Friday, 17 May 2024
พรรคเพื่อไทย

‘ภูมิธรรม’ ปัดขอก้าวไกลช่วยโหวตเลือกนายกฯ มั่นใจ มีเสียงเพียงพอ ลั่น!! ขอให้รอดูผลวันจริง

(10 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยไปขอเสียงพรรคก้าวไกลให้ช่วยโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มั่นใจเสียงสนับสนุนของ สว.ว่าจะได้ตามจำนวนหรือไม่ ว่า…

“ไม่ใช่ครับ เสียงมีพอ พร้อมทุกอย่าง ขอให้รอดูในวันโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งต้องรอหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และกำหนดวันประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้ง โดยให้รอดูผลการโหวตในวันนั้น”

เมื่อถามว่าการไปเชิญพรรคก้าวไกล จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นเกิดความระแวงหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวย้ำว่า ขอให้รอดูผลโหวต

ส่วนกรณีนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความตอบโต้นายภูมิธรรม ด้วยข้อความที่ค่อนข้างรุนแรง ถือเป็นการกระทบกระทั่งกันหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ก็เป็นนานาทัศนะของแต่ละคน”

เมื่อถามว่า นางอมรัตน์ยังเป็นน้องที่น่ารักอยู่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ก็เหมือนเวลาเราบอกกับเด็กตัวเล็กๆ ว่า น่ารักน่าชัง”

‘ภูมิธรรม’ แจงเสียงโหวตนายกฯ เพื่อไทยอยู่ที่ 278  ชี้!! ‘รทสช.’ ยังไม่ชัดและยังไม่ตอบรับเสียง ‘ปธม.’ 

(12 ส.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีการรวบรวมเสียงที่จะโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ พรรคพท.ซึ่งล่าสุดมีทั้งหมด 315 เสียงว่า ขณะนี้หากนับเสียงที่ชัดเจนที่จะโหวตให้กับแคนดิเดตนายกฯ พรรคพท.นั้น ตัวเลขที่ชัดเจนจริงๆ ยังอยู่ที่ 278 เสียง ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 71 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง พรรคประชาชาติ (ปช.) 9 เสียง พรรคเพื่อไทยรวมพลัง (พทล.) 2 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) 2 เสียง ส่วนพรรคเสรีรวมไทย (สร.) พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง รวมเป็น 238 เสียง รวมกับทางพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ประกาศจะยกมือให้กับพรรคพท.อีก 40 เสียง ทำให้มีเสียงรวมกันอยู่ที่ 278 เสียง ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นั้น เราถือว่ายังไม่ชัดเจน เพราะทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครทสช.ให้สัมภาษณ์ว่ายังต้องขอคุยกันภายในพรรคก่อน ขณะที่พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) อีก 1 เสียงนั้น ขณะนี้เรายังไม่ตอบรับ

“สำหรับตัวเลข 278 เสียงสำหรับสภาล่าง ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคง และเราก็จะยินดีมากหากพรรคการเมืองอื่นๆ จะช่วยโหวตสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พท.เพิ่มขึ้น เราเชื่อว่าหลายฝ่ายพร้อมจะให้โอกาสกับพรรค พท. ซึ่งการโหวตสนับสนุนจะเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสที่จะพูดคุยกันต่อในการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ยืนยันว่าหากพรรคใดไม่โหวตสนับสนุน ก็ไม่ได้อยู่ในสมการนี้” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า สำหรับรายชื่อหลัง รทสช.ไม่ชัด ชี้!! ยังไม่ตอบรับเสียง ปธม. รัฐมนตรี (ครม.) ที่เริ่มปรากฏเป็นข่าวในขณะนี้ ก็เป็นเพียงแค่การเสนอแนะ ความคิดเห็นหรือวิเคราะห์กันเองของแต่ละบุคคลที่ให้ข่าวเท่านั้น ยืนยันว่าพรรค พท.ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีกับพรรคใดทั้งสิ้น เพราะต้องรอให้การโหวตแคนดิเดตนายกฯ พรรค พท.เสร็จสิ้นก่อน ถึงตอนนั้นรายชื่อ ครม.ของจริงจะเกิดขึ้นหลังได้นายกฯ แล้วอย่างแน่นอน

‘เพื่อไทย’ เปิดนโยบายเร่งด่วน พาคนไทยฝ่าแก้วิกฤต ศก. พักหนี้เกษตรกร 3 ปี ทั้งต้น-ดอก พร้อมลดค่าไฟ-น้ำมันทันที!!

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 66 พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์นโยบายเร่งด่วนที่จะทำหากได้เป็นรัฐบาล ระบุว่า…

“พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มุ่งมั่นที่จะแก้วิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาใหญ่ของพี่น้องประชาชน

ภาระหนี้สินเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรและกลุ่มผู้ประกอบการ SME เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงจะต้องมีหนทางในการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พรรคเพื่อไทยมีแนวทางในการพักหนี้เกษตรกร 3 ปีทั้งต้น ทั้งดอก เพื่อลดภาระและเปิดโอกาสใหม่ให้พี่น้องเกษตรกรในการทำมาหากิน พลิกฟื้นภาคการเกษตรของไทย ด้วยหลัก ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ รวมทั้งการผลักดันการพักชำระหนี้ SME ที่ประสบภัยโควิด 1 ปี คู่ขนานไปกับการปรับโครงสร้างหนี้แบบเฉพาะเจาะจง พร้อมต่อยอดด้วยชุดนโยบายของพรรคต่อไป

วันเดียวกัน พรรคเพื่อไทย โพสต์อีก “หากเพื่อนไทยเป็นรัฐบาล ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ลดราคาทันที”

'รองโฆษกเพื่อไทย' ติง!! กิจกรรม 'ปากระป๋องใส่ภาพนักการเมือง' แม้ทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ แต่เยาวชนยังไม่อาจแยกแยะ

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความพร้อมภาพผ่านเฟซบุ๊ก 'ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ - หนุ่ม' ระบุว่า...

เมื่อวานผมได้รับทราบถึงการจัดกิจกรรม ที่ปรากฏภาพ นักเรียนชั้นประถมศึกษา เข้าร่วมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จังหวัด #สุรินทร์ และมีการเล่นกิจกรรมเกม 'ปากระป๋องใส่ภาพบุคคลทางการเมือง' และเกิดความไม่สบายใจอย่างยิ่ง จึงอยากสื่อสารกับทุกท่านในสังคม โดยเฉพาะผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้

ผมขอเรียกร้องและย้ำเตือนแก่โรงเรียน หน่วยงานรัฐ ตลอดจนผู้ใหญ่ในสังคมทุกท่าน ให้ใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้มากขึ้น การทำกิจกรรมในลักษณะนี้อาจทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อพึงตระหนักได้ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะมีเด็กและเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้าร่วม ควรหลีกเลี่ยงรูปแบบกิจกรรมที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง หรือการปลูกฝังแนวคิดทางการเมืองแก่ผู้ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ

ถึงแม้สถานศึกษาจะเป็นสถานที่ปลอดภัยในการแสดงออก สามารถเปิดให้มีอิสระทางความคิด กิจกรรมที่เกิดในโรงเรียนควรเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ มีประโยชน์ทางวิชาการหรือสันทนาการ และควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมด้วย หากกิจกรรมนี้ริเริ่มโดยกลุ่มนักเรียน ควรมีครูอาจารย์ช่วยให้ความรู้และความเข้าใจถึงความเหมาะสมของรูปแบบกิจกรรมด้วย

"สังคมไทยขับเคลื่อนด้วยพวกเราทุกคนนะครับ ผมขอเรียกร้องถึงทุกภาคส่วนในสังคม รวมถึงพรรคการเมืองและผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทุกท่าน ให้ใช้ความระมัดระวังในการดำเนินกิจกรรมการเมืองทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน ไม่ควรยุยงให้เกิดพฤติกรรมที่สร้างความขัดแย้งในสังคม สร้างแบบอย่างของการแสดงออกต่อความเกลียดชังด้วยความรุนแรง หรือปลูกฝังแนวคิดทางการเมืองเชิงลบแก่ผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะอาจส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศความแตกแยกในสังคม"

‘จุลพันธ์’ ห่วงร่าง กม.ค้างท่อถูกตีตก เหตุตั้ง รบ.ใหม่ล่าช้า เร่ง ‘วันนอร์’ หาทางแก้ ดันร่าง กม.เป็นประโยชน์ได้ไปต่อ

‘สส.เพื่อไทย’ ห่วง ร่าง กม.ค้างท่อ ถูกตีตก หลังเกินเวลาตาม รธน.กำหนด เหตุ ตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า เร่ง ‘วันนอร์’ หาทางแก้ ขณะนี้ ‘สส.ก้าวไกล’ แนะบรรจุกระทู้เรื่องเบี้ยยังชีพฯ โดยไม่ต้องรอ ครม.ใหม่

(16 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ เปิดให้ สส.หารือถึงกระบวนการทำงานของสภาฯ โดยเฉพาะการยืนยันร่างกฎหมายที่ค้างในสภาฯ ชุดที่ 25 ที่อาจจะเกิดปัญหา หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังล่าช้า

โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย หารือว่า กระบวนการยืนยันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ที่ค้างในสภาฯ ชุดที่ 25 โดยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 147 กำหนดกรอบให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตั้งใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ยืนยันร่างกฎหมาย ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้ง คือ 3 กรกฏาคม ดังนั้น จะครบกำหนด คือ 31 สิงหาคม แต่ขณะนี้กระบวนการโหวตนายกฯ ยังไม่แล้วเสร็จ หากต้องรอกระบวนการมี ครม.ใหม่อาจจะเกินกำหนดเวลาดังกล่าว ทั้งที่มีกฎหมายสำคัญหลายฉบับค้างอยู่ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ..ศ..., ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม, ร่าง พ.ร.บ.ประมง เป็นต้น

ทั้งนี้ ตนขอให้นายวันมูหะมัดนอร์ พิจารณาใช้กลไกของสภาฯ คือ นัดประชุมตัวแทนพรรคการเมือง เพื่อทำหนังสือในนามความเห็นชอบจากทุกพรรคการเมือง ที่มีความจำเป็นให้ ครม.รักษาการยืนยันร่างกฎหมายที่ค้างอยู่ทุกฉบับ โดยไม่ปัดตก ซึ่งตนมองว่าจะเป็นทางออกที่ดีและร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์จะเดินหน้าได้

ขณะที่นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หารือขอให้สภาฯ เร่งรัดการตั้งกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) 35 คณะ เพื่อให้เป็นช่องทางการทำงานของสภาฯ โดยไม่ต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เนื่องจากมีปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่รอเวลาไม่ได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของร่างกฎหมายที่รอการยืนยัน พบว่ามีร่างกฎหมายที่ภาคประชาชนเข้าชื่อเสนอต่อสภาฯ เช่น ร่างกฎหมายชนเผ่า

ทั้งนี้ ตามระเบียบทราบว่าภาคประชาชนไม่ต้องเข้าชื่อเพื่อเสนอใหม่ แต่ผู้เสนอร่างกฎหมายนั้นต้องยืนยันต่อการเสนอต่อสภาฯ จึงขอให้ประธานสภาฯ พิจารณาทำหนังสือส่งถึงประชาชนที่ริเริ่มส่งร่างกฎหมายต่อสภาฯทุกคน เพื่อให้มายืนยันต่อสภาฯ ตามกรอบที่กำหนด

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม มาตรา 1448 และมีเพิ่มอีก 68 มาตรา ต่อสภาฯ ซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นของประชาชนจำนวนมาก เพราะไม่ต้องการรอการยืนยันจาก ครม.ชุดใหม่ ดังนั้น ขอให้พิจารณาเร่งรัดการตรวจสอบและบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ โดยเร็ว

ด้านนายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หารือให้สภาฯ พิจารณาบรรจุวาระกระทู้ถามสด โดยไม่ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เนื่องจากขณะนี้มีประเด็นที่เป็นปัญหาของประชาชนที่ต้องการคำชี้แจงจากรัฐบาลชุดรักษาการ เช่นเบี้ยงยังชีพผู้สูงอายุที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ อยากให้เชิญรัฐมนตรีมาชี้แจง ดังนั้นขอให้พิจารณาดำเนินการในการประชุมคราวหน้าโดยทันที

ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ประเด็นที่เป็นปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชน ตนเห็นด้วยและจะรับไปพิจารณา

‘รทสช.’ ประกาศชัด ร่วมรัฐบาลไร้เงื่อนไขต่อรอง แต่นี่คือเวลาที่บ้านเมืองควรจะมีความสามัคคีได้แล้ว

เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 ‘เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

“จากการคุยกับพี่น้องหลายท่านที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุน พวกเรา พรรครวมไทยสร้างชาติ เนเน่ได้รับรู้ถึงหลายความกังวลใจของหลายๆ คนนะคะ

… บ้างก็ไม่อยากให้ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยด้วยอดีตที่เรามีกันมา
… บ้างก็เห็นว่าแนวทางและอุดมการณ์เราต่างกันมากเหลือเกิน
… บ้างก็กังวลในเรื่องการประกาศที่จะแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย

เนเน่ขอสรุปประเด็นจากการโพสต์ของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาให้ทุกท่านทราบว่า เราตัดสินใจร่วมรัฐบาลเพราะ… 

… ถึงเวลาที่บ้านเมืองควรจะมีความสามัคคีปรองดอง ความสงบสุข และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
… เราไม่มีข้อต่อรองหรือข้อเรียกร้องใดๆ ขอแค่ได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน 
… พรรคเพื่อไทยเขายืนยันจะไม่มีการทำการที่ขัดต่ออุดมการณ์ของเราเรื่องชาติ ศาสน์ พระมหากษัตริย์

เนเน่วอนขอความเข้าใจจากทุกท่าน และขอยืนยันให้ทราบว่าความเห็น ความรู้สึกของ พี่น้องแฟนคลับทุกท่านสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราค่ะ #เราจะสู้ไปด้วยกัน #ประเทศไทยต้องไปต่อ”

‘เอกนัฏ’ ขอยุติสงครามหลากสี เดินหน้าตั้งรัฐบาลปรองดอง เร่งพา ปชช.ฝ่าวิฤกต วอนสังคมอย่าจมกับความขัดแย้งในอดีต

(18 ส.ค. 66) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยว่า มีการพูดคุยกันมาตลอด โดยคณะเจรจามีเพียงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคและตนที่เข้าไปคุยกับทีมบริหารของพรรคเพื่อไทยเป็นการคุยอย่างเป็นทางการได้ระบุเงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีการแก้ไข ม.112 ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่มีการแก้ไข และยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการแบ่งกระทรวง โดยพรรคเพื่อไทยรับปากว่า จะไม่มีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติติดแค่เรื่องการเดินหน้าแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกลเท่านั้น

เงื่อนไขสำคัญ เรามีแค่ 2 ข้อคือไม่มีพรรคก้าวไกลและไม่มีการแก้ ม.112 ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า อยากรีบจัดตั้งรัฐบาล เพราะบ้านเมืองไม่มีรัฐบาลก็จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนลำบาก จึงขอความร่วมมืออย่าไปจมกับความขัดแย้งในอดีต ควรเดินหน้าด้วยความปรองดองสมานฉันท์ดีกว่า

เมื่อถามถึงประเด็นความขัดแย้งในอดีตของกลุ่ม กปปส.กับกลุ่มเสื้อแดงในอดีตนายเอกนัฏ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ลบไม่ได้อยู่แล้ว ตนก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เคยทำมาได้ แต่ต้องดูว่าเหตุผลที่เคยทำมาตอนนั้นคืออะไร มีความพยายามจะผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม จึงได้มีการออกมาชุมนุมต่อต้าน แต่ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวก็ไม่มีแล้ว เหตุการณ์ผ่านมากว่า 10 ปี ความขัดแย้งที่คนเข้าใจว่ามีระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.ควรยุติ ควรจะร่วมมือกันเดินหน้าประเทศ ให้โอกาสซึ่งกันและกัน

“หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็มีการเลือกตั้งมาแล้ว 2 ครั้ง ทุกพรรคเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่ผ่านมาต่างคนต่างเจ็บด้วยกัน ผมเองก็ถูกคดี หลายคนอาจคิดว่าเวลานี้มีเรื่องการต่อรองเก้าอี้ ขอบอกว่าเจรจากับผมดีที่สุด เพราะผมเป็นอะไรไม่ได้เพราะติดคดีอยู่ และผมจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าประเทศ เพราะหากจมอยู่แต่ในอดีตก็จะไม่สามารถเดินหน้าไปสู่อนาคตได้ ในฐานะเลขาธิการพรรค ผมไม่สามารถไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่ส่วนตัวมีความตั้งใจในการทำงานการเมืองและเร่งพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติให้เป็นสถาบันการเมือง ในส่วนของการทำงานในรัฐบาลก็จะมีบางส่วนเข้าไปร่วม แต่ในส่วนงานการเมืองของพรรคก็เป็นเรื่องสำคัญที่มีความตั้งใจว่า พรรคจะได้นำเสนอแนวทางการทำงานเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่งที่ทันสมัย” เลขาพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

เมื่อถามว่าการคุยเรื่องโควตารัฐมนตรีมีการต่อรองหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มี ตนและหัวหน้าพรรคไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องตำแหน่ง โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ หากจำได้ในช่วงที่เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นคนเดียวที่ประกาศชัดว่า ขอปฏิเสธทุกตำแหน่งใน ครม.หากเป็นหัวหน้าพรรค วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนก็ไม่สามารถเป็นอะไรได้เพราะติดคดี ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจบนพื้นฐานการเดินหน้าประเทศ ส่วนจำนวนคณิตศาสตร์คำนวณเก้าอี้ยังไม่ทราบชัดเจน แต่ที่สำคัญคณิตศาสตร์ในระบบรัฐสภาต้องมีเสียงสนับสนุนในสภาฯ เกินครึ่ง เนื่องจากมีบทเฉพาะกาล คือการออกมาร่วมโหวตนายกฯ จะต้องผ่านมติด้วยคะแนน 375 เสียงตอนนี้ต้องช่วยกันให้ผ่าน แต่การจะช่วยหาเสียง สว.นั้นก็เป็นเรื่องยาก เสียงของรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงถือว่าไม่มาก ไม่สามารถไปช่วยมากกว่านั้นได้

เมื่อถามว่าเห็นใจพรรคเพื่อไทยหรือไม่ที่จะต้องมาชี้แจงกับกลุ่มสนับสนุนหลังจากตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องยอมรับในผลการเลือกตั้งที่อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยหวัง แต่ระบบของไทยจะต้องโหวตนายกฯ และจะต้องหาทางจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยสามารถชี้แจงได้ สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกกับตนชัดเจนว่าต้องการวางมือ ทั้งหมดอยู่ที่มุมคิด ถ้าทำใจได้ ละได้ คิดเป็นบวกก็เป็นบวกถ้าคิดเป็นลบก็จะไม่จบ จากที่คุยกันเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีหลายเรื่องที่จะต้องทำและเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย

นายเอกนัฏ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับว่า ได้มีการพูดคุยกันแต่ยังไม่ตกผลึกมีบางประเด็นในรัฐธรรมนูญที่พรรครวมไทยสร้างชาติคิดว่ายังไม่ควรแก้ เช่น หมวดเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ดังนั้นจึงจะต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง หากจะแก้ไขจะต้องมีหลักประกันว่าแก้แล้วจะดีขึ้นไม่กลับมาสร้างปัญหา ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจ นั่นคือไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ดูว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำไปแต่จะต้องไม่มีปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มาจากประชาชน จะแก้ก็จะต้องถามประชาชนด้วย ถ้าประชาชนส่งเสียงว่าต้องการแก้รวมไทยสร้างชาติก็ไม่มีปัญหาอะไร

‘ตู่-ป้อม’ ดาวคนละดวง ปชป.แหกโค้ง หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี…

บันทึกเอาไว้ว่า วันที่ 22 ส.ค.2566 เหตุการณ์ใหญ่ทางการเมืองสองเหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดี  มีความน่าระทึกใจอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านไปแล้ว… ตถตา… มันเป็นเช่นนั้นเอง…

เรื่องแรก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย หลังบำเพ็ญเพียรเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ 15 ปีเศษ ได้เดินทางกลับบ้าน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เข้าไปอยู่ในเรือนจำรับโทษ 3 คดีที่ถึงที่สุดแล้วจำนวน 8 ปี อนาคตจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ หรือลดโทษอย่างไรหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกที ส่วนจะอยู่กินอย่างไรในคุกนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง มาวันแรกก็ได้ใช้สิทธิ์กลุ่มเปราะบางวัย 74 ปี นอนเตียงเดี่ยวอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว แต่ไม่ทันย่ำรุ่งก็ย้ายไปนอนเกาสะดืออยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เรียบร้อยโรงเรียนชินวัตรไปแล้ว

กรณีทักษิณกลับบ้าน… ถ้าไม่คิดอะไรให้มากความ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยยุทธการป่วนไทยอยู่ในต่างแดนก็หายไป… ยิ่งวันนี้พรรคเพื่อไทยที่ตัวเองสร้างมากับมือได้หวนคืนมาเป็นรัฐบาล ก็คงไม่กล้าด่าหรือทำมิดีมิร้ายกับประเทศ… ความสงบเรียบร้อยก็เกิดขึ้น และอาจจะตามมาด้วยการปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติครั้งใหญ่ หากรัฐบาลชุดใหม่คิดใหญ่-ทำเป็น… นิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่เกี่ยวคดีทุจริตและอาญาฆ่าคนให้เป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องที่สอง การโหวตนายกรัฐมนตรีประเภทม้วนเดียวจบ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับคะแนนสนับสนุนหรือเห็นชอบท่วมท้น 482 เสียง ไม่เห็นชอบ 165 งดออกเสียง 81 โดยในส่วนคะแนนที่เห็นชอบนั้น เป็นคะแนนของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ถึง 152 เสียง ไม่เพียงเท่านั้นรัฐบาลที่กำลังรวมตัวกันอยู่มีเสียงสนับสนุน 314 เสียง แต่ปรากฏว่ามีเสียงสนับสนุนจาก สส.สูงถึง 330 เสียง ตรวจสอบพบว่าเป็นเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ 16 เสียง…

กรณีพรรคประชาธิปัตย์นั้นอ่านไม่ยาก… สาระสำคัญก็คือที่ประชุม สส.มีมติให้งดออกเสียง แต่นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้ขออนุญาตที่ประชุมว่าจะลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ ไว้แล้ว แต่กลุ่ม สส.ภายใต้ร่วมธงของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และนายเดชอิศม์ ขาวทอง โหวตเห็นชอบแบบเย้ยฟ้าท้าดินนั้น เจตนาก็ชัดเจนเป็นการตีตั๋วเข้าร่วมรัฐบาล ยอมเป็นยางอะไหล่ไปพลางก่อน… ทำให้สถานภาพพรรคประชาธิปัตย์นาทีนี้ดิ่งเหว… หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี… มันจบแล้วครับนาย!!

สำหรับกรณีที่เสียง สว.โหวต ‘เห็นชอบ’ ท่วมท้นนั้น พบว่า สว.สายบิ๊กตู่ ‘พรึ่บ’ หนุนเศรษฐา ทวีสิน ทำให้ สว.บางส่วนที่ทำการบ้านเพื่อคว่ำเศรษฐา รู้สึกว่าตัวเองโดน ‘เท’ เกิดอาการน้อยอกน้อยใจกันพอประมาณ บางกลุ่มก็ตั้งคำถามในเชิงไม่เข้าใจว่า ‘บิ๊กตู่’ เล่นเกมอะไร… โดยเฉพาะกลุ่ม สว.ที่ทำการบ้านรุกฆาตให้พรรคเพื่อไทยรับปากไม่รื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้น ค่อนข้างผิดหวังกับบิ๊ก สว.สายบิ๊กตู่… ดังกรณี สว.สมชาย แสวงการ โพสต์ในเฟซบุ๊กตัวเองตั้งแต่ผลโหวตยังไม่จบว่า…

“#สงสารประเทศไทย” และต่อมาโพสต์อีกว่า “#เสียของ” เป็นต้น…

ทราบว่าขณะนี้กำลังเคลียร์ใจล้างใจกันยังไม่จบ..!!

ส่วน สว.สายบิ๊กป้อม… ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40-50 คนนั้น ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะงดออกเสียง แม้แต่ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ‘บิ๊กปุ้ม’ น้องชายแท้ๆ บิ๊กป้อมก็ไม่ไปร่วมประชุม… วิเคราะห์กันว่า สว.สายบิ๊กป้อมพยายามลากเกมให้ไหลไปถึงคิว ‘บิ๊กป้อม’ แต่ สว.สายบิ๊กตู่ไม่เล่นด้วย ก็เลยปิดเกมโหวตให้เศรษฐา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องหมายเหตุเอาไว้ว่า กลุ่มทุนพลังงานและรถไฟฟ้ามีบทบาทไม่น้อย ที่ทำให้พรรคการเมือง 3-4 พรรคประสานผลประโยชน์กันแบบ ‘มองตาก็รู้ใจ’

สวัสดี

‘เพื่อไทย’ ย้ำ!! ยังไม่มีการจัดทำแอปฯ เงินดิจิทัลวอลเล็ต  เตือน ปชช.ระวังมิจฉาชีพอาศัยจังหวะตั้งรัฐบาล หลอกดูดเงิน

(24 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่มีผู้ไม่หวังดีแชร์ภาพและข่าว ว่ามีการยกเลิกการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทกระจายบนโซเชียลมีเดีย รวมทั้งมีการเผยแพร่แอปพลิเคชันปลอม โดยอ้างการลงทะเบียนเพื่อรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลขอแจ้งไปยังพี่น้องประชาชน ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเริ่มจัดตั้งรัฐบาล ยังระหว่างการพิจารณาจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศตามกฎหมาย ดังนั้น ขณะนี้จึงยังไม่มีการจัดทำแอปพลิเคชันดิจิทัลวอลเล็ต และยังไม่มีการลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น

น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า พรรค พท.ในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยืนยันว่าจะผลักดันนโยบายดิจิทัลวอเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรค พท.โดยเร็วตามที่ได้หาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชนทันที เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศตามกฎหมาย ขณะนี้นโยบายอยู่ในระหว่างที่ผู้เกี่ยวข้องกำลังเตรียมความพร้อม ในการผลักดันนโยบายให้เป็นจริงโดยเร็ว

ดังนั้น การที่ผู้ไม่หวังดีพยายามปล่อยข่าวปลอม ว่าจะมีการยกเลิกนโยบายดิจิทัลวอเล็ต จึงไม่เป็นความจริง เป็นเฟกนิวส์ที่ต้องการทำลายความหวังของพี่น้องประชาชน เช่นเดียวกับที่มีผู้จัดทำแอปพลิเคชันอ้างลงทะเบียนเพื่อรอรับเงินดิจิทัล 10,000 บาทในขณะนี้ จึงเป็นความพยายามที่จะหลอกลวงพี่น้องประชาชนให้หลงเข้าใจผิด

ขอแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชน อย่าหลงเชื่อการกระทำของมิจฉาชีพที่อาศัยจังหวะการจัดตั้งรัฐบาล มาทำร้ายพี่น้องประชาชน โดยมุ่งที่จะดึงเอาข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นพฤติกรรมของแก๊งคอลเซนเตอร์ที่จ้องจะดูดเงินในบัญชีพี่น้องประชาชน 

น.ส.ตรีชฎา กล่าวอีกว่า รัฐบาลโดยการนำของพรรค พท.มีความหวังดีต่อประชาชนและประเทศชาติ เราจะมีการรายงานความคืบหน้าในการผลักดันนโยบายรัฐบาลให้พี่น้องประชาชนทราบเป็นระยะ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความโปร่งใส รวมทั้งเป็นการระวังป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ และขอเตือนไปยังแก๊งคอลเซนเตอร์และมิจฉาชีพทั้งหลาย หยุดการกระทำผิดกฎหมาย หยุดพฤติกรรมหากินบนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เพราะรัฐบาลใหม่ที่มีพรรค พท.เป็นแกนนำ มีแนวทางในการจัดการมิจฉาชีพเด็ดขาด เราจะไม่ปล่อยให้ลอยนวลต่อไปอีก รวมทั้งขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

‘เพื่อไทย’ จวก!! ‘รองอ๋อง’ แต่งชุดไม่สุภาพ ใส่เสื้อคอจีน-ไม่ผูกเน็กไท ด้านเจ้าตัวแจง เป็นไปตามระเบียบ หากไม่สบายใจจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

(24 ส.ค. 66) ที่รัฐสภา ระหว่างที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร กำลังพิจารณารับทราบรายงานผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2564 นั้น

นายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นตำหนิการแต่งกายของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม ที่แต่งกายใส่เสื้อคอจีนและใส่เสื้อสูททับ โดยไม่ติดเน็กไท เป็นการแต่งกายไม่สุภาพ

นายนิคมกล่าวว่า ข้อบังคับการประชุมสภาฯ สส.ต้องแต่งกายเครื่องแบบรัฐสภา ชุดสากลนิยม ชุดพระราชทาน หรือชุดตามระเบียบที่สภาฯ กำหนด แต่ชุดที่ประธานฯ แต่ง เห็นแล้วไม่สบายใจ ไม่เรียบร้อย เกรงจะเป็นบรรทัดฐานให้ที่ประชุม นี่คือรัฐสภา ขอให้เป็นตัวอย่างแก่สมาชิก

ขณะที่นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า การแต่งกายของประธานฯ ไม่ใช่สากลนิยม ควรตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาเรื่องการแต่งกายของ สส.ให้เป็นสากลนิยม ให้ทุกคนปฏิบัติโดยพร้อมเพรียง ไม่อยากให้ประธานฯ โดนอะไรไปมากกว่านี้ มองยังไงก็ไม่ใช่ชุดสากล

ทำให้นายปดิพัทธ์ ชี้แจงว่า การแต่งกายชุดสากลนิยมเคยหารือแล้วว่า การใส่เสื้อคอจีน แล้วใส่สูททับ โดยไม่ใส่เน็กไท เป็นชุดสุภาพ ตามระเบียบสภาฯ ตนเคารพทุกคน ถ้าไม่สบายใจก็จะแต่งตัวให้ดีขึ้น แต่ยืนยันว่า แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ วันนี้ถ้าจะยึดแบบสากลนิยมจริงๆ การแต่งกายหลายคนคงไม่ผ่าน ขอให้เดินหน้าประชุมก่อน เรื่องระเบียบต่างๆ จะนำกลับไปพิจารณา ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top