Friday, 6 June 2025
ยูเครน

‘ยูเครน’ เตือน!! ‘โอลิมปิก ปารีส 2024’ เตรียมถูกแบน หากไฟเขียวให้ ‘รัสเซีย-เบลารุส’ ร่วมลงแข่งขันได้

‘เดนีส ชมีฮัล’ นายกรัฐมนตรี ยูเครน เตือน โอลิมปิก ปารีส 2024 จะถูกแบนจาก 35 ประเทศทั่วโลก หาก ‘รัสเซีย และเบลารุส’ ได้รับไฟเขียวให้ลงแข่งขันได้

(15 ส.ค. 66) ‘รัสเซีย-เบลารุส’ ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) แบนต่อเนื่องหลังก่อสงครามรุกราน ยูเครน แต่ระยะหลังดูเหมือนเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการลง และ มีโอกาสที่รัสเซีย และเบลารุส จะได้แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ ภายใต้ธงเป็นกลาง โดยทั้งสองชาติจะได้แข่งขันใน เอเชียนเกมส์ ที่หางโจว เพื่อทำคะแนนสะสมสำหรับควอลิฟาย โอลิมปิกด้วย

ล่าสุด ยูเครน ระบุว่า รัฐบาลได้ทำหนังสือเรียกร้องและขอความร่วมมือจากนานาประเทศทั่วโลกให้ร่วมกันแบนรัสเซีย–เบลารุสต่อไป โดย เดนีส ระบุว่า “ยูเครนมีความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศที่ทรงพลัง เพื่อให้กีฬาได้รับความยุติธรรม รวมกว่า 35 รัฐ เราพร้อมจะบอยคอตต์การแข่งขันโอลิมปิก หากรัสเซีย และเบลารุส ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมได้”

ขณะที่ ‘อเล็กซี โมโรซอฟ’ รัฐมนตรีกีฬาของรัสเซีย ระบุว่า รัฐบาลรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียนักกีฬารัสเซียไปแล้ว 67 คน ที่เลือกจะโอนสัญชาติไปเล่นให้ประเทศอื่น หลังเกิดสงครามนับตั้งแต่ปี 2022

โดยนักกีฬาที่แข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ 2020 จำนวน 47 คน และ นักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 8 คน รวมทั้ง นักกีฬาอื่นๆอีก 12 คน ได้สละสัญชาติรัสเซียไป เนื่องจากประเทศถูกสหพันธ์กีฬานานาชาติห้ามเข้าร่วมการแข่งขัน อาทิ อนาสตาเซีย เคอร์ปิชนิโกว่า นักกีฬาว่ายน้ำแชมป์ยุโรป ย้ายไปเล่นให้ฝรั่งเศส และ ฮานนา ปรากัตเซ่น เหรียญเงินเรือพายเหรียญเงินโอลิมปิก ย้ายไปเล่นให้ อุซเบกิสถาน

‘อดีตผู้ช่วยปธน.’ เตือน!! ‘เซเลนสกี’ เป็นตัวอันตรายสำหรับยูเครน ศักยภาพความเป็นผู้นำที่ไม่เพียงพอ อาจก่อหายนะระดับประเทศได้

(21 ส.ค. 66) ศักยภาพความเป็นผู้นำที่ไม่เพียงพอของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ก่อหายนะระดับประเทศแก่ยูเครน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรหาทางลงโทษเขา จากความเห็นของโอเล็ก โซสกิน ผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยของประธานาธิบดียูเครนมาแล้ว 2 คน

เขากล่าวในวิดีโอที่โพสต์ลงบนช่องยูทูบของตนเองเมื่อวันเสาร์ (19 ส.ค.) ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศถูกทำลายท่ามกลางความขัดแย้งกับรัสเซีย "กองกำลังยูเครนไม่สามารถฝ่าทะลวงแนวหน้าใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม" พร้อมบอกว่าประชาชนไม่ควรเชื่อคำพูดของบรรดานายพลปลดเกษียณทั้งหลายที่ออกมากล่าวอ้างว่ากองทัพเคียฟกำลังรุกคืบ

โซสกิน กล่าวต่อว่า เซเลนสกี ยืนยันว่ายูเครนจะเอาชนะรัสเซีย และเขาลังเลที่จะยอมรับว่าสถานการณ์ที่แท้จริงคือสัญญาณบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีรายนี้ ไม่มีความสามารถเพียงพอทั้งในฐานะผู้บริหารจัดการและในฐานะบุคคลหนึ่งๆ

"เซเลนสกี เป็นอันตรายสำหรับประเทศ เขาเป็นอันตรายสำหรับประชาชน" โซสกินกล่าวเตือน โดยเขาเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยของประธานาธิบดีลีโอนิด คราฟชุค ในปี 1992 ถึง 1993 และผู้ช่วยของประธานาธิบดีลีโอนิด คุชมา ระหว่างปี 1998 ถึง 2000

"ควรทำอะไรบางอย่างกับเซเลนสกี ผมขอเรียกร้องสำหรับสิ่งนี้อีกครั้ง รวมตัวกัน ใครบางคนจำเป็นต้องริเริ่ม จำเป็นต้องวางเงื่อนไขบางประการแก่ประธานาธิบดี" โซสกินยืนยัน อ้างถึงบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยูเครน

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้ว เซเลนสกีอ้างว่าคณะทำงานของเขา "กำลังเตรียมการสิ่งต่างๆ ที่ทรงพลังสำหรับยูเครน" ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตระวันตก โดยบอกว่ายูเครนได้ก้าวย่างอีกขั้นในการมุ่งหน้าสู่วงจรของบรรดารัฐที่เข้มแข็งที่สุดในโลก

ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ที่ได้รับคาดหวังไว้อย่างสูงของยูเครนได้เริ่มขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยเคียฟใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างดีที่สุดที่ตะวันตกจัดหาให้ เช่นเดียวกับกำลังพลที่ได้รับการฝึกฝนจากตะวันตก ในความพยายามตัดขาดสะพานเชื่อมต่อทางบกของรัสเซีย ระหว่างภูมิภาคดอนบาสกับแหลมไครเมีย

จากคำกล่าวอ้างของรัสเซีย ยูเครนสูญเสียกำลังพลไปมากกว่า 43,000 นาย และอาวุธยุทโธปกรณ์เกือบ 5,000 ชิ้น ระหว่างปฏิบัติการดังกล่าว แต่ล้มเหลวบรรลุเป้าหมายของการรุกคืบใดๆ จนถึงตอนนี้ยูเครนรายงานว่าสามารถยึดหมู่บ้านมาได้หลายแห่ง แต่ดูเหมือนยังคงอยู่ห่างจากแนวป้องกันหลักของยูเครนพอสมควร

ในช่วงกลางสัปดาห์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างรายงานข่าวกรองชั้นความลับของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนจะประสบความล้มเหลวไปไม่ถึงเมืองมาลิโตโพล ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และสะพานทางบกที่เชื่อมรัสเซียกับแหลมไครเมีย จะไม่สามารถถูกตัดขาดได้ในปีนี้

‘เซเลนสกี’ สั่งเด้ง ‘บิ๊กกลาโหม’ หลังถูกแฉปมคอร์รัปชัน ชี้!! ถึงเวลาต้องปรับโฉม ‘กลาโหม-กองทัพ’ ใหม่ทั้งระบบ

(4 ก.ย. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเผยเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า เขาได้ปลดนายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม พ้นจากตำแหน่งแล้ว โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหมยูเครนครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เริ่มทำสงครามกับประเทศรัสเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว

ประธานาธิบดีเซเลนสกีกล่าวในวิดีโอเมื่อช่วงค่ำว่า “ผมได้ตัดสินใจที่จะปลดนายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งท่ามกลางการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบมานานกว่า 550 วัน ผมเชื่อว่ากระทรวงกลาโหมต้องการแนวทางใหม่ๆ และการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ กับทั้งกองทัพและสังคมโดยรวม”

นายเรซนิคอฟ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2021 และมีส่วนช่วยให้ยูเครนได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากชาติตะวันตก มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยทำสงครามกับรัสเซีย อาทิ รถถังจากประเทศเยอรมนี จรวดหลายลำกล้อง HIMARS และเตรียมที่จะได้รับเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 ที่ผลิตในสหรัฐฯ อีกด้วย

อย่างไรก็ดี กระทรวงกลาโหมของเขากลับถูกกล่าวหาว่ามีการคอร์รัปชัน และถูกสื่อท้องถิ่นของยูเครนกดดันอย่างหนักมาตั้งแต่เดือนมกราคม หลังมีข้อกล่าวหาว่าทางกระทรวงทำการจัดซื้อเสบียงในราคาสูงเกินจริง ถึงแม้ว่านายเรซนิคอฟจะไม่เกี่ยวพันกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง แต่นักวิจารณ์หลายคนให้ความเห็นว่าเขาควรแสดงความรับผิดชอบ และเมื่อเดือนที่ผ่านมา สื่อของยูเครนกล่าวหาว่า กระทรวงกลาโหมมีการคอร์รัปชันในเรื่องการจัดซื้อเสื้อกันหนาวให้กับกองทัพ ซึ่งตัวเขาออกมาแก้ต่างว่าเป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี

ทั้งนี้ เซเลนสกีระบุอีกว่า เขาจะขอให้รัฐสภาแต่งตั้งนายรุสเท็ม อูเมรอฟ ประธานกองทุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจสำคัญของยูเครน ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนใหม่ในสัปดาห์นี้ โดยประธานาธิบดีเซเลนสกีต้องส่งชื่อของนายอูเมรอฟให้กับรัฐสภา เพื่อพิจารณาก่อนมีการแต่งตั้ง

นายอูเมรอฟ ได้รับเสียงชื่นชมในประเทศยูเครน จากผลงานของเขาในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งควบคุมดูแลในเรื่องการแปรรูปกิจการของรัฐฯ ไปยังภาคเอกชน (privatisation) และพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าดำรงตำแหน่งประธานกองทุนแปรรูปรัฐวิสาหกิจของยูเครน

'อังกฤษ' เปิดฉาก!! กล่าวหารัสเซียยิงขีปนาวุธเป็นชุด  โจมตีเรือสินค้าในทะเลดำ พังธัญพืชหล่อเลี้ยงชีวิตชาวยูเครน

(12 ก.ย. 66) กองทัพรัสเซียเล็งเป้าหมายโจมตีเรือสินค้าพลเรือนลำหนึ่งในทะเลดำ ด้วย ‘ขีปนาวุธหลายลูก’ เมื่อเดือนที่แล้ว แต่กองกำลังยูเครนประสบความสำเร็จในการยิงสกัด จากคำกล่าวหาเมื่อวันจันทร์ (11 ก.ย.) ของสหราชอาณาจักรที่อ้างข้อมูลข่าวกรอง

จากคำกล่าวอ้างของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ระบุว่าเรือลำหนึ่งในกองเรือทะเลดำของรัสเซีย ยิงขีปนาวุธหลายลูก ในนั้นรวมถึงขีปนาวุธร่อนคาลิเบอร์ มุ่งหน้าสู่โอเดสซา เมืองท่าทางใต้ของยูเครน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม

กระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาของสหราชอาณาจักร (Foreign, Commonwealth & Development Office - FCDO) ระบุว่าข้อมูลข่าวกรองชั้นไม่เป็นความลับ เผยว่าเป้าหมายโดยเจตนาของการโจมตีดังกล่าวคือเรือสินค้าประดับธงลิเบียลำหนึ่ง ซึ่งเทียบท่าอยู่ที่นั่น

นอกจากนี้แล้วกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาของสหราชอาณาจักร ยังบอกอีกว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสามารถทลายการโจมตีที่มุ่งเป้าเล่นงานเรือพลเรือน โดยที่ไม่มีขีปนาวุธคาลิเบอร์ใดๆ ที่พุ่งโดนเป้าหมาย "แม้ประสบความล้มเหลว แต่มันพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า รัสเซียยังคงพยายามบีบรัดเศรษฐกิจของยูเครน" FCDO กล่าวในถ้อยแถลง

ในถ้อยแถลงยังกล่าวหาด้วยว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่แยแสต่อชีวิตพลเรือน และพยายามใช้อาหารและการค้าอันบริสุทธิ์เป็นอาวุธ ที่ทั่วทั้งโลกต้องเป็นฝ่ายชดใช้

ทะเลดำ กลายเป็นสมรภูมิที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้น หลังจากรัสเซียถอนตัวจากข้อตกลงส่งออกธัญพืชที่มีสหประชาชาติและตุรกีเป็นคนกลางเมื่อเดือนกรกฏาคม ในขณะที่ข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายรับประกันความปลอดภัยในการล่องเรือของเรือสินค้า

นับตั้งแต่นั้น มอสโกโจมตีโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือของยูเครนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในสิ่งที่เคียฟกล่าวหาว่าเป็นความพยายามก่อความเสียหายแก่การส่งออกของพวกเขา และบ่อนทำลายความมั่นคงทางอาหารโลก

ในการพาดพิงคำกล่าวหาเกี่ยวกับเหตุโจมตีเรือพลเรือนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ใช้โอกาสแถลงต่อรัฐสภา เกี่ยวกับการประชุมซัมมิตจี 20 เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่ามันแสดงให้เห็นว่า ปูติน กำลังจนตรอกอย่างหนัก

เขาบอกด้วยว่าการโจมตีของรัสเซียที่เล่นงานสถานที่ต่างๆ ของยูเครน ได้ทำลายธัญพืชไปมากกว่า 270,000 ตัน ซึ่งมันเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูประชาชน 1 ล้านคนเป็นเวลา 1 ปีเลยทีเดียว "ยูเครนมีสิทธ์ส่งออกสินค้าของพวกเขาผ่านน่านน้ำสากล และพวกเขามีสิทธิทางศีลธรรมที่จะส่งออกธัญพืชไปช่วยหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก" ซูแน็ก กล่าว

‘เซเลนสกี’ เตรียมพบ ‘โจ ไบเดน’ ขอความช่วยเหลือต่อสู้กับรัสเซีย  เชื่อ!! สหรัฐฯ หนุนต่อ แม้เสียงคัดค้านจาก ‘รีพับลิกัน’ เริ่มหนาหู

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66 ที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 78 ที่นครนิวยอร์ก เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน และเข้าประชุมร่วมกับรัฐสภาสหรัฐฯ

ด้าน นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครนในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤต และประธานาธิบดีไบเดน ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนยูเครน ซึ่งกำลังปกป้องเอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งดินแดน จากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน กำลังเผชิญกับการคัดค้านสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกัน ในการจัดส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ยูเครน อีก 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอีก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยูเครน

‘โปแลนด์’ ประกาศหยุดส่งอาวุธให้ยูเครน เหตุจากปมพิพาทเรื่องการค้าธัญพืช

(21 ก.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลโปแลนด์ตัดสินใจประกาศหยุดจัดส่งอาวุธให้แก่ยูเครนแล้ว สาเหตุเกิดจากปมข้อพิพาทเกี่ยวกับการค้าธัญพืช ทำให้โปแลนด์และยูเครนเริ่มเข้าสู่ความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งรัฐบาลโปแลนด์ไม่พอใจถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ที่กล่าวระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ว่า มีบางประเทศในยุโรปแสร้งทำเป็นสมานฉันท์กับยูเครน

‘เซเลนสกี’ เยือนวอชิงตันอีกรอบ ขอความช่วยเหลือเพิ่ม แม้ ‘ไบเดน’ หนุน แต่คองเกรสเอือมสงคราม รีพับลิกันเริ่มขวาง

(22 ก.ย. 66) ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำแห่งยูเครน เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพฤหัสบดี (21 ก.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อการเยือนเป็นครั้งที่ 2 ของเขาในช่วงเวลาทำสงครามกับรัสเซีย อย่างไรก็ดี นอกจากจะไม่ได้รับการต้อนรับดุจดังวีรบุรุษเหมือนหนที่แล้ว คราวนี้ผู้นำเคียฟยังต้องเผชิญบรรยากาศความเหนื่อยล้า จากสงครามของบรรดาสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ และความเสี่ยงที่แพ็กเกจความช่วยเหลือล็อตใหม่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกขัดขวาง

เซเลนสกีโพสต์ข้อความทางสื่อสังคมในตอนเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดี (21 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่า เขาและภรรยามาถึงวอชิงตัน ดี.ซี.แล้ว และระบบป้องกันภัยทางอากาศ คือหนึ่งในรายการที่มีลำดับความสำคัญสูงสุด ซึ่งเขาต้องการจะได้รับในเมืองหลวงของสหรัฐฯ แห่งนี้

ผู้นำยูเครนวัย 45 ปีผู้นี้ มีกำหนดพบปะเจรจากับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ทำเนียบขาว และจากนั้นจะไปเยือนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน)

ทว่านัดหมายที่สำคัญอย่างที่สุดของเขา น่าจะเป็นการพบหารือกับพวกผู้นำของพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครตในรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งแพ็กเกจความช่วยเหลือยูเครนฉบับใหม่มูลค่า 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่คณะบริหารของไบเดนได้เสนอเข้าไป มีความเสี่ยงที่จะถูกสกัดขัดขวาง

เซเลนสกีเพิ่งออกมาจากการร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชนในนครนิวยอร์ก ซึ่งเขาปราศรัยเรียกร้องให้โลกยืนหยัดสนับสนุนยูเครน ต่อสู้กับสิ่งที่เขากล่าวหาว่าเป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ของรัสเซีย

เขายังร้องขอชาวอเมริกันคงความสนับสนุนที่ให้แก่เคียฟต่อไป หลังจากที่วอชิงตันได้อัดฉีดเงินมากกว่า 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูปความช่วยเหลือทางทหารให้แก่ยูเครน นับตั้งแต่ถูกรัสเซียรุกรานในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 โดยที่เขากล่าวอ้างกับโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอังคาร (19 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่า “เรากำลังอยู่ตรงเส้นชัยแล้ว”

ทว่า ทริปเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของเขาหนนี้ จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากหนแรกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยครั้งนั้นเซเลนสกีบินไปอเมริกาแบบไม่มีการออกข่าวล่วงหน้า และได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษจากทั้งทำเนียบขาวและที่รัฐสภาสหรัฐฯ

แต่ในครั้งนี้ วอชิงตันอบอวลไปด้วยความสงสัยข้องใจมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับอนาคตการให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ โดยที่กลุ่มสมาชิกสายแข็งของรีพับลิกันประกาศว่า จะไม่ยกมือเห็นชอบมาตรการทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลต้องหยุดทำการชั่วคราว เพราะหมดงบประมาณ หรือที่เรียกกันว่า ‘ชัตดาวน์’ ถ้าหากมีการพ่วงความช่วยเหลือสำหรับยูเครนเข้าไปด้วย

แม้ว่าไบเดนยังคงให้สัญญาจะยืนหยัดเคียงข้างเคียฟไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยที่การรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งอีกสมัยในปีหน้าของเขา มีการวาดภาพเรื่องเขาสนับสนุนยูเครน ว่าเป็นการสาธิตถึงความเป็นผู้นำโลกของเขา

‘จอห์น เคอร์บี้’ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ แถลงว่า ไบเดนรอรับฟังสถานการณ์ในสนามรบจากเซเลนสกี ที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของยูเครนโดยตรง รวมทั้งจะหารือเกี่ยวกับสิ่งที่เซเลนสกีต้องการ และวิธีที่อเมริกาจะตอบสนองความต้องการเหล่านั้นต่อไปในอนาคต

สำหรับข่าวที่ว่า เซเลนสกีจะร้องขอขีปนาวุธทางยุทธวิธี ATACMS ซึ่งมีพิสัยทำการ 300 กิโลเมตร ไกลขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับขีปนาวุธอื่นๆ ที่ยูเครนได้รับอยู่ในปัจจุบัน เคอร์บี้บอกว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกปัดตกไป แต่ก็ยังไม่มีการตัดสินใจในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม เห็นกันดีเรื่องน่าหนักใจที่สุดของผู้นำยูเครน คือการโน้มน้าวรัฐสภาสหรัฐฯ ในเมื่อความหวังที่จะได้ความช่วยเหลือเพิ่มก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่งของยูเครน ถูกนำไปผูกโยงกับดรามาการต่อรองกันระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต

ไม่เพียงฝ่ายขวาจัดของรีพับลิกันในรัฐสภา แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า ถ้ารัฐบาลขืนผลักดันให้ผ่านงบช่วยเหลือเคียฟ ก็จะไม่ยอมตกลงเรื่องมาตรการหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ กระทั่งสมาชิกรีพับลิกันสายกลางก็แสดงความข้องใจมากขึ้น กับการยังคงช่วยเหลือยูเครนต่อไป

เป็นต้นว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร ‘เควิน แมคคาร์ธีย์’ ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า เขาคิดว่า คนอเมริกันอยากทราบว่ายูเครนมีแผนอย่างไร ที่จะทำให้ตัวเองรบชนะรัสเซีย

มี ส.ส.บางคนเห็นว่า น่าจะเอาเงินไปใช้ในการรักษาความปลอดภัยพรมแดนสหรัฐฯ มากกว่า ท่ามกลางความกังวลสงสัยที่การปฏิบัติการตอบโต้ของเคียฟมีความคืบหน้าน้อยมาก แถมยังมีข่าวการทุจริตหนักหน่วงในยูเครน จนเกิดคำถามว่า “หรือความช่วยเหลือที่ทุ่มเทให้ไปจะสูญเปล่า?”

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นตัวเก็งของรีพับลิกันท้าชิงทำเนียบขาวจากไบเดนในปีหน้า บอกว่า ควรเอาเงินที่จะให้ยูเครนมาใช้กับกิจการในประเทศมากกว่า ซ้ำทำนายว่า ที่สุดแล้วชัยชนะจะเป็นของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำแห่งรัสเซีย

‘สภาแคนาดา’ ปรบมืออวยทหารผ่านศึกยูเครนวัย 98 แต่หน้าแตก!! เพราะเขาดันเป็นทหารนาซีมาก่อน

ความผิดพลาด จากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สามารถเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ในโลก แต่ถ้าเกิดขึ้นกลางสภาผู้ทรงเกียรติ ต่อหน้าผู้นำประเทศ แขกบ้าน แขกเมือง และสื่อมวลชนที่กำลังนำเสนอข่าวไปทั่วโลก นั่นอาจไม่ใช่แค่ความผิดพลาด แต่เป็นความหายนะ ที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้เลย

ดังเช่นเหตุการณ์กลางรัฐสภาแคนาดา เมื่อวันศุกร์ (22 กันยายน 66) ที่ผ่านมา เมื่อคณะรัฐบาลของนาย จัสติน ทรูโดว์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาได้เชิญ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนมากล่าวปราศรัยในสภาสามัญ เพื่อขอเสียงสนับสนุนและทุนช่วยเหลือให้แก่กองทัพยูเครนในการต่อสู้กับรัสเซีย 

หลังจากที่เซเลนสกีกล่าวจบ นายแอนโธนี โรตา ประธานสภาก็ได้กล่าวแนะนำให้รู้จักกับ ยาโรสลาฟ ฮันกา อดีตทหารผ่านศึกชาวยูเครน ที่วันนี้มีอายุถึง 98 ปีแล้ว และเคยสังกัด The First Ukrainian Division แห่งกองทัพยูเครนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก่อน 

โดยประธานสภาแคนาดาได้สรรเสริญ ยาโรสลาฟ ฮันกา ว่าเขาเป็นดังฮีโร่ของชาวยูเครน และ ฮีโร่ของชาวแคนาดาเช่นกัน และขอให้ชาวสภาขอบคุณในการอุทิศตนอย่างกล้าหาญเพื่อชาติของเขาด้วย 

หลังกล่าวจบ บรรดาสมาชิกสภาทั้งหมด ลุกขึ้นยืน ปรบมือเป็นเกียรติให้แก่ ทหารเฒ่า ยาโรสลาฟ ฮันกา อยู่นาน กว่าจะมีการตรวจเช็คข้อมูล และพบความจริงอีกด้านว่า กองทหารที่นายฮันกาสังกัดนั้น เป็นหน่วยรบของฝ่ายอักษะ นาซีเยอรมันต่างหาก ไม่ใช่ทหารของฝ่ายสัมพันธมิตร 

จากข้อมูลในประวัติศาสตร์ แม้ชาวยูเครนนับล้านคนจะถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบกับกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จริง แต่กลับมีเขตพื้นที่เมืองหนึ่งที่ชื่อว่า ‘กาลิเซีย’ ปัจจุบันคือดินแดนคาบเกี่ยวระหว่างประเทศโปแลนด์ และ ยูเครน ซึ่งชาวยูเครนในเมืองนี้นับหมื่นคนตั้งกองกำลังทหารอาสา เข้าร่วมรบให้กับฝ่ายนาซีเยอรมัน และรู้จักภายใต้ชื่อหน่วย 14th Waffen-SS Grenadier Division  หรือเรียกสั้นๆว่า กองทหารกาลิเซีย 

ซึ่งกองทหารกาลิเซียนี้ รบภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของกองทัพนาซี ที่นอกจากจะต่อสู้กับกองทัพของสหภาพโซเวียตแล้ว ยังสังหารหมู่ประชาชนชาวโปแลนด์ และ ชาวยิวมากมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามหลังความพ่ายแพ้ของฝ่ายนาซี กองทหารกาลิเซียจึงยอมจำนนต่อกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรในปี 1945 และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น The First Ukrainian Division ในภายหลัง ซึ่ง ยาโรสลาฟ ฮันกา คืออดีตทหารยูเครนที่สังกัดในหน่วยนี้นั่นเอง 

เมื่อความจริงปรากฏเช่นนี้ จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมประธานสภาแคนาดา ถึงได้แนะนำ ยาโรสลาฟ ฮันกา ต่อหน้ารัฐสภาให้ได้รับเกียรติในฐานะ ‘วีรบุรุษสงคราม’

แม้สื่อแคนาดาจะวิเคราะห์และมองในแง่ดีว่า นาย แอนโธนี โรตา อาจมองในแง่ที่ว่า ยาโรสลาฟ ฮันกา คือ ตัวแทนของทหารยูเครนที่เคยต่อสู้กับกองทัพของสหภาพโซเวียต หรือก็คือ รัสเซียในปัจจุบันมาก่อน และต้องการยกให้เขาเป็นฮีโร่สงครามที่เป็นตำนานในประวัติศาสตร์

แต่ทว่า ปิแอร์ พอยลิเยฟร์ ผู้นำฝ่ายค้าน และ ชุมชนชาวยิวในแคนาดา กลับไม่คิดอย่างนั้น เพราะถึงแม้กองทหารกาลิเซีย จะเคยต่อต้านกองทัพโซเวียตก็จริง แต่ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า The First Ukrainian Division คือหน่วยหนึ่งในสังกัดของกองทัพนาซีเยอรมัน ที่มีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิว และ ชาวโปแลนด์ อย่างโหดเหี้ยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เปรียบเสมือนจุดด่างพร้อยที่ไม่สามารถลบออกได้ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

นั่นจึงทำให้วันนี้ เกิดกระแสด้านลบตีกลับมายังรัฐบาลแคนาดา จน แอนโธนี โรตา ประธานสภา ต้องออกมากล่าวขอโทษอย่างสุดซึ้งต่อชาวยิวในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา และขอรับผิดชอบความผิดพลาดครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว 

แต่เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆ เพราะทีมฝ่ายค้านแคนาดา ได้ตั้งประเด็น โจมตี จัสติน ทรูโดว์ ผู้นำรัฐบาลชุดนี้ เพราะไม่อาจปัดความรับผิดชอบให้ลูกน้องรับแทน โดยอ้างว่า ไม่รู้ ไม่เห็น เรื่องการเชิญอดีตทหารยูเครนเข้าสภาได้ และกดดันให้ผู้นำแคนาดาต้องออกมากล่าวขอโทษประชาชนในการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตน จนทำให้ประเทศชาติต้องอับอายชาวโลกในวันนี้ 

จากจุดเริ่มต้นจากความหวังดีของรัฐบาลแคนาดา ที่ต้องการให้พื้นที่สื่อแก่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน แต่ทว่า ปรากฏการณ์ฮีโร่ผิดคิวกลางสภาแคนาดา ทำให้วันนี้ ชาวสภาเมืองเมเปิลต้องมานั่งระทมในสถานการณ์ที่ว่า เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รอง แต่ดันเอากระดูกคนอื่นมาแขวนคอตัวเองซะนี่ 

‘เยอรมนี’ แจงปม ‘ยูเครน’ ปฏิเสธรับรถถังรุ่นเก่าล้าสมัยที่ส่งไปให้ เหตุเพราะขาดช่างซ่อมชำนาญ เนื่องจากประเทศไม่มีสงครามมานาน

(27 ก.ย. 66) สำนักข่าวอาร์ทีนิวส์/ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า อาวุธบางส่วนที่เบอร์ลินมอบให้แก่เคียฟ ส่วนหนึ่งในการมอบความช่วยเหลือยูเครนสู้รบกับรัสเซีย อยู่ในสภาพที่แย่ๆ หรือไม่ก็เก่าเก็บล้าสมัย จากการยอมรับของ ‘อันนาเลนา แบร์บ็อค’ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) แบร์บ็อค ยอมรับว่าอาวุธที่ส่งมอบแก่ยูเครนนั้นมีประเด็นปัญหาทางเทคนิคสำคัญๆ และบอกด้วยว่าความพยายามจัดหาอาวุธป้อนแก่เคียฟนั้นยังประสบปัญหาล่าช้าต่างๆ อีกต่างหาก

แบร์บ็อค ยอมรับว่ายูเครนจะไม่ได้รับประโยชน์จากคำสัญญาจัดหาอาวุธ เนื่องจากยังคงดำเนินการไม่ลุล่วง หรือไม่ก็ยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ส่งมอบไปนั้นไม่สามารถใช้งานได้ “ระบบของเราบางส่วนเป็นรุ่นที่เก่ามากๆ และเราเคยบอกตั้งแต่ตอนแรกว่าบางส่วนใช้งานไม่ได้” เธอกล่าว พร้อมอธิบายว่าประเด็นปัญหาดังกล่าวมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เยอรมนีไม่ได้สู้รบในสงครามหลักๆ หนึ่งใดมานานหลายทศวรรษแล้ว

“ครั้งที่เราส่งมอบบางอย่าง มันจำเป็นต้องใช้งานได้ในภาคสนาม” เธอเน้นย้ำ พร้อมระบุว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมเยอรมนีถึงไม่มอบขีปนาวุธพิสัยไกล Taurus แก่ยูเครน อาวุธที่เธอให้คำจำกัดความว่าล้ำสมัยอย่างที่สุด “มันคืออาวุธใหม่ที่สุดที่เรามี ดังนั้น เราจำเป็นต้องชัดเจนทุกรายละเอียด วิธีการทำงานของมัน ใครที่สามารถใช้งานมันได้ ใช่ มันต้องใช้เวลาสักพัก แต่ครั้งที่เราส่งมอบมัน มันจำเป็นต้องทำงานอย่างได้ผล” เธอกล่าว พร้อมบอกว่าจะใช้การพิจารณาแบบเดียวกันกับอาวุธอื่นๆ ที่ผลิตโดยเยอรมนี

ยูเครนร้องขอขีปนาวุธ Taurus นานหลายเดือนแล้ว ในขณะที่มันมีพิสัยทำการ 500 กิโลเมตรและบรรทุกหัวรบหนัก 500 กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม แม้สื่อมวลชนรายงานว่า เยอรมนีกำลังวางรอบการทำงานสำหรับการส่งมอบ แต่แบร์บ็อคแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวังเมื่อช่วงกลางเดือน ว่า การส่งมอบคงจะยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะว่า “จำเป็นต้องทำงานในทุกรายละเอียดก่อนหน้านั้นเสียก่อน”

เยอรมนีลังเลที่จะจัดหาขีปนาวุธแก่ยูเครน เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลาย หากว่าเคียฟใช้มันโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หนังสือพิมพ์ Der Spiege รายงานอ้างแหล่งข่าววงในระบุว่า ยูเครน ปฏิเสธที่จะรับรถถังรุ่นเก่าล้าสมัย เลพเพิร์ด 1 จำนวน 10 คัน เนื่องจากพวกมันอยู่ในสภาพขาดการบำรุงรักษา ในรายงานข่าวบอกด้วยว่า พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนแจ้งกับฝ่ายเยอรมนี ว่ารถถังเหล่านั้น ซึ่งเดินทางถึงโปแลนด์แล้ว จำเป็นต้องผ่านการซ่อมบำรุงเสียก่อน แล้วถึงจะสามารถส่งเข้าประจำการในแนวหน้า ทว่าพวกเขาไม่มีทั้งบุคลากรซ่อมบำรุงและอะไหล่ที่จะทำเช่นนั้น

รัสเซียกล่าวเตือนตะวันตกซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อการจัดหาอาวุธป้อนแก่ยูเครน โดยชี้ว่ามันรังแต่จะทำให้ความขัดแย้งลากยาว โดยไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในท้ายที่สุดใดๆ

‘ปูติน’ ประกาศฉลองครบรอบ 1 ปี ผนวก 4 ดินแดนของ ‘ยูเครน’ ยกเป็น ‘วันรวมชาติ’ อ้าง ปชช.ในแคว้นอยากเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 66 สำนักข่าวเอพี รายงานว่า นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้กล่าวเน้นย้ำว่า ประชาชนใน 4 ดินแดนของยูเครนที่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน

ในวิดีโอนาน 4 นาทีที่เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีการที่รัสเซียได้ผนวกรวม 4 ดินแดนของยูเครน ได้แก่ โดเนตสค์ ลูฮานสค์ ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน เมื่อวันที่ 30 กันยายนปีที่แล้วหลังมีการทำประชามติ ประธานาธิบดีปูตินกล่าวยืนยันว่าการผนวกรวม 4 ดินแดนของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนั้นตรงตามแนวปฏิบัติสากลทั้งหมด และอ้างว่าประชาชนใน 4 ดินแดนดังกล่าว ได้แสดงถึงความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอีกครั้งในการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ทางคณะกรรมการกลางการเลือกตั้งของรัสเซียระบุว่า พรรครัฐบาลของรัสเซียได้คะแนนเสียงมากที่สุด

“เช่นเดียวกับในการทำประชามติครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปีที่แล้ว ผู้คนได้แสดงออกและยืนยันอีกครั้งถึงความต้องการที่จะอยู่กับรัสเซียและสนับสนุนเพื่อนร่วมชาติของพวกเขา ที่พิสูจน์แล้วว่าคู่ควรที่จะได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ผ่านการลงมือทำงานอย่างจริงจัง” ประธานาธิบดีปูติน กล่าว

อย่างไรก็ดี ชาติตะวันตกได้ประณามการทำประชามติผนวก 4 ดินแดนของยูเครนเมื่อปีที่แล้ว และการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ว่า เป็นการเลือกตั้งอย่างปลอมๆ ซึ่งมีขึ้นขณะที่ทางการรัสเซียพยายามที่จะกระชับอำนาจในดินแดนดังกล่าว ที่รัสเซียผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งอย่างผิดกฎหมาย และถึงตอนนี้รัสเซียก็ยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของดินแดน 4 แห่งดังกล่าว

นอกจากนั้นแล้ว รัสเซียยังได้จัดคอนเสิร์ตที่จัตุรัสแดง ในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 29 กันยายน เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 1 ปีการผนวกดินแดน 4 แห่งเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยมีประชาชนเข้าร่วมในคอนเสิร์ตดังกล่าวจำนวนมาก และถึงแม้ประธานาธิบดีปูตินจะไม่ได้เข้าร่วมในคอนเสิร์ตดังกล่าว แต่ก็ได้ประกาศให้วันที่ 30 กันยายนเป็น ‘วันรวมชาติ’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top