Friday, 6 June 2025
ยูเครน

‘ทรัมป์’ เหน็บแรง!! ‘เซเลนสกี้’ เซลล์แมนที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ มาเยือนสหรัฐฯ ทีไร ได้เงินกลับบ้าน 5-6 หมื่นล้านดอลฯ เสมอ

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อดีตผู้นำสหรัฐฯ เหน็บแรง ‘โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้’ ผู้นำยูเครน กลางงานปราศรัยหาเสียงที่เมืองดีทรอยต์ ในรัฐมิชิแกนว่า เป็นเซลล์แมนที่เก่งที่สุดในบรรดานักการเมืองที่เคยมีอยู่ในโลกนี้ ใครจะหาเงินจากรัฐบาลอเมริกันได้เก่งเท่าเซเลนสกี้ไม่มีอีกแล้ว
.คำพูดที่สื่อถึงผู้นำยูเครนนี้ ทรัมป์ ได้กล่าวไว้ในงานเดินสายหาเสียงครั้งที่ 2 ที่เมืองดีทรอยด์ ซึ่งจัดโดย ‘Turning Point USA’ กลุ่มการเมืองฝ่ายขวาที่เป็นฐานเสียงหลักของทรัมป์เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 67 ที่ผ่านมา 

และได้วิจารณ์ถึงการใช้งบประมาณอย่างสูญเปล่าของรัฐบาลไบเดน ตั้งแต่การลงทุนในนโยบาย Green Transformation (การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว) ว่าเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์  

อีกทั้งกล่าวถึงผู้นำยูเครนว่า "ผมบอกพวกคุณได้เลย เซเลนสกี้เป็นเซลล์แมนที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว ทุกครั้งที่เขามาเยือนประเทศเรา เขาจะกลับไปพร้อมเงิน 5-6 หมื่นล้านดอลลาร์ของพวกเราเสมอ"

ซึ่งตัวเลข 6 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์พูดถึง มาจากงบช่วยเหลือยูเครนที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสเมื่อช่วงเดือนเมษายนของปีนี้ จากการผลักดันของโจ ไบเดน ว่าหากงบนี้ไม่ผ่าน ยูเครนเสียดินแดนเพิ่มให้รัสเซียแน่นอน

ทรัมป์ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า "มันหวานเจี๊ยบมากคุณเอ๊ย เซเลนสกี้เพิ่งจะออกจากประเทศเราไป 4 วันด้วยเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ พอกลับถึงบ้าน เขาบอกว่าจะเอาอีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ มันไม่มีวันจบหรอกครับ" 

และไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวประชดเซเลนสกี้ ด้วยการยกฉายาเซลล์แมนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคให้ ย้อนไปในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในงานปราศรัยที่รัฐโอไฮโอ ทรัมป์เคยพูดถึงเซเลนสกี้ในทำนองนี้มาก่อนแล้ว อีกทั้งวิจารณ์นโยบายการสนับสนุนยูเครนของรัฐบาลไบเดนว่า แทนที่จะส่งเงินให้ยูเครนทุกครั้งที่เซเลนสกี้มาขอ ทำไมไม่ให้เป็นเงินกู้ที่มีเงื่อนไขการชำระหนี้อย่างเหมาะสมแทน

ทรัมป์ให้สัญญาว่า เขาจะยุติการให้เงินสนับสนุนแก่ยูเครนทันทีที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ที่จะถึงนี้ อีกทั้งยังอ้างว่า รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครนอย่างแน่นอนหากเขาชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อีกทั้งยังเคยกล่าวอ้างว่าเขาสามารถยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ทันที หากได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง 

ด้านสื่อยูเครนออกมาตอบโต้ถ้อยคำปราศรัยของทรัมป์ที่จะหยุดเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เนื่องจาก โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้เซ็นรับรองร่างกฎหมายเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนจำนวนกว่า 6.1 หมื่นล้านเหรียญไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

และตั้งแต่เกิดเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐ ได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วไม่น้อยกว่า 1.12 แสนล้านดอลลาร์ และล่าสุดปีนี้เพิ่งจากอนุมัติเงินช่วยเหลือด้านการทหารแก่ยูเครนก้อนใหม่อีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ 

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์โจมตีรัฐบาลไบเดนมาตลอด ถึงนโยบายการทุ่มเงินสนับสนุนยูเครนอย่างพิลึกพิลั่น พร้อมค่อนแคะว่า กลุ่มชาติสมาชิก NATO คงหัวเราะจนงอหาย ที่เห็นรัฐบาลไบเดนส่งเงินให้เปล่ากับยูเครนมากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่ควรเป็นเงินยืมที่ยูเครนต้องจ่ายคืน

ถึงแม้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะให้คำมั่นสัญญากับชาวอเมริกันว่าเขาจะไม่ยอมทุ่มเงินภาษีประชาชนให้กับสงครามนอกบ้าน และจะเป็นคนยุติสงครามยูเครน แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องชนะการเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้เสียก่อน แต่ก็ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่านั่นคือคำพูดเพื่อ ‘หาเสียง’ เท่านั้น 

เพราะเมื่ออยู่ในฐานะผู้นำสหรัฐอเมริกาจริง ๆ ย่อมมีหน้าที่ในการธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นชาติมหาอำนาจโลก ที่เสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้ และเชื่อเถอะว่า เซลล์แมนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค รู้วิธีหาเงินจากอีโก้ของชาติมหาอำนาจได้ดีที่สุด

ซ้ายตกขอบ!! เสียงสะท้อนผลเลือกตั้ง 'ฝรั่งเศส-อังกฤษ'  คนยุโรปเริ่มล้มทุกรัฐบาลที่หนุนสงครามยูเครน-แซงชั่นรัสเซีย

(7 ก.ค.67) เพจ ‘สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การเมืองในเวทีโลก โดยได้ระบุว่า ...

เลือกตั้งอังกฤษเมื่อสองวันที่แล้วยืนยันว่าคนยุโรปล้มทุกรัฐบาลที่สนับสนุนสงครามยูเครน แซงค์ชันรัสเซีย รับผู้อพยพแอฟริกาเหนือและยูเครนเข้ามาแบบไร้สติ

ทั้งหมดล้วนเป็นแนวทางที่ส่งผลให้คนยุโรปอยู่ยาก จนลง เพราะของแพง รัฐสวัสดิการเอาไม่อยู่ ถูกรัฐจับทำงานจนแก่ 

ถ้าชิงตายก่อนถึงเกณฑ์รับเงินก้อนจากรัฐ อดได้เอ็นจอยการหอบเงินที่สะสมทั้งชีวิตมาอยู่เป็นป๋าที่พัทยา

รัฐบาลริชชี สุนัก แพ้ราบคาบ อดีตนายกอย่างลิซ ทรัสส์ สอบตกในเขตตัวเอง จบ 14 ปี ของรัฐบาล Conservatives ภายใต้นายก 5 คน 

วันนี้ฝรั่งเศสเลือกตั้งรอบสอง ฝ่ายซ้าย ฝ่ายกลางรวมพลังบล็อก ฝ่ายขวา ไม่ต่างจากช่วงที่ฝ่ายขวาไทยบล็อกก้าวไกลเมื่อปีที่แล้ว 

สองลุงของฝรั่งเศส (เมลลองฌอง-มาครอง) ฉลาดกว่าสองลุงของไทย มีการถอนตัวผู้ลงสมัครทั้งจากฝ่ายซ้ายและฝ่ายกลาง จะได้ไม่ตัดคะแนนกันเองในแต่ละเขต

ไล่ประท้วงไล่ตีกันทั้งประเทศ เพราะไม่มีเพจของคนหน้าตาดีบอกให้ไปนอนก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่

มองกันว่าฝ่ายขวาจะชนะแต่ไม่ขาด แต่ก็ยังจะเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายขวาฝรั่งเศสได้เข้ามาเป็นรัฐบาลในห้วง 80 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

แนวทางนโยบายจะเป็นผลประโยชน์ฝรั่งเศสต้องมาก่อน ไม่เอาผู้อพยพ ไม่ส่งทหารไปยูเครน

นายกวิคเตอร์ ออร์บัน จากฝ่ายขวาของฮังการีเป็นประธานหมุนเวียนอียูระยะ 6 เดือนไปตลอดถึงสิ้นปี 

สิ่งแรกที่ทำคือหาทางจบสงครามยูเครน-รัสเซีย แบกตำแหน่งประธานอียูไปคุยกับปูตินถึงที่

ไปแบบไม่สนหน้าใครในอียู

เดือน พ.ย. สหรัฐเลือก ปธน ถ้าทรัมป์ที่คะแนนนำอยู่ชนะ แนวร่วมรัสเซียในเวทีระหว่างประเทศจะกว้างและครอบคลุมมาก

เป็นการเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองครั้งใหญ่ของโลก ที่เกิดจากความงี่เง่าของฝ่ายซ้ายตะวันตกล้วนๆ 

โอกาสได้จบสงครามดีที่สุดในรอบ 3 ปี กำลังมา 

แต่ถ้าจบที่รัสเซีย จะย้าย theater มาทะเลจีนใต้หรือไม่

นักการทูต ทหาร ฝ่ายความมั่นคงไทย ทบทวนตำราศรีธนญไชยเตรียมไว้ได้เลย

เราเน้นแนวทางรบด้วยปาก

นอกนั้นมาช่วยกันสาธุ 99 ได้ครับ

ประมวลเหตุการณ์ ส่งผลปลายทางสงคราม ‘รัสเซีย-ยูเครน’ ปิดฉากด้วย ‘ยูเครน’ ยอมแพ้ ไม่ใช่การเจรจาข้อตกลงร่วมกัน

“Ukraine war will end in surrender”
By STEPHEN BRYEN
02/07/2024

นี่ความคิดเห็นจาก ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ผู้สื่อข่าวอาวุโสแห่งเอเชียไทมส์ ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ

โดย ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ยังระบุเพิ่มอีกว่า “แล้วมันก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ กับเซเลนสกี เมื่อกองทัพยูเครนพังครืนลงมา และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้าแทนที่”

นอกจากนี้ ‘สตีเฟน ไบรเอน’ ยังได้วิเคราะห์จุดจบแห่งสงครามในครั้งนี้ด้วยว่า สงครามยูเครนจะยุติลงด้วยการยอมจำนน ไม่ใช่ด้วยการทำข้อตกลงภายหลังการเจรจาต่อรองกัน นี่เป็นความรู้สึกของผมในเรื่องที่ว่าสงครามคราวนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน และเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมฝ่ายต่าง ๆ จึงไม่สามารถที่จะเจรจาเพื่อทำความตกลงกัน

การตั้งแง่เล่นเล่ห์เหลี่ยมเพื่อมุ่งชิงความได้เปรียบกันในช่วงหลัง ๆ มานี้ ที่ทำให้การเจรจากันยังเกิดขึ้นไม่ได้จนแล้วจนรอด ปรากฏตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ในคำประกาศซึ่งอยู่ในคำสัมภาษณ์ที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน บอกกับสื่อฟิลาเดลเฟีย อินไควเรอร์ (Philadelphia Inquirer) [1] ในสหรัฐฯ

ในคำสัมภาษณ์นี้ เซเลนสกีกล่าวว่า มันไม่สามารถที่จะมีการเจรจาโดยตรง [2] ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย แต่อาจจะมีการเจรจากันทางอ้อมโดยผ่านฝ่ายที่สาม ในฉากทัศน์ซึ่งเสนอขึ้นมาโดยเซเลนสกีนี้ ฝ่ายที่สามจะทำหน้าที่เป็นคนกลาง และการทำความตกลงใด ๆ จะต้องเป็นการตกลงกับคนกลางนี้เท่านั้น ไม่ใช่การตกลงระหว่างรัสเซียกับยูเครน ทั้งนี้เซเลนสกีเสนอแนะด้วยว่ายูเอ็นสามารถแสดงบทบาทเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอนี้ของเซเลนสกีไม่สามารถที่จะเป็นจุดเริ่มต้นอะไรขึ้นมาได้หรอกด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ แต่ข้อใหญ่ที่สุดก็คือความเป็นจริงที่ว่าประดารัฐซึ่งกำลังทำสงครามกันอยู่ จำเป็นที่จะต้องตกลงกันโดยตรงในเรื่องการยุติการสู้รบขัดแย้ง

การอาศัยฝ่ายที่สามเป็นผู้นำเอาข้อตกลงใด ๆ มาปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีหวังจะประสบความสำเร็จเอาเลย อย่างที่ข้อตกลงมินสก์ (Minsk agreement) ซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า (ไม่ว่าฉบับปี 2014 หรือปี 2015) ได้แสดงให้เห็นกันอยู่แล้ว ข้อตกลงมินสก์ทั้งสองฉบับ ถือเป็นกรณีลูกผสมซึ่งมีการลงนามรับรองโดยรัสเซีย, ยูเครน, และองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Cooperation in Europe หรือ OSCE)

แต่แล้วยูเครนปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านี้ และ OSCE ก็ถูกพิสูจน์ให้เห็นว่าไร้ทั้งเขี้ยวเล็บและไร้ทั้งเจตนารมณ์ ที่จะพยายามและบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง การตกลงกันในคราวนั้นยังได้รับการหนุนหลังจากเยอรมนีและฝรั่งเศส ถึงแม้ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้ร่วมลงนามหรือมีพันธะผูกพันทางกฎหมายไม่ว่าในลักษณะใดก็ตามทีที่จะต้องสนับสนุนข้อตกลงซึ่งออกมา

‘ข้อเสนอ’ เช่นนี้ของเซเลนสกี แท้ที่จริงแล้วจึงเป็นเพียงม่านควันอีกอันหนึ่งซึ่งเขาปล่อยออกมาเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ยูเครนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ต้องการทำความตกลงกับรัสเซีย ทั้งนี้มีพลังที่เข้มแข็ง 3 พลังด้วยกันที่ยังคงคอยดึงรั้งเซเลนสกีเอาไว้ไม่ให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา

พลังหรือเหตุผลข้อสำคัญที่สุดก็คือ การที่เพลเยอร์ชาวแองโกล-แซกซอนตัวหลักในนาโต้ ซึ่งก็คือ ‘สหรัฐฯ’ และ ‘สหราชอาณาจักร’ มีท่าทีคัดค้านอย่างแข็งขันไม่ต้องการให้มีการเจรจาใด ๆ กับรัสเซีย สหรัฐฯ นั้นกำลังกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ โดยรวมไปถึงการใช้การแซงก์ชั่นและมาตรการทางการทูตต่าง ๆ เพื่อขัดขวางไม่ให้เกิดการสนทนาใด ๆ กับรัสเซียไม่ว่าในหัวข้อใด ๆ (นอกเหนือจากเรื่องการแลกเปลี่ยนเชลยศึก)

เหตุผลประการที่สองคือกฎหมายของยูเครน ที่อุปถัมภ์โดยเซเลนสกี ซึ่งมีเนื้อหาระบุห้ามไม่ให้มีการเจรจาใด ๆ กับรัสเซีย รัฐสภาของยูเครนที่มีชื่อว่า เวอร์คอฟนา ราดา (Verkhovna Rada) สามารถที่จะยกเลิกกฎหมายดังกล่าวได้ภายเวลา 1 นาโนวินาที ถ้าเซเลนสกีร้องขอให้พวกเขากระทำเช่นนั้น ทว่าเขาไม่น่าจะอยากให้ทำหรอก

เซเลนสกีคือผู้ที่ควบคุมรัฐสภายูเครนเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ รวมทั้งได้จับกุมหรือเนรเทศพวกนักการเมืองฝ่ายค้านให้ออกไปอยู่นอกประเทศ ตลอดจนควบคุมหนังสือพิมพ์และสื่ออื่น ๆ การใช้กำปั้นเหล็กของเซเลนสกีเช่นนี้หมายความว่า ตัวเขาเองจะไม่ยอมเป็นผู้เปิดทางให้มีการเจรจาโดยตรงอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นแล้ว เซเลนสกียังได้ลงนามประกาศใช้กฤษฎีกาประธานาธิบดีฉบับหนึ่ง ที่ห้ามไม่ให้มีการเจรจาใด ๆ [3] กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย

สำหรับเหตุผลประการที่สาม เกี่ยวข้องกับแรงกดดันต่อเซเลนสกีจากพวกนักชาตินิยมฝ่ายขวาสายแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็รวมไปถึงกองกำลังอาวุธอาซอฟ (Azov brigade) ที่เป็นพวกนาซีใหม่ (neo-Nazi) ซึ่งเวลานี้ถูกนำมารวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพยูเครนแล้ว หลักฐานโดยตรงที่แสดงให้เห็นถึงแรงบีบคั้นนี้ก็คือการปลด พลโท ยูริ โซดอล (Lieutenant General Yuri Sodol) ผู้บังคับบัญชาระดับท็อปของกองกำลังฝ่ายเคียฟที่อยู่พื้นที่แคว้นคาร์คอฟ (Kharkov)

**(คาร์คอฟ Kharkov ในภาษารัสเซีย หรือ คาร์คิฟ Kharkiv ในภาษายูเครน เป็นชื่อแคว้นและเมืองเอกของแคว้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน และประชิดติดกับชายแดนรัสเซีย โดยที่เมืองคาร์คอฟยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนอีกด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv_Oblast และ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv)

โซดอล โดนข้อกล่าวหาจากพวกผู้นำกองกำลังอาซอฟ [4] ว่ากำลังสังหารชาวยูเครนมากยิ่งกว่าชาวรัสเซียอีกในการสู้รบทำศึกที่คาร์คอฟ อาซอฟส่งข้อความนี้ของตนไปยังรัฐสภา และเซเลนสกีก็กระทำตามด้วยการปลดโซดอล

ตั้งแต่ที่โซดอลถูกปลด สถานการณ์ของยูเครนตามแนวเส้นปะทะระหว่างยูเครนกับรัสเซียตลอดทั้งแนวรบทีเดียวก็อยู่ในสภาพเลวร้ายลงไปอีก ความสูญเสียจากการสู้รบของฝ่ายยูเครนอยู่ในระดับที่สูงมาก โดยในบางวันมีผู้ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บมากถึง 2,000 คนทีเดียว

ฝ่ายรัสเซียได้ยกระดับการโจมตีของพวกเขาด้วยการใช้ลูกระเบิดนำวิถี FAB (FAB glide bombs) ขนาดต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าอสุรกาย FAB-3000 [5] ที่อัดวัตถุระเบิดแรงสูงเข้าไป 3,000 กิโลกรัม ซึ่งลูกหนึ่งเพิ่งถูกทิ้งลงใส่ศูนย์บัญชาการกองทัพบกยูเครนแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ของภูมิภาคดอนบาส (Donbas) ที่ถูกขนานนามว่า นิวยอร์ก (New York) [6] และมีรายงานว่าสังหารบุคลากรทางทหารของยูเครนไปไม่น้อยกว่า 60 คน

**(ดอนบาส Donbas เป็นภูมิภาคในยูเครนตะวันออกที่ประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์ Donetsk กับแคว้นลูฮันสก์ Luhansk หรือ ลูกันสก์ Lugansk ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Donbas)**

ทางรัสเซียยังบอกด้วยว่า เซเลนสกีนั้นไม่สามารถที่จะเป็นคู่เจรจาของฝ่ายตนได้ เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งของเขาหมดไปตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม อันที่จริงก็มีความสับสนอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับฐานะตามกฎหมายของเซเลนสกีในเรื่องนี้ แต่พวกผู้เชี่ยวชาญทั้งในและนอกยูเครนต่างคิดว่า ตำแหน่งผู้นำของประเทศนี้ควรที่จะถูกส่งต่อให้แก่ประธานรัฐสภายูเครน [7] นับแต่ที่วาระของเซเลนสกีหมดสิ้นลง

ประธานรัฐสภายูเครนคนปัจจุบันคือ ‘รัสลัน สเตฟานชุค’ (Ruslan Stefanchuk) เวลานี้เขามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองคึกคักยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อน ถึงแม้เขายังไม่เคยแสดงการคัดค้านที่เซเลนสกียังคงปกครองประเทศต่อไปก็ตามที

ขณะเดียวกันนั้น เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ในสมรภูมิแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายรัสเซียกำลังเล็งดูแล้วว่า เวลากำลังใกล้จะสุกงอมเต็มทีแล้วที่กองทัพยูเครนถ้าหากไม่พังครืนลงไปก็จะต้องขอยอมแพ้ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีไหน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครนในบางลักษณะ บางทีอาจจะกระทำโดยคณะผู้นำทางทหารชั่วคราวที่คัดเลือกขึ้นมาโดยรัสเซีย นี่จะเปิดทางให้ฝ่ายรัสเซียสามารถกำหนดข้อตกลงในการยอมจำนน เอากับรัฐบาลชุดที่จะขึ้นมาแทนที่

การยอมแพ้ของกองทัพยูเครน และข้อตกลงที่ทำกับรัฐบาลซึ่งรัสเซียแต่งตั้งขึ้นมา ย่อมจะทำให้นาโต้เข้าเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในยูเครนต่อไปไม่ได้แล้ว

นี่อาจเป็นการเปิดประตูไปสู่การสนทนาด้านความมั่นคงระหว่างนาโต้กับรัสเซียขึ้นมาในท้ายที่สุด ในทันทีที่นาโต้บดย่อยและกลืนกินสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเหตุผลที่ทำไมมันจึงเกิดขึ้นมา ทั้งนี้ ต้องถือเป็นเรื่องโชคร้าย การนำเอาพวกผู้นำทางการเมืองอย่าง มาร์ค รึตเตอ (Marc Rutte) เข้าสู่นาโต้ ย่อมไม่ใช่ลางดีสำหรับอนาคตของกลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงกลุ่มนี้

**(รึตเตอร์ อำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2024 เพื่อเข้าเป็นเลขาธิการองค์การนาโต้คนถัดไปต่อจาก เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก Jens Stoltenberg โดยมีกำหนดเริ่มดำรงตำแหน่งใหม่นี้ในวันที่ 1 ตุลาคม ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Mark_Rutte)**

ถ้าหากฝ่ายรัสเซียเป็นผู้ชนะในยูเครน ซึ่งดูน่าจะเป็นเช่นนั้นมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สารสำคัญที่สุดจากเรื่องนี้สำหรับนาโต้ ก็คือว่า กลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงกลุ่มนี้ต้องยุติการขยายตัวของตนเองเสียที และมองหาหนทางในการทำความตกลงเพื่อดำเนินการกับรัสเซียในยุโรป ซึ่งมีเสถียรภาพยิ่งกว่าที่เป็นมา

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสอยู่ที่เอเชียไทมส์ เขาเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ

ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน

เชิงอรรถ
[1] https://www.inquirer.com/opinion/zelensky-ukraine-war-interview-trudy-rubin-20240630.html
[2] https://www.rt.com/russia/600232-zelensky-model-talks-russia/
[3] https://www.livemint.com/news/world/ukraine-zelensky-signs-decree-rule-out-negotiation-russia-vladimir-putin-impossible-11664876727245.html
[4] https://unn.ua/en/news/details-of-the-complaint-that-krotevych-wrote-against-general-sodol-became-known
[5] https://x.com/NewRulesGeo/status/1807719236216746085
[6] https://sputnikglobe.com/20240701/watch-russian-forces-pound-new-york-in-donbass-with-fab-3000-guided-bomb-1119203142.html
[7] https://carnegieendowment.org/russia-eurasia/politika/2024/03/is-zelenskys-legitimacy-really-at-risk?lang=en

'ไบเดน' ออกอาการเบลอ สับสนระหว่าง ‘มิตร-ศัตรู’ เรียก ‘เซเลนสกีแห่งยูเครน’ สลับเป็น ‘ปธน.ปูตินแห่งรัสเซีย’

เมื่อวานนี้ (11 ก.ค. 67) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกอาการเบลออีกครั้ง คราวนี้พูดผิดระหว่างแนะนำตัวประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ต่อเวทีประชุมซัมมิตนาโต โดยเรียกเป็นประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย คู่อริของเซเลนสกีแทน ความผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าการแถลงข่าวครั้งสำคัญ ที่อาจเป็นตัวตัดสินชะตากรรมการเสนอตัวชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัยของเขาเลยทีเดียว

ผู้นำวัย 81 ปีของสหรัฐฯ รีบแก้คำผิดด้วยตนเอง ส่วน เซเลนสกี พูดติดตลกว่าเขาดีกว่าปูติน 

อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดของไบเดนในครั้งนี้ได้โหมกระพือความกังวลหนักหน่วงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอายุอานามของเขาและความเฉียบแหลมทางปัญญา ตามหลังผลงานหายนะในศึกประชันวิสัยทัศน์กับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

"ตอนนี้ผมขอส่งมอบเวทีนี้ให้แก่ประธานาธิบดียูเครน ผู้ซึ่งมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่น คุณสุภาพสตรีและคุณสุภาพบุรุษ ขอต้อนรับ ประธานาธิบดีปูติน" เขากล่าวระหว่างแถลงต่อที่ประชุมซัมมิตนาโตในวอชิงตัน

ไบเดน หันหลังออกจากโพเดียม ก่อนย้อนกลับไปและเปล่งเสียงออกมาว่า "ประธานาธิบดีปูติน! เขากำลังเอาชนะประธานาธิบดีปูติน นั่นคือประธานาธิบดีเซเลนสกี" กระตุ้นให้ เซเลนสกี ดาวตลกทางทีวี ที่กลายมาเป็นผู้นำยามศึกสงครามของยูเครน รับมือกับการรุกรานของรัสเซีย ตอบกลับว่า "ผมดีกว่าเขา"

พวกรีพับลิกันคู่แข่งของไบเดน รุดแพร่กระจายคลิปดังกล่าวภายในเวลาไม่กี่นาที

การพูดผิดในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับไบเดน เนื่องจากหลังจากนี้เขามีกำหนดแถลงข่าวในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) ในรูปแบบที่โฆษกทำเนียบขาว คารีน ฌอง ปิแอร์ เรียกว่าเป็นการแถลงแบบ ‘บิ๊กบอย’ หรือที่แปลว่า คนที่โตแล้ว ซึ่งถือเป็นการแถลงข่าวครั้งสำคัญของเขาครั้งแรกนับตั้งแต่ศึกดีเบต

การแถลงข่าวนี้จะเป็นการดวลไมค์แบบไม่เตรียมบทระหว่างไบเดนกับสื่อมวลชน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับผู้นำสูงสุดวัย 81 ปี ที่กำลังเผชิญกับข้อเคลือบแคลงด้านความพร้อมในทางร่างกายและความเฉียบแหลมของไหวพริบ ในการลงสนามการเมืองในศึกเลือกตั้งผู้นำสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องดังระงมมากขึ้นเรื่อย ๆ จากพรรคเดโมแครตของเขาเองให้เขาถอนตัว

ทั้งนี้ การแถลงข่าวดังกล่าวมีกำหนดเริ่มขึ้นตอนเวลา 18.30 น.(ตรงกับเมืองไทย 05.30 น.) แต่คาดหมายว่าอาจล่าช้าราว 1 ชั่วโมง

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่มีสมาชิกพรรคเดโมแครตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เรียกร้องให้ ไบเดน ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024

มีสมาชิกเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ 14 คน ที่เรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ชายที่เอาชนะ ทรัมป์ เมื่อ 4 ปีก่อน ถอนตัวออกมา เช่นเดียวกับวุฒิสมาชิกจากเดโมแครต 1 ราย

ผลโพลหนึ่งที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ค.) พบว่ามีชาวเดโมแครตมากกว่าครึ่ง บอกว่า ไบเดน ควรยุติการเสนอตัวชิงเก้าประธานาธิบดีสมัย 2 และ 2 ใน 3 ของชาวสหรัฐฯ เชื่อว่าเขาควรถอนตัวจากการชิงชัย

ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างแหล่งข่าวซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าบรรดาผู้ช่วยเก่าแก่ของประธานาธิบดีบางส่วนกำลังหารือกันในการหาทางโน้มน้าวให้ไบเดนถอนตัวออกมา อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวรุดออกมาตอบโต้ในเวลาต่อมา ระบุรายงานข่าวนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

ไบเดน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนช่างพูด กลับกลายเป็นผู้นำสหรัฐฯ ที่แถลงข่าวน้อยกว่าประธานาธิบดีคนก่อน ๆ และครั้งหลัง ๆ มักเป็นการแถลงข่าวร่วมกับพวกผู้นำต่างชาติเท่านั้น แถมแต่ละครั้งยังจำกัดให้ถามได้เพียงแค่ 2 คำถาม

เมื่อประกอบกับการที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มันจึงนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเนียบขาวกำลังปกป้องผลกระทบทางอายุที่กำลังเกิดขึ้นกับประธานาธิบดีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ รายนี้

ไบเดน ยืนยันว่าเขายังคงมุ่งมั่นในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายน และด้วยที่เขาคว้าชัยในศึกหยั่งเสียงของพรรคเดโมแครต ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะบีบให้เขาถอนตัว

‘รีพับลิกัน’ ลั่น!! หากชัยชนะเป็นของ ‘ทรัมป์’ ยุติสงครามยูเครนทันที แล้วหันไปตีจีนแทน

(17 ก.ค.67) โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำมาซึ่ง ‘จุดจบอย่างรวดเร็ว’ สำหรับความขัดแย้งในยูเครน หากได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยในเดือนพฤศจิกายน จากคำประกาศกร้าวของ ‘เจ.ดี. แวนซ์’ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของรีพับลิกัน พร้อมชี้ว่าวอชิงตันควรหันไปมุ่งเน้นจีนมากกว่า โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น ‘ภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด’ ต่ออเมริกา

ทั้งนี้เรื่องราวมีอยู่ว่า ทรัมป์ เปิดตัว แวนซ์ ในฐานะคู่ชิงรองประธานาธิบดีในวันจันทร์ (15 ก.ค.) ณ ที่ประชุมใหญ่พรรค ในมิลวอกี รัฐวิสคอนซิล ต่อมาการเสนอชื่อวุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอรายนี้ก็ได้รับการรับรองในวันเดียวกัน

โดย แวนซ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ไม่นานหลังจากได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่า "ถ้าทรัมป์คืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีตามหลังศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน นโยบายของเขาที่มีต่อยูเครน จะเป็นนโยบายที่เรียบง่ายมาก ๆ"

"รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครน ถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แม้กระทั่งสหายจากพรรคเดโมแครตของผมจำนวนมากก็เห็นด้วยอย่างลับ ๆ กับเรื่องดังกล่าว" เขาบอก

เป็นอีกครั้งที่ แวนซ์ กล่าวหารัฐบาลของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ว่าปราศจากนโยบายที่สมเหตุสมผลในความขัดแย้งนี้ "ตอนนี้เราใช้เงินไปแล้ว 200,000 ล้านดอลลาร์ (ในความช่วยเหลือยูเครน) แล้วเป้าหมายคืออะไร? อะไรคือสิ่งที่เราพยายามประสบความสำเร็จ? มีความเสี่ยงลุกลามบานปลายสู่สงครามนิวเคลียร์ใช่หรือไม่? นั่นเป็นเพราะคุณมีตัวตลกดูแลนโยบายต่างประเทศใช่หรือเปล่า ตอนนี้เรามีคนแบบนั้นมากมายเลยในวอชิงตัน ดี.ซี."

"ผมคิดว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์สัญญาว่าจะทำในเรื่องนี้ก็คือ เจรจากับรัสเซียและยูเครน และนำเรื่องนี้สู่จุดจบอย่างรวดเร็ว เพื่อที่อเมริกาจะได้ไปโฟกัสในประเด็นจริงจัง ซึ่งก็คือจีน ที่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุด" แวนซ์เน้นย้ำ

นับตั้งแต่การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนปะทุขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ทรัมป์กล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นหากว่าเขาได้ดำรงตำแหน่งอีกสมัยในปี 2020 นอกจากนี้ เขายังให้สัญญาว่าจะคลี่คลายวิกฤตนี้ภายใน 24 ชั่วโมง หากได้กลับสู่ทำเนียบขาว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน บอกก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นเดือนว่า มอสโกค่อนข้างจริงจังกับคำพูดของทรัมป์ "แน่นอน ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร โดยเฉพาะกับข้อเสนอของเขา (ในการยุติความขัดแย้ง) และแนวทางที่แผนของเขาจะบรรลุผล แต่ผมไม่สงสัยเลยเกี่ยวกับความจริงใจของเขา และเรารู้สึกยินดี"

ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน วลาดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เรียกร้องให้ ทรัมป์ เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนสันติภาพของเขา "ผมอยากรู้ว่าอะไรที่หมายถึงการปิดฉากสงครามอย่างรวดเร็ว" เขาบอกกับบลูมเบิร์ก "ถ้าเขารู้วิธียุติสงครามนี้ เขาควรบอกเราตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้ามีความเสี่ยงใด ๆ ต่อความเป็นเอกราชของยูเครน และมีความเสี่ยงใด ๆ ที่เราจะสูญเสียความเป็นรัฐของเรา เราต้องการเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนี้"

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวโพลิติโก สื่อมวลชนสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ว่าการที่ทรัมป์เลือกแวนซ์ ผู้ซึ่งคัดค้านอย่างแข็งกร้าวต่อการที่วอชิงตันมอบความช่วยเหลือแก่เคียฟ ถือเป็นหายนะสำหรับยูเครน

‘เยอรมนี’ เล็งลดงบช่วยเหลือทางทหาร ‘ยูเครน’ ครึ่งหนึ่ง ขีดเส้น ปี 68 ท่ามกลางแนวโน้ม 'ทรัมป์' หวนเก้าอี้สมัย 2

(18 ก.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป วางแผนที่จะปรับลดการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนลงครึ่งหนึ่งในปีหน้า ท่ามกลางความวิตกกังวลในขณะนี้ว่าความสนับสนุนของสหรัฐต่อยูเครนอาจลดลง หากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้

ตามร่างงบประมาณประจำปี 2025 ของเยอรมนีที่รอยเตอร์เห็น เยอรมนีได้ปรับลดประมาณช่วยเหลือยูเครนลงเหลือ 4,000 ล้านยูโรในปี 2025 จากที่ให้อยู่ราว 8,000 ล้านยูโรในปี 2024

เยอรมนีหวังว่ายูเครนจะสามารถจัดหาความต้องการทางทหารส่วนใหญ่ได้จากเงินกู้ยืมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ที่ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือ จี7 อนุมัติให้นำมาใช้จากสิ้นทรัพย์ของรัสเซียที่ถูกยึดเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เงินอุดหนุนเพื่อนำไปใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อาจไม่ถูกนำไปใช้อย่างเต็มที่

ด้าน คริสเตียน ลินด์เนอร์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนี กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า การจัดหาเงินทุนให้กับยูเครนสำหรับอนาคตอันใกล้ถือได้ว่ามีความมั่นคงแล้ว ซึ่งต้องขอบคุณการดำเนินการของชาติในยุโรปและเงินกู้จากจี7

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้นำอียูเห็นพ้องกับแนวคิดในการจัดเงินกู้ยืมดังกล่าวให้กับยูเครน เพราะมองว่ามันจะทำให้โอกาสที่ยูเครนจะขาดเงินสนับสนุนในการทำสงครามกับรัสเซียลดน้อยลง หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง

ความหวั่นวิตกเกี่ยวกับท่าทีและจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐในอนาคต ถูกปลุกให้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศให้นายเจดี แวนซ์ ซึ่งมีจุดยืนคัดค้านการให้ความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐต่อยูเครน พร้อมกับเตือนยุโรปว่าควรจะต้องพึ่งพาสหรัฐน้อยลงในการปกป้องภูมิภาคของตน

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้!! โลกตกอยู่ในอันตราย หลัง ‘ปูติน’ โต้ ‘ยูเครน’ เหตุโดนทหารบุกแคว้นคูสค์ จนต้องอพยพประชาชนเกือบแสนคน

(13 ส.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง โลกตกอยู่ในอันตราย มีรายละเอียดดังนี้

“เมื่อวานนี้ ปูตินแถลงหลังจากการประชุมฝ่ายความมั่นคง เพื่อประเมินสถานการณ์ที่ยูเครนส่งทหารบุกเข้าไปในแคว้นคูสค์ของ 10 กิโลเมตร รัสเซียต้องอพยพคนออกจากพื้นที่สู้รบเกือบแสนคน เพื่อลดการสูญเสีย ถูกกระตุกหนวดเสือ

ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้เผยแพร่ภาพหอหล่อเย็นของ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองซาโปโรซี Zaporozhye ที่ได้รับความเสียหายไฟไหม้จากการโจมตีของฝ่ายยูเครน หากจัดการไม่ได้อาจเกิดโศกนาฏกรรมแบบ เชอโนบิล

ปูตินประกาศ ว่า

1.ยกเลิกการเจรจาเพื่อแสวงหาสันติภาพทั้งหมด
2.นาโตต้องการทำสงครามโลกครั้งที่สามกับรัสเซีย
3.ให้ทำลายยูเครนด้วยทหารและอาวุธ

รอติดตามว่า รัสเซียจะตอบโต้หนักหน่วงเพียงใด และการสู้รบจะลุกลามขยายตัวเพียงใด”

‘รัสเซีย’ ปักธงชัยเหนือ ‘เมืองวูห์เลดาร์’ ยึดฐานที่มั่นแหล่งพลังงานสำคัญ ‘ยูเครน’

(3 ต.ค. 67) ยูเครน เกินต้าน ยอมถอนกำลังออกจากวูห์เลดาร์ เมืองสำคัญทางตะวันออกในแคว้นโดเนตสค์ให้แก่กองทัพรัสเซียแล้วเมื่อวันพุธ (1 ต.ค 67) ที่ผ่านมา หลังจากที่สู้รบกันมานานหลายเดือน 

สื่อตะวันตกได้ยืนยันชัยชนะของรัสเซียเหนือเมืองวูห์เลดาร์ ด้วยภาพของกองกำลังรัสเซียที่ปักธงชาติบนยอดเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของเมืองที่เคยเป็นแหล่งเหมืองถ่านหิน และเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทางภาคตะวันออกของยูเครน 

แต่เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการสู้รบเพื่อชิงเมืองของทั้งสองฝ่ายนานกว่า 2 ปี จนตอนนี้ ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแต่เศษซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน และในที่สุดเมืองนี้ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 

ด้านกองทัพยูเครนออกมาแถลง ยอมรับความพ่ายแพ้ และประกาศถอนกำลังออกจากพื้นที่เมืองวูห์เลดาร์ เพื่อรักษาชีวิตทหาร และยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น

เมืองวูห์เลดาร์ ตั้งอยู่ในโดเนตสค์ แคว้นที่รัสเซียประกาศผนวกดินแดนไปเป็นของตนในปี 2022 แม้จะยังไม่ได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นเลยก็ตาม ซึ่งวูห์เลดาร์ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่พยายามต่อต้านการยึดครองของรัสเซียมาตลอด และกลายเป็นสนามรบที่มีการเผชิญหน้าปะทะกันหนักที่สุดจุดหนึ่งของทั้ง 2 ฝ่าย 

ความพิเศษของเมืองนี้ นอกจากจะเป็นเหมืองถ่านหิน แหล่งพลังงานที่สำคัญแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ มีเส้นทางรถไฟสู่ไครเมีย และภูมิภาคดองบาสทั้งหมด ที่ประกอบด้วยโดเนตสค์ และ ลูฮันสค์ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกรัสเซียผนวกดินแดนไปแล้ว

ดังนั้น การยึดครองเมืองวูห์เลดาร์ได้ จึงเป็นก้าวสำคัญของรัสเซียในมุ่งหน้าสู่การครอบครองแคว้นโดเนตสค์ในส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้ออย่างสาหัสเช่นกัน

แน่นอนว่า ความพ่ายแพ้ในวูห์เลดาร์สะเทือนกองทัพยูเครนไม่น้อย หลังจากที่เคยได้เอาคืนรัสเซียด้วยการบุกยึดพื้นที่ในเมืองคูสค์ ดินแดนของรัสเซียได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน ที่ทำให้โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนกล้าที่จะเดินหน้าขอใช้ขีปนาวุธของพันธมิตรตะวันตกโจมตีดินแดนรัสเซีย

แต่เมื่อวูห์เลดาร์ถูกตีแตกโดยรัสเซีย ทำให้ฝ่ายยูเครนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกครั้ง และต้องรวบรวมสรรพกำลังลงมาป้องกันไม่ให้กองทัพรัสเซียขยายเขตยึดครองรุกคืบเข้ามาทางด้านตะวันตกมากขึ้น และยังต้องรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ในวันที่ยูเครนได้สูญเสียเมืองสำคัญที่เป็นแหล่งผลิตถ่านหินให้แก่รัสเซียไปแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเลยสิ่งที่เซเลนสกี้เคยกล่าวผ่านสื่อสหรัฐฯ ว่า สงครามในยูเครนนั้นใกล้จบแล้ว สันติสุขจะกลับคืนสู่ยูเครนในไม่ช้า และสิ่งที่กองทัพยูเครนต้องเผชิญต่อจากนี้ อาจหนักกว่าที่คิด 

‘สหรัฐ’ ออกจดหมายเปิดผนึกขู่ ‘เกาหลีเหนือ’ หลังข่าวกรองแจ้งอาจแอบส่งทหารช่วย ‘รัสเซีย’

(22 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘หรรสาระ By Jeans Aroonrat’ ได้โพสต์ถึงสถานการณ์การรบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่อาจจะมีการส่งทหารจากเกาหลีเหนือเข้าไปเพิ่มเติม ความว่า 

หลังจากที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนได้ออกมาโวยวายหนักว่าพบทหารเกาหลีเหนือ แฝงตัวอยู่ในกองทัพรัสเซียนับหมื่นนาย ที่สอดคล้องกับรายงานของหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ที่ยืนยันว่า รัฐบาลคิม จอง-อุน ได้ส่งหน่วยรบพิเศษเฟสแรกกว่า 1,200 นายไปฝึกรบที่รัสเซียเรียบร้อยแล้ว 

และมีการประเมินคร่าวๆว่า เกาหลีเหนือเตรียมที่จะส่งทหารไปเสริมให้กองทัพรัสเซียในเฟสต่อๆไป ไม่น้อยกว่า 10,000 นาย อีกทั้งยังมีคลิปวิดีโอ ที่มีการตั้งแถวแจกเครื่องแบบทหารรัสเซียให้กับกองทหารจากเกาหลีเหนือผ่านสื่อท้องถิ่นอีกด้วย

สายเกาหลีใต้ยังรายงานอีกด้วยว่า ตอนนี้มีทหารเกาหลีเหนือ ซ้อมรบปะปนอยู่ในค่ายทหารรัสเซียหลายแห่งในเมืองทางภาคตะวันออกไกล อาทิ วลาดีวอสตอค, อัสซูริสค์, คาบารอฟสค์ และ บลาโกเวชเชนสค์ พร้อมออกปฏิบัติการรบด่านหน้าเมื่อใดก็ได้

นอกจากนี้ยังมีการออกบัตรประจำตัวปลอมให้กับทหารเกาหลีเหนือ เพื่อจะใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า พลทหารหน้าตาโอ้ปป้าแดนเหนือเหล่านี้ เป็นพลเมืองรัสเซียของแทร่ ไม่ใช่ทหารต่างด้าวของสหายคิม

เมื่อมีคนมาฟ้องเข้าหู พร้อมแจงหลักฐานประกอบ ก็ร้อนถึงทำเนียบขาว ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของ NATO ที่จะอยู่เฉยไม่ได้ คณะกรรมาธิการสำนักหน่วยข่าวกรองจึงร่างจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่ออกสื่อถึง โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เพื่อรายงานข้อมูลทหารเกาหลีเหนือในรัสเซีย ที่ได้รับเรื่องจาก เซเลนสกี้ และสายลับเกาหลีใต้ให้รับทราบทั่วกัน 

เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐ และพันธมิตร NATO เตรียมรับมือกับการสนับสนุนด้านกำลังทหารของเกาหลีเหนือโดยทันที หากข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองของทั้ง 2 ชาติที่รายงานมาเป็นความจริง

และเมื่อใดก็ตามที่พบว่า มีทหารเกาหลีเหนือใช้อาวุธโจมตียูเครนจากพรมแดนรัสเซีย หรือบุกรุกข้ามฝั่งมายังยูเครน จะถือว่าเป็นการล้ำเส้น ที่สหรัฐอเมริกา และ NATO จะต้องตอบโต้เพื่อยับยั้งการขยายวงของสงครามที่จะรุนแรง บานปลายมากขึ้น 

แต่ทั้งนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว แต่เนื้อหาเหมือนการส่งสารเตือนไปยังเกาหลีเหนือ จะได้รับการตอบสนองจากบ้านคิมหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างมีการวางแผนไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ที่วลาดิมีร์ ปูติน มาเยือนเกาหลีเหนือเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน ก็มีข่าวทั้งการส่งอาวุธ และ ทหารพร้อมรบจากเกาหลีเหนือไปรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

รวมถึงความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือ-ใต้ การขู่โจมตีกันด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ หรือการส่งโดรนรุกล้ำชายแดน และวันนี้เกาหลีใต้ได้ออกมาแฉ แผนการส่งทหารเกาหลีเหนือไปยังรัสเซียอย่างละเอียด ที่แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งของสงครามยูเครน ได้ขยายวงมายังเอเชียเรียบร้อยแล้ว

หลายฝ่ายจึงหวั่นเกรงว่า การส่งทหารเกาหลีเหนือไปรัสเซีย อาจเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่สงครามใหญ่ ที่ใกล้เคียงกับสงครามโลกได้เหมือนกัน ยกเว้นว่าหากมีทหารโอ้ปป้าโสมแดงถูกจับ จะพูดภาษารัสเซียได้ ร้องเพลงชาติรัสเซียเป็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ยูเครน ช็อก!! นักบินเสียชีวิต หลัง F-16 ลำแรกถูกสอยร่วง อ้างไม่เกี่ยวโดนรัสเซียยิง แต่เครื่องยนต์พังจากเศษอาวุธ

เมื่อ F-16 ของยูเครน...ถูกรัสเซียยิงตก

นับแต่การสู้รบในปฏิบัติการพิเศษทางทหารของสหพันธรัฐรัสเซียกับสาธารณรัฐยูเครนเกิดขึ้นมานานกว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นสงครามระหว่างกองทัพของสหพันธรัฐรัสเซียและกองทัพของสาธารณรัฐยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรรวมถึงชาติสมาชิกองค์การ NATO จึงทำให้กองทัพของสาธารณรัฐยูเครนสามารถคงสภาพการรบอยู่ได้จนทุกวันนี้

อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรสมาชิกองค์การ NATO นั้นมากมายมหาศาลตั้งแต่อาวุธเบาเช่นปืนเล็กยาว ปืนกล ขีปนาวุธนานาชนิด ปืนใหญ่ รถถัง รถหุ้มเกราะ สารพัดชนิดกระทั่งเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 (จนอาวุธยุทโธปกรณ์ในคลังสำรองของประเทศเหล่านั้นแทบจะหมดเกลี้ยง) ตามข้อมูลในสื่อนานาชาติ ยูเครนจะได้รับ F-16 รวม 111 ลำ (แต่สื่อบางแหล่งระบุว่า 79 ลำ) โดยมาจากเบลเยียม 30 ลำ เดนมาร์ก    19 ลำ เนเธอร์แลนด์ 24 ลำ นอร์เวย์ 6 ลำ และกรีซ 32 ลำ โดยเครื่องบินเหล่านี้บางส่วนจะถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงตามความจำเป็นก่อนจะส่งต่อไปให้กับยูเครน โดยสหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการฝึกนักบิน F-16 ของยูเครนในสหรัฐฯ และมีการฝึกนักบินและเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง F-16 ของยูเครนในเดนมาร์กและโรมาเนีย เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ทั้งหมดที่ เดนมาร์ก กรีซ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และเบลเยียม มอบกับให้ยูเครนจะเป็นรุ่น F-16AM (ที่นั่งเดี่ยว) / F-16BM (ที่นั่งคู่) Block 15 Mid-Life Update (MLU) รุ่นเหล่านี้คล้ายคลึงกับ F-16C/D Block 30/50/52 

ณ เดือนสิงหาคม 2024 ยูเครนได้รับเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 จำนวน 10 ลำ และนักบินยูเครน 6 คนได้ผ่านการฝึกอบรมการบิน F-16 แล้ว ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2024 ยูเครนจะมีเครื่องบิน F-16 จำนวน 20 ลำ เครื่องบินที่เหลือจะถูกทยอยส่งมอบให้กับยูเครนเป็นชุด ๆ ตลอดปี 2025 นอกจากนั้นแล้ว 6 มิถุนายน 2024 ตามรายงานของ Le Figaro ประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron ได้ประกาศการโอนเครื่องบินรบ Mirage 2000-5F จำนวนหนึ่งให้กับยูเครนอีกด้วย

นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish)

ต้นเดือนสิงหาคม 2024 เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ลำแรกเดินทางมาถึงยูเครน ทำให้ชาวยูเครนรู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมา แต่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาความรู้สึกดังกล่าวในหมู่ชาวยูเครนกลายเป็นความตกตะลึงเข้ามาแทนที่เมื่อต้องสูญเสีย F-16 ไปหนึ่งลำพร้อมกับชีวิตของนักบิน เมื่อ นาวาอากาศโท Aleksey (Oleksiy) Sergeevich Mes (นามเรียกขาน Moonfish) นักบิน F-16 คนแรกของยูเครนถูกยิงตกในบริเวณจัตุรัสกลางเมืองเชเปตีฟกา แคว้นคเมลนิตสกีของยูเครน ขณะปฏิบัติการต่อต้านการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกองทัพรัสเซียต่อยูเครน

Volodymyr Zelenskyy ประธานาธิบดียูเครน กับ Mette Frederiksen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก
 บนเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ที่จะมอบให้ยูเครน

โดยยูเครนอ้างว่า ก่อนถูกยิงตก ผู้ฝูง Moonfish สามารถสกัดขีปนาวุธได้ 3 ลูก และโดรนอีก 1 ลำ ก่อนที่จะถูกยิงตก โดยนักบินผู้นี้เคยเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อพบปะกับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ สำหรับภารกิจขอรับการสนับสนุนให้พวกเขาส่ง F-16 ไปช่วยยูเครน ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวถูกปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับรัฐบาลยูเครน เพราะการที่ F-16 ตกในเวลาไม่นานหลังจากได้รับเครื่องบินลำดังกล่าว หมายความว่า ปัญหาดังกล่าว "มีความละเอียดอ่อนมากเป็นสองเท่า หรืออาจจะมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ทั้งไม่มีใครออกมาแถลงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการเลย"

เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ของยูเครน

ทั้งนี้ฟากฝั่งยูเครนพยายามให้ข่าวว่า ผู้ฝูง Moonfish ถูกยิงตก อันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดของหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศแบบ Patriot หรือ F-16 บินผ่านกลุ่มเศษซากที่เกิดจากการสกัดกั้นและทำลายขีปนาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ แต่เศษซากของขีปนาวุธที่ถูกทำลายเหล่านี้อาจทำให้เครื่องยนต์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเครื่องบินได้รับความเสียหาย จนทำให้ F-16 ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ทำให้นักบินเสียชีวิตก่อนที่จะดีดตัวออกจากเครื่องบินได้ โดยวันดังกล่าว กองกำลังของรัสเซียยิงขีปนาวุธและโดรนจำนวนมากไปทั่วประเทศยูเครน ซึ่งกองทัพอากาศยูเครนบอกว่า ส่วนใหญ่ถูกสกัดเอาไว้ได้ โดย ในแถลงการณ์ระบุว่า กองกำลังรัสเซียยิงขีปนาวุธ 5 ลูกและโดรน Shahed 74 ลำไปที่เป้าหมายในยูเครน ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสามารถหยุดขีปนาวุธ 2 ลูกและโดรน 60 ลำได้ และคาดว่าโดรนอีก 14 ลำตกลงมาก่อนที่จะถึงเป้าหมาย

ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง Buk-M3 ของรัสเซีย

แต่กองทัพรัสเซียระบุว่า F-16 ถูกยิงตกด้วยระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะกลาง (Viking) Buk-M3 ของรัสเซีย ด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบนี้ในปัจจุบันเป็นวิธีการปฏิบัติมาตรฐานในการป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพรัสเซีย มีระยะการตรวจจับเป้าหมายสูงถึง 120 กม. ในภาค 90° สถานีตรวจจับเป้าหมาย (STS) “มองเห็น” ที่ 200 กม. เมื่อใช้สถานีเรดาร์สแตนด์บายภาคพื้นดิน 1L119 ส่วนระบบป้องกันทางอากาศระยะกลาง จะมีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายที่อยู่หลังแนวข้าศึกได้ลึกถึง 360 กม. ทำให้สามารถทำลายการโจมตีทางอากาศและการลาดตระเวนของกองทัพอากาศยูเครนในภาพรวมทั้งหมด ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการพิเศษทางทหารตั้งแต่วันแรกของการรบ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ Buk-M3 (พัฒนาโดยสถาบันวิจัยวิศวกรรมเครื่องมือ V.V. Tikhomirov) ดำเนินการโดยโรงงานเครื่องจักรกล Ulyanovsk ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท Almaz-Antey วิสาหกิจของรัฐบาลรัสเซีย โดย Buk-M3 สามารถทำลายเครื่องบิน 3 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ และขีปนาวุธปฏิบัติการทางยุทธวิธีแบบ Tochka -U, UAV แบบ Bayraktar TB2 และขีปนาวุธ HIMARS MLRS อีกเป็นจำนวนมาก"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top