Friday, 3 May 2024
พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘รทสช.’ ดัน ‘กฎหมายประมง’ เข้าสภาฯ สัปดาห์นี้ หวังพลิกฟื้นประมงพื้นบ้าน-อุตสาหกรรมประมง

เมื่อวานนี้ (6 ก.พ.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังประชุมพรรคว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ประมงเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในสัปดาห์นี้ จุดประสงค์เพื่อพลิกฟื้นการทำอาชีพประมง โดยเฉพาะประมงพื้นบ้าน และอุตสาหกรรมประมง ให้กลับมาเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ

นายอัครเดช กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเรามีกฎหมายประมงที่ทำให้ชาวประมงเจอปัญหาและอุปสรรคในการประกอบอาชีพประมงเป็นอย่างมาก ทางพรรครวมไทยสร้างชาติจึงต้องการเสนอกฎหมายนี้เพื่อแก้ปัญหาให้อาชีพประมงกลับมาเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศอีกครั้ง ดังนั้นการเสนอ พ.ร.บ.ประมงในครั้งนี้จะทำให้สามารถพลิกฟื้นอุตสาหกรรมประมงและอาชีพของชาวประมงให้กลับมาเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ"

ทั้งนี้ การมีกฎหมายฉบับดังกล่าว ก็เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพประมงได้เข้าถึงการทำประมง ที่ถูกกฎหมาย เป็นกฎหมายที่สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบอาชีพประมง ลดอุปสรรคต่าง ๆ 

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำอีกว่า การประชุมสภาฯ ครั้งที่ผ่านมามีการยื่น พ.ร.บ.ประมงเข้าสภาฯ มาแล้ว แต่ไม่ผ่าน เนื่องจากยื่นในช่วงปลายของรัฐบาล ทำให้มีปัญหาและอุปสรรคในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณา แต่ครั้งนี้ยื่นให้พิจารณาต้นอายุของสภาผู้แทนราษฎร คิดว่า กฎหมายฉบับนี้จะสำเร็จภายในรัฐบาลนี้แน่นอน ขอให้พี่น้องชาวประมงสบายใจได้เพราะเป็นกฎหมายที่ชาวประมงรอคอย

'ลอรี่' ชี้!! ป่วนขบวนบุคคลสำคัญในต่างแดน โทษระดับก่อการร้าย หากไปทำคล้ายๆ กันที่ 'สหรัฐฯ' เสี่ยงรับโทษจำคุกตลอดชีวิต

(9 ก.พ. 67) จากเหตุการณ์ เยาวชนที่เป็นผู้ต้องหา คดี 112 แต่ยังขับรถไปป่วนขบวนเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ บีบแตร และมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามากั้น โดยการเสด็จนี้ใช้เวลาสั้นเพียงไม่กี่วินาที และไม่ได้เป็นการปิดถนนการจราจรทั้งเส้นแต่อย่างใด

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำระรานคนอื่น แต่เปรียบตัวเองเป็นฮีโร่ สร้างบรรทัดฐานสังคมผิดๆ ยัดเยียดความรุนแรงในสังคม โดยใช้เสรีภาพคำกล่าวอ้าง เป็นใบผ่านทาง พร้อมระบุว่า...

เยาวชนท่านนี้ ควรเอาเวลาไปเรียนให้จบ จะได้ตาสว่างอย่าเป็นเบี้ยของใครง่ายๆ โดยเฉพาะเครือข่ายต่างๆ กลุ่มการเมืองที่จ้องดิสเครดิตสถาบันฯ เพราะน้องทำวันนี้ เพื่อเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม หรือด้วยค่าขนม แต่โทษอาญาติดอยู่กับเราไปตลอดชีวิต หมดอนาคต กว่าจะรู้ก็สาย...

บ้านเมืองเราที่น้องๆ โดนกล่อมอยู่ตลอด ว่าไร้สิทธิเสรีภาพ ไม่ทราบว่า เคยรู้หรือไม่ว่ากฎหมายของเราเปิดพื้นที่ให้แสดงออกมากกว่า และโทษต่อประมุขของรัฐ ยังเบากว่า ประเทศเสรีอย่างฝรั่งเศส หรือ สหรัฐอเมริกา

ถ้าน้องทำรูปแบบเดียวกัน คือขับรถโฉบซิ่งเข้าไปป่วนขบวนประธานาธิบดีสหรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อยากจะนึก อาจจะไม่ได้อยู่รอดปลอดภัย เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสามารถลงมือรุนแรงเพื่อป้องกันภัยได้

โดยข้อหาที่เกิดขึ้นของไทย อาจเข้าข่ายเดียวคือก่อความไม่สงบ กฎหมายอาญา “มาตรา110 กระทําการประทุษร้ายต่อกษัตริย์ วงศาคณาญาติ มีโทษจําคุกตั้งแต่ 16-20 ปี”

ส่วนถ้าน้องไปก่อเรื่องนี้ในสหรัฐอเมริกา น้องจะเสี่ยงโดนจำคุกตลอดชีวิต จาก 4 ข้อหานี้ รวมกัน

1. ขัดขวางการทำงานจนท.รัฐ (Obstruction of official duties) ผิดกฎหมายระหว่างรัฐ จำคุก 5 ปี

2. คุกคาม/ ประทุษร้าย (Assualt) จำคุก 2 ปี

3. จราจล/ ก่อความไม่สงบ (Disorderly Conduct) จำคุก 6 เดือน

4. เข้าข่ายก่อการร้าย (Terrorism) หากเป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมือง หรือสร้างภัยต่อความมั่นคงชาติ โทษจำคุกตลอดชีวิต

จึงอยากเตือนสติน้องๆ การเรียกร้อง และแสดงสิทธิเสรีภาพ ต้องตั้งอยู่บนกรอบ การเรียกร้องความสนใจ จนเกินเลยขอบเขตกฎหมายเช่นนี้ สร้างความเกลียดชัง และเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่รุนแรง อย่างที่เห็นคดีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่สื่อมวลชนทั้งหลายควรนำเสนอข้อมูลด้วยจรรยาบรรณสากล ว่าด้วยเรื่อง 'No Notoriety' ไม่สร้างตัวตนฮีโร่กับผู้ก่อเหตุ และขอให้กำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่เข้ากำกับดูแลความเรียบร้อยด้วยความใจเย็นทุกคน

‘ดร.หิมาลัย’ ยัน!! รทสช. ไม่เกี่ยวข้องพฤติกรรม ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ชี้!! ‘ถูก-ผิด’ ต้องว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

(9 ก.พ. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ TOP NEW Talk กรณีนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เข้าไปพัวพันกับขบวนการตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคลของคุณเจ๋ง ดอกจิก ซึ่งทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่มีเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีข่าวลือว่าตนเป็นคนชักชวนเจ๋ง ดอกจิก เข้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งนี้หากคนที่ติดตามการเมืองมาตลอด จะทราบว่า เจ๋ง ดอกจิก อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และเมื่อช่วงใกล้จะเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทางเจ๋ง ดอกจิก ได้เข้ามาที่พรรคฯ เพื่อขอร่วมงานทางการเมืองด้วยกันกับทางพรรค โดยได้ยกประเด็นเรื่องการสลายสีเสื้อเพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งตรงกับแนวทางนโยบายของพรรคพอดี

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า กรณีที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีคนของพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพรรค เนื่องจากเป็นการกระทำส่วนตัว และที่สำคัญคือพรรครวมไทยสร้างชาติ และ ท่านพีระพันธุ์ สารีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคฯ ได้เน้นย้ำเสมอถึงความซื่อสัตย์สุจริต แม้แต่โครงการต่าง ๆ ที่สส.ของพรรคต้องการผลักดัน ถ้าโครงการนั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ท่านก็จะให้ดำเนินการตามระเบียบของราชการ หากกฎเกณฑ์เป็นอย่างไรก็ให้ทำตามนั้น

ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวหาว่า ท่านพีระพันธุ์ ปลด เจ๋ง ดอกจิก จากคณะทำงาน เพื่อช่วยเหลือให้ได้รับโทษน้อยลงนั้น ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะท่านพีระพันธุ์ เป็นคนทำงานเที่ยงตรงและโปร่งใส แต่ทางคุณเจ๋งเอง ที่ได้มาขอลาออกก่อนหน้านี้ เพราะไม่สะดวกที่จะเดินทางไปทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด พร้อมทั้งได้แนะนำให้แต่งตั้งพิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือคุณการ์ตูน แทนตนเอง โดยให้เหตุผลว่าเคยเป็นผู้สมัครสส.ของพรรคมาก่อน อย่างไรก็ดี หนังสือแต่งตั้งที่ท่านพีระพันธุ์ ลงนามไปนั้น เป็นเพียงร่างคำสั่งแต่งตั้งเท่านั้น และคำสั่งนั้นก็ยังอยู่บนโต๊ะเจ้าหน้าที่ ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะท่านลงนามในช่วงเที่ยง ๆ จากนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมง ก็มีข่าวเรื่องตบทรัพย์ออกมา จึงมีการระงับร่างคำสั่งนั้นไว้ก่อน

“การที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าท่านพีระพันธุ์ ปลดคุณเจ๋ง ดอกจิก ออกจากคณะทำงาน เพื่อช่วยให้รับโทษน้อยลง เรื่องนี้ผมยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะจากการทำงานกับท่านพีระพันธุ์ มาหลายปี ผมบอกได้เลยว่าท่านเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา เปรียบดังไม้บรรทัดก็ว่าได้ ทุกอย่างยึดตามหลักเกณฑ์ตามตัวอักษรเป๊ะ ๆ เพราะฉะนั้นหากคุณเจ๋ง ทำผิดจริง ท่านไม่มีทางช่วยคนผิดอย่างแน่นอน และในวันที่เกิดเรื่อง ทางคุณเจ๋งจะเข้ามาลา แต่ท่านก็ไม่ให้เข้าห้องทำงาน แต่ท่านออกมาพบข้างนอก พร้อมกับบอกให้ไปต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย และอธิบายให้สังคมฟัง จากนั้นก็ได้ให้เชิญทั้ง 2 ท่านนี้ออกจากที่ทำงานของท่านทันที” 

‘รทสช.’ รุกเอง!! เตรียมยื่นญัตติด่วนต่อสภาฯ  เร่งหาแนวทางป้องกันพฤติกรรมข่มขู่-ป่วนขบวนเสด็จฯ

(11 ก.พ. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า…

“เรื่องพฤติกรรมไปรบกวนขบวนเสด็จฯ ค่อนข้างชัดเจนว่า ฝ่ายต่างๆ ก็ออกมาประณาม แม้กระทั่งกลุ่มที่ไปยุยงกันเองแต่ต้น ก็แห่กันตัดหางประณามพฤติกรรมดังกล่าว เพราะค่านิยมการให้ร้าย ข่มขู่ ท้าทาย ไม่ให้เกียรติพระบรมวงศานุวงศ์นั้น เป็นการกระทำที่ด้อยค่าสังคม ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมถอย

ประเด็นของผมคือ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัย ถวายการอารักขา ฝ่ายข่าว ส่วนล่วงหน้า ส่วนติดตาม ควรจะทบทวนแผนและแนวทางการปฏิบัติ (Protocol) ให้รัดกุม และเร่งรัดการนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว หากไม่แสดงท่าทีให้ชัดเจน จะเกิดแรงปะทะในหมู่ประชาชน ขยายรอยร้าว สร้างความแตกแยกโดยใช่เหตุ 

ดังนั้น วันอังคารนี้ผมจะนำประเด็นเข้าที่ประชุมพรรคขอมติ ให้ยื่นญัตติด่วนต่อสภาฯ และให้ สส.รทสช. เสนอเรื่องต่อกรรมาธิการฯ ทุกคณะที่เกี่ยวข้อง ทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยฯ รวมถึงแนวทางการป้องกันปราบปรามพฤติกรรม ข่มขู่ ท้าทาย ให้ร้าย ในลักษณะเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
 

‘โฆษก รทสช.’ อัด!! ‘พิธา’ หยุดใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่ ปม ‘ตะวัน’ ชี้ ป่วนขบวนเสด็จฯ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับเจนเนอเรชัน

(11 ก.พ.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรีในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการที่ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน ก่อเหตุก่อกวนขบวนเสด็จ  ว่า ตนได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจที่ นายพิธา พยายามใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่มาแบ่งแยกคนในสังคม

เพราะกรณีนี้ เป็นเรื่องของคนที่ทำผิดกฎหมาย และเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นสิ่งที่ นายพิธา ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นอดีตนายประกันให้กับ น.ส.ทานตะวัน และเคยอภิปรายสนับสนุน น.ส.ทานตะวันในสภา ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ กับการกระทำดังกล่าวที่เป็นการกระทำที่ย่ำยีหัวใจคนไทยเป็นจำนวนมาก

“ผมจึงอยากบอกกับนายพิธาว่า ขอให้เลิกใช้วาทกรรมคนรุ่นใหม่กับคนทุกรุ่นได้แล้ว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นไหน แต่มันเป็นเรื่องของคนที่ทำผิดกฎหมายและเป็นเรื่องของคนที่ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่าใช้วาทกรรมมาปลุกระดมคนรุ่นใหม่ เพราะคนรุ่นใหม่อีกจำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วย และรังเกียจกับการกระทำของ น.ส.ทานตะวัน กับพวกในครั้งนี้” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

นอกจากนี้ นายอัครเดช ยังกล่าวอีกว่า จากกรณีนี้มีแกนนำและสส.ของพรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว แทนที่นายพิธาจะออกมาประณามการกระทำดังกล่าว กลับออกมาพูดคล้ายแบ่งแยกคนในสังคม ที่จะสร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคมอีกหรือไม่ จึงขอให้นายพิธาได้กลับไปทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ ทั้งการเคยไปประกันตัว น.ส.ทานตะวัน และการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ออกมา ว่ามันเป็นการย่ำยีหัวใจคนไทย ที่รักและเทิดทูนสถาบันเป็นจำนวนมากหรือไม่

‘ธนกร’ จี้!! ‘พิธา-ชัยธวัช’ เตือนกลุ่มทะลุวัง หยุดก้าวล่วงสถาบันฯ แนะ ‘ก้าวไกล’ กลับไปทบทวนนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งดูใหม่

(11 ก.พ. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มทะลุวัง กับกลุ่มศูนย์รวมประชาชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยาม ว่า ตนเข้าใจถึงความไม่พอใจของกลุ่มศปปส.ที่ไม่เห็นด้วยกับการขับรถ บีบแตร รบกวน ขบวนเสด็จฯ และประเทศกิจกรรมทำโพลในเรื่องดังกล่าว โดยเชื่อว่าคนไทยทั้ง รวมถึงตนเองนั้น ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่การใช้ความรุนแรไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี จึงขอให้ทุกฝ่ายหยุดสร้างความขัดแย้ง ทำร้ายร่างกายถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และแย้ง และไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา คนไทยด้วยกันต้องรักกันสามัคคีกัน ส่วนกลุ่มทะลุวังออกมาเคลื่อนไหวดังกล่าว ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำ ตามกระบวนการกฎหมายซึ่งคดีความอยู่ในชั้นศาลหลายคดีอยู่แล้ว

นายธนกร กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลและนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ดูเหมือนไม่ได้ออกมาตักเตือนกลุ่มทะลุวัง แต่ยังมองว่าควรเปิดพื้นที่ให้เยาวชนแสดงความเห็นและโยงไปถึงการเสนอนิรโทษกรรมคดีด้วยนั้น แม้ว่านายพิธาจะเคยเป็นนายประกันให้ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ‘ตะวัน’ ในคดีทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และปัจจุบันจะถอนจากการเป็นนายประกันก็ตาม ทั้งนายพิธาและนายชัยธวัช ควรตักเตือนกลุ่มดังกล่าวให้หยุดก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจใหม่ ให้มีการแสดงออกทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์และถูกต้องตามกฎหมายจะดีกว่า

หากจะดีกว่านั้น ควรพูดคุยกับเครือข่ายเยาวชน ให้หันมาช่วยกันพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมจะดีกว่า พื้นที่พูดคุยสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศมีอยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มทะลุวังเคลื่อนไหวอยู่

“การที่นายชัยธวัชและนายพิธา ไม่ได้ตักเตือนกลุ่มเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในทางที่ผิด และยังมองว่าเป็นความคิดเห็นที่แตกต่าง ควรเปิดพื้นที่ให้แสดงออกนั้น น่าจะมาจากความเข้าใจที่ผิดตั้งแต่ต้น เพราะสถาบันฯ ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ที่สำคัญเป็นการทำผิดคดีอาญาที่ร้ายแรง ไม่ควรเหมารวมว่าเป็นคดีทางการเมือง ที่จะเสนอสภาฯ ให้มีการนิรโทษกรรมได้ ขอให้พรรคก้าวไกล ทบทวนเรื่องนี้โดยด่วน ควรกลับไปพูดคุยกับเครือข่ายให้หยุดก้าวล่วงสถาบันฯ และหันมาช่วยกันพัฒนาประเทศในด้านที่เป็นประโยชน์จะดีกว่า เพราะผมเชื่อว่าองค์ความรู้ที่ทันโลกของคนรุ่นใหม่ จะช่วยพัฒนาประเทศได้ จะมายุ่งกับสถาบันฯ อันเป็นที่รักและศรัทธาของคนไทยทำไม” นายธนกร กล่าว

‘รทสช.’ จัดงาน ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งแรก เดินหน้าตามอุดมการณ์พรรค ด้าน ‘พีระพันธุ์’ ลั่น!! ขอมุ่งมั่นทำงานค้ำจุน 3 สถาบันหลักของชาติ

(17 ก.พ. 67) ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จัดกิจกรรม ‘อาสามาด้วยใจ’ ครั้งที่ 1 เพื่อให้อาสาสมัครในโครงการได้ทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำของพรรค นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้ จะมีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกหลายครั้ง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การมาตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อลงเลือกตั้ง และถูกวิจารณ์มากว่าไม่เคยอยู่ในสายตา สื่อบางสำนักบอกว่าเลือกตั้งจะได้สส.ไม่เกิน 7 คน แต่ผลการเลือกตั้งออกมาได้ สส.ได้ถึง 36 คน ถือว่าเกินความคาดหมาย ด้วยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้น โดยทำพรรคตามแนวทางที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ใช้พละกำลังทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ นี่คือ DNA ของพรรค ตามสโลแกนของพรรคที่ว่าเราจะแก้ไขให้ทุกปัญหา เราจะเป็นที่พึ่งพาได้ทุกเรื่อง ประชาชนที่เดือดร้อนถ้าเราแก้ปัญหาให้เขาได้ ประชาชนก็มีความสุข

“การทำโครงการอาสาสมัครด้วยใจ เพื่อต้องการแขนขาของพรรคมาช่วยเหลือประชาชน เป็นหูเป็นตา อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็มาช่วยกัน วันนี้เรามีอาสาสมัครที่มาทำงานด้วยใจกว่า 400 คนแล้วจากทั่วประเทศ จากเดิมที่คิดว่า 100 คนก็ดีใจแล้ว โดยการทำงานจะแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ขอขอบคุณที่มาช่วยกัน หวังว่าจะมาช่วยกันสร้างชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า อุดมการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ค้ำจุนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่ต่อไป” หัวหน้าพรรคไทยรวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การทำงานการเมืองไม่มีอะไรตอบแทน มีแต่ความเสียสละทำงานด้วยใจ พร้อมช่วยชาวบ้าน ความสุขอยู่ตรงนั้น นั่นคือคำตอบของอาสาสมัคร มีความเสียสละ ถ้ามีปัญหาเดือดร้อนขอให้แจ้งมาที่พรรค พรรคพยายามช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด โดยสามารถแจ้งได้ที่สถานียุติธรรมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทำมาตั้งแต่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม และได้เอามาสานต่อที่พรรครวมไทยสร้างชาติ

ด้านนายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนมีความภาคภูมิใจมาก ที่ได้มาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แม้เส้นทางไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เป็นเส้นทางที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค แต่ตนศรัทธาในจุดยืนของพรรค และจุดยืนของนายพีระพันธุ์ว่า จะเป็นผู้นำพรรคให้สามารถทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและประเทศชาติได้ ในที่สุดเราผ่านการเลือกตั้งมา และโชคดีที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่ที่เป็นที่รักเคารพของคนไทยทั้งประเทศมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค รวมไทยสร้างชาติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ถือธงนำทัพพรรครวมไทยสร้างชาติครั้งแรก ถือเป็นประวัติศาสตร์ของพรรคหลังเลือกตั้งได้ สส.36 คน ได้คะแนนกว่า 4,800,000 คะแนน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ครั้งนี้จึงเป็นงานสำคัญที่ นายพีระพันธุ์ และตนต้องระดมพลทั่วประเทศ จึงเป็นที่มาที่เราได้มาเจอกันในวันนี้ เพราะปรากฏการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราไม่อยากปล่อยให้หายไป เราอยากรักษาพลังส่งต่อภารกิจไปยังรุ่นต่อๆ ไป

“สำหรับ จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อบ้านเมืองประสบปัญหาเราแสดงจุดยืนชัดเจน จึงเห็นภาพเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (14 ก.พ. ) ผมได้ขออนุญาตหัวหน้าพรรค คุยกับ สส.ของพรรค และวิปรัฐบาลว่า จะเสนอญัตติ เรื่อง การถวายความปลอดภัย ขบวนเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ นี่คือจุดยืนสำคัญของพรรคในการรักษาสถาบันเสาหลักของประเทศ ถือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวด้านความรักความสามัคคีของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า“ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวว่า หลังจากวันนี้ไปจะมีการจัดเวทีลักษณะนี้อีกหลายครั้ง ขอขอบคุณด้วยใจจริงที่ทุกคนได้เอื้อมมือมาที่พรรค หวังว่าหลังจากนี้ไปพวกท่านจะไปเชิญชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครได้ซักถามปัญหา โดยมี นายพีระพันธุ์ เป็นผู้ตอบปัญหา เพื่อไขความกระจ่างด้วยตนเอง พร้อมทั้งถ่ายรูปหมู่ร่วมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

'รทสช.' มีมติรับหลักการ 'ร่างพ.ร.บ.กลุ่มชาติพันธุ์' ที่เสนอโดย ครม. แต่ปัดตก 3 ร่างเสนอประกบ ที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นประธานการประชุม สส.ของพรรค โดยมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ประธาน สส. และเลขาธิการพรรค รวมทั้ง สส.ของพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยหารือถึงประเด็นการพิจารณา ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ...ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมพรรคว่า ที่ประชุมพรรคได้พิจารณารายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ที่เสนอโดย ครม. รวมถึงร่าง พ.ร.บ.ในลักษณะเดียวกันที่เสนอโดยพรรคการเมืองและเสนอโดยภาคประชาชนอีก 3 ร่าง โดยที่ประชุมพรรค ได้อภิปรายเนื้อหากันอย่างกว้างขวาง และมีมติเป็นเอกฉันท์รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอโดยครม. ส่วนอีก 3 ร่าง พรรคพิจารณาแล้วเห็นว่า เนื้อหาจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงต่อประเทศไทยในอนาคตแน่นอน จึงไม่เห็นด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากเนื้อหาในร่างพ.ร.บ.ของพรรคการเมืองและภาคประชาชนอีก 3 ร่างกำหนดให้มีสภาชนเผ่าพื้นเมือง จึงทำให้พรรคมีความห่วงใยในเรื่องภัยความมั่นคงของชาติในอนาคต เพราะการตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมือง จะเป็นปัญหาในด้านการปกครองตนเองในอนาคตจึงเป็นประเด็นที่พรรคไม่เห็นด้วย

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า สาระสำคัญในร่างพ.ร.บ.ฉบับของคณะรัฐมนตรี ได้กำหนดให้สิทธิในด้านต่าง ๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมีกว่า 60 ชาติพันธุ์ครอบคลุมทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งสิทธิที่ดินทำกิน สิทธิความเป็นคนไทย สิทธิในการศึกษา สิทธิในการรักษาพยาบาล รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ทางกลุ่มจะได้รับเหมือนกับเป็นคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์ได้เรียกร้องและต้องการ โดยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ได้

“พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์รับหลักการเฉพาะในส่วนร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาล เพราะให้สิทธิทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนอีก 3 ร่างพ.ร.บ.ที่เสนอให้สภาฯ พิจารณาโดยมองว่า จะกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงในอนาคตแน่นอน เพราะจะมีการแบ่งแยกการปกครอง ขณะเดียวกันประเทศไทยเราได้เคยไปแถลงที่องค์การสหประชาชาติว่า ประเทศไทยไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง ประเทศไทยมีแต่กลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 70 ได้ให้ความคุ้มครองความเป็นคนไทย ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าชาติพันธุ์ไหนจะได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ” นายอัครเดช กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 ก.พ.67 สภาก็ได้มีมติรับร่างหลักการกฎหมายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองทั้ง 5 ฉบับ ที่มาจาก สภาชนเผ่าฯ, กระทรวงวัฒนธรรม, พีมูฟ, พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เพื่อนำไปสู่การเสนอชื่อกรรมาธิการต่อไป โดยทั้ง 5 ฉบับ ประกอบด้วย…

1.ร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เสนอโดยสภาชนเผ่าฯ
2.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดย ศมส. กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นร่างของรัฐบาล
3.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ
4.ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยพรรคเพื่อไทย
5. ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยพรรคก้าวไกล

โดยภายหลังจากที่ได้รับฟังการนำเสนอร่างกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ ก็มีสมาชิกในที่ประชุมได้แสดงความประสงค์ร่วมอภิปรายทั้งสิ้น 25 คน ประกอบด้วย สส. ฝ่ายรัฐบาล 21 คน และพรรคฝ่ายค้านอีก 5 คน ถึงแม้ว่าในช่วงท้ายก่อนจะมีการลงมติ เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยื่นญัตติขอให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงมติจากเดิมที่จะลงมติรวมทั้ง 5 ฉบับ เป็นการลงมติรายฉบับ แต่ในท้ายที่สุดสภาก็มีเสียงส่วนใหญ่รับร่างหลักการทั้งหมด และนำไปสู่การเสนอชื่อกรรมาธิการต่อไป

‘รทสช.’ รับฟังปัญหา ‘สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย’ ให้คำมั่น!! พร้อมสนับสนุนการทำงานเพื่อสังคมให้เกิดผลสำเร็จ

(1 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา น.ส.นดา บินร่อหีม ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้นำตัวแทนสภาเด็กฯ กว่า 20 คน เข้าพบสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค รศ.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรค เพื่อร่วมพูดคุยและรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากตัวแทนสภาเด็กฯ ที่มาขอให้พรรคช่วยสนับสนุนการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ

โดย นายเอกนัฏ เสนอว่า การที่สภาเด็กฯ เข้าพบผู้แทนของพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี อย่ากลัวฝ่ายการเมือง เพราะฝ่ายการเมืองไม่ได้น่ากลัว กฎหมายสภาเด็กฯ ก็ออกจากฝ่ายการเมือง ตนเชื่อว่า สส.ทุกคนยินดีให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานของสภาฯ เด็กบรรลุจุดประสงค์

“ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ สิ่งไหนที่ช่วยเหลือได้ยินดีสานต่อ ไม่ใช่คุยแล้วจบแค่วันนี้ แต่จะต้องพูดคุยติดตามงานกันตลอด โดยมอบหมายให้ คุณพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรค เป็นผู้ประสานงานต่อ” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้าน น.ส.นดา เปิดเผยภายหลังร่วมหารือว่า สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติได้รับข้อเสนอของสภาเด็กฯ เป็นอย่างดี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ได้เสนอให้สภาเด็กฯ คัดเลือกตัวแทน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการ หรืออนุกรรมาธิการของสภาฯ ถือเป็นข้อเสนอที่ดีมาก และเป็นมิติใหม่ในการทำงาน หลังจากนี้ทางสภาเด็กฯ จะกลับไปคิดโครงการเพื่อมาขับเคลื่อนงานร่วมกับทางพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

สำหรับ สิ่งที่สภาเด็กนำเสนอคือ ประเด็นการมีส่วนร่วมของเยาวชน ประเด็นสิ่งแวดล้อม ประเด็นเศรษฐกิจ ประเด็นความรุนแรง และประเด็นสุขภาพ 

“ทางพรรค ก็ตอบรับที่จะนำไปขับเคลื่อน แต่ในส่วนที่ขับเคลื่อนได้เลยคือ ประเด็นด้านเศรษฐกิจการมีงานทำ และประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาพรวมพอใจมากที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ เพราะทางพรรครวมไทยสร้างชาติ รับปากจะสนับสนุนการทำงานของสภาเด็กฯ อย่างเต็มที่” น.ส.นดา กล่าว

เธอกล่าวต่อว่า สภาเด็กฯ เดินสายพบทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะเราต้องการทำงานในเชิงรุก แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่าพรรคไหนเป็นพรรคที่ทำได้จริงตามที่รับปาก 

“จากการมาคุยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มีความหวัง จากการที่จะได้ฟังพี่สส.ให้คำแนะนำ จะกลับไปทำการบ้าน โดยเฉพาะการให้ตัวแทนเด็กและเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมในชั้นกรรมาธิการ หรือคณะอนุกรรมาธิการของสภาฯ” น.ส.นดากล่าว

‘ธนกร’ ซัด ‘ปดิพัทธ์’ โปรดรักษามารยาท อย่าก้าวล่วงอำนาจฝ่ายบริหาร ชี้!! บุกทำเนียบหนนี้ มีวาระซ่อนเร้น-หวังผลทางการเมืองหรือไม่

(2 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่นายประดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามนายกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่ยังค้างคาอยู่ว่า ตนเองมองว่าฝ่ายนิติบัญญัติแค่ประสานงานมายังเว็บรัฐบาลก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาลด้วยตัวเองเพราะดูไม่เหมาะสม  มองว่า ทำเกินไป ควรรักษามารยาททางการเมืองกว่านี้  เห็นว่า การที่ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาทวงถามฝ่ายบริหารเองถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจหรือไม่

เมื่อถามว่าเป็นเพราะกฎหมายสำคัญที่พรรคก้าวไกลเสนอมีการวิจารณ์ว่าถูกรัฐบาลดองไว้ นั้น  นายธนกร กล่าวว่า ประธานสภาและ รองประธานสภา  หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถ ประสานงานหรือการติดตามทวงถาม ซึ่งก็มีขั้นตอนทั้งทางเอกสารและทวงถามด้วยวาจา อยู่แล้ว เพราะเมื่อถูกสื่อถามเรื่องการนัดหมายกับใครในสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไว้ แต่ท้ายสุดนายประดิพัทธ์ ก็ไม่ได้เจอผู้ใหญ่ตามที่กล่าวอ้าง เจอเพียงผู้อำนวยการกองงานประสานงานกลางการเมือง ของทำเนียบฯรับเรื่องไว้เท่านั้น 

“จึงทำให้ผมคิดได้ว่า การที่นายประดิพัทธ์เดินทาง เข้าทำเนียบรัฐบาลด้วยตัวเองเพื่อจะทวงถามร่างกฎหมายต่างๆนั้นอาจมีวาระซ่อนเร้น หรือหวังผลทางการเมืองอะไรหรือไม่ จึงอยากขอให้นายประดิพัทธ์ที่เป็นถึงรองประธานสภาให้เกียรติและไว้หน้าฝ่ายนิติบัญญัติด้วย ที่สำคัญ ร่างกฎหมายต่างๆมีขั้นตอนปฏิบัติเช่นการส่งไปให้หน่วยงานต่างๆให้ความเห็นซึ่งมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องใช้เวลาในการพิจารณากว่าจะส่งกลับมาก็ต้องใช้เวลา นายปดิพันธ์เป็นถึงรองประธานสภาฯควรรักษาเกียรติตัวเองและเกียรติสภาฯด้วย“ธนกร กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top