‘เจ้าสั่วสหพัฒน์’ เผย ห่วงนโยบายขึ้นค่าแรง ว่าที่รัฐบาลใหม่ หวั่น ผู้นำบริหารงานไม่เป็น อาจทำประเทศ เป็นเหมือนยูเครน

‘เจ้าสัวสหพัฒน์’ ให้การบ้านรัฐบาลใหม่เร่งพัฒนาเศรษฐกิจ เผยเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของ ‘ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่’ หวั่นทำนักลงทุนย้ายฐานการผลิต ยันไม่ติดใจหากประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อย เชื่อสถานการณ์ความมั่งคงของไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ห่วงผู้นำประเทศบริหารงานไม่เป็น อาจกลายเป็นเหมือนยูเครน

เมื่อไม่นานมานี้ รายงานข่าวแจ้งว่า นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ยอมรับว่าเป็นห่วงนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 450 บาท ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากหากค่าแรงพุ่งสูงอาจส่งผลให้นักลงทุนเบนเข็มย้ายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้า ที่ถึงแม้ไม่ได้ขึ้นค่าแรงก็มีการย้ายออกไปที่เวียดนามแล้ว อีกทั้งการขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว

ส่วนนโยบายการทลายทุนผูกขาดและเก็บภาษีความมั่งคั่ง ที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะกระทบต่อความมั่นใจของผู้ประกอบการ เรื่องนี้นายบุณยสิทธิ์มองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะเป็นแนวทางที่เหมือนกันทั้งโลก ส่วนการที่พรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรคตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 7 คณะ และหนึ่งในปัญหาที่จะแก้คือเรื่องเศรษฐกิจ มองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่ยังไม่รู้ว่าจะดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาในรูปแบบใด ขณะที่การตั้งรัฐบาลที่อาจจะมีความล่าช้า มองว่าไม่น่ากังวลและไม่กระทบต่อการลงทุน และคิดว่าประเทศไทยยังดีกว่าประเทศอื่น

พร้อมกันนี้ ได้ฝากการบ้านไปยังว่าที่รัฐบาลใหม่ คือ เร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้คนมีการศึกษา ให้คนมีงานทำ เช่น การพัฒนาด้านการเกษตรให้มีราคาสูงขึ้น คนที่ทำการเกษตรก็จะมีรายได้เทียบเท่ากับคนที่ทำอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไม่มีคนว่างงาน ตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าเกษตรลดลง คนก็จะหนีจากต่างจังหวัดเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และก็จะมีปัญหาเรื่องค่าแรงอีก ส่วนการที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุด

นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จะมีไอเดียแบบใหม่ ทำอะไรเร็วขึ้น ส่วนคนที่มีอายุมากก็จะมีความรอบคอบ แต่อาจทำงานช้า เพราะฉะนั้นถ้ามีคนรุ่นใหม่มาก็จะเป็นจุดเด่น ในต่างประเทศก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงบางประเทศก็มีผู้หญิง ทั่วโลกก็มีการเปลี่ยนแปลง จึงเชื่อว่าเรื่องอายุไม่เกี่ยวอะไร อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของประเทศในปีนี้เปรียบเสมือนขับรถหรูรถมัสแตง แต่ยังต้องให้ความสำคัญและระวังภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่การทำธุรกิจในยุคนี้ต้องรู้จักปรับตัว โดยบริษัทเอกชนก็สามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาก็พร้อมที่จะร่วมมือ และปรับตัวเช่นกัน

“ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกของการทำธุรกิจปีนี้ คือความมั่นคงของประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองของไทย เข้าใจว่าเมืองไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ผมห่วงคนผู้นำประเทศบริหารไม่เป็นและทำให้เป็นเหมือนประเทศยูเครน” นายบุณยสิทธ์กล่าว