าวแรกในการยุติสงครามกับรัสเซีย

(12 มี.ค. 68 ) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ยูเครน ยอมรับข้อเสนอจากสหรัฐอเมริกาในการหยุดยิง เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาสันติภาพกับ รัสเซีย หลังจากมีการพูดคุยระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป โดยข้อเสนอนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามในการบรรเทาความรุนแรงและสร้างพื้นที่สำหรับการเจรจาทางการเมืองที่ยั่งยืนในภูมิภาคที่เกิดความขัดแย้งมายาวนาน

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนได้ออกมาประกาศว่าฝ่ายรัฐบาลยินดีที่จะรับข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสในการพิจารณาทางเลือกในการยุติสงคราม ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยูเครน และช่วยลดการสูญเสียชีวิตของพลเรือนรวมถึงทหารของทั้งสองฝ่าย

แถลงการณ์จากทำเนียบขาว ระบุว่า สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการหยุดยิงนี้อย่างเต็มที่ และย้ำว่า การหยุดยิงเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความตึงเครียด และเปิดทางให้การเจรจาสันติภาพดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข โดยขอให้ยึดความสำคัญของการยุติการใช้ความรุนแรง

“วันนี้เราได้เสนอข้อตกลงที่ยูเครนยอมรับแล้ว ซึ่งก็คือการหยุดยิงและจะเริ่มเจรจากันทันที” มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว “ตอนนี้เราจะนำข้อเสนอนี้ไปให้รัสเซีย และเราหวังว่าพวกเขาจะบอกว่าใช่ เพื่อสันติภาพ และตอนนี้ลูกบอลอยู่ในสนามของพวกเขาแล้ว” 

แม้ว่าการหยุดยิงจะมีระยะเวลาจำกัดเพียง 30 วัน แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียยังคงเงียบต่อข้อเสนอและยังคงยืนยันจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจในภูมิภาค

นักวิเคราะห์ระบุว่า การหยุดยิงนี้จะเป็นเครื่องมือในการลดความรุนแรงและเป็นช่องทางให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อมานาน

สำหรับกระแสความคิดเห็นในยูเครน มีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้านการหยุดยิง โดยฝ่ายที่คัดค้านยืนยันว่าไม่สามารถยอมรับการหยุดยิงที่อาจทำให้ยูเครนเสียพื้นที่ที่ได้ต่อสู้มา แต่ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่า การเจรจาสันติภาพมีความสำคัญต่อการยุติสงครามและการฟื้นฟูประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรจะติดตามผลการหยุดยิงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจาสันติภาพในอนาคต

อนาคตของ ‘เซเลนสกี’ อยู่ในภาวะวิกฤต หลังสหรัฐฯ กังวลความสามารถในการรักษาความมั่นคงยูเครน

(14 มี.ค. 68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา โดยมีความกังวลเพิ่มขึ้นในวอชิงตันเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขาในการเป็นผู้นำยูเครนในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตสงครามกับรัสเซีย

ตามรายงานจากหลายแหล่งข่าวในกรุงเคียฟและวอชิงตัน ระบุว่าในขณะนี้หลายฝ่ายในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเซเลนสกี และความสามารถของเขาในการรักษาความมั่นคงของประเทศในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ทั้งในด้านการทูตและความคืบหน้าในการเจรจาทางการทหาร

แหล่งข่าวในวอชิงตันกล่าวว่า มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเซเลนสกี โดยเฉพาะในการจัดการทรัพยากรทางทหารและการดำเนินนโยบายภายในที่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธมิตรทางทหารของยูเครน

“เราอยู่ในการทำหน้าที่ท้ายๆ ของประธานาธิบดีเซเลนสกี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนอ้างว่า การบริหารงานของเขาในช่วงท้ายๆ ของวาระกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการทูต การรักษาความมั่นคงของประเทศ และการจัดการวิกฤตสงครามที่ยืดเยื้อกับรัสเซีย 

ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีก็ยังคงเดินหน้าพยายามรักษาความเป็นผู้นำของเขา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ยูเครนจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของโวโลดิมีร์ เซเลนสกีในฐานะประธานาธิบดียูเครนจะหมดลงในปี 2024 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2019 และได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019

ปูตินตกลงหยุดโจมตีโรงไฟฟ้ายูเครน 30 วัน นาโต้เชื่อรัสเซียแค่หยุดพัก เตรียมรบใหม่แน่เมื่อครบกำหนด

(19 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ตกลงที่จะหยุดโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นเวลา 30 วัน หลังจากการหารือทางโทรศัพท์กับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อช่วยลดความตึงเครียดในสงครามที่ดำเนินมากว่าสองปี

รายงานระบุว่า ในการสนทนาครั้งนี้ ทรัมป์ได้กดดันให้รัสเซียหยุดการโจมตีระบบพลังงานของยูเครน เนื่องจากโครงสร้างเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพลเรือนในช่วงที่สงครามยังดำเนินอยู่ ด้านปูตินตอบรับข้อเรียกร้องนี้ และให้คำมั่นว่าจะชะลอปฏิบัติการทางทหารที่มุ่งเป้าไปยังโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนเป็นการชั่วคราว

แม้ข้อตกลงนี้จะถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการลดผลกระทบด้านมนุษยธรรม แต่รัฐบาลยูเครนยังคงสงวนท่าที โดยโฆษกของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ระบุว่า “การหยุดยิงโครงสร้างพลังงานเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่ยูเครนต้องการคือการยุติสงครามโดยสมบูรณ์”

ขณะเดียวกัน นาโต้และชาติพันธมิตรตะวันตก ได้ออกมาเตือนว่า ข้อตกลงนี้อาจเป็นเพียง "การหยุดพักยุทธศาสตร์" ของรัสเซีย เพื่อเตรียมการโจมตีครั้งใหม่หลังครบกำหนด 30 วัน

หลังจากการเจรจาครั้งนี้ ทรัมป์ออกแถลงการณ์โดยอ้างว่า “นี่เป็นก้าวแรกของการนำสันติภาพกลับคืนมา ผมสามารถทำให้สงครามนี้จบลงได้อย่างรวดเร็ว ถ้าผมได้รับโอกาส” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงผู้สนับสนุนของเขาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

แม้ว่าข้อตกลงหยุดโจมตีโครงสร้างพลังงานของยูเครนจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า มีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะกลับมาโจมตีอีกครั้งหลังจากครบกำหนด เว้นแต่ว่าจะมีการเจรจาสันติภาพเพิ่มเติม

‘ยุโรป’ เผชิญวิกฤติอาวุธ!! โรงงานผลิตกระสุน ขาดแคลนวัตถุดิบ ท่ามกลางแรงกดดัน!! จาก ‘สงครามยูเครน’ ซึ่งมีความตึงเครียด

(22 มี.ค. 68) อุตสาหกรรมการทหารของยุโรปกำลังประสบปัญหาร้ายแรง เนื่องจาก การขาดแคลนวัตถุดิบหลักในการผลิตกระสุนและวัตถุระเบิด ท่ามกลางแรงกดดันในการส่งอาวุธไปยังยูเครน

รายงานระบุว่า ในยุโรปมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่สามารถผลิตไนโตรเซลลูโลส ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของดินขับกระสุน ทำให้กำลังการผลิตอาวุธของทวีปนี้ติดขัด ขณะเดียวกัน โรงงานผลิต TNT ขนาดใหญ่ในยุโรปก็มีอยู่เพียงแห่งเดียว ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ แหล่งผลิตวัตถุดิบหลักของไนโตรเซลลูโลสคือ ฝ้าย ซึ่งจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก สิ่งนี้กลายเป็น ปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่ยุโรปไม่อาจมองข้าม เนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหภาพยุโรปและจีน

แม้ว่าบริษัทอาวุธยักษ์ใหญ่อย่าง Rheinmetall ของเยอรมนีจะประกาศเพิ่มกำลังการผลิตดินขับกระสุนขึ้น 50% ภายในปี 2028 แต่ Bloomberg ยืนยันว่า ตัวเลขนี้ยังไม่เพียงพอ ต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ยุโรปยังคง ผลักดันสงครามในยูเครนให้ยืดเยื้อ ด้วยการส่งอาวุธและกระสุนไปให้กองทัพยูเครน ทว่าในทางกลับกัน อุตสาหกรรมของยุโรปเองอาจเป็นฝ่ายล่มสลายก่อนที่สงครามจะยุติ

ยุโรปจะสามารถรักษาการสนับสนุนยูเครนได้นานแค่ไหนในภาวะที่กำลังผลิตของตัวเองกำลังถึงขีดจำกัด!!

‘ปูติน’ ลงนามคำสั่ง!! ให้คนยูเครนที่อยู่ในรัสเซีย ต้อง!! ย้ายออกนอกพื้นที่ 10 ก.ย. ปีนี้

(22 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ปธน.ปูตินลงนามคำสั่ง ให้คนยูเครนที่พักอาศัยในรัสเซีย รวมถึงแผ่นดินที่ควบรวมกับรัสเซีย อันได้แก่ ดอนเสนก์, ลูฮันส์, ซาโปโรเชีย และเคอร์ซอน ต้องย้ายออกนอกพื้นที่ หรือไม่ต้องมาดำเนินการเอกสารทางกฎหมาย (วีซ่า) ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2025 เป็นต้นไป

ชาวต่างชาติที่พักอาศัยในดอนบาส และโนโวโรสิย่า ต้องแสดงผลตรวจเลือด HIV และต้องเป็นลบเท่านั้น และแสดงประวัติการใช้ยาย้อนหลัง 10 ปี และต้องดำเนินการก่อนวันที่ 10 มิถุนายนนี้

ผู้แทนทรัมป์เผยเคียฟตกลงเลือกตั้งใหม่ พร้อมอ้างว่าผู้นำยูเครนยอมรับ ไม่เป็นสมาชิกนาโต

(24 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้พัฒนาและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวสหรัฐฯ 

โดยเปิดเผยว่า เคียฟตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครน และเสริมว่าผู้นำของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามแห่งนี้ (ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี) ก็ตกลงกับเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากกำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมาก เพราะรัสเซียมีประชากรและมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มากกว่า

วิตคอฟฟ์เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี และอันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดียูเครน ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดแล้วว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของ นาโต (NATO) ในอนาคตอันใกล้

การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำยูเครน ซึ่งในอดีตเคยหวังที่จะเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเต็มที่ เพื่อต่อสู้กับความท้าทายด้านความมั่นคงจากรัสเซียที่ขยายอิทธิพลในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีและเยอร์มักได้ยืนยันว่า ยูเครนจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ตามที่เคยตั้งใจไว้

“พวกเขา (เซเลนสกีและเยอร์มัก) ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของนาโตในตอนนี้ และการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน” วิทคอฟฟ์กล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์กับคาร์ลสัน

การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรุกรานของรัสเซีย และการทำงานร่วมกับนาโตในหลายๆ ด้าน เช่น การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจ ถึงแม้ยูเครนจะยังคงคาดหวังการสนับสนุนจากนาโตในด้านอื่นๆ แต่การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอาจเป็นเรื่องที่ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงท่าทีนี้อาจมีผลต่อการเจรจาทางการเมืองในอนาคตระหว่างยูเครนและนาโต รวมถึงความสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศพันธมิตรต่าง ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top