Friday, 6 June 2025
ยูเครน

สหรัฐฯ ยืนยันส่ง 'ระเบิดพวง' ให้ยูเครนไล่ยึดดินแดนคืน ด้าน 'ไบเดน' ให้เหตุผล เพราะกระสุนในยูเครนกำลังจะหมด

(9 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวสหรัฐฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราทนไม่ได้ หากยูเครนไม่มีกระสุนปืนใหญ่มากเพียงพอในการปกป้องตนเอง โดยในการแถลงข่าวเมื่อวันก่อน (7 ก.ค.) ยืนยันตามข่าวที่ปรากฏในสื่อว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งระเบิดพวง (cluster munitions) ให้แก่ยูเครน เป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครน มูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 28,000 ล้านบาท

ซัลลิแวน ย้ำว่า การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่จะต้องทำ สหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้ยูเครนอยู่ในสภาพป้องกันตัวเองไม่ได้ ก่อนการตัดสินใจนี้ สหรัฐฯ ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศพันธมิตรหลายประเทศ และบางประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาออสโล สนับสนุนการตัดสินใจนี้ 

ซัลลิแวน ยืนยันด้วยว่า ทางยูเครนได้รับประกันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่า จะใช้ระเบิดพวงด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และจะลดอันตรายที่จะเกิดกับพลเรือนให้น้อยที่สุด และจะไม่ใช้ในดินแดนต่างชาติ จะใช้ปกป้องประเทศเท่านั้น

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวปกป้องการตัดสินใจส่งระเบิดพวงให้ยูเครนว่า "กระสุนในยูเครนกำลังจะหมด" ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ถามว่าเหตุผลใดสหรัฐฯ จึงตัดสินใจจะส่งระเบิดพวงให้แก่ยูเครน

สหรัฐฯ หวังว่า ระเบิดพวงจะช่วยยูเครนสามารถยึดดินแดนที่ถูกยึดไปในความขัดแย้งกับรัสเซียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 กลับคืนมาได้

อย่างไรก็ตาม ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ยอมรับว่า พลเรือนมีความเสี่ยงจะได้รับอันตรายจากการตกค้างของระเบิดพวงที่ไม่ระเบิด 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศไทย ระเบิดพวง หรือ Cluster Munitions ถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง (Convention on Cluster Munitions: CCM) เป็นระเบิดที่บรรจุลูกระเบิดขนาดเล็กไว้ภายในจำนวนมาก สามารถทิ้งลงจากเครื่องบิน หรือยิงโดยปืนใหญ่ จะระเบิดกลางอากาศ เพื่อปล่อยลูกระเบิดย่อยให้กระจายเป็นวงกว้าง มีอัตราการไม่ระเบิดสูง ทำให้ลูกระเบิดขนาดเล็กตกค้างบนพื้นดิน ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้ในภายหลัง

'รัสเซีย' ขู่!! พร้อมใช้อาวุธแบบเดียวกันโต้ตอบ หลังสหรัฐฯ จัดหา 'ระเบิดพวง' ป้อนให้ยูเครน

(12 ก.ค. 66) สหรัฐฯ แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะจัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้แก่ยูเครน อาวุธระเบิดที่ปกติแล้วจะปลดปล่อยลูกระเบิดขนาดเล็กจำนวนมากกระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง

คลัสเตอร์บอมบ์ถูกห้ามโดยประเทศต่าง ๆ มากกว่า 100 ชาติทั่วโลก สืบเนื่องจากมันเสี่ยงก่ออันตรายแก่พลเรือน ปกติแล้วมันปลดปล่อยระเบิดขนาดเล็กกว่าที่สามารถเข่นฆ่าชีวิตโดยไม่เลือกหน้าในพื้นที่หนึ่งเป็นบริเวณกว้าง ส่วนกระสุนลูกที่ไม่ระเบิดนั้นก็เสี่ยงก่ออันตรายเป็นเวลานานหลายทศวรรษ หลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง

สื่อมวลชนรัสเซียอ้างคำกล่าวของ ชอยกู ระบุว่ารัสเซียมีกระสุนคลัสเตอร์ในครอบครองเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ยังคงอดทนอดกลั้นจากการใช้มันในปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร

อย่างไรก็ตาม รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า สหรัฐฯ เคยกล่าวหารัสเซียใช้กระสุนคลัสเตอร์ในยูเครน และบอกว่าระเบิดลูกปรายของมอสโกมีอัตราการด้านสูงสุดถึง 40% ส่งผลให้สมรภูมิรบเต็มไปด้วยลูกระเบิดขนาดเล็กที่ไม่ทำงาน ขณะที่วอชิงตัน กล่าวอ้างว่าระเบิดคลัสเตอร์ของพวกเขาที่กำลังส่งมอบแก่ยูเครนนั้น มีอัตราการกระสุนด้านไม่เกิน 2.35%

ชอยกู ระบุในวันอังคาร (11 ก.ค.) ว่า "ในกรณีที่สหรัฐฯ จัดหากระสุนคลัสเตอร์ให้ยูเครน ทางกองกำลังรัสเซียจะถูกบีบให้ใช้อาวุธแบบเดียวกันกับกองกำลังยูเครนเป็นการตอบโต้" เขากล่าว "พวกเขาควรจำไว้ว่า รัสเซียก็มีกระสุนคลัสเตอร์ในประจำการเช่นกัน และในทุก ๆ วาระ พวกมันมีประสิทธิภาพเหนือกว่าของอเมริกาเป็นอย่างมาก"

รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียบอกว่ากองทัพมอสโกกำลังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องกำลังพลของพวกเขาจากอาวุธดังกล่าว

กลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอตช์ อ้างว่าทั้งมอสโกและเคียฟต่างก็เคยใช้กระสุนคลัสเตอร์ระหว่างความขัดแย้งในยูเครนที่ลากยาวมาเกือบ 17 เดือนแล้ว
.
รัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ ต่างไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดลูกปราย (Convention on Cluster Munitions) ซึ่งห้ามใช้ จัดเก็บ ผลิตและขนย้ายกระสุนคลัสเตอร์โดยสิ้นเชิง และมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2010

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่าจำเป็นต้องอนุมัติคำขอของทางเคียฟ สำหรับกระสุนคลัสเตอร์ หลังจากเริ่มชัดเจนแล้วว่า ยูเครน ซึ่งเวลานี้กำลังปฏิบัติการโจมตีตอบโต้รัสเซีย กำลังขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป และกำลังผลิตคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของยูเครน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นแม้ว่าบรรดาพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ อย่างสหราชอาณาจักร แคนาดา และเยอรมนี แสดงจุดยืนคัดค้านการใช้กระสุนคลัสเตอร์

ในด้านสถานการณ์การสู้รบ ชอยกู แสดงความคิดเห็นว่า รัสเซียกำลังลดศักยภาพการโจมตีตอบโต้ของยูเครนลงอย่างมาก และกองกำลังรัสเซียสามารถรุกคืบในภาคสนามระหว่างปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของตนเองเช่นกัน ในทิศทางเมืองลีมัน ในแคว้นโดเนตส์ก ทางภาคตะวันออกของยูเครน

‘ยูเครน’ ผิดหวังอีกครั้ง หลัง ‘นาโต’ ไม่รับเข้าเป็นสมาชิก หรือเส้นทางการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร 15 ปีจะสูญเปล่า?

(13 ก.ค. 66) ‘โวโลดิมีร์ เซเลนสกี’ ประธานาธิบดียูเครน ต้องเผชิญกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ ‘นาโต’ ออกแถลงการณ์ร่วมประเทศสมาชิกนาโต ปฏิเสธกำหนดกรอบเวลาชัดเจนรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ที่กรุงวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย ซึ่งผู้นำยูเครนหมายมั่นว่า เขาจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน เกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพื่อได้รับประกันด้านความปลอดภัยของชาติ จากการรุกรานของรัสเซีย

เพราะเหตุใดกลุ่มประเทศที่ให้การสนับสนุนกับยูเครนมากที่สุด เพื่อรับมือกับกองทัพรัสเซีย จึงไม่สามารถรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกได้ แม้ว่ายูเครนจะดำเนินการยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกแบบเร่งด่วน และก่อนหน้านี้ ฟินแลนด์ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกชาติที่ 31 ของกลุ่ม ส่วนสวีเดนก็จะได้เข้าเป็นสมาชิกเร็ว ๆ นี้ หลังได้รับการยอมรับจากตุรกีแล้ว

หนทางการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน ดูเหมือนจะหยุดชะงักเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ณ บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย เมื่อปี 2008 ที่การหามติเอกฉันท์ในการรับจอร์เจีย และยูเครน อดีตประเทศสหภาพโซเวียด เข้าเป็นสมาชิกนาโตนั้นล้มเหลว แต่ทั้ง 2 ประเทศได้รับข้อเสนอที่คลุมเครือในการสามารถเข้าเป็นพันธมิตรกลุ่มได้ในอนาคต โดยไม่กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่า พวกเขาจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่สุดของโลกเมื่อไหร่

“ประตูยังเปิดอยู่ พวกเขาบอกกับเรา แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรา ถึงหนทางในการหาประตูเหล่านี้ และวิธีการเข้าไปข้างใน” โอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครน กล่าว

ด้านยูเครน และจอร์เจียต่างพบว่า ในช่วงเวลานั้น ตัวเองกำลังตกอยู่ในสองสถานะ นั่นคือ สมาชิกนาโตในอนาคต ขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ จากชาติพันธมิตร โดยเฉพาะในมาตรา 5 ของนาโต ที่ระบุว่า “การโจมตีสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งของพันธมิตรนาโต จะเท่ากับการโจมตีสมาชิกทุกประเทศ”

นอกจากนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียได้รับเชิญในฐานะแขกของนาโตเข้าร่วมประชุมครั้งดังกล่าว โดยเขาได้ส่งข้อความถึงนาโตอย่างชัดแจ้งว่า การเข้าเป็นสมาชิกนาโตของจอร์เจียและยูเครน ถือเป็น “ภัยคุกคามโดยตรงของรัสเซีย” หลังก่อนหน้านี้ อดีตผู้นำสหรัฐฯ อย่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบิล คลินตัน เคยให้สัญญากับรัสเซียว่า นาโตจะไม่ขยายอิทธิพลเข้าไปในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นอดีตสหภาพโซเวียต

“สถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซีย คือการนั่งอยู่ในห้องรอคอยของนาโต และพวกเราก็ทำแบบนั้นกับจอร์เจีย และยูเครน เมื่อ 15 ปีที่แล้ว” มาร์กุส ซาห์คน่า รัฐมนตรีต่างประเทศเอสโตเนีย กล่าว

ทั้งนี้ การไม่ลงรอยกันของข้อตกลงในครั้งนั้น ทำให้จอร์เจีย และยูเครนตกเป็นเป้าของการรุกรานจากรัสเซีย เนื่องจากเป็นการยั่วยุปูตินให้ดำเนินการต่อต้านการขยายตัวของนาโตบนชายแดนของเขา และอาจเป็นเพราะความล้มเหลวอย่างชัดเจนของนาโตในการคุ้มครองความปลอดภัยที่จะสามารถครอบคลุมไปยังรัฐเหล่านี้ ส่งผลให้อีกไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพรัสเซียได้ยึดออสเซเทียใต้และอับคาเซียของจอร์เจีย นอกจากนี้ ในปี 2014 รัสเซียก็ได้ผนวกดินแดนไครเมีย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียด้วย

การตัดสินใจว่ายูเครนจะเข้าร่วมนาโตหรือไม่ เป็นหนึ่งในคำถามด้านความมั่นคงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากที่สุดของยุโรป เพราะการตัดสินใจยอมรับยูเครนจะเป็นการขยายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ในมาตรา 5 ของนาโต แม้ว่าการอ้างสิทธิ์ดังกล่าว จะไม่มีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็อาจจะทำให้บรรดาผู้นำชาติตะวันตกต้องเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากสุดของโลกในอนาคต และยังเสี่ยงทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ถ้ารัสเซียโจมตีประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง

แม้ยูเครนจะได้แรงหนุนจากประเทศสมาชิกบางส่วนในการเข้าร่วมนาโต แต่สมาชิกบางประเทศก็ไม่เห็นด้วยที่จะรับยูเครนเข้ามา โดยเฉพาะโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว CNN เมื่อวันอาทิตย์ (9 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา ว่า ยูเครนยังไม่พร้อมที่จะเข้าสู่นาโต ยิ่งไปกว่านั้น พันธมิตรนาโตยังไม่พร้อมที่จะให้ยูเครนก้าวสู่ประวัติศาสตร์สำคัญในการเข้าร่วมกลุ่ม เพราะนั่นอาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดสงครามโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย

“ผมไม่คิดว่า จะมีมติเป็นเอกฉันท์ในนาโตว่า ควรจะนำยูเครนเข้าสู่ครอบครัวนาโตตอนนี้หรือไม่ ในช่วงเวลานี้ ที่อยู่ท่ามกลางสงคราม” ไบเดน กล่าว

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า ชาติพันธมิตรจำเป็นต้องวางเส้นทางที่มีเหตุผลสำหรับการเป็นสมาชิกของยูเครน ที่ยังขาดข้อกำหนดบางประการในการเข้าร่วมนาโต รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยด้วย

ขณะที่ ยูเครนได้เตือนบ่อยครั้งว่า ยูเครนกำลังต่อสู้ในสงครามของยุโรป เพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของรัสเซีย และยูเครนช่วยทำให้ศัตรูตัวฉกาจของนาโตอ่อนแอลง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ยูเครนควรได้รับการรับประกันด้านความมั่นคงจากนาโตด้วย

“มันจะเป็นข้อความที่สำคัญที่จะบอกว่า นาโตไม่กลัวรัสเซีย” เซเลนสกี กล่าวให้สัมภาษณ์กับ ABC News เมื่อวันอาทิตย์ (9 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา

ความเสี่ยงในการปะทะกับรัสเซียในอนาคตมีน้ำหนักอย่างมากในความคิดของนักวิเคราะห์หลายคน เบน ฟรีดแมน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของ Defense Priorities กล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่ควรรับประกันด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครน และไม่ควรทำในตอนนี้ ผ่านกลุ่มนาโต หรือ ช่องทางอื่น ๆ ที่จะรับประกันความมั่นคงทวิภาคีบางประเภท

ฟรีดแมน แย้งด้วยว่า แม้ยูเครนจะยืนหยัดต่อต้านอย่างกล้าหาญ แต่การพิจารณาถึงผลประโยชน์ในวงกว้างของสหรัฐฯ ต้องมาก่อน

“การรับประกันด้านความมั่นคงให้ยูเครนจะเป็นการกัดเซาะความมั่นคงของสหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัดในการทำสงครามกับรัสเซีย… นั่นคือความเสี่ยง แน่นอนว่า ทำให้สถานการณ์ด้านนิวเคลียร์เลวร้ายลง และเป็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเลยในแง่ของความมั่นคง

มีการถกเถียงกันทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน โดยไบเดน เตือนว่า การทำเช่นนั้น ในช่วงภาวะสงครามจะทำให้พันธมิตรนาโต ต้องปกป้องพันธมิตรใหม่ทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า การป้องกันโดยรวมของกลุ่มนั้นมีความหมาย

“ผมหมายความตามที่ผมพูด มันเป็นพันธสัญญาที่เราต้องทำทั้งหมดไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าสงครามยังดำเนินอยู่ หากเป็นเช่นนั้น เราทั้งหมดจะเข้าสู่สงคราม เราจะต้องทำสงครามกับรัสเซีย” ไบเดน กล่าว

ขณะที่ ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคุยเรื่องยูเครนเข้าร่วมนาโตในทันที

“ประการแรก ยูเครนต้องชนะฝ่ายรุกราน ประการที่สอง ต้องมีการหยุดยิงและมีการเจรจาหาข้อยุติโดยสันติ เราไม่สามารถรับยูเครนเข้าร่วมนาโตได้ในทันที นั่นจะเป็นการผลักเราเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย”

“ดังนั้น ผมคิดว่าบทสนทนาควรจะเกี่ยวกับข้อตกลงด้านความมั่นคงใดที่สามารถใช้กับยูเครนได้ เพื่อเป็นการบ่งชี้ถึงการที่ยูเครนจะเข้าสู่นาโต” เขาพูดพร้อมเสริมว่า “เราต้องระมัดระวังในการทำเช่นนี้” แมคคอล กล่าว

อย่างไรก็ตาม บทความจากสำนักข่าว CNN รายงานว่า การเสนอวันเข้าร่วมหลังสงครามสิ้นสุดให้แก่ยูเครน อาจก่อให้เกิดผลตีกลับได้เช่นกัน เพราะจะทำให้เครมลินมีเหตุผลที่จะไม่มีวันยุติความขัดแย้ง และสิ่งนี้จะทำลายความหวังอันริบหรี่ในการหาข้อยุติทางการเมืองหากกองทัพยูเครนยังไม่สามารถขับกองกำลังรัสเซียออกไปได้ทั้งหมด และเสี่ยงที่จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปูติน โดยจะยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับหนึ่งในเหตุผลของปูตินในการบุกยูเครน ที่เขากล่าวหาว่าชาติตะวันตกเป็นผู้จุดชนวนสงครามโดยใช้ยูเครนเป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้อำนาจรัสเซียอ่อนแอ

นับตั้งแต่เกิดสงครามเป็นเวลานานกว่า 17 เดือน ชาติพันธมิตรนาโตได้ให้ความช่วยเหลือทางทหาร และทางด้านการเงินมูลค่ารวมแล้วกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5.5 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารไปมากกว่า 35,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท ล่าสุด ยังประกาศให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้วยการติดอาวุธให้ยูเครนในการขับไล่รัสเซีย ในการตัดสินใจส่ง ‘ระเบิดพวง’ ซึ่งถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง หรือ ‘Convention on Cluster Munitions : CCM’

ขณะที่ ชาวอเมริกันก็ตั้งคำถามว่า ทำไมในท้ายที่สุด ชาวอเมริกัน 330 ล้านคน จะต้องทำสงครามกับรัสเซีย เพื่อปกป้องยูเครน หากเข้าร่วมกับนาโต โดยหวั่นว่าจะเป็นการพาประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดูเหมือนกำลังกระทำการในสิ่งที่คล้ายกับลักษณะของสงครามตัวแทนในยูเครน

ถึงกระนั้น แม้ไบเดนจะออกมาเปลี่ยนจุดยืนการเร่งเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ จะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญาหรือไม่ โดยโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบสหรัฐฯ ออกมาเตือนไบเดนว่า ไบเดนกำลังพาสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 กับรัสเซีย พร้อมให้คำมั่นว่า เขาจะยุติสงครามในยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งความเห็นดังกล่าว ค่อนข้างที่จะให้ความเห็นอกเห็นใจต่อเป้าหมายของปูติน ซึ่งทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ดีกว่า

‘สหรัฐฯ’ ยืนยัน!! ไม่ได้สูญเสีย 'ศีลธรรม'  แม้จัดหา 'ระเบิดพวง' ให้แก่ยูเครน

(17 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพิกเฉยต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าวอชิงตันอาจสูญเสีย ‘ธรรมอำนาจ’ ด้วยการจัดหาระเบิดลูกปราย หรือระเบิดพวง (cluster bombs) ให้แก่ยูเครน สำหรับใช้เล่นงานกองกำลังรัสเซีย ยืนยันอเมริกายังคงมีอำนาจทางศีลธรรม จากข้อเท็จจริงที่ว่ากำลังให้การสนับสนุนเคียฟต่อกรกับการโจมตีโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ซัลลิแวน กล่าวในประเด็นนี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ในวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) ปกป้องการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อช่วงต้นเดือน ที่มอบกระสุนคลัสเตอร์ให้แก่เคียฟ แม้ทำเนียบขาวเคยตราหน้าว่าเป็น ‘อาชญากร’ ครั้งที่พวกเขากล่าวหารัสเซียใช้อาวุธดังกล่าว

แม้คลัสเตอร์บอมบ์เป็นอาวุธต้องห้ามภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับหนึ่งที่ลงนามโดยชาติต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ แต่ ซัลลิแวน เน้นย้ำว่าทั้งสหรัฐฯ และยูเครน ต่างไม่เคยลงนามในสนธิสัญญานี้

"อำนาจทางศีลธรรมของเราและอำนาจทางศีลธรรมของยูเครน ในความขัดแย้งนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังสนับสนุนประเทศหนึ่งที่ถูกโจมตีอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยขีปนาวุธและระเบิด ถล่มเมืองต่าง ๆ ของพวกเขา เข่นฆ่าพลเรือน ทำลายโรงเรียน โบสถ์ โรงพยาบาล" ซัลลิแวนบอกกับเอ็นบีซี

"และหากใครมีความคิดที่ว่า การจัดหาอาวุธหนึ่งแก่ยูเครน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปกป้องแผ่นดินของตนเอง ปกป้องพลเรือนของพวกเขา ด้วยเหตุผลบางประการ เป็นการท้าทายอำนาจทางศีลธรรมของเรา ผมคิดว่าคำถามนั้นเป็นสิ่งน่าสงสัย" ซัลลิแวนระบุ

ชัค ทอดด์ พิธีกรของเอ็นบีซีถามต่อโดยชี้ว่า วอชิงตัน พยายามเป็นผู้นำโลกในความพยายามกำจัดอาวุธโหดร้ายป่าเถื่อนเหล่านี้ "แต่เวลานี้เรายังคงกลับไปค้นสต๊อกของเราและมอบมันให้แก่พันธมิตร" ในเรื่องนี้ ซัลลิแวน ชี้แจงว่ากรณีแวดล้อมเป็นตัวเรียกร้องให้ไบเดนต้องตัดสินใจส่งกระสุนคลัสเตอร์ไปให้ยูเครน แม้ถูกคัดค้านจากสหราชอาณาจักร แคนาดาและพันธมิตรอื่นๆ ในนาโตก็ตาม

"ผมอยากบอกว่าที่เรายกระดับมอบในสิ่งที่ยูเครนต้องการ เพื่อไม่ให้พวกเขาไร้ซึ่งหนทางแห่งการป้องกันตนเอง ยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของรัสเซีย" ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติระบุ "ง่ายๆ เลย เราจะไม่ปล่อยให้ยูเครนไร้หนทางในการป้องกันตนเอง"

ไบเดน บ่งชี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นเมื่อช่วงต้นเดือน อ้างว่าสืบเนื่องจากสหรัฐฯ และยูเครนขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป ทำให้เขาตัดสินใจมอบกระสุนคลัสเตอร์แก่เคียฟ ในฐานะการแก้ปัญหาชั่วคราว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เน้นระหว่างให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) เหน็บแนมว่าทำเนียบขาวเองเคยตราหน้าการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม พร้อมเตือนว่าถ้ากองกำลังยูเครนใช้อาวุธดังกล่าวในสนามรบ รัสเซียขอสงวนสิทธิตอบโต้ด้วยอาวุธแบบเดียวกัน

ระเบิดคลัสเตอร์ถูกแบนโดยทั่วโลก สืบเนื่องจากกระสุนระเบิดขนาดเล็กๆ บางลูกที่มันปลดปล่อยออกมาอาจไม่ทำงาน ซึ่งก่อภัยคุกคามแก่พลเรือน จากข้อมูลพบว่ามีพลเรือนกว่า 86,500 คน ที่เสียชีวิจากคลัสเตอร์บอมบ์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และมีคนต้องพิการมากกว่านั้นมากมายหลายเท่า

ทางการไครเมียสั่งปิดสะพานฉุกเฉินไม่มีกำหนด หลังเหตุระเบิดสะพาน ทำผู้เสียชีวิต 2 ราย

ยังอยู่ในสถานการณ์สงคราม ที่มีการโจมตี ตอบโต้กันเป็นรายวัน สำหรับฝ่ายรัสเซีย และ ยูเครน ที่ไม่มีใครยอมใคร

ล่าสุดวันนี้มีรายงานเหตุระเบิดที่สะพานไครเมียของรัสเซีย ที่เชื่อมต่อระหว่างคาบสมุทรไครเมีย กับ แคว้นครัสโนดาร์ทางฝั่งรัสเซีย จนทางการไครเมียต้องสั่งปิดสะพานฉุกเฉิน

นายเซอร์เก้ อาคสโยนอฟ ผู้ว่าการไครเมียที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลมอสโควได้ออกมายืนยันผ่าน Telegram ว่าเกิดเหตุระเบิดบริเวณสะพานจริง ที่ตำแหน่งเสาต้นที่ 145 จึงต้องสั่งปิดการจราจรบนสะพานชั่วคราว โดยไม่มีการระบุรายละเอียดชัดเจนถึงสภาพความเสียหายใดๆ

แต่ต่อมาสื่อรัสเซียรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุระเบิดที่สะพานไครเมียอาจทำให้ตารางเดินรถไฟต้องเปลี่ยนแปลงฉุกเฉิน อีกทั้งยังรายงานว่า การระเบิดรุนแรงจนได้ยินไกลไปทั่วบริเวณ

ซึ่งล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิตบนสะพานไครเมียแล้วถึง 2 ราย โดย นาย ยาเชสลาฟ แกรดคอฟ ผู้ว่าการเมืองเบลโกรอด ทางตอนใต้ของรัสเซีย รายงานว่าเป็นครอบครัวชาวเมืองเบลโกรอด ที่เป็นพ่อ-แม่ เดินทางพร้อมกับลูกสาว แต่พ่อและแม่เสียชีวิต ส่วนลูกสาวได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

ด้านกองทัพยูเครนในเมืองโอเดสซา ก็ออกมาโพสต์ภาพความเสียหายของสะพานไครเมียในวันนี้ลงในช่องทาง Telegram แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นฝีมือของกองทัพยูเครนที่เป็นผู้โจมตีสะพานแห่งนี้

สะพานข้ามช่องแคบเคียร์ช หรือ ที่มักนิยมเรียกว่าสะพานไครเมีย เป็นหนึ่งในผลงานก่อสร้างที่ปูติน ภูมิใจ หลังจากที่รัสเซียผนวกคาบสมุทรไครเมียได้ในปี 2014 ก็เดินหน้าโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อม 2 แผ่นดินระหว่างรัสเซีย และ ไครเมียที่มีความยาวกว่า 18 กิโลเมตร

และปัจจุบัน เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรป เปิดสัญจรทั้งทางรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป รถบรรทุกขนส่ง และ ทางรถไฟ นับเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าหลักเส้นหนึ่งของรัสเซีย และยังส่งเสริมเศรษฐกิจของคาบสมุทรไครเมีย ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวรัสเซีย ที่เดินทางมาตากอากาศเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

แต่ด้วยสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ทำให้สะพานไครเมียเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักในการโจมตีของฝ่ายต่อต้านรัสเซียเรื่อยมา เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2022 ที่มีข่าวการโจมตีสะพานด้วยระเบิด โดยทางฝ่ายรัสเซียได้ออกมากล่าวหาว่า รัฐบาลยูเครนอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมที่สะพานแห่งนี้ 

ส่วนการโจมตีครั้งล่าสุดในวันนี้ ช่อง Grey Zone Channel ของรัสเซีย รายงานว่า มีการโจมตีถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ช่วงตี 3 และได้สร้างความเสียหายแก่ตัวตอม่อสะพาน จนทางการไครเมียต้องประกาศปิดสะพาน ทำให้สภาพจราจรระหว่าง 2 ฝั่ง ติดขัดอย่างมาก

จอร์จ บาร์รอส นักวิชาการจากสถาบันสงครามในกรุงวอชิงตัน ดีซี ให้ความเห็นว่า สะพานไครเมียมีความสำคัญกับรัสเซียมากกว่าแค่เส้นทางคมนาคม หรือขนส่งสินค้า เพราะ เป็นเส้นทางบกทางเดียว ที่รัสเซียใช้ลำเลียงพลหลักหมื่นนาย และเสบียงจากถนนเลียบชายฝั่งทะเลอะซอฟ ข้ามมาไครเมีย เพื่อต่อขึ้นไปยังยูเครน ดังนั้นฝ่ายรัสเซียมีปัญหาแน่นอน ถ้าเกิดสะพานไครเมียแห่งนี้เสียหายจนต้องปิด ไม่ว่าจะเพียงแค่ชั่วคราว หรือถาวรก็ตาม

แม้ในเวลานี้ ความเสียหายบนสะพานไครเมียยังคงคลุมเครือ แต่ทางการไครเมียออกมาแถลงว่า ข้าวของที่จำเป็นบนคาบสมุทรไครเมียยังมีเพียงพอ แต่เตือนให้ชาวไครเมียหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามสะพานในช่วงนี้จนกว่าจะเคลียร์ปัญหาบนสะพานได้ ซึ่งจะช้าหรือเร็ว ยังไม่มีกำหนดชัดเจน

แม้แต่ยักษ์ 10 ตาอย่าง ทศกัณฐ์ ยังมีกล่องดวงใจ ที่ให้ใครแตะต้องไม่ได้ ก็ไม่แปลกใจว่า ผู้นำ 2 ทศวรรษอย่าง วลาดิมีร์ ปูติน จะมีของหวงที่เป็นจุดอ่อนอย่างสะพานไครเมีย หนึ่งในงานภูมิใจของเขา เหมือนกัน เพียงแต่กล่องดวงใจนี้ ขยี้แล้วยักษ์จะตาย หรือ จะร้ายกว่าเดิม เพิ่มเติมคือมหากาพย์ ก็ต้องมาว่ากันต่อไป 

‘รัสเซีย’ ยิงขีปนาวุธถล่มเมืองทางตะวันออกของ ‘ยูเครน’ อาคาร-บ้านเรือนพังยับ พบผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 ราย

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มอาคาร 2 แห่ง ในเมืองดนีโปรซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้อาคารดังกล่าวเสียหายอย่างหนัก และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 คน

นักข่าวภาคสนามของบีบีซียืนยันว่า ชั้นบนสุดของอาคารพักอาศัยขนาดใหญ่ถูกทำลายเกือบจนย่อยยับจากการโจมตีของรัสเซียเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 กรกฎาคม

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวด้วยว่า อาคารแห่งหนึ่งของหน่วยงานด้านความมั่นคง (SBU) ของยูเครนก็ถูกโจมตีเช่นกัน ซึ่งเขาได้กล่าวโทษรัสเซียที่ยิงขีปนาวุธจนทำให้อาคารทั้ง 2 เสียหาย

นอกจากนี้ เซเลนสกีกล่าวว่า ตนได้มีการประชุมฉุกเฉินกับ SBU กระทรวงกิจการภายใน หน่วยบริการฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

‘เซอร์ฮีย์ ไลซัก’ (Serhiy Lysak) ผู้ว่าการภูมิภาคดนีโปรแปตร็อวสก์ กล่าวว่า มีเด็กสองคนอายุ 14 ปี และ 17 ปี อยู่ในกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งกำลังได้รับการรักษาที่บ้าน และว่า ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการยิงขีปนาวุธของรัสเซียครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น

‘บอริส ฟิลาทอฟ’ (Boris Filatov) นายกเทศมนตรีเมืองดนีโปร กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งล่าสุดถือเป็นการโจมตีครั้งที่สามที่อาคารของหน่วยงาน SBU ตกเป็นเป้าหมายของรัสเซีย ส่วนอาคารที่อยู่อาศัยที่ถูกขีปนาวุธทำลายนั้นเพิ่งสร้างเสร็จและกำลังปล่อยขายห้องว่าง อย่างไรก็ดี ขณะเกิดเหตุไม่ค่อยมีผู้คนอยู่ด้านในอาคารทั้ง 2 แห่ง

ทั้งนี้ การโจมตีในเมืองดนีโปรมีขึ้นหลังจากที่รัสเซียกล่าวเมื่อวันศุกร์ (28 ก.ค.) ว่าได้ยิงสกัดกั้นขีปนาวุธยูเครนจำนวน 2 ลูก เหนือภูมิภาครอสตอฟทางตอนใต้ซึ่งมีพรมแดนติดกับยูเครน มอสโกกล่าวว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 คน จากซากปรักหักพังที่ร่วงลงมาในเมืองท่าทางทาแกนร็อก (Taganrog)

กระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า ขีปนาวุธเอส-200 (S-200) ลูกแรกมีเป้าหมายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางที่อยู่อาศัยในเมืองทาแกนร็อก ที่มีประชากรประมาณ 250,000 คน หลังจากนั้นไม่นาน มอสโกกล่าวว่า ได้ยิงขีปนาวุธ S-200 ลูกที่สองตกใกล้กับเมืองอซอฟ (Azov) โดยมีเศษชิ้นส่วนตกลงในพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย

‘ปูติน’ เผย รัสเซียไม่ปฏิเสธแนวคิดเจรจาสันติภาพยูเครน แม้ถูกถล่มสะพานไครเมีย ลั่น!! พร้อมโต้ตอบทุกเมื่อ

(30 ก.ค. 66) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย กล่าวว่า เขาไม่ปฏิเสธแนวคิดเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพกับยูเครน ทั้งนี้ ผู้นำรัสเซียพูดถึงเรื่องดังกล่าวระหว่างแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดรัสเซีย-แอฟริกา ผ่านระบบออนไลน์กับผู้นำแอฟริกาในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ปูตินระบุว่า ความคิดริเริ่มของแอฟริกาและจีนสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการแสวงหาสันติภาพ และยังบอกว่า เป็นการยากที่จะทำการหยุดยิง เมื่อกองทัพยูเครนกำลังอยู่ในการตอบโต้กลับ

ปูตินกล่าวอีกว่า ขณะนี้รัสเซียยังไม่มีแผนที่จะกระชับปฏิบัติการในแนวรบยูเครน ทั้งยังปกป้องการจับกุมกลุ่มผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยอ้างว่ามีบางคนที่ทำร้ายรัสเซียจากภายในประเทศ

ผู้นำรัสเซียกล่าวด้วยว่า มอสโกได้ทำการป้องกันการโจมตีหลังเกิดเหตุระเบิดสะพานไครเมียเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งปูตินสาบานว่าจะทำการตอบโต้การกระทำของผู้ก่อการร้ายโดยยูเครน แม้ว่าเคียฟจะไม่ออกมารับว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าวอย่างเป็นทางการก็ตาม

ก่อนหน้านี้ ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างระบุว่า พวกเขาจะไม่เข้าร่วมโต๊ะเจรจาหากไม่มีการตั้งเงื่อนไขล่วงหน้าบางอย่าง โดยยูเครนต้องการให้พรมแดนของประเทศกลับมาอยู่ในสถานะเดิมในปี 1991 ซึ่งเป็นสิ่งที่รัสเซียไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง อีกทั้งยังโต้แย้งว่า หากจะให้เกิดการเจรจาขึ้น ยูเครนต้องยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับเขตแดนใหม่ของตนเสียก่อน

‘ยูเครน’ ส่งโดรนโจมตี ‘ฐานทัพเรือรัสเซีย’ เบื้องต้นเรือรบ 1 ลำ เสียหายหนัก

(4 ส.ค. 66) ยูเครนส่งโดรนทางทะเล 2 ลำเข้าไปโจมตีฐานทัพเรือที่เมืองโนโวรอสซิสก์ (Novorossiysk) ริมทะเลดำ ประเทศรัสเซีย เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ขณะที่แหล่งข่าวเผยว่าปฏิบัติการดังกล่าวส่งผลให้เรือรบรัสเซีย 1 ลำเสียหายอย่างหนัก

เหตุโจมตีครั้งนี้ ยังส่งผลให้ท่าเรือพลเรือน ซึ่งใช้ในการส่งออกธัญพืชรัสเซีย และขนส่งน้ำมันราว 2% ของโลก ต้องหยุดการขนถ่ายสินค้าชั่วคราว ก่อนจะกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติ ตามข้อมูลจากบริษัท Caspian Pipeline Consortium ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าเรือน้ำมันในเมืองนี้

กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงสั้นๆ วันนี้ (4 ส.ค.) ว่า กองทัพสามารถสกัดการจู่โจมของโดรนยูเครนในน่านน้ำนอกฐานทัพเรือ และโดรนทางทะเลทั้ง 2 ลำถูกยิงทำลาย ทว่าไม่ได้ให้รายละเอียดความเสียหายในฝั่งของรัสเซียเอง

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวกรองในยูเครนให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า ‘เรือ Olenegorsky Gornyak’ ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบกของกองทัพรัสเซียถูกโดรนโจมตีจนเสียหายหนัก และไม่สามารถออกปฏิบัติภารกิจได้ 

แหล่งข่าวผู้นี้เผยด้วยว่า ปฏิบัติการโดรนกามิกาเซ่ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือยูเครน และหน่วยข่าวกรอง SBU

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวซึ่งทราบข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการของท่าเรือแห่งนี้ยืนยันว่า เรือรบรัสเซียขนาดใหญ่ 1 ลำต้องถูกลากจูงเข้าฝั่ง เพราะไม่สามารถใช้พลังงานขับเคลื่อนตัวเองหลังจากที่ได้รับความเสียหาย

จากคลิปวิดีโอซึ่งเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียจะเห็นได้ว่า เรือรบรัสเซียได้รับความเสียหายอย่างหนักบริเวณลำตัวเรือด้านซ้าย แม้ อันเดร คราฟเชนโก เจ้าหน้าที่ประจำเมืองโนโวรอสซิสก์ จะยืนยันผ่านเทเลแกรมว่า เรือ Olenegorsky Gornyak เป็นหนึ่งในเรือรบ 2 ลำ ซึ่งถูกส่งออกไป ‘ตอบสนองอย่างทันทีทันใด’ เพื่อสกัดกั้นการโจมตีของโดรนยูเครนก็ตาม

‘SBU’ จับกุมหญิงยูเครน ฐานเป็นสปายส่งข้อมูลให้รัสเซีย พร้อมวางแผนลอบสังหาร ‘เซเลนสกี’ จ่อโดนโทษจำคุก 12 ปี

(8 ส.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ‘หน่วยงานความมั่นคงยูเครน’ (SBU) กล่าวว่า ได้ทำการจับกุมตัวหญิงชาวยูเครนคนหนึ่ง โดยกล่าวหาว่าเธอเป็นหน่วยสอดแนมรัสเซียและมีส่วนร่วมในการวางแผนลอบสังหารประธานาธิบดี ‘โวโลดีมีร์ เซเลนสกี’ ของยูเครน ขณะลงเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัยในช่วงที่ผ่านมา

SBU ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า ผู้หญิงคนนี้ถูกจับได้คาหนังคาเขา ขณะที่เธอพยายามส่งข่าวกรองไปยังรัสเซีย โดยหน่วยงานกล่าวว่า เธอได้พยายามรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับการเดินทางของเซเลนสกี ก่อนที่เขาจะไปเยือนมิโคลายิฟ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งประสบอุทกภัยในเดือนมิถุนายน

SBU ยังเผยแพร่ภาพเบลอของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในห้องครัว โดยเจ้าหน้าที่ SBU ที่สวมหน้ากาก โดยผู้ต้องหารายนี้อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ชื่อ ‘โอชาคิฟ’ (Ochakiv) ซึ่งเซเลนสกีเคยเดินทางไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งเธอทำงานอยู่ในร้านค้าที่ฐานทัพทหารในเมืองดังกล่าว

ด้านเซเลนสกียืนยันว่า เขาได้รับแจ้งเกี่ยวกับการจับกุมครั้งนี้ โดยกล่าวว่าหัวหน้า SBU ได้แจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับการต่อสู้กับกลุ่มกบฏ

ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ผ่านมา เซเลนสกีเดินทางไปยังเมืองมิโคลายิฟในเดือนมิถุนายน เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดจากเหตุเขื่อนแตกในคอฟคา และในเดือนกรกฎาคมหลังจากที่รัสเซียถล่มโจมตีเมืองดังกล่าว

SBU กล่าวว่า หน่วยงานรับรู้แผนการลอบสังหารล่วงหน้า ก่อนที่เซเลนสกีจะเดินทางไปยังมิโคลายิฟ จึงได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม และกล่าวหาว่ารัสเซียวางแผนโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ในภูมิภาคมิโคลายิฟ ขณะที่ผู้ต้องหาพยายามที่จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของระบบไฟฟ้าและคลังกระสุนของยูเครน ซึ่งอาจตกเป็นเป้าหมายของกองทัพรัสเซีย

อย่างไรก็ดี เป็นที่เข้าใจกันว่า SBU ไม่ได้จับกุมผู้ต้องหาในช่วงเวลาที่เซเลนสกีเยือนมิโคลายิฟ และใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการโจมตีประธานาธิบดียูเครนแทน ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ติดตามเธอต่อหลังจากนั้น และพบแผนการต่างๆ ของผู้ต้องหาเพิ่มเติม รวมถึงการมอบหมายที่ได้รับจากรัสเซีย

ด้วยเหตุนี้ จึงคาดว่าเธอจะถูกตั้งข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายอาวุธและกองทหารยูเครนโดยไม่ได้รับอนุญาต และหากมีการตัดสินว่ามีความผิดจริง เธออาจรับโทษจำคุกสูงสุด 12 ปี

ทั้งนี้ ยูเครนมักกล่าวโทษประชาชนในท้องถิ่นที่สนับสนุนรัสเซียว่าเป็น ‘ไส้ศึก’ ส่งข้อมูลไปช่วยเหลือกองทัพมอสโก

‘อียิปต์’ แฉ!! ถูก ‘สหรัฐฯ’ กดดันจัดหาอาวุธให้ยูเครนเพื่อใช้ตอบโต้กลับการโจมตีจากกองกำลังรัสเซีย

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค. 66) มีรายงานว่า พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมในการจัดหาอาวุธป้อนแก่ยูเครน เพิกเฉยต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ร้องขอซ้ำๆ ให้ผลิตกระสุนปืนใหญ่และอาวุธอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับกองกำลังรัสเซียของทางยูเครน

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานเมื่อวันศุกร์ (11 ส.ค.) อ้างอิงเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม ระบุว่าวอชิงตันยังได้ร้องขออียิปต์ จัดหาขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ระบบป้องกันภัยทางอากาศและอาวุธขนาดเล็กแก่ยูเครนโดยคำขอดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายวาระ ในนั้นรวมถึงระหว่างการพบปะกันระหว่าง ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา และประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ในกรุงไคโร เมื่อเดือนมีนาคม

“ในการสนทนากับพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อียิปต์ไม่ได้ปฏิเสธคำขออย่างสิ้นเชิง แต่พวกเจ้าหน้าที่อียิปต์บอกเป็นการส่วนตัว ว่าอียิปต์ไม่มีแผนส่งมอบอาวุธ” วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงาน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าข้อความนี้จะไม่เข้าหูวอชิงตัน ด้วยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯมองในแง่บวกว่าอียิปต์จะยอมช่วยเหลือยูเครน โดยบอกกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่า “การพูดคุยหารือระหว่างเรากับคู่หูอียิปต์ ในแง่ผลประโยชน์ร่วมของเราในการยุติสงครามของรัสเซีย ออกดอกออกผล และกำลังเดินหน้าต่อไป”

ก่อนหน้านี้ในปีนี้ มีข่าวว่าอียิปต์ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าพวกเขามีแผนขายจรวดให้รัสเซีย ทั้งนี้ อัล-ซิซี พยายามธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีกับทั้งวอชิงตันและมอสโก ท่ามกลางวิกฤตยูเครน ปฏิเสธเข้าร่วมโครงการที่นำโดยสหรัฐฯ สำหรับจัดหาอาวุธแก่ยูเครนและลงโทษรัสเซีย

วอลล์สตรีท เจอร์นัล เน้นว่าความล้มเหลวในความพยายามขอแรงสนับสนุนจากอียิปต์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญยิ่งของความขัดแย้ง ซึ่งกองกำลังยูเครนกำลังพยายามบุกทะลวงแนวป้องกันที่น่าเกรงขามของรัสเซีย ในขณะที่สหรัฐฯพยายามรอแรงหนุนหลักทั้งด้านการทหารและการทูตสำหรับเคียฟ

นอกจากนี้ การตัดสินใจของอัล-ซิซี ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระงับเงินช่วยเหลือด้านการทหารของสหรัฐฯ ที่มอบแก่อียิปต์ ก้อนหนึ่งมูลค่า 320 ล้านดอลลาร์ จากงบช่วยเหลือรายปี 1,300 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงเกี่ยวกับประวัติด้านมนุษยชนในประเทศแห่งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top