Friday, 17 May 2024
พรรคเพื่อไทย

‘วิโรจน์’ ออกโรงป้อง ‘รองอ๋อง’ หลังถูกตำหนิเรื่องการแต่งกาย ยกกรณี ‘ผู้นำสิงคโปร์’ เทียบ ซัด ‘พท.’ อย่าใช้เรื่องนี้หาซีนในสภาฯ

(25 ส.ค. 66) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ ถึงกรณี สส.พรรคเพื่อไทย ตำหนิการแต่งกายของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุม โดยสวมเสื้อคอจีนและใส่สูททับ พร้อมกับโพสต์ภาพของผู้นำสิงคโปร์ขณะที่อยู่ในสภาฯ โดยสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวไม่ผูกเน็กไท โดยนายวิโรจน์ ระบุว่า…

“การแต่งกายด้วยชุดสุภาพสากล สามารถสวมสูท โดยไม่จำเป็นต้องผูกเน็กไทก็ได้ครับ คือ สส.คนไหนจะผูก หรือไม่ผูก ก็ถือว่าเป็นดุลพินิจในการแต่งตัวของแต่ละคน

การใส่เสื้อเชิ้ต และสวมสูททับ ก็ถือว่าเพียงพอแล้วครับ

อย่างกรณีที่สิงคโปร์ นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง และ สส.ที่สิงคโปร์ เขาก็ใส่เสื้อเชิ้ตเข้าประชุมสภาฯ ตามปกติของเมืองร้อนได้เลยนะครับ

ที่สิงคโปร์เขามุ่งเน้นที่เนื้อหาสาระในการทำงาน ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเปลือกครับ

ผมจำได้ว่าในสภาฯ ชุดที่แล้ว ก็เคยมีการประท้วงในเรื่องนี้ไปแล้ว และพรรคที่ประท้วงเรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐนะครับ

ผมเองก็คิดว่า มันน่าจะจบด้วยความเข้าใจไปแล้ว ถ้าคนที่ประท้วงในเรื่องนี้ เป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคพลังประชารัฐ ผมก็ยังพอเข้าใจได้

ไม่นึกไม่ฝันว่าอยู่ดีๆ พรรคเพื่อไทย จะเอาเรื่องกระพี้แบบนี้มาประท้วงเอาซีนในสภาฯ อีก

ผมจึงถือโอกาสชี้แจงให้ทุกท่านทราบอีกครั้งก็แล้วกันนะครับ จะได้เคลียร์ๆ และการประท้วงด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ จะได้หมดไปจากสภาไทยเสียที ไม่อยากให้เรื่องหยุมหยิมแบบนี้รกสภาฯ ครับ”

‘เพื่อไทย’ เล็งแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ช่วงสงกรานต์ปีหน้า หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ-กระจายเงินหมุนเวียนสู่ชุมชนทั่วประเทศ

(29 ส.ค. 66) นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านนโยบาย พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการข่าวค่ำ TNN Online เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ต้องรีบเข้ามาดำเนินการ เช่น นโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต นโยบายด้านการท่องเที่ยว และนโยบายพักหนี้เกษตรกร

1.) นโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต มีความมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายความเจริญไปทั่วประเทศ ทุกชุมชน ดังนั้น การใช้จ่ายภายในรัศมี 4 กม. จึงเป็นหลักพิจารณาให้เงินนั้นกระจายไปในชุมชนที่ผู้รับเงินอยู่อาศัย ซึ่งสามารถยืดหยุ่นได้ตามข้อจำกัดพื้นที่ห่างไกล แต่ประเด็นน่าสนใจคือ หลายหมู่บ้าน ประชาชนคิดรวมตัว สร้างร้านหาสินค้ามาลง เพื่อให้คนได้ใช้จ่าย และสร้างรายได้กับชุมชนตนเอง ประมาณการณ์ประชาชนได้ใช้เงินดิจิทัล ช่วงเมษายน-เทศกาลสงกรานต์ ให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน ใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

2.) นโยบายพักหนี้เกษตรกร 3 ปี และนโยบายช่วยเหลือเรื่องกลุ่มลูกหนี้ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด พร้อมๆ กับการจัดการค่าพลังงาน น้ำมัน-ไฟฟ้า ทั้งหมดเพื่อลดภาระและบรรเทาทุกข์ เปิดโอกาสให้ประชาชนทำมาหากินและใช้เงินได้ประจำส่วนต่าง ลงทุนประกอบอาชีพหรือเพื่อใช้จ่ายสิ่งจำเป็นอื่นๆ

3.) นโยบายด้านการท่องเที่ยว เปิดประตูรับเงินนอกสร้างเศรษฐกิจไทย เป็นนโยบายที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและลงพื้นที่ดูปมจริงที่จังหวัดภูเก็ตและพังงา เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้หารือกับท่าอากาศยานรับทราบข้อติดขัดด้านการปฎิบัติรวมทั้งกฎระเบียบ ซึ่งมีหลายส่วนที่สามารถขยับคอคอดนั้นออก อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว และให้บริการประชาชนได้สะดวกยิ่งขึ้น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำที่ภูเก็ตและพังงาว่า รายได้จากการท่องเที่ยวเป็นรายได้ในระยะสั้นที่หาได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงมาเพื่อเตรียมความพร้อมภาคส่วนต่างๆ ก่อนถึงไฮซีซันช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

‘กลุ่มแคร์’ วิเคราะห์นโยบาย OFOS-THACCA ของ ‘เพื่อไทย’ ชี้!! ช่วยดัน Soft Power-กระตุ้น ศก.-สร้างอาชีพ 20 ล้านตำแหน่ง

(29 ส.ค. 66) รัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารโดย นายกรัฐมนตรีชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ถูกจับตามองและติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การตั้ง ครม. เพื่อหาคนมาบริหารงานด้านต่าง ๆ

ล่าสุด เพจ ‘CARE คิด เคลื่อน ไทย’ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก อธิบายที่มานโยบาย ‘OFOS – THACCA’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้านโยบายนี้ปรากฏขึ้นจริง จะสร้างงานและรายได้ให้แก่คนไทยกว่า 20 ล้านตำแหน่ง โดยระบุรายละเอียดว่า ‘OFOS – THACCA นโยบายที่คิดโคตรใหญ่ จะได้กี่โมง’

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย คือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ และหลังจากนี้ รัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะเริ่มเข้าทำงาน เพื่อผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชนให้เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่ามีหลายนโยบายของเพื่อไทยที่ผู้คนต่างจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น เงินดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และอื่นๆ

1 ในนโยบายที่หลายคนไม่ค่อยสนใจ แต่เป็นนโยบายที่เรียกได้ว่า “คิดโคตรใหญ่” และสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกบ้านทุกครอบครัว คือ นโยบาย 1 ครอบครัว 1 Soft Power หรือ OFOS

นโยบาย OFOS คืออะไร? แล้ว THACCA คืออะไร? พวกเรากลุ่ม CARE ในฐานะที่สนใจ และมีเป้าหมายในปีที่ 3 นี้ คือ การผลักดันประเด็น Soft Power จะขอหยิบมาอธิบายให้ฟัง

[Soft Power คืออะไร?]
‘Soft Power’ เป็นทฤษฎีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ ‘โจเซฟ ไนย์’ (Joseph S. Nye) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้นิยามคำว่า ‘Soft Power’ หมายถึง การสร้างอิทธิพลครอบงำหรือมีอำนาจเหนือประเทศอื่น โดยไม่ใช้กำลังบังคับ เช่นการใช้กองทัพรุกราน แต่ใช้ความนุ่มนวลในการโน้มน้าว เช่น การใช้วัฒนธรรม เพื่อให้ประเทศอื่นทำตามในสิ่งที่เราต้องการ เช่น สหรัฐฯ เผยแพร่ค่านิยมแบบอเมริกันผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด หรือแฟชั่นกางเกงยีนส์ เพื่อให้คนซึมซับค่านิยมอเมริกันและอยากเป็นแบบอเมริกันในที่สุด

ดังนั้น Soft Power ในมุมแรก คือมุมของการเมืองระหว่างประเทศในยุคสงครามเย็น เพื่อเผยแพร่ค่านิยมประชาธิปไตยแบบอเมริกัน ต่อสู้กับการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป Soft Power ได้ถูกตีความและให้ความหมายในมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ

จากเป้าหมายที่หวังให้ประเทศอื่นมีความคิดทางการเมืองแบบที่ต้องการ ไปสู่เป้าหมายใหม่ คือการแสวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากคนที่มีความคิดความเชื่อตามแบบที่เราต้องการ เช่น เกาหลีใต้ใช้อุตสาหกรรมบันเทิงเผยแพร่ภาพลักษณ์ ‘เกาหลีใต้ใหม่’ จูงใจให้คนอยากเป็นแบบเกาหลีใต้ ทำให้การส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

[แล้ว Soft Power ของเพื่อไทย คืออะไร?]
เมื่อเพื่อไทยประกาศนโยบาย Soft Power ออกมา หลายคนต่างค่อนแคะ สบประมาทกันว่า “รู้เหรอ ว่า Soft Power คืออะไร?” แน่นอนว่าพวกเราก็สงสัยเช่นกัน ว่าในสายตาเพื่อไทยแล้ว Soft Power คืออะไร?

เราได้พูดคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย Soft Power ของเพื่อไทย จึงพอสรุปได้ว่า เพื่อไทยไม่ได้ยึดตามตำราที่มอง Soft Power เพียงมิติการเมืองระหว่างประเทศ แต่เน้นประยุกต์ใช้ในมิติทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ สิ่งที่จะโน้มน้าวให้คนประเทศอื่นอยากได้ อยากมี อยากเป็น แบบไทยมากที่สุด คือ ‘คนไทย’

ในสายตาของเพื่อไทยแล้ว ‘คนไทย’ คือ คนที่จะทำให้ต่างชาติประทับใจในประเทศไทยได้ดีที่สุด เพราะนอกจากอัธยาศัย ไมตรี รอยยิ้มและอารมณ์ขันที่จะมัดใจคนทั้งโลกแล้ว ‘ฝีมือคนไทย’ ก็เป็นอีกสิ่งที่จะสร้างความประทับใจจนทำให้คนทั่วโลกหลงใหล ทั้งฝีมือการทำอาหาร การต่อสู้ การร้องเพลง การแสดงภาพยนตร์ การวาดรูป และอื่นๆ

ดังนั้น การจะพัฒนา Soft Power ของประเทศไทยให้ไปไกลสู่ระดับโลกได้ ต้องเริ่มที่จุดตั้งต้นของเสน่ห์ที่จะครองใจคนทั้งโลก นั่นก็คือ คนไทย และนี่จึงเป็นที่มาของนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 Soft power’ หรือ ‘OFOS’ นั่นเอง

[แล้วนโยบาย OFOS คืออะไร?]
เมื่อเพื่อไทยตีโจทย์ว่า Soft Power คือ ‘คนไทย’ จึงอยากมุ่งพัฒนาทักษะฝีมือคนไทยขนานใหญ่ ผ่านนโยบาย OFOS โดยจะเปิดโอกาสให้ ‘ทุกครัวเรือน’ สามารถเข้ามาฝึกอบรมผ่าน ‘ศูนย์บ่มเพาะสร้างสรรค์’ เพื่อยกระดับศักยภาพสร้างสรรค์ของตัวเองให้สูงขึ้น ทั้งการร้องเพลง การทำอาหาร การทำหนัง การเขียนนิยาย และอื่นๆ

ซึ่งการฝึกอบรมจะแบ่งเป็นระดับตามขั้นบันได จากระดับพื้นฐานสู่ความเป็นเลิศ และจะมีใบรับรองศักยภาพสร้างสรรค์ผ่านการร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ โดยศูนย์บ่มเพาะฯ จะกระจายตัวไปทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด จนถึงระดับประเทศ และหากตั้งใจจะพัฒนาศักยภาพตัวเองต่อ ก็จะมีทุนให้ไปเรียนในต่างประเทศต่อไป ซึ่งการอบรมเรียนรู้ทักษะจากศูนย์บ่มเพาะฯ นี้จะ ‘ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ’

ดังนั้น OFOS จึงเป็นนโยบายที่ ‘Upskill-Reskill คนไทยทั้งประเทศ!!’ โดยเชื่อว่าหากคนไทยทุกครัวเรือนผ่านการยกระดับศักยภาพของตัวเองแล้ว ประเทศไทยจะมี ‘แรงงานสร้างสรรค์ทักษะสูง’ กว่า 20 ล้านคนจาก 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ และนี่คือ ‘นโยบายสร้างคน’ ของเพื่อไทย

[อะไรคือ THACCA?]
เมื่อสร้างคน สร้างแรงงานทักษะสูงมากถึง 20 ล้านคนแล้ว เราจะปล่อยให้เขาตกงานก็คงไม่ได้ เพื่อไทยจึงต้อง ‘สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง’ ควบคู่ไปด้วย ผ่านการ ‘สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์’ เพื่อรองรับแรงงานเหล่านี้ ซึ่งการจะสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในประเทศได้ ต้องมีแม่งานในการรับผิดชอบที่ชัดเจน และนั่นจึงเป็นที่มาของ ‘THACCA’

‘THACCA’ หรือ ‘Thailand Creative Content Agency’ จะเป็นองค์กรที่ออกแบบมาเพื่อ ‘สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ’ เช่นเดียวกับ เกาหลีใต้ที่มี KOCCA หรือไต้หวันที่มี TAICCA โดย THACCA จะเป็นแม่งานในการรับผิดชอบ มีอำนาจเบ็ดเสร็จและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และอื่นๆ เพื่อทำงานร่วมกันในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ

THACCA จะสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้ง 8 ด้าน คือ อาหาร, ดนตรี, ภาพยนตร์, หนังสือ, ศิลปะ, การออกแบบ/แฟชั่น, กีฬา และการท่องเที่ยว ด้วยการรื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ปลดปล่อยเสรีภาพทางความคิด สนับสนุนเงินทุนผ่านกองทุนรวม Soft Power ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง และ THACCA ยังออกแบบองค์กรให้ตัวแทนของแต่ละอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายอีกด้วย

ดังนั้น THACCA จึงเป็นองค์กรที่ ‘สร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั้งระบบ’ โดยมองว่าหากรัฐบาลเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างจริงจัง เป็นระบบครบวงจรในหน่วยงานเดียว จะสามารถสร้างงานได้มากถึง 20 ล้านตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นนโยบายที่สร้างงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และนี่คือ นโยบาย ‘สร้างงาน’ ของเพื่อไทย

[นโยบายต่างประเทศ คือ สิ่งที่ขาดไม่ได้]
เมื่อสร้างคน สร้างงานแล้ว ก็ต้องหาช่องทางสร้างเงินให้กับอุตสาหกรรมด้วย เพื่อไทยจึงต้อง ‘สร้างตลาด’ เพื่อให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว และตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่เพื่อไทยจะพาธุรกิจไทยไปค้าขาย คือ ‘ตลาดโลก’ นโยบายต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับนโยบาย Soft Power

เพื่อไทยจึงประกาศว่าจะเร่งรัดเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ เพื่อขยายโอกาสในการส่งออกของสินค้าไทย ใช้การทูตเพื่อขยายการค้าชายแดน รวมทั้งรื้อฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการตั้งธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศมากขึ้น เพราะจะทำให้การส่งออกสินค้าวัตถุดิบอาหารไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วย

นอกจากการค้าระหว่างประเทศแล้ว เพื่อไทยได้ประกาศ ‘ยกระดับพาสปอร์ตไทย’ เพื่อให้นักธุรกิจไทยสามารถเดินทางไปค้าขายกับทั่วโลกได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่า และประกาศนโยบายเชื่อมประเทศไทยสู่โลกด้วยการตั้งเป้าให้ไทยเป็น ‘ศูนย์กลางการบินในภูมิภาค’ และประกาศจะดึงเทศกาลระดับโลกมาจัดที่ไทย ดันเทศกาลไทยไปสู่ระดับโลก เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาในประเทศ มากินอาหารไทย มาเสพงานฝีมือของคนไทย มาใช้จ่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับคนไทย

ยิ่งไปกว่านั้น จะมีแนวคิดขยายสำนักงาน THACCA ไปยังต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มาที่ไทย ดึงดูดนักสร้างสรรค์ฝีมือดีจากทั่วโลก และผลักดันให้นักสร้างสรรค์ไทยไปแสดงผลงานยังต่างประเทศ ดังนั้น THACCA ในต่างประเทศ จะเป็นแม่งานหลักในการดึงความร่วมมือจากทั่วโลกมาสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย และนี่ คือ นโยบาย ‘สร้างตลาด’ ของเพื่อไทย

[นโยบายที่คิดโคตรใหญ่]
เห็นได้ว่า นโยบาย Soft Power ของเพื่อไทย เป็นนโยบาย 3 สร้าง คือ
1.) สร้างคน ด้วยการ Upskill-Reskill คนไทยทั้งประเทศ ผ่าน OFOS เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน
2.) สร้างงาน ด้วยการสนับสนุนทุกรูปแบบสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ผ่าน THACCA เพื่องาน 20 ล้านตำแหน่ง
3.) สร้างตลาด ด้วยการมองว่าโลกทั้งใบคือตลาดของคนไทย ผ่านนโยบายต่างประเทศเพื่อเศรษฐกิจ

การสร้างคน สร้างงาน สร้างตลาด การทำทั้งระบบแบบนี้ เป็นอะไรที่ ‘คิดโคตรใหญ่’ และเป็นนโยบายที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่า เพราะไม่ได้เป็นแค่โครงการหรือนโยบายเดียวโดดๆ แต่เกี่ยวพันกับหลายนโยบายย่อย เหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ต้องประกอบกันหลายชิ้นจึงจะได้ภาพใหญ่ที่สวยงาม และภาพใหญ่ที่ว่านั้น คือ นโยบาย Soft Power ฉบับเพื่อไทย

แต่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากในสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้สำหรับรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตามเราคงต้องรอลุ้นกันว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะสามารถผลักดันนโยบายที่ ‘คิดโคตรใหญ่’ นี้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ เพราะนโยบาย Soft Power นี้จะสร้างผลประโยชน์มหาศาลให้แก่เศรษฐกิจภาพใหญ่ทั้งประเทศ และประโยชน์เหล่านั้นจะตกถึงมือประชาชนในเกือบทุกครัวเรือน และหากนโยบายนี้ทำได้จริง เราเชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศจะหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างแน่นอน

ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่า “OFOS – THACCA นโยบายคู่ขนานที่จะ Reskill 20 ล้านคน, พัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั้งระบบ และเร่งรัดการทูตวัฒนธรรมเชิงรุก นโยบายที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดจากประเทศกับดักรายได้ปานกลางภายในไม่เกิน 1 ทศวรรษ”

‘หมอชลน่าน’ ลาออก ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ เซ่นปมจับมือพรรคลุงจัดตั้งรัฐบาล

(30 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อหารือเกี่ยวกับกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. จะลาออกจากกก.บห. จากนั้นเวลา 16.20 น. นพ.ชลน่าน พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุม

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากการประชุมกก.บห.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดสุดท้าย ที่ตนเคยระบุไว้ว่า ถ้าตนทำหน้าที่หัวหน้า ในฐานะประธานกก.บห. พิจารณารับผิดชอบในการตั้งรัฐบาลของพรรค พท. เสร็จเรียบร้อย ตนจะมาประกาศกับสื่อมวลชนผ่านไปยังประชาชนว่า เรื่องที่ตนจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ในเวลาดีเบตหาเสียงเลือกตั้ง สส. วันนี้ภารกิจก็เสร็จเรียบร้อย

“ผมนพ.ชลน่าน ขอทำตามที่เคยประกาศไว้ เป็นสัจจะที่ผมเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ถ้ากก.บห. มีมติจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีมติจับมือดีลกับลุงป้อม ผมในฐานะหัวหน้าพรรคพร้อมที่จะลาออก และขออนุญาตประกาศ ณ ตรงนี้ว่า ขอลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อไทยตามที่ผมได้ประกาศเอาไว้ ณ บัดนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เหตุผลความจำเป็นที่ตนเลือกมาประกาศในวันนี้ เพราะเหตุผลความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ที่พรรค พท. มีความจำเป็นจาก กก.บห. และสมาชิกพรรคที่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อย

ขณะที่นายประเสริฐ กล่าวว่า ในที่ประชุมกก.บห.นั้น นพ.ชลน่าน ได้กล่าวขอบคุณกก.บห.ทุกท่าน และชี้แจงประชาชนตามข้อบังคับเมื่อหัวหน้าพรรคลาออก กก.บห.ที่เหลือทั้งหมด ต้องหมดสภาพกก.บห. แต่ กก.บห. อื่น ๆ นอกจากหัวหน้าพรรคยังรักษาการอยู่ ซึ่ง ที่ประชุม กก.บห. วันนี้มีมติเลือกนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน ส่วนการสรรหา กก.บห.ชุดใหม่นั้น จะต้องทำในระยะเวลา 60 วัน

เมื่อถามว่า หากมีสมาชิกเสนอชื่อให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะรับหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ตนต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน ยืนยันว่าการทำหน้าที่หัวหน้าที่ผ่านมา ตนทำงานด้วยความสุข ความภาคภูมิใจ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพรรคในวันที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 โดยทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาชน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากสมาชิกและบุคลากรภายในพรรคเป็นอย่างดี

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ช่วงวิกฤตรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพวกเราทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แต่สิ่งที่เราได้รับคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่มาก หลังเลือกตั้งยิ่งทำให้ผมรู้สึกเองว่าผูกพัน มีความรัก มีความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และเห็นผู้คนของพรรคทุ่มเทเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ฉะนั้น คำกล่าวอ้างวาทกรรม ข้อโจมตีหรือข้อที่เห็นแย้งต่าง ๆ เราล้วนเห็นว่าเป็นมิติหนึ่งทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราคือทำเพื่อประชาชน

“ถามว่ารู้ผมรู้สึกอะไร ผมไม่มีความรู้สึกที่จะเสียใจ โกรธเคือง หรืออะไรต่าง ๆ ผมไม่มีครับ เพราะผมถือว่าเป็นหน้าที่ ผมพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อทุกอย่างมีข้อจำกัด ทุกอย่างมีสิ่งต้องรับและผูกมัดไว้มันก็ต้องปฏิบัติตามแบบนั้น ผมไม่ได้หนีไปไหนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า การลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ยังคงเป็น สส. และว่าที่รัฐมนตรี ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมประกาศเอาไว้ ผมพูดไว้เพียงแต่จะลาออกจากหัวหน้าพรรค”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทั้ง 3 ท่านได้ต่างไหว้ พร้อมทั้งลุกขึ้นมาจับมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามเพิ่มเติมว่า อยากฝากถึงประชาชนที่หมดศรัทธากับตัวเองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องศรัทธาและความเชื่อไปสิทธิส่วนบุคคล เป็นเสรีภาพบนพื้นฐานที่เขาได้รับ ซึ่งหวังว่าประชาชนที่มีความรู้สึกแม้จะแตกต่างกัน หรือจะมีความเชื่อหรือศรัทธาหรือไม่อย่างไรหากได้พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะไม่ต้องมาบอกว่าศรัทธาหรือไม่ศรัทธา แต่เราพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากัน และมองจุดสำคัญของแต่ละคนที่เป็นประโยชน์ของบ้านเมือง ตรงนั้นน่าจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

“เราไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของทุกคนได้ มีเพียงระดับหนึ่งที่เราสามารถตอบสนองได้ และเป็นเรื่องธรรมดา หน้าที่ของเราคือการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน สมาชิกพรรคการเมือง อยู่ในมิติทางการเมือง ก็แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องให้เหมาะสมที่สุด ภายใต้สิทธิเสรีภาพของกฎหมาย” นพ.ชลน่าน กล่าว

เมื่อถามว่า จะเป็นเหมือนพรรคการเมืองอื่นหรือไม่ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค แล้วมีการเสนอชื่อเข้ามาใหม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขอให้ไปดูกระบวนการ เพราะระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองกับบุคคลต้องแยกกัน ตนแสดงความรับผิดชอบในฐานะบุคคล ไม่ได้เอาพรรคมาเกี่ยวข้อง เกี่ยวเพียงเล็กน้อยที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น

‘นายกฯ เศรษฐา’ นั่งหัวโต๊ะ ร่วมหารือ ‘รมต.เพื่อไทย’ นัดแรก กำชับ!! อะไรทำได้ก่อนต้องรีบทำ ทุ่มเทให้สมกับที่ ปชช.ไว้ใจ

(4 ก.ย. 66) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการของพรรคเพื่อไทยอีก 16 คน ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนโยบายการทำงาน

นายเศรษฐา กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย. 66) จะมีการเข้าถวายสัตย์ฯ ก่อนหน้านี้ตนเองเคยพูดไม่ถูกว่าเราเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย แต่ตอนนี้อยากให้เห็นว่าเป็นรัฐบาลของประชาชน และพรรคร่วม 11 พรรค ซึ่งต้องให้เกียรติพรรคร่วมด้วย จึงฝากเอาไว้ด้วย

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ช่วงที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีและมีการแต่ตั้งคณะรัฐมนตรี ทางนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ได้พูดไว้หลายหนว่าเรามาด้วยต้นทุนที่สูง ตนอยากจะขอเปลี่ยน เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ต้นทุนที่สูง แต่พรรคเพื่อไทยเราเทหมดหนน้าตัก การทำงานครั้งนี้ ตนเชื่อว่าเราเองก็มีท่านผู้มีเกียรติในที่นี้ที่ได้รับเกียรติจากพี่น้องประชาชน เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนเข้ามาดูแลบ้านเมือง เราเองก็มีหลายท่านที่อยากจะเข้ามาตรงนี้ แต่ท่านได้ถูกคัดสรรมา

“การที่เราเทหมดหน้าตักนี้ เรื่องของการที่เราจะต้องทุ่มเทการทำงานของเราเพื่อพี่น้องประชน ผมเชื่อว่าทุกท่านตระหนักดีว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ณ ช่วงเวลานี้ เรื่องการทำงาน เรื่องของระยะเวลา เรื่องของขีดจำกัดของงบประมาณก็เป็นเรื่องสำคัญ ผมไม่อยากให้เรื่องขีดจำกัดของงบประมาณก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ผมไม่อยากให้เรื่องขีดจำกัดของงบประมาณหรือว่าการที่เราได้เข้ามาบริหารช้าไป จึงจะได้ใช้งบประมาณจริงๆในต้นปีหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่างบประมาณเป็นขีดจำกัดในการที่จะไม่ให้เราทำงาน ผมเชื่อว่ามี ‘Quick Win’ (นโยบายเร่งด่วน) หลายๆอย่างเราสามารถทำได้ เพื่อดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน หรือแม้กระทั้งการยกระดับของพี่น้องประชาชนก็สามารถทำได้  เรื่องอะไรที่เราทำได้ก่อนก็ทำ” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าแต่ละกระทรวง ทบวง กรม มีแผนงานที่มากมาย บางอย่างขึ้นอยู่กับงบประมาณ บางอย่างขึ้นอยู่กับขั้นตอนทางกฎหมาย แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะต้องมีขีดจำกัดทางด้านเวลา หรือทางกฎหมาย ถ้าเกิดว่าอะไรทำได้ อะไรที่เป็นควิกวิน เพื่อให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าเราได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ตนอยากให้นำออกมาทำก่อน เวลาที่เราออกไปพูดคุยกับพี่น้องประชาชน อย่าอธิบายว่าอะไรที่เราทำไม่ได้ เราถูกเลือกเข้ามาเพื่อให้ทำให้ได้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

“รัฐบาลของประชาชนเราต้องลดช่องว่างระหว่างฝ่ายบริหารกับพี่น้องประชาชนให้ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นเรื่องที่อยากให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงผู้บริหารได้ ตรงนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เป็นมิติใหม่ ในการทำงานของรัฐบาลนี้ ซึ่งถ้าได้มีโอกาสพูดคุยกับพรรคร่วมอีกก็จะเน้นย้ำเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง” นายเศรษฐา กล่าว

‘อุ๊งอิ๊ง’ อุบตอบปมนั่งหัวหน้าพรรค ย้ำ!! พร้อมทำงานเต็มที่ ชม ‘เศรษฐา’ ฟิตมาก อ้อน ปชช.ร่วมให้กำลังใจให้นายกฯ

(19 ก.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่พรรคเพื่อไทยย่างเข้าสู่ปีที่ 16 ว่า วันนี้เป็นวันร่วมทำบุญพรรคเพื่อไทย แต่วันเกิดพรรคคือช่วง ก.ค. แต่ช่วงนั้นค่อนข้างยุ่ง และช่วงนี้สามารถจะจัดทำบุญได้ จึงรวบรวมคนในพรรคให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้มาทำบุญร่วมกัน

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยเดินหน้ามาถึงวันนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้เราผ่านอะไรกันมามาก ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ก่อตั้งพรรคมา โดนยุบไปแล้ว 2 รอบ และสามารถกลับมาได้ ตนคิดว่าทุกคนมีความเข้มแข็ง ทุกคนประสบความสำเร็จในแต่ละแง่มุมที่แตกต่างกัน และส่วนตัวของพรรคที่ทุกวันนี้เราสามารถมีพรรคอยู่ และคิดนโยบายทำประโยชน์เพื่อประชาชนได้ ตนถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง ส่วนกรณีที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ตนตื่นเต้นมาก ที่อยากจะเริ่มทำงาน เพราะโครงการนี้เราคิดเป็นนโยบาย ก่อนที่จะออกแคมเปญในการเลือกตั้ง ซึ่งทำการบ้านเรื่องนี้มาเป็นปี ถ้าได้ทำเมื่อไหร่เราจะทำอย่างเต็มที่ ทั้งทีมงานและที่ปรึกษามีการเตรียมกันมามากพอสมควร เมื่อมีการฟอร์มทีมเป็นที่เรียบร้อยจะเริ่มทำงานทันที หากเริ่มคิกออฟแมตช์แรกเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะทำงานทันที

เมื่อถามว่าจะเข้าไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงมีโอกาสได้เข้าไปทำงาน แต่ตนคิดว่าต้องดูที่สะดวกทั้งในส่วนของทีมงาน ซึ่งอาจจะต้องมีหลายวงประชุม และทำหลายหน้าที่ ดังนั้นสามารถทำงานได้หมด ในทุกสถานที่ที่สะดวกกับทีมงาน เพื่อให้ได้มีผลงานออกมาเร็วที่สุด

เมื่อถามถึงกรณีที่จะเข้าไปดูที่ทางตำแหน่งอื่นด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวติดตลกว่า “สื่อมวลชนชอบมอบตำแหน่งให้ตนทุกครั้ง ที่ได้มีการให้สัมภาษณ์ ซึ่งขอขอบคุณ แต่ยังคงไม่มองถึงตำแหน่งอื่น และหากได้มีโอกาสเข้าไป คงรู้สึกตื่นเต้น เพราะเคยเข้าไปทำเนียบตอนเด็ก สมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ คิดว่าหากได้เข้าไปอีก จะต้องดูว่ายังคงเหมือนเดิม เหมือนภาพจำหรือไม่ เพราะตนไม่ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลนานมากแล้ว”

เมื่อถามถึงกรณีที่มีรายชื่อติดโผที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่มีความพร้อมหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่หากถามว่าพร้อมหรือไม่ ส่วนตัวทำเพื่อพรรคอย่างทุ่มเทเต็มที่ ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และวันนี้เป็นวันเกิดพรรคครบ 16 ปี ดังนั้นความรักความผูกพันจึงพร้อมทำเพื่อพรรคอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม การจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่เป็น ตนเต็มที่กับพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่าเหมือนผู้ใหญ่ในพรรคต้องการดันคนรุ่นใหม่ เข้ามาทำงานในพรรค น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนพร้อมทำเพื่อพรรคอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเสียงเชียร์สนับสนุนเป็นกำลังใจให้ตน แต่ในช่วงไทม์มิ่งต่างๆ ที่ตนเข้ามาหากเกิดผลดีกับพรรคมากที่สุด รวมถึงกับสส. และทุกคน ดังนั้น ความหมายของตนคือถ้ามีคนที่ดีกว่า และจะนำพรรคได้ดีกว่าตนก็ยอม แต่ถ้าเป็นตนหากคิดว่าดีที่สุดก็ยอมเช่นกัน ซึ่งตนเป็นคนมองที่เป้าหมาย เมื่อมีคนพูดว่าตนควรเป็นหัวหน้าพรรค ตนเต็มที่แม้ว่ามีหรือไม่มีตำแหน่งหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น จะไม่มีการน้อยใจ หากไม่ได้เป็นหรือได้เป็นหัวหน้าพรรค เพราะจุดยืนของเราคือทำเพื่อพรรค

เมื่อถามว่าได้ให้กำลังใจกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จริงๆ ทุกคนก็คงได้วางแพลนชีวิตตัวเองไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรทั้งในสภาฯ หรือนอกสภาฯ ก็รู้จักกันอยู่แล้ว ตนก็ขอให้กำลังใจด้วย

น.ส.แพทองธาร กล่าวถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลังในการทำงานว่า ได้มีโอกาสคุยกับนายกฯ และนายกฯ สู้มาก ซึ่งตนได้แซวนายเศรษฐาว่าเหนื่อยหรือไม่ นายกฯ ตอบว่าไม่เหนื่อย และมีงานเยอะมาก พร้อมบอกให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนี้ ตนยังแซวอีกว่าฝากดูทีมงานด้วย เดี๋ยวสลบกันไปหมดแล้ว และตนยอมรับว่านายกฯ สู้ และฟิตมาก ขยันมากจริงๆ จึงอยากขอฝากพี่น้องประชาชนให้กำลังใจนายกฯ ด้วย เนื่องจากอยากทำงานให้เต็มที่ เพื่อจะให้ประเทศไทยไปถึงจุดที่ดีขึ้น

‘เกรียง’ ชี้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง-มีความรู้ความสามารถ มั่นใจ!! นำพา ‘เพื่อไทย’ ทวงคืนพรรคอันดับหนึ่งได้แน่นอน

(1 ต.ค. 66) นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค พท. ว่า ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะน.ส.แพทองธารมีความเหมาะสม เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถ

เป็นลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา เชื่อว่า น.ส.แพทองธารเป็นบุคคลที่คนในพรรค พท.ทุกคนไว้วางใจให้ขึ้นมานำพรรคมุ่งไปข้างหน้า เมื่อ น.ส.แพทองธารขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว จะเป็นแรงหนุนให้ สส.และสมาชิกพรรค พท. ทุกคนมีพลังในการทำงาน ทำพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน

อีกทั้งวันนี้พรรค พท.มี สส.รุ่นใหม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ เป็นอย่างมาก การได้คนรุ่นใหม่มาเป็นหัวหน้าพรรคเช่นนี้จะยิ่งสอดประสานการทำงานให้เป็นปึกแผ่น ทำให้พรรค พท.เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนและจะกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน

‘3 นักกิจกรรม’ เล่าเปิดใจ หลังเกิดปรากฏการณ์ ‘ส้มเทิร์นแดง’ แฉ!! การเมืองไม่ตรงปก-ระบบทำงานเละเทะ-ใช้วิธีหาเสียงโจมตีคนอื่น

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ประชาไทได้ตีพิมพ์รายงานหัวข้อ ‘เมื่อรักและศรัทธาเสื่อมลง เปิดใจ 3 วัยรุ่นส้มเทิร์นแดง’ เป็นการสัมภาษณ์นักกิจกรรม 3 คน ที่เคยสนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคก้าวไกล แต่ได้เปลี่ยนใจมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์ส้มเทิร์นแดง’ โดย น.ส.ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ หรือ ‘มายมิ้นต์’ นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 ชื่นชอบพรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นการเมืองใหม่ ชื่นชอบนายธนาธร ถึงขนาดในวันที่มีงานแฟนมีตนายธนาธร ตนเป็นแฟนคลับบัตร 2,500 บาท นั่งแถวหน้าถ่ายรูป จับมือ ตอบคำถาม เหมือนกับศิลปิน

ต่อมาได้ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ‘ฟอร์ด’, นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และ น.ส.สิรินทร์ มุ่งเจริญ หรือ ‘เฟลอร์’ กระทั่งช่วงที่นักกิจกรรมถูกจับกุม มายมิ้นต์ร่วมวงรับประทานข้าวกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคก้าวไกล มีคนในโต๊ะถามเขาว่า เมื่อไหร่นายธนาธร นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือว่าพรรคก้าวไกลจะออกมานำ เขาก็บอกว่า “เดี๋ยวรอลูกเข้าตีนก่อน” ทำให้เกิดคำถามว่าจะรอให้นักกิจกรรมเป็นอันตรายมากกว่านี้ก่อนหรือไม่?

“เขาจะต้องรอให้พวกเราเป็นอันตรายมากกว่านี้ก่อน หรือยังไงกันแน่ เราก็ไม่เข้าใจ สรุปว่าเราเป็นส่วนหนึ่งกันหรือไม่ สรุปว่าเราเป็นอะไรกัน เป็นคนที่สู้ด้วยกัน หรือว่าจริงๆ แล้วม็อบก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่คุณต้องรอจังหวะถึงจะออกมาทำ” มายมิ้นต์ระบุ

ต่อมานายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าม็อบราษฎร และแกนนำหลายคนถูกจับ เมื่อปี 2563 มายมิ้นต์กับเพื่อนจัดแฟลชม็อบที่แยกปทุมวัน ปรากฏว่ามีคนอ้างตัวว่าเป็นดอกเตอร์จากพรรคก้าวไกล ขอให้ตนปราศรัยโจมตีพรรคเพื่อไทยและคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เรื่องจับมือกับทหารตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ปรากฏว่าถูกแฟนคลับพรรคเพื่อไทยโจมตีหนัก หลังจากนั้นดอกเตอร์คนดังกล่าวได้เป็น สส. ส่วนตนเมื่อคิดทบทวนก็สงสัยว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือโจมตีพรรคเพื่อไทยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มายมิ้นต์ไม่พอใจกรณีที่พรรคก้าวไกลใช้วิธีหาเสียงที่โจมตีคนอื่น ตนไม่มีปัญหาที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นอดีต กปปส. แต่มีปัญหากับการที่คนที่เคยทำลายประชาธิปไตยมาชี้หน้าด่าว่าคนอื่นไม่มีอุดมการณ์ มาบอกว่าคนอื่นไม่สู้ ไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเป็นประชาธิปไตยต้องเป็นแบบฉันเท่านั้น ทั้งที่ประชาธิปไตยมีหลากความหมาย หลายรูปแบบ หลายวิธีการ เพราะฉะนั้นคนที่เคยทำลายประชาธิปไตยมาก่อน วันหนึ่งตาสว่างแล้วคิดว่าตัวเองดีกว่าใคร เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

ส่วนเรื่องระบบการทำงานภายในพรรคก้าวไกล มายมิ้นต์เปิดเผยว่า เคยถูกทิ้งให้รันงาน Tournament อีสปอร์ตของ สส.คนหนึ่ง ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด รวมถึงโปรเจกต์การศึกษาของ สส.จังหวัดหนึ่ง ที่ตนลงแรงลงใจไปมากแต่กลับถูกเทกลางทาง แม้จะเป็นประสบการณ์ส่วนตัว แต่สะท้อนการทำงานของระบบในพรรค เพราะถ้าพรรคยังไม่สามารถจัดการการทำงานในระดับเล็กๆ ให้ราบรื่นได้ แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศได้อย่างไร

มายมิ้นต์ยังฝากความคาดหวังถึงพรรคเพื่อไทย ต้องทำตามสิ่งที่หาเสียงไว้ให้ได้ ซึ่งขณะนี้เป็นพรรคที่ฟังก์ชันที่สุดในเรื่องเศรษฐกิจ เส้นตายที่จะพิสูจน์ฝีมือคือการลดค่าครองชีพของประชาชนให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟ ค่ารถไฟฟ้า ฉะนั้นตนขอให้พรรคเพื่อไทยดีลอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนได้ประโยชน์

ด้านนายภูมิภัสส์ หิรัญวีวิชญ์ หรือ ‘พัท’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ที่เปลี่ยนใจมาเชียร์พรรคเพื่อไทย เพราะไม่ชอบระบบการทำงานและท่าทีที่ดูไม่จริงใจของพรรคก้าวไกล รวมถึงรู้สึกประทับใจนโยบายของพรรคเพื่อไทยมากกว่า ที่ผ่านมาเคยเคลื่อนไหวฟ้องศาลปกครองเลื่อนการสอบ TCAS เมื่อเดือน มี.ค. 2564 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยกลุ่มนักเรียนและติวเตอร์ โดยมีทีมกฎหมายที่คอยให้คำปรึกษา และประสานงานสื่อมวลชน

เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พัทเคลื่อนไหวเรื่องสถาบันฯ ร่วมกับม็อบเยาวชน และเรื่องเพศกับกลุ่มเฟมินิสต์ในมหาวิทยาลัย เพราะเห็นว่าไม่มีความเท่าเทียมทางเพศในมหาวิทยาลัย และในขบวนประชาธิปไตยพบว่ามีการแอบถอดถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ซึ่งถือเป็นการข่มขืน และยังมีคนที่เป็นนักข่มขืนขึ้นปราศรัยบนเวที ตนรู้สึกโอเคกับพรรคเพื่อไทยที่ยังมีการจัดนิทรรศการ ขณะที่หลายคนในพรรคก้าวไกลก็มีประเด็นเรื่องเพศ

เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกตั้งคำถามเรื่องพฤติกรรมในครอบครัว ว่าดูย้อนแย้งกับคุณค่าที่พรรคก้าวไกลนำเสนอหรือไม่ เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมถึงกรณีที่อดีตผู้สมัคร สส.ก้าวไกล จ.ชัยภูมิ ล่วงละเมิดทางเพศ ส.ก.เขตสาทร ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ โดยผู้เสียหายบางส่วนเป็นผู้เยาว์ และ ส.ก.เขตวัฒนา ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศอดีตลูกจ้างหญิงข้ามเพศ โดยผู้ที่ออกมาเปิดโปงถูกฟ้องหมิ่นประมาททั้งทางอาญา และแพ่ง

สิ่งที่ไม่ชอบคือ ผู้สมัคร สส.พรรคก้าวไกลโพสต์รับอาสาสมัครในหลายพื้นที่ ตนเข้าไปช่วยเขตหนึ่งของ กทม. ผู้สมัครคนนั้นไม่มีความเป็นผู้นำที่มากพอ พรรคไม่เข้ามาควบคุม งานไม่แจกจ่ายอะไรเลย เข้าไปต้องคอยถามตลอดว่าอาทิตย์นี้จะให้ช่วยทำอะไรบ้าง

พัทกล่าวว่า เวลาที่ตนพูดเรื่องเฟมินิสต์ในโซเชียลก็จะมีทัวร์มาลง เมื่อตนเปิดตัวเชียร์พรรคเพื่อไทยทัวร์ก็ลงบ่อยและหนักขึ้นกว่าเดิม ต้องพบนักจิตบำบัดเป็นระยะ ส่วนชีวิตในมหาวิทยาลัยก็มักถูกมองว่าเป็นคนแรงๆ ที่ขับเคลื่อนทุกประเด็น เพราะรู้สึกว่าถูกเบียดขับจากความเป็นกระแสหลักที่ดูมีศีลธรรมสูงส่ง ทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่เรียกตัวเองว่า ‘นางแบก’ มักมีอารมณ์ขันแบบจิกกัดตัวเอง ที่เข้าใจกันเองเฉพาะกลุ่ม

ส่วนคำว่า ‘อึงไข่’ เกิดจากการตอบโต้กันของส้ม-แดงในโลกออนไลน์ แล้วนางแบกคนหนึ่งโต้กลับว่าคนเลือกก้าวไกลมักจะบอกว่าก้าวไกลมาจากประชาชน 14 ล้านเสียง ถ้างั้นคนอีก 10.9 ล้านคนที่เลือกเพื่อไทยเป็นอึ่งไข่หรือ ตนบอกว่าเป็นอึ่งไข่ 10.9 ล้านตัวที่เลือกรัฐบาลนี้ แล้วก็มีนักวิชาการคนหนึ่งออกมาพูดว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลอึ่งไข่ ที่เก็บไข่จนเต็มตัว แล้วเดี๋ยวจะต้องโดนคนอีสานจับกิน แล้วจะสูญพันธุ์ ตนจึงสงสัยว่าจินตนาการไปได้อย่างไร ตนแค่ชอบอึ่งไข่ เพราะมันอยู่ในติ๊กต็อก

ขณะที่ น.ส.น้ำฟ้า ปั้นเหน่งเพชร หรือ ‘ฟ้า’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ตนเคยร่วมทำกิจกรรมกับพรรคก้าวไกลมาก่อน แต่รู้สึกไม่ซื้อในพฤติกรรมหลายๆ อย่างซึ่งดูขัดกับประเด็นที่พรรคพยายามนำเสนอ ตนถูกตั้งคำถามจากคนในคณะเดียวกันว่าทำไมถึงมีจุดยืนแบบนี้ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง แต่เวลาคุยกับคนที่เลือกก้าวไกลก็พบว่าเขามักมีธงในใจ ถ้าตนตอบผิดแผกไปจากนั้นก็จะถูกมองว่าแบกจนบ้ง

ในช่วงที่มีกระแสข่าวลือว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ในคลาสเรียนหนึ่งอาจารย์พูดในห้องเรียนแบบขำๆ ทำนองว่า คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอาจจะคิดว่าตัวเองโง่ ไม่น่าเลือกเลย แล้วมองหน้าตน เสร็จแล้วก็หันไปมองเพื่อน บอกว่าอันนี้คือล้อกันเล่นเฉยๆ นะ พอดีว่าสนิทกัน ก่อนจะพูดว่า แต่ไม่เป็นไร คนเรามีเงื่อนไขที่ต่างกัน ทำไมถึงเลือกหรือไม่เลือก ที่ตกใจมากกว่าคือมวลบรรยากาศที่เพื่อนทั้งห้องขำ

ฟ้าเห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่มีพื้นที่ให้กับคนที่เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ถ้าเลือกพรรคก้าวไกลแล้วยิ่งเป็นนักกิจกรรมจะยิ่งได้รับการเชิดชูมากๆ แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทยแล้วพูดอะไรออกมาก็จะถูกจับผิด ตั้งคำถาม ถูกมองว่าจัดตั้ง เป็นไอโอพรรคจ้างมา

ในตอนท้าย ฟ้าคาดหวังต่อพรรคเพื่อไทย คือไม่ควรกระทำการที่ผิดหลักประชาธิปไตย พร้อมยกตัวอย่างเรื่องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ว่า ส.ส.ร.ก็ควรมาจากการเลือกตั้งเป็นสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 50% แม้ว่าตนจะเห็นความเป็นไปได้ของรัฐบาลข้ามขั้วมาตั้งแต่เห็นผลการเลือกตั้งแล้วก็ตาม แต่ก็ผิดหวังที่พรรคเพื่อไทยไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้จับมือกับพรรคก้าวไกลแล้วไปต่อด้วยกันได้ แต่สุดท้ายถ้ามีก้าวไกลยังไงก็ไม่ผ่าน ส.ว. 250 คน จึงมองว่าก็ต้องเลือกทางที่ไปต่อได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด

“เพื่อไทยเลือกที่จะเอาอำนาจรัฐที่จะมาจัดการปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนก้าวไกลกินอุดมการณ์มากกว่าที่จะดูที่การกระทำ คนอื่นอาจจะซื้อ แต่เราไม่ซื้อโซลูชันของก้าวไกล ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แค่เราไม่ซื้อ” ฟ้าระบุ

‘เพื่อไทย’ หนุน!! ‘พรบ.อากาศสะอาด’ ทวงคืนไฮซีซันท่องเที่ยวภาคเหนือ พร้อมดันรถไฟฟ้า 20 บาท คลายมลพิษเมืองกรุงจากฝุ่น PM

ดูเหมือนการมุ่งเป้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจังและเข้มข้น หลังจากเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 พรรคเพื่อไทยได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด เพื่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเข้าสู่สภา เพื่อเร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง ซึ่งมีการปรับปรุงร่างกฎหมายให้มีกลไกแก้ไขปัญหาที่เข้ากับสถานการณ์มากขึ้น โดยให้มีบทลงโทษแก่ผู้ก่อมลพิษเผาป่าในประเทศ รวมถึงกลไกแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน ให้มีการลงโทษบริษัทที่ทำให้เกิดมลพิษข้ามแดนด้วยเช่นกัน

(6 ต.ค. 66) นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ต้นตอ ด้วย พรบ.อากาศสะอาด เพื่อไทยทุกคน’ ระบุว่า...

ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของประชาชน รวมไปถึงกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทย กล่าวคือ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 (1 ม.ค. ถึง 31 มี.ค.) พบผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในไทย กว่า 2 ล้านราย ซึ่งผลการศึกษาของกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ IQAir พบว่าในปี 2563 มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยกว่า 14,000 ราย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 149,367 ล้านบาท โดยกรุงเทพมหานคร มีความเสียหายมูลค่าทางเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 ถึง 104,557 ล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (City’s GDP)

ในขณะเดียวกัน ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล โดยทางภาคเหนือ ในช่วงต้นปีซึ่งควรจะเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทย แต่นักท่องเที่ยวกลับมีความกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศที่สูงเกินมาตรฐาน สาเหตุหลักเกิดจากการเผาทั้งในและนอกประเทศ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากตัดสินใจไม่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงเวลานี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากสูญเสียโอกาสการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ก่อ 

ดังนั้น พรบ.อากาศสะอาด ฉบับนี้ จะแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อทวงคืนไฮซีซันของการท่องเที่ยวกลับคืนมาให้กับพี่น้องประชาชนภาคเหนือ

เมื่อพิจารณาที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร สาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 กว่า 50% เกิดมาจากภาคการขนส่ง กระทรวงคมนาคมพร้อมมีส่วนร่วมในการส่งเสริมอากาศสะอาดให้กับคนไทย โดยการรณรงค์ให้ประชาชนได้เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เริ่มจากเส้นเลือดใหญ่ในการขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้า มีการเร่งผลักดันให้เป็น 20 บาทตลอดสาย โดยวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา รฟม.ได้มีการอนุมัติรถไฟฟ้าสายสีม่วงให้เป็น 20 บาทตลอดสายเป็นที่เรียบร้อย เตรียมเสนอให้ ครม.อนุมัติในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ในขณะเดียวกัน ด้านเส้นเลือดฝอย ขสมก.ก็มีแผนเปลี่ยนรถโดยสารประจำทาง EV จากปีนี้ จำนวน 224 คัน ให้เพิ่มเป็น 2,013 คัน ภายในปี 2568

เพราะสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยคือมาตรฐานของเราครับ ❤️

‘สมศักดิ์’ ลั่น!! ‘เพื่อไทย’ พร้อมรับผิดชอบนโยบายเงินดิจิทัล เหน็บ นักวิชาการชอบวิจารณ์ฟรี แต่พอผลลัพธ์ดีกลับเงียบ

(10 ต.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ร่วมลงชื่อให้ทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า เป็นเรื่องของการคิดและวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสามารถทำได้ แต่ในเรื่องที่เราจะดำเนินนโยบายอะไรสักเรื่องเป็นการรับผิดชอบในนโยบายของพรรคการเมืองที่มีต่อประชาชน เราต้องคิดมาดีแล้วถึงดำเนินการ โดยหากทำแล้วออกมาดีก็ไม่มีอะไร ส่วนคนวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้ขาดทุนหรือเข้าเนื้ออะไร ทุกเรื่องมีสองมุม จะดีหรือไม่ดี อย่าเพิ่งคิดว่ามันมีผลอย่างไร แต่ให้รอดูว่าเมื่อรัฐบาลดำเนินการออกมาแล้ว หากผลออกมาไม่ดีคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะมีผลต่อพรรคการเมืองที่นำเสนอ เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ทำอะไรต้องรับผิดชอบในด้านนั้น 

“คนวิพากษ์วิจารณ์ก็พูดฟรีๆ ถึงจะผิดก็ไม่มีใครว่า ผมเห็นควรว่าต้องเดินหน้านโยบายนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ประกาศต่อสาธารณะแล้ว” นายสมศักดิ์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top