Friday, 6 June 2025
ยูเครน

'ผู้นำยูเครน' หวั่น!! หลังเอกสารหลุดเพนตากอนเผย 'กระสุนระบบขีปนาวุธจะหมดเกลี้ยงในเดือน พ.ค.'

(11 เม.ย.66) ยูเครนจะใช้ขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศจนเกือบหมดภายในเดือนพฤษภาคม ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ในวันจันทร์ (10 เม.ย.) อ้างอิงจากเอกสารลับของเพนตากอนที่รั่วไหลเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ และด้วยแนวโน้มต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่รัสเซียครองความได้เปรียบบนท้องฟ้า เคียฟจึงได้ร้องขอระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติมจากตะวันตกมานานหลายเดือนแล้ว

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่ารายงานที่นำเสนอต่อเพนตากอนลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ระบุว่า ยูเครนกำลังยกระดับการใช้ขีปนาวุธบัคราว 69 ลูกต่อเดือน และขีปนาวุธเอส-300 จำนวน 200 ลูกต่อเดือน ด้วยอัตราการยิงเช่นนี้ กองกำลังยูเครนจะไม่เหลือกระสุนขีปนาวุธบัคใช้งานในช่วงปลายสัปดาห์นี้ และคลังกระสุนขีปนาวุธเอส-300 จะหมดลงในวันที่ 3 พฤษภาคม

การเสาะหาขีปนาวุธสำหรับแพลตฟอร์มอาวุธที่สร้างในยุคสมัยสหภาพโซเวียต ถือเป็นงานยากลำบากอย่างมากสำหรับเคียฟและบรรดาผู้สนับสนุนตะวันตก ทั้งนี้แม้อีกด้านหนึ่ง ยูเครนได้รับระบบต่อต้านอากาศยานไอริส-ที ของเยอรมนี 3 เครื่อง และระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานขั้นสูง NASAMS ของอเมริกา 8 เครื่อง แต่ระบบเหล่านั้นผลาญขีปนาวุธราวๆ 64 ลูกต่อเดือน และด้วยจำนวนที่มีน้อยนิด ทำให้พวกมันมีอาณาเขตไม่ครอบคลุมกว้างขวางเท่าเอส-300 ของยูเครน วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานโดยอ้างเอกสารหลุด

เพื่อชดเชยปัญหาขาดแคลน มีรายงานว่าพวกนักวางแผนด้านการทหารของสหรัฐฯ ประเมินว่ายูเครนจำเป็นต้องการไอริส-ที และ NASAMS อย่างน้อย 16 เครื่อง และระบบขีปนาวุธแพทริออตหรือระบบป้องกันภัยทางอากาศ SAMP-T จำนวน 12 เครื่อง ทั้งนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งอเมริกาอนุมัติประจำการระบบแพทริออต 1 ชุด ส่วนเยอรมนีรับปากอีก 1 ชุด ขณะที่ฝรั่งเศสและอิตาลีสัญญาจะมอบระบบ SAMP-T ชาติละ 1 ชุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีอันไหนที่ส่งถึงมือยูเครนเลย จากคำกล่าวของโฆษกกองทัพยูเครนที่ให้สัมภาษณ์กับวอลล์สตรีทเจอร์นัล

‘ยูเครน’ หาญกล้า เตรียมบุกยึด ‘ไครเมีย’ จากรัสเซีย ด้านหมีขาวไม่หวั่น แอบซุ่มสร้างปราการแน่นหนา

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการเปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งปัจจุบันถูกผนวกดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย พบว่ามีการขุดร่อง และก่อสร้างป้อมปราการในบริเวณยุทธศาสตร์ของเมือง เชื่อว่าเร่งสร้างเพื่อป้องกันเมืองจากการโจมตีทางทหารของกองทัพยูเครน



โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่า ป้อมปราการที่สร้างไว้ จะทำให้ฝ่ายยูเครนตีเมืองไครเมียยากขึ้นกว่าเดิมมาก และหากต้องมีการสู้รบกันจริงๆ ก็จะนองเลือดอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับสมรภูมิเมืองบัคมุต

รัสเซียได้ผนวกดินแดนในคาบสมุทรไครเมียจากผลประชามติเมื่อปี 2014 ก่อนที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบในยูเครนในปี 2022 ซึ่งจนถึงปัจจุบันสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย 

แต่เมื่อช่วงปลายปี 2022 ทั้งโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครน และ วาลารี ซาลาซนี ผู้บังคับบัญชาเหล่าทัพ ได้ออกมาประกาศผ่านสื่อว่า ไครเมียเปรียบเสมือนเขี้ยวเล็บหลักของกองทัพรัสเซียทางตอนใต้ เป็นที่ส่งอาวุธ และ เสบียงต่อไปยังกองทัพรัสเซียที่กระจายพื้นที่อยู่ในยูเครน ดังนั้น ยูเครนจำเป็นต้องบุกยึดคาบสมุทรไครเมียคืนมาให้ได้ และมั่นใจว่าจะสามารถเริ่มแผนปฏิบัติการทวงคืนไครเมียได้ในปี 2023 

และเมื่อสำนักข่าว Aljazeera ได้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเหนือคาบสมุทรยูเครน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม ของปีนี้ ก็พบว่ามีการปรับผังเมืองในไครเมีย วางแนว กั้นเขต สร้างป้อมปราการรอบชายแดนยูเครน คาดว่าใช้เพื่อตั้งรับการบุกของกองทัพยูเครนอย่างเต็มที่

และล่าสุด จากภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อวันที่ 1 เมษายน ก็พบว่ามีการเพิ่มแนวกั้นทางทะเลตลอดชายฝั่งด้านทะเลดำ ซึ่งเป็นที่ตั้งของอู่ต่อเรือของกองทัพรัสเซีย และท่าเรือเซวาสโตโพ ที่มีความสำคัญทั้งในแง่ยุทธศาสตร์ และ เศรษฐกิจ 



อีกทั้ง ยังพบว่ามีการรับสมัครแรงงานในการก่อสร้างป้อมปราการต่างในไครเมียอย่างเร่งด่วนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ด้วยปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ก็เลยทำให้แนวก่อสร้างที่เห็นในภาพถ่ายยังไม่มีจุดใดเลยที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ 100% 

เซ็ด เฟนทราช นักวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์และความมั่นคง ได้แสดงความเห็นว่า กองทัพรัสเซียพยายามหาข้อได้เปรียบจากภูมิประเทศ และ ชุมชนที่มีอยู่แล้ว เพื่อสร้างแนวป้องกันตลอดถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ศูนย์กลางของไครเมีย และเมื่อใดก็ตามที่รัสเซียขอเป็นฝ่ายตั้งรับ จะเหนียวแน่นมาก ยากที่จะหักยึดได้โดยง่าย ดั่งเช่นที่กองทัพยูเครนเคยลิ้มรสมาแล้วในพื้นที่ บัคมุท โดเนสก์ และ ลูฮันส์ค 

หากแนวกั้น และป้อมปราการในจุดสำคัญสามารถสร้างได้อย่างแล้วเสร็จ การบุกของกองทัพยูเครนยิ่งจะทำได้ยากขึ้น และจะต้องเป็นการสู้รบที่เดือดพล่าน ที่มีการสูญเสียมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เช็กแถวทหารในเขตยึดครอง 'เคอร์ชอน-ลูฮันส์ค' หลังกองทัพยูเครนประกาศเตรียมบุกตีเมือง

(19 เม.ย.66) รัฐบาลเครมลินเผยแพร่คลิปวิดีโอ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ขณะเดินทางเยี่ยมผู้บังคับบัญชา และกองทหารรัสเซีย ในเขตยึดครองที่เคอร์ชอน และ ลูฮันส์ค เมื่อวันอังคาร (18 เมษายน 66) ที่ผ่านมา แต่ไม่ยืนยันว่าผู้นำรัสเซียได้เดินทางไปเขตด่านหน้าจริงๆ ในวันใด

โดยปูตินเดินทางมาถึงพื้นที่ในเขต เคอร์ชอน และ ลูฮันส์ค ด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อฟังรายงานสถานการณ์สู้รบของกองทัพรัสเซียในยูเครน และเยี่ยมเยียนกองทหารเนื่องในโอกาสฉลองเทศกาลอีสเตอร์ของนิกายออร์โธดอกซ์ 

ปูตินกล่าวว่า - เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับตัวเขาที่ต้องมาฟังความเห็น และแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรงกันคนที่ประจำอยู่แถวหน้าด้วยตัวเอง 

แม้ปูตินจะแทบไม่เคยเดินทางออกจากรัสเซียเลยตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน โดยเฉพาะ พื้นที่ เมืองเคอร์ชอน ลูฮันส์ค โดเนสค์ ซาโปริซเซีย ที่รัสเซียเพิ่งประกาศผนวกดินแดนในเดือนกันยายน 2565 ที่ทำให้รัสเซียถูกประณามว่าเป็นการยึดครองดินแดนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

แต่เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ผู้นำรัสเซียได้เดินทางไปเยือนไครเมีย ตามด้วย มาริอูโปล และเป็นครั้งแรกที่ปูตินมาเยือนเมืองในเขตยึดครองยูเครนถึง 2 เมือง และเกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพยูเครนประกาศเตรียมพร้อมที่จะโจมตีครั้งใหม่เพื่อยึดคืนดินแดน

‘รัสเซีย’ ชี้!! ‘สหรัฐฯ-ยูเครน’ ร่วมกันวางแผนปลิดชีพ ‘ปูติน’ หลังเกิดเหตุ ‘โดรน’ โจมตีทำเนียบเครมลินในกรุงมอสโก

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, มอสโก/วอชิงตัน รายงานว่า นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินของประเทศรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียมีหลักฐานบ่งชี้ว่า ‘สหรัฐฯ และยูเครน’ อยู่เบื้องหลังเหตุอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนโจมตีทำเนียบฯ เมื่อไม่นานนี้

เพสคอฟ กล่าวว่า รัสเซียได้รับข้อมูลจากหน่วยงานพิเศษ ซึ่งเกี่ยวกับความพยายามโจมตีทำเนียบฯ ด้วยโดรนเมื่อวันพุธ (3 พ.ค.) โดยสหรัฐฯ ควรรู้ว่า รัสเซียตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในเหตุก่อการร้ายดังกล่าว และสหรัฐฯ ต้องเข้าใจว่ามันอันตรายเพียงใด

เมื่อวันพุธ (3 พ.ค.) สำนักประชาสัมพันธ์ประจำประธานาธิบดีรัสเซีย ระบุว่า ยูเครนพยายามลอบสังหารวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ด้วยการใช้โดรน 2 ลำ โจมตีทำเนียบฯ ซึ่งหน่วยงานทางทหารและหน่วยงานพิเศษสามารถยับยั้ง โดรนทั้ง 2 ด้วยยุทธวิธีทางเรดาร์

‘เจ้าสั่วสหพัฒน์’ เผย ห่วงนโยบายขึ้นค่าแรง ว่าที่รัฐบาลใหม่ หวั่น ผู้นำบริหารงานไม่เป็น อาจทำประเทศ เป็นเหมือนยูเครน

‘เจ้าสัวสหพัฒน์’ ให้การบ้านรัฐบาลใหม่เร่งพัฒนาเศรษฐกิจ เผยเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของ ‘ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่’ หวั่นทำนักลงทุนย้ายฐานการผลิต ยันไม่ติดใจหากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อย เชื่อสถานการณ์ความมั่งคงของไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ห่วงผู้นำประเทศบริหารงานไม่เป็น อาจกลายเป็นเหมือนยูเครน

เมื่อไม่นานมานี้ รายงานข่าวแจ้งว่า นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ยอมรับว่าเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากหากค่าแรงพุ่งสูงอาจส่งผลให้นักลงทุนเบนเข็มย้ายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ที่ถึงแม้ไม่ได้ขึ้นค่าแรงก็มีการย้ายออกไปที่เวียดนามแล้ว อีกทั้งการขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

ส่วนนโยบายการทลายทุนผูกขาดและเก็บภาษีความมั่งคั่ง ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการ เรื่องนี้นายบุณยสิทธิ์มองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะเป็นแนวทางที่เหมือนกันทั้งโลก ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรคตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 7 คณะ และหนึ่งในปัญหาที่จะแก้คือเรื่องเศรษฐกิจ มองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ยังไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาในรูปแบบใด ขณะที่การตั้งรัฐบาลที่อาจจะมีความล่าช้า มองว่าไม่น่ากังวลและไม่กระทบต่อการลงทุน และคิดว่าประเทศไทยยังดีกว่าประเทศอื่น

พร้อมกันนี้ ได้ฝากการบ้านไปยังว่าที่รัฐบาลใหม่ คือ เร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้คนมีการศึกษา ให้คนมีงานทำ เช่น การพัฒนาด้านการเกษตรให้มีราคาสูงขึ้น คนที่ทำการเกษตรก็จะมีรายได้เทียบเท่ากับคนที่ทำอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไม่มีคนว่างงาน ตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าเกษตรลดลง คนก็จะหนีจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และก็จะมีปัญหาเรื่องค่าแรงอีก ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด

นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จะมีไอเดียแบบใหม่ ทำอะไรเร็วขึ้น ส่วนคนที่มีอายุมากก็จะมีความรอบคอบ แต่อาจทำงานช้า เพราะฉะนั้นถ้ามีคนรุ่นใหม่มาก็จะเป็นจุดเด่น ในต่างประเทศก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงบางประเทศก็มีผู้หญิง ทั่วโลกก็มีการเปลี่ยนแปลง จึงเชื่อว่าเรื่องอายุไม่เกี่ยวอะไร อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้เปรียบเสมือนขับรถหรูรถมัสแตง แต่ยังต้องให้ความสำคัญและระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่การทำธุรกิจในยุคนี้ต้องรู้จักปรับตัว โดยบริษัทเอกชนก็สามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาก็พร้อมที่จะร่วมมือ และปรับตัวเช่นกัน

“ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกของการทำธุรกิจปีนี้ คือความมั่นคงของประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองของไทย เข้าใจว่าเมืองไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ผมห่วงคนผู้นำประเทศบริหารไม่เป็นและทำให้เป็นเหมือนประเทศยูเครน” นายบุณยสิทธ์กล่าว

‘ดร.เจษฎา’ เปรียบ ‘พิธา ก้าวไกล’ เหมือน ‘ประธานาธิบดียูเครน’ ที่ใช้ความสามารถแก้ไขปัญหาการเมือง จนครองใจ ปชช.ได้สำเร็จ

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ชื่อ ‘Jessada Denduangboripant’ โดยระบุว่า…

ถ้าบอกว่า ‘คุณพิธา ก้าวไกล’ เท่ากับ ‘ประธานาธิบดีเซเลน สกี ยูเครน’ … ผมถือว่าเป็นการยกย่องให้เกียรติและให้พรกับคุณพิธานะครับ

เพราะสำหรับผม เซเลน สกี เป็นผู้นำที่กล้าหาญ และประสบความสำเร็จในการป้องกันรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศยูเครน และน่าจะเป็นอีกหนึ่งตำนานผู้นำที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องต่อไป ในหน้าประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ อีก 10-20 ปีข้างหน้า

เหล่าสลิ่มสยามมินสกี ชอบเอาเรื่องที่ ปธน. เซเลน สกี เคยเป็นนักแสดงมาก่อน เอามาล้อเลียนว่าเป็น ‘ตัวตลก ที่มาเป็นผู้นำทัพ’

ซึ่งนั่นก็คือ การหาเรื่องเหยียดหยาม ด้อยค่าคนอื่น โดยไม่ดูที่ข้อมูลประกอบว่าจริงๆ แล้ว อดีต ‘ตัวตลก’ คนนี้ มีพื้นฐานทางการศึกษาปริญญาตรีทางกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยเศรษฐกิจแห่งชาติ กรุงเคียฟ อันมีชื่อเสียง และด้วยความที่เค้ามีพรสวรรค์ในด้านงานแสดง จึงได้หันเห มาทำอาชีพด้านบันเทิงในบทบาทของ ‘ดาราตลก’ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง

พร้อมไปกับการทำธุรกิจบริษัทโปรดักชัน ผู้ผลิตภาพยนตร์ การ์ตูน และรายการโทรทัศน์ จนประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งด้านรายได้และได้รางวัลต่างๆ มากกว่า 30 รางวัล ทั้งจากในประเทศและจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ และเวทีสื่อต่างๆ

(เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับ คุณปัญญา นิรันดร์กุล ที่จบคณะสถาปัตยกรรม จุฬาฯ แต่ผันตัวมาโด่งดังจากการเป็นดารานักแสดงตลก แล้วทำธุรกิจด้านบันเทิง จนประสบความสำเร็จกับเวิร์กพอยท์ที่ยิ่งใหญ่จนถึงวันนี้)

และเมื่อประสบความสำเร็จทั้งด้านการแสดงและด้านธุรกิจแล้ว เซเลน สกี ก็ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยใช้รูปแบบการออกทัวร์แสดงและใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลัก เน้นการแก้ไขปัญหาทุจริต และยุติความขัดแย้งของกบฏในแคว้นทางตะวันออกของประเทศ จนติดอันดับต้น ๆ ของโพลเลือกตั้ง และสุดท้ายก็ชนะการเลือกตั้งไปอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงถึง 73.2%!!

เมื่อเลือกตั้งเสร็จ มีอดีตผู้นำทางการเมืองของยูเครน ได้ปรามาสเซเลน สกีไว้ว่า เขาจะทำให้ยูเครนกลับไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซียอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง และเป็นคนที่พื้นเพเดิม เกิดมาพูดภาษารัสเซีย เติบโตในภาคตะวันออกของยูเครนที่นิยมรัสเซียด้วยซ้ำ

แต่กลายเป็นว่า เซเลน สกีได้สร้างรัฐบาลที่มีความเป็นเอกภาพ พยายามวางตัวอยู่ตรงกลางระหว่างเกมของมหาอำนาจ และไม่ยอมตามความต้องการเป๊ะๆ ของรัสเซียและสหรัฐอเมริกา 

โดยเขาพยายามที่จะอิงไปทางสหภาพยุโรป ด้วยการสนับสนุนให้ยูเครนเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) และ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือเนโต้ (NATO) และ ผ่านแนวทางการขอประชามติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวยูเครน ซึ่งจากโพล ประชาชนยูเครนกว่า 88% สนับสนุนการเข้าร่วมกับ EU และ 83% สนับสนุนการเข้าร่วม NATO (ซึ่งผลโพลนี้เริ่มพุ่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 )

ต้องอย่าลืมว่า จริง ๆ แล้ว รัสเซียบุกเข้ามารุกรานประเทศยูเครน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 จนยึดคาบสมุทรไครเมียของยูเครนไปแล้ว นั่นคือ รัสเซียก่อสงครามมานานหลายปีแล้ว ก่อนที่เซเลน สกีจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี 2019 ไม่ใช่ว่าเซเลน สกี คือสาเหตุที่ยั่วยุให้รัสเซียเริ่มก่อสงคราม
การที่กองทัพรัสเซีย ภายใต้การนำของจอมเผด็จการปูติน ยกกำลังมากมายเข้ามาบุกประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 นั้น ก็เพียงเพราะปูตินต้องการจะยึดครองยูเครน ต้องการจะขยายอาณาจักรรัสเซียออกไปตามความฝันของตัวเอง ที่เหลือก็แค่เอาสารพัดเรื่องมาอ้างๆๆ ไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ยอมรับว่ายูเครนเป็นประเทศที่มีเอกราช มีอธิปไตยเป็นของตนเอง แต่มองว่าเป็นอดีตอาณานิคมของจักรวรรดิรัสเซีย ที่ต้องไปยึดกลับมารวมกัน

การที่ปูตินเอาเรื่องที่ยูเครนอยากจะเข้าร่วมกับ EU และ NATO มาอ้างให้เป็นเหตุต้องบุกเข้าไปยึดประเทศอื่นนั้น ก็เป็นเรื่องตอแหลมากๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่ามันเป็นกระบวนการที่ปรกติต้องใช้เวลายาวนานหลายปี (อาจเป็นสิบปี) ถึงจะทำได้สำเร็จ หรือถ้าแค่ประเทศสมาชิกคัดค้านซักประเทศเดียว ยูเครนก็เข้าร่วมกับเนโต้ไม่ได้แล้ว… ไม่ใช่ว่าต้องรีบยกทัพไปรุกรานเขา

การรุกรานบูรณภาพของดินแดนยูเครน ของรัสเซียนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า เป็นการละเมิดกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ จำนวนหลายฉบับ ไม่ว่าจะกฎบัตรสหประชาชาติ (UN) สัญญา Budapest Memorandum (ปี 1994 ที่ยูเครนยอมคืนระเบิดนิวเคลียร์ทั้งหมดให้รัสเซีย เพื่อแลกกับการไม่รุกราน), สัญญา Treaty of Friendship (ปี 1997), รวมไปถึงสัญญา Minsk II (ปี 2015) ที่มีข้อผูกมัดให้รัสเซียถอนทหารตัวเองออกจากยูเครน คืนการควบคุมชายแดนให้รัฐบาลในเคียฟ และให้ยูเครนจัดการเลือกตั้งทำประชาติในแคว้นดอนบาส // ในขณะที่ ยูเครนเองไม่เคยมีการทำสัญญาลงนามอะไร เรื่องที่ห้ามเข้าร่วม NATO เหมือนอย่างที่สลิ่มสยามมินสกีบางคน เอามาอ้างจากไหนก็ไม่รู้

และเมื่อกองทัพรัสเซียของปูติน เข้ารุกรานยูเครน พยายามบุกเข้ายึดกรุงเคียฟ ในปี 2022 ประธานาธิบดีเซเลน สกี ก็ได้กลายเป็นผู้นำที่ประชาชนชาวยูเครนศรัทธายิ่งขึ้นไปอีก จากการที่ไม่หลบหนีออกนอกประเทศ ตามที่ปูตินและแม้แต่ผู้นำชาติตะวันตกอื่นๆ คาดกัน (และจะทำให้รัสเซียยึดยูเครนได้ใน 3 วันตามที่ปูตินวางแผนไว้) แต่กลับไม่หนีไปไหน พร้อมทั้งปล่อยคลิปวิดีโอในคืนวันถัดมา กล่าวว่า

“อย่าเชื่อข่าวปลอม ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่วางอาวุธ เราจะปกป้องประเทศของเรา เพราะอาวุธของเราคือความจริง และที่นี่คือ ผืนแผ่นดินของเรา ประเทศของเรา ลูกหลานของเรา พวกเราจะปกป้องสิ่งเหล่านี้ และนี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกคุณ ยูเครนจงเจริญ​”

เซเลน สกี ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารและประชาชนชาวยูเครน ที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อเอกราช แม้ว่ากองกำลังรัสเซียจะกำลังรุกคืบหน้าเข้าสู่กรุงเคียฟ ทั้งเซเลน สกีและคนยูเครนเอง ไม่คิดที่จะยอมแพ้ ยอมเจรจาแลกดินแดนยูเครนให้กับความสงบจอมปลอม ที่ปูตินจะมอบให้ เพราะรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้รัสเซียเข้ามาปกครอง ก็จะถูกปล้นสะดม เข่นฆ่า สูญเสียอิสรภาพและประชาธิปไตยไปเหมือนกับในหลายๆ เมือง ตลอดเส้นทางที่กองทัพรัสเซียบุกยึดได้

แต่ในทางกลับกัน ปธน. เซเลน สกี ได้ใช้ความสามารถในการสื่อสารที่มักจะกระชับ ทรงพลัง และกินใจผู้ฟัง ให้เป็นอาวุธสำคัญที่พลิกเกม จากประเทศที่อ่อนด้อยทางการทหารให้สามารถยันกับประเทศมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 2 ของโลก ได้เป็นเวลาแรมปี ด้วยการสื่อสารไปยังชาติอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร โดยเฉพาะกับประเทศในยุโรป ดังตัวอย่างเช่น สุนทรพจน์ที่ว่า

“เรากำลังต่อสู้เพื่อเป็นสมาชิกที่เท่าเทียมของยุโรป จงพิสูจน์ว่าคุณอยู่กับเรา จงพิสูจน์ว่าคุณจะไม่ปล่อยเราไป จงพิสูจน์ว่าคุณเป็นคนยุโรป จริง ๆ แล้วชีวิตจะชนะความตาย และแสงสว่างจะชนะความมืด”

จนชาติพันธมิตรต่างๆ ทั้งในสหภาพยุโรปและในเนโต้ รับปากจะจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครน นานตราบเท่าที่ยูเครนต้องการใช้ เพื่อต่อสู้กับรัสเซีย

ดังนั้น แม้ว่าใครจะมองว่า ปธน. เซเลน สกี คือ อดีตดาราตลก เค้าก็เป็นอดีตดาราตลกที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถนำพาประเทศต่อสู้กับวิกฤติ จากเงื้อมมือของอริราชศัตรูที่เหนือกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เป็นกำลังใจสำคัญ ของชาวยูเครนในช่วงเวลาอันมืดมิด ให้พอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ย้อนกลับมาเรื่องคุณพิธา ผมก็ไม่ได้เห็นว่าทางพรรคก้าวไกลเค้ามีนโยบายอะไรที่จะทำให้ไทยเราต้องโดน ‘ประเทศมหาอำนาจ’ เข้ามาบุกยึดครองแบบที่รัสเซียบุกยูเครน… ที่เห็นยกๆ กันมาด่า (เช่น เรื่องจะตั้งฐานทัพอเมริกาในไทย เรื่อง นาโต้ 2 เรื่องสงครามตัวแทน ฯลฯ) ก็มโน อุปาทาน ปั่นข่าวกันไปเองทั้งนั้น

ซ้ำร้าย การที่เราอิงแอบแต่จีน แบบที่รัฐบาลประยุทธ และ คสช. ทำมาในอดีต และจะทำต่อไปในอนาคต ต่างหาก ที่อาจจะทำให้เสียสมดุลย์อำนาจทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคนี้ จนเกิดปัญหาขึ้นตามมาได้

สรุปว่า ถ้ามีความพยายามจะผูกคุณพิธา เข้ากับ ปธน.เซเลน สกี โดยอ้างว่าจะเป็นการทำให้ไทยเราเกิดสงครามขึ้นในอนาคตเหมือนกับยูเครน ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องมั่วมาก (และดูน่ารังเกียจด้วยกับการเล่นอะไรแบบนี้)

ขณะที่จริงๆ แล้ว ถ้าคุณพิธา สามารถจะกลายเป็นผู้นำที่ครองใจและเป็นที่พึ่งของคนส่วนใหญ่ในประเทศ พร้อมทั้งมีความสามารถในการหาพันธมิตรมาช่วยเหลือได้ ในยามที่ประเทศเกิดวิกฤติขึ้น แบบที่เซเลน สกีทำ ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากครับ

ปล.โพสต์นี้น่าจะเรียกทัวร์จากเหล่าสลิ่มสยามมินสกีได้เยอะเลยนะ แต่ผมไม่แคร์ ฮะๆ

‘ทหารสหรัฐฯ’ ยอมรับ ‘ยูเครน’ เผชิญความยากลำบากในการสู้รบ ชี้!! สงครามทวงคืนดินแดนครั้งนี้ไม่คุ้มกับราคาที่ต้องจ่าย

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 66 หลังจากเล่นบทป๋าทุ่มทั้งเงินและอาวุธเพียบช่วยยูเครน วันนี้อเมริกาหน้าจ๋อย บรรดาเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐฯ ยอมรับว่ายูเครนกำลังเผชิญการสู้รบที่ยากลำบาก ปฏิบัติการทวงคืนดินแดนกลับครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องชดใช้ราคาแพง

คำประเมินของสหรัฐฯ ต่อปฏิบัติการตีโต้กลับของเคียฟ มีขึ้นในขณะที่พวกนักรบเชเชน บอกว่า พวกเขาได้เข้าประจำการในแคว้นเบลโกร็อดของรัสเซีย ที่มีชายแดนติดกับยูเครน เพื่อป้องกันการโจมตีของกลุ่มหัวรุนแรงรัสเซียที่ฝักใฝ่ยูเครน

‘ลอยด์ ออสติน’ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ บอกกับที่ประชุมว่า เคียฟจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และยูเครนต้องการอาวุธมากกว่าเดิม ยูเครนยังเหลือพลานุภาพการโจมตีอีกมากสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับ แม้ประสบความสูญเสียในเบื้องต้นจากฝีมือของรัสเซีย

มอสโกเผยแพร่วิดีโอเป็นภาพรถถังเลพเพิร์ดของเยอรมนี และยานต่อสู้แบรนด์ลีย์ ที่บริจาคโดยสหรัฐฯ หลายคัน อ้างว่าสามารถยึดมาได้ ทั้งที่ปฏิบัติการตีโต้ทวงคืนดินแดนจากรัสเซียของยูเครนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น พ.อ.โอเล็กซี ฮโรมอฟ แห่งกองทัพยูเครนว่าจนถึงตอนนี้ยูเครนสามารถทวงคืนถิ่นพักอาศัยทางภาคใต้มาได้ 7 แห่ง และรุกคืบยึดดินแดนคืนมาได้ 100 ตารางกิโลเมตร

บททดสอบสำคัญของปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับของยูเครนยังคงรออยู่เบื้องหน้า ในขณะที่ทหารเคียฟยังบุกไปไม่ถึงป้อมปราการป้องกันตนเองที่หนาแน่นที่สุดของรัสเซีย เคียฟเชื่อว่าจำเป็นต้องตระเตรียมกองกำลังโจมตีราว 12 กองพัน แต่ละกองพันมีทหารหลายพันนาย และใช้ยานยนต์หุ้มกราะของตะวันตกที่เพิ่งมาถึงล่าสุด

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยืนยันเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า กองกำลังยูเครนประสบความสูญเสียมากกว่ารัสเซียถึง 10 เท่า และบอกว่าปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนล้มเหลว

วิกฤตที่เกิดขึ้นในรัสเซีย ‘The Wild Chronicles’ สรุปให้ฟังสั้นๆ แบบเข้าใจง่าย

เพจเฟซบุ๊ก The Wild Chronicles ได้โพสต์ข้อความสรุปเหตุการณ์ วิกฤตกบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซีย ไว้โดยมีใจความว่า ...

สรุป : วิกฤตกบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซียแบบเข้าใจง่าย

1. ประธานาธิบดีรัสเซียนาม ปูติน นั้นเลี้ยงขุนศึกไว้หลายคน และปกติจะปล่อยให้เหล่าขุนศึกทำงานซ้ำซ้อนกัน เชื่อว่าเพื่อให้ทะเลาะกันเอง ชิงกันสร้างความดีความชอบ 

2. ในจำนวนนั้น มีขุนศึกคนหนึ่งชื่อ พรีโกชิน ...แบคกราวน์เป็นเจ้าพ่อ ต่อมาได้เป็นผู้นำกองกำลังวากเนอร์

3. วากเนอร์นั้นฉากหน้าเป็นบริษัททหารรับจ้าง (ซึ่งจริงๆ ผิดกฎหมายรัสเซีย) ในความจริงเป็นที่ทราบกันว่า มันคือกองกำลังส่วนตัวของปูติน เอาไว้ใช้ทำงานที่กองทัพรัฐบาลไม่สะดวกทำเอง

4. ในสงครามยูเครน ทัพวากเนอร์มาช่วยรบด้วย พวกเขาเป็นหน่วยที่รบเก่งของรัสเซีย ก่อนหน้านี้มีผลงานสำคัญในการตีเมืองบักมุต จึงกลายเป็นดาวรุ่งในวงการทหาร

5. พรีโกชินเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐมตรีกลาโหมรัสเซียนาม ชอยกู ...พรีโกชินตำหนิชอยกูบ่อยๆ ว่าส่งเสบียงอาวุธมาสนับสนุนพวกเขาไม่เต็มที่

6. พรีโกชินชอบออกสื่อโซเชียล ให้สัมภาษณ์ทั้งโม้ ทั้งเหยียบย่ำคนอื่น ทั้งเปิดเผยข้อมูลภายใน ทำให้พวกกลาโหมรัสเซียเกลียดมาก

7. ที่ผ่านมานั้น ระหว่างวากเนอร์กับทหารปกติมีกระแสเหยียดกันเองโดยเปิดเผย วากเนอร์เหยียดว่าทหารปกติรบไม่เก่ง ทหารปกติเหยียดว่าพวกวากเนอร์เป็นกุ๊ยโฉ่งฉ่าง ความขัดแย้งนี้พัฒนามาเรื่อยๆ

8. เชื่อว่าชอยกูระแวงว่าวากเนอร์จะแข็งแกร่งจนคุมไม่ได้ จึงออกคำสั่งให้ทหารวากเนอร์ทั้งหมดขึ้นทะเบียนเข้ากองทัพรัสเซีย ทั้งนี้เพื่อสลายอำนาจพรีโกชิน

9. คืนวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา ไม่นานหลังชอยกูออกคำสั่งขึ้นทะเบียนวากเนอร์ ก็มีข่าวลือว่าทัพรัสเซียโจมตีค่ายของวากเนอร์ มีทหารล้มตายเป็นอันมาก

10. วันที่ 24 มิ.ย. พรีโกชินบอกว่าข่าวลือข้อที่แล้วคือความจริง คนของเขาถูกทิ้งบอมสังหารไป 2,000 คน และเขาจะเคลื่อนพลไปทำลายชอยกูที่กำลังอยู่ในเขตรอสตอฟเพื่อแก้แค้น เขาบอกว่า "นี่ไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เราคือทัพแห่งความยุติธรรม" และ "จะทำลายทุกคนที่ขัดขวาง"

11.  นายพลรัสเซียที่สนิทกับพรีโกชินพยายามไกล่เกลี่ยหาทางลงให้ทั้งสองฝ่าย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล

12. พวกวากเนอร์ยึดเมืองรอสตอฟออนดอนไว้ได้ เมืองนี้มีความสำคัญในฐานะเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการหลักของรัสเซียในการทำสงครามยูเครน

13. พรีโกชินบอกว่าจะยอมคืนเมืองให้ถ้าทางการรัสเซียจับรัฐมนตรีกลาโหมชอยกู และนายพลเกราซิมอฟผู้บัญชาการศึกยูเครน มัดตัวมาถวายเขา...หาไม่แล้วเขาจะกรีฑาทัพไปทวงความเป็นธรรมถึงกรุงมอสโก!

14. ทางการรัสเซียประกาศว่านี่มันคือการกบฏชัดๆ!

15. ทางการรัสเซียมีการประกาศให้ประชาชนที่อาศัยตามบริเวณที่เชื่อว่าเป็นทางผ่านของทัพวากเนอร์ให้หลบเข้าบ้าน อยู่ในความสงบ

16. ปูตินประกาศว่าพรีโกชินเป็นกบฏและต้องได้รับการลงโทษ! การประกาศนี้ทำให้เห็นว่าปูตินเลือกข้าง จากที่ก่อนนี้ทำตัวลอยๆ เหนือการทะเลาะของลูกน้อง

17. พรีโกชินด่าปูตินว่า "ไอ้ห- " (ก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าด่าปูตินมาก่อน)

18. ตลอดวันที่ 24 มิ.ย. มีข่าวทัพวากเนอร์เคลื่อนพลเข้าใกล้มอสโกมากขึ้นเรื่อยๆ...มีข่าวการต่อสู้และฟุตเทจหลุดมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเครื่องบินมาทิ้งบอมและถูกสอย

19. แต่การเคลื่อนทัพของวากเนอร์ค่อนข้างง่าย ทหารรัสเซียตามรายทางมักวางอาวุธ ยอมจำนน มิได้ต่อต้าน

20. ตลอดวันมีข่าวว่ารัฐบาลรัสเซียระดมกำลังเข้ามอสโกเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย และมีการปราบปรามทำลายสำนักงาน และป้ายของวากเนอร์ในที่ต่างๆ

21. มีข่าวว่าชนชั้นสูงในมอสโกพากันหลบหนีเพราะทหารรักษาเมืองนั้นมีกำลังน้อย จนน่าจะสู้วากเนอร์ไม่ได้ (พวกทหารถูกให้ไปรบในยูเครนกันมาก) 

22. มีข่าวลือว่าปูตินหลบหนี ข่าวลือนี้เกิดจากมีเครื่องบินของปูตินบินขึ้น และตัดสัญญานเรดาร์ไม่ให้ใครรู้ว่าไปไหน

23. ตอนค่ำๆประธานาธิบดีลูคาเชนโกของเบลารุสซึ่งเป็นมิตรกับรัสเซียมานาน ประกาศว่าได้เจรจาไกล่เกลี่ยกับพรีโกชินเป็นผลสำเร็จ โดยเงื่อนไขการเจรจาจะมีการอภัยโทษให้พรีโกชินและทหารวากเนอร์ รายละเอียดมากกว่านี้ยังไม่ถูกเปิดเผย

24. พรีโกชินประกาศตามมาว่าจะถอยทัพผ่านโซเชียล ขณะที่ทัพวากเนอร์ของเขาเข้าใกล้มอสโกในระยะ 200 กิโลเมตรแล้ว

25. เขาบอกว่าจะถอนกำลังกลับไปฐานที่มั่นในยูเครนเพื่อป้องกันการเสียเลือดเนื้อของชาวรัสเซีย

26. ทหารวากเนอร์ถอยทัพจริง

27. ทางการรัสเซียยอมตามการเจรจาของลูคาเชนโก

28. ทางการรัสเซียแถลงผลการเจรจาออกมาแบบนี้

(1) ข้อกล่าวหาที่ว่าพรีโกชินเป็นกบฏจะถูกยกเลิกไป และพรีโกชินจะได้ลี้ภัยไปเบลารุส

(2) นักรบวากเนอร์ที่มิได้มีส่วนร่วมกับการจลาจลจะได้รับทางเลือกให้สามารถเข้าร่วมเป็นทหารของทัพรัฐบาลรัสเซีย 

(3) สำหรับนักรบที่มีส่วนร่วมกับการจลาจลจะได้รับการอภัยโทษ 

ทั้งหมดนี้ทำอย่างปราณีเพื่อเห็นแก่ความดีความชอบที่คนในข้อ (1)-(3) เคยรบในยูเครนมา ...และเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดซึ่งอาจเกิดขึ้น

น่าสังเกตว่า ไม่มีการเอ่ยถึงชะตากรรมของรัฐมนตรีกลาโหมชอยกู 

และเทเลแกรมโปรสงครามของรัสเซียบอกว่ามีทหารรัสเซียถูกวากเนอร์สังหารไปในรอบนี้ 13-20 นาย ถ้าปล่อยไปเฉยๆ ทัพรัสเซียจะเสียเกียรติยศ

เพจเฟซบุ๊ก การทูตและการทหาร Military & Diplomacy โพสต์ข้อความ สรุปจุดจบบริษัททหารรับจ้าง ‘วากเนอร์’

เพจเฟซบุ๊ก การทูตและการทหาร Military & Diplomacy ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์ กบฏวากเนอร์ที่เกิดในรัสเซีย ไว้โดยมีใจความว่า ...

จุดจบบริษัททหารรับจ้างวากเนอร์

เบื้องต้นเงื่อนไขที่ประธานาธิบดี Alexander Lukashenko ของเบลารุสเป็นคนกลางเจรจากับนาย Yevgeny Prigozhin เจ้าของบริษัททหารรับจ้าง Wagner และต่อมานาย Dmitry Peskov โฆษกเครมลินออกมาแถลงเพิ่มเติม สรุปคร่าวๆได้ประมาณนี้ครับ

1. ทหารรับจ้างวากเนอร์ยอมถอนกำลังกลับที่ตั้ง รัฐบาลรัสเซียจะไม่ดำเนินคดีกับกำลังพลของวากเนอร์ เนื่องจากมีความดีความชอบมาก่อน แต่หลังจากนี้กำลังพลของวากเนอร์ต้องอยู่ภายใต้กลาโหมรัสเซียแล้ว ตรงจุดนี้รายละเอียดยังไม่ชัดเจนว่าแค่ให้เซ็นสัญญากับกลาโหมให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าจะยุบบริษัทแล้วดึงกำลังพลของวากเนอร์มาเป็นทหารรัสเซียเลย

2. นาย Yevgeny Prigozhin จะเดินทางออกนอกประเทศไปอยู่เบลารุส (Lukashenko รู้จัก Prigozhin เลยเป็นคนกลางเจรจาได้) โดยปูตินรับรองความปลอดภัยให้ จะไม่มีการดำเนินคดีกับ Prigozhin

3. ระหว่างการเจรจา ไม่มีการตกลงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายทหารระดับสูงในกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด กล่าวคือปูตินไม่ปลด Shoigu หรือ Gerasimov ตามที่วากเนอร์เรียกร้อง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่มีการโยกย้ายตำแหน่งใดๆเลยนะครับ แต่ "ถ้าจะมี" ปูตินในฐานะประธานาธิบดีและผู้บัญชาการสูงสุดจะเป็นคนสั่งการเอง ไม่ให้ทหารรับจ้างมากดดันได้ ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าจะมีการแต่งตั้ง Surovikin แทน แต่รอดูประกาศเป็นทางการก่อนครับ

4. ปฏิบัติการพิเศษในยูเครนดำเนินต่อไปตามปกติ

สำหรับสาเหตุที่วากเนอร์ยอมถอย ทั้งที่อีกประมาณ 200 กิโลเมตรก็จะถึงกรุงมอสโกแล้ว เท่าที่ผมมีข้อมูลคือกำลังพลของวากเนอร์เกือบครึ่งไม่เห็นด้วยกับการก่อกบฏตั้งแต่แรก และระหว่างที่เหตุการณ์ดำเนินไป ก็มีคนถอนตัวมากขึ้น สุดท้ายกำลังพลจึงไม่พอจะสู้กับฝ่ายรัฐบาลรัสเซียที่มีกำลังพลทั้ง Rosgvardia (National Guard) ตำรวจ กองกำลังเชเชน และหน่วยทหารรัสเซียจากพื้นที่อื่นๆที่ทยอยเดินทางมาสมทบ ปิดล้อมสกัดเส้นทางของวากเนอร์ได้ สุดท้ายจึงมีการเจรจาโดยให้ Lukashenko มาเป็นคนกลาง เปิดทางถอยให้วากเนอร์ เนื่องจากทุกฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงการนองเลือด ด้วยเหตุนี้แม้จะเกิดความสูญเสียบ้างจากการปะทะกันก่อนหน้านี้ แต่เหตุการณ์ก็ไม่บานปลายถึงขนาดเป็นสงครามกลางเมือง

ไม่น่าเชื่อว่าเราได้เห็นประวัติศาสตร์ The Rise and Fall of the Wagner PMC สูงสุดคืนสู่สามัญ ภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ โพสต์ข้อความเตือน การไล่ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ พ้นจากอำนาจ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้าย

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ สาดน้ำเย็นดับความหวังของตะวันตกที่ว่าเหตุความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทหารรับจ้าง "วากเนอร์" กับบรรดานายพลระดับสูงของรัสเซีย อาจนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลมอสโก พร้อมเตือนว่าการขจัดประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน พ้นจากอำนาจ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์เลวร้ายโดยไม่เจตนา

."มันคือความยุ่งเหยิงครั้งใหญ่ในรัสเซีย แต่จงระมัดระวังกับสิ่งที่คุณปรารถนา" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบน Truth Social สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันเสาร์ (24 มิ.ย.) "ถัดจากนี้อาจเลวร้ายกว่ามาก"

ทั้งนี้ ความคิดเห็นดังกล่าวของ ทรัมป์ ต่อสถานการณ์ความไม่สงบในรัสเซีย มีขึ้นก่อนหน้าที่ เยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำของกลุ่มวากเนอร์ ตกลงยุติการก่อกบฏ และระงับการเดินทัพมุ่งหน้าสู่มอสโก โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวที่ทำกับเครมลิน อดีตพันธมิตรของปูตินรายนี้ จะเดินทางออกจากรัสเซียไปยังเบลารุส และจะไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ

ท่ามกลางเสียงยินดีปรีดาที่จบลงเพียงเวลาไม่นานของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ต่อการลุกฮือของกลุ่มวากเนอร์ แต่บรรดาผู้สนับสนุนตะวันตกของเขาระงับไว้ซึ่งการแสดงออกอย่างเปิดเผยต่อความเป็นไปได้ของการโค่นล้มรัฐบาลปูติน โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลยูเครน มีรายงานเพียงว่า "ได้ปรึกษาหารือกับบรรดาพันธมิตรและคู่หู" เกี่ยวกับสถานการณ์ในมอสโก

อย่างไรก็ตาม บรรดาสื่อมวลชนตะวันตกแสดงออกอย่างชัดเจนมากกว่า โดยอวดอ้างว่าการลุกฮือของวาเนอร์ เป็นวิกฤตการดำรงอยู่ของรัฐบาลรัสเซีย ในขณะที่ เคิร์ท โวลเดอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต บอกกับซีเอ็นเอ็นว่า สถานการณ์ความไม่สงบ "คือจุดจบของปูติน" และ "เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับจุดจบของสงครามของรัสเซียในยูเครน"

ทรัมป์ ยังพาดพิงเหน็บไปยังประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน โดยบอกว่า ไบเดน "จะทำกับรัสเซียในสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนต้องการให้เขาทำ" ซึ่งเป็นการเน้นย้ำคำกล่าวหาของเขาที่ว่าครอบครัวของไบเดน รับสินบนจากสัญญาทางธุรกิจหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top