Thursday, 2 May 2024
พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘เอกนัฏ’ เผย กระทรวงอุตฯ ยุคนี้ ให้ความสำคัญกับ ปชช. เรื่องมลพิษ ชงแก้กฎหมาย ให้โรงงานต้นเหตุ ต้องจ่ายค่าเยียวยาเอง

(23 มี.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิกเกี่ยวกับการชดเชยราคาอ้อยสดว่า ถ้าสามารถเพิ่มราคาน้ำตาลในประเทศได้ก็จะสามารถเก็บเงินเข้ากองทุน ไม่ต้องเป็นภาระนำงบกลาง ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนมาใช้ สามารถนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายชดเชยราคา ในการตัดอ้อยสดได้เลย

สำหรับ สำหรับงบการอบรมของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ (กพร.) ความเป็นจริงกพร. ได้รับงบน้อยมาก การรับรู้ของประชาชน และผู้ประกอบการเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจเหมืองแร่ในประเทศยังน้อยมากไม่ควรปรับลดงบลงมา แต่ควร เพิ่มงบให้ด้วย เพื่อให้ข้าราชการในกพร. สามารถออกไปเผยแพร่องค์ความรู้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการได้มากกว่านี้ ให้พวกเขาได้ร่วมรักษาผลประโยชน์ของประเทศ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมปัจจุบันภารกิจน้อยไป มีการแยกงานบางส่วนไปอยู่กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ซึ่งมีกองทุนอยู่ด้วย ถ้าให้มีการนำเงินไปอุดหนุนปัจจัยการผลิตตามที่สมาชิกขอ ก็แทบจะไม่ใช่ภารกิจของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แต่ภารกิจสำคัญของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมคือการออกไปพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพให้ความรู้กับกลุ่มผู้ประกอบการ และพัฒนาสินค้าต้นแบบ

อย่างไรก็ตาม การจะไปคำนวณว่าใช้เงินต้นทุน ในการพัฒนาผู้ประกอบการต่อหัวเท่าไหร่ อาจจะเป็นมุมที่บิดเบือนวัตถุประสงค์การใช้เงินในก้อนนี้ ได้รับการยืนยันจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมว่า เงินทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้สินค้าต้นแบบ จะทำให้เพิ่มมูลค่าได้ 7,000 กว่าล้านบาท จึงอยากให้สมาชิกได้มองอีกมุมหนึ่ง อย่ามองแต่เรื่องค่าใช้จ่ายรายหัว ให้มองมูลค่าที่เพิ่มจากการทำภารกิจของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

สำหรับ โครงการดีพร้อมชุมชน นายเอกนัฏ ชี้แจงว่า อาจเป็นความเข้าใจผิดในโครงการที่เคยมีปัญหาในอดีต แต่ภารกิจเหล่านั้น ปัจจุบันแทบไม่ได้ทำแล้ว ปัจจุบันนี้งบของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม งบที่ได้มาส่วนใหญ่จะนำไปเพิ่มมูลค่าให้กับกลุ่มผู้ประกอบการและสินค้ามากกว่า ตัวเนื้องานของกลุ่มเสริมส่งเสริมใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพเน้นการออกไปพัฒนามากกว่า

นายเอกนัฏ กล่าวถึงความต้องการที่จะให้ตั้งงบประมาณเพื่อเยียวยาปัญหาจากกากอุตสาหกรรม และมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมว่า น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรมให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก งานหลักของกระทรวงอุตสาหกรรมคือการเพิ่มอุตสาหกรรมของประเทศ แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าคือคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำมาหากินการค้าขายหรือการสร้างมูลค่าอุตสาหกรรมต้องไม่ไปทำลาย หรือทำร้ายพี่น้องประชาชน

“ความจริงเราไม่ต้องใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียวไม่ต้องมาหากรรมาธิการงบประมาณเพราะรมว.อุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับการแก้กฎหมาย เพื่อให้โรงงานและกลุ่มผู้ประกอบการที่สร้างปัญหาให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ต้องมาใช้เงินภาษีของประชาชนในการเยียวยา มีการแก้กฎหมายให้ผู้ประกอบการที่ สร้างมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ปัญหาที่เกิดก่อนการแก้กฎหมาย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นฉุกเฉินไม่มีการตั้งงบไว้ในปี 2567 หวังว่าสัญญานี้ส่งไปถึงรัฐบาลควรตั้งงบกลางมาแก้ปัญหาในกรณีฉุกเฉิน ด้วย”นายเอกนัฏ กล่าว

‘รมว.ปุ้ย’ ห่วงใย เอสเอ็มอี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สั่งการ SME D Bank เร่งช่วยเหลือ ผู้ประกอบการในพื้นที่

(23 มี.ค.67) ตามที่ได้เกิดเหตุก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้หลายจุด ในช่วงวันศุกร์ที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา ส่งผลกระทบต่อสถานประกอบการ SMEs ในพื้นที่ดังกล่าวหลายรายได้รับความเสียหาย นั้น 

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหาย สำรวจความต้องการของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และเร่งให้ความช่วยเหลือในทุกด้านที่กระทรวงสามารถให้ได้

“เบื้องต้น ทราบข้อมูลจากหน่วยงานในพื้นที่ว่า มีผู้ประกอบการจำนวน 7 ราย ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รู้สึกเป็นห่วงและเห็นใจผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยได้มอบให้ SME D Bank กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด เข้าไปตรวจสอบและสอบถามผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทุกราย สำหรับในส่วนของ SME D Bank สามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียายา ด้านการเงิน อาทิ การพักชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ การให้สินเชื่อ Soft Loan พิเศษ แก่ผู้ได้รับผล กระทบ ส่วนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มีศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 สามารถเข้าไปช่วยเหลือในด้านเทคนิค การตลาด และเงินทุนหมุนเวียน โดยจะเร่งให้ทุกหน่ายในสังกัดกระทรวง บูรณาการกับพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

‘รัดเกล้า’ ชู!! ‘บางกอกบานฉ่ำ เมืองมีชีวิต’ กิจกรรมดีๆ ช่วงปิดเทอมนี้ ต้นแบบแห่งการมีส่วนร่วม 'เด็ก-เยาวชน-ประชาชน' ณ สวนบางขุนนนท์

เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เผยถึงกิจกรรม ‘บางกอกบานฉ่ำ เมืองมีชีวิต’ ซึ่งจัดโดย เครือข่ายบางกอกนี้...ดีจัง ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา มูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) และภาคีเครือข่าย ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้กับเยาวชนในช่วงเวลาที่ปิดเทอม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างนักสื่อสารสุขภาวะเด็กเยาวชน พลเมืองรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการออกแบบและสร้างสรรค์ระบบนิเวศของชุมชน และการสร้างสื่อสุขภาวะที่หลากหลาย ปลอดภัย ทั้งในเชิงกายภาพและจิตใจ รวมทั้งเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางความคิด ส่งเสริมการรู้เท่าทันตนเอง เท่าทันสื่อและสังคม อีกด้วย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมเดิน เล่น เรียนรู้ สร้างสรรค์ชุมชนบางกอกน้อย, กิจกรรม Kids Camp สวนเล่นได้ เล่นกับธรรมชาติ, กิจกรรม Play Zone อะไรอะไรก็เล่นได้ ใครใครก็เล่นได้, กิจกรรมลานบานฉ่ำ ศิลปะชุมชน และกิจกรรม Young Voice ร่วมออกแบบเมือง เมืองมีชีวิตของทุกคน 

“ขอชื่นชมคณะผู้จัดงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม กิจกรรมนี้ถือเป็นต้นแบบในการสร้างการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และประชาชน ที่จะร่วมกันออกแบบและสร้างสรรค์ชุมชน สังคมให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ ตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมกิจกรรม สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ – 24 มีนาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 18.00 น. ที่สวนบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย” รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าว

‘รัดเกล้า’ เผยรัฐบาลให้ความสำคัญ ผลักดันความสงบให้ชายแดนใต้ ย้ำ ทำตามหลักการ สร้างความปลอดภัย ให้น่าท่องเที่ยว 

(24 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ รัฐบาล ที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ทุกศาสนา โดยเมื่อครั้งที่เดินทางมาตรวจราชการในกิจกรรม “เที่ยวใต้ สุดใจ” (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เมื่อวันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมาสะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลอย่างจริงใจที่สุด ที่จะสร้างภาพจำใหม่ให้คนไทยและชาวต่างชาติเห็นว่า ”พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปลอดภัย น่าท่องเที่ยว”

ทั้งนี้เหตุการณ์การก่อกวนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดสงขลาบางจุด เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเดือนรอมฎอนที่เป็นเดือนอันประเสริฐของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยมุ่งเน้นไปที่การก่อเหตุกับสถานประกอบการภาคธุรกิจที่หวังทำลายระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ของประชาชนในพื้นที่ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือมีความห่วงใยในชีวิตและสวัสดิภาพของประชาชนในพื้นที่แต่อย่างใด เพราะเมื่อเกิดเหตุกับสถานประกอบการ ผู้ที่ได้รับผลกระทบทันทีคือ ผู้ประกอบการที่ธุรกิจได้รับความเสียหาย และลูกจ้างที่ต้องหยุดงานขาดรายได้ทันทีที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบกับสถานประกอบการที่ตนทำงานอยู่ อีกทั้งประชาชนต้องรู้สึกหวาดกลัว หรือหวาดระแวงเมื่อต้องเดินทางออกมาจับจ่ายซื้ออาหารเพื่อละศีลอด รวมทั้งการเดินทางไปประกอบศาสนกิจเพื่อเก็บเกี่ยวผลบุญในช่วงค่ำคืน ดังนั้นการก่อกวนเช่นนี้ จึงทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ 

นางรัดเกล้า ยังเปิดเผยว่า นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการก่อกวน ของบางกลุ่ม ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างสันติสุขในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการแสดงออกบางอย่างเพื่อแสดงตัวตนและให้เห็นถึงความสำคัญ แต่ทั้งนี้การพูดคุยเพื่อสันติสุข ยังเดินหน้า โดยที่มีประเทศมาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวก และคณะพูดคุยก็เปิดกว้างในการรับฟังความเห็นต่างๆ แต่ทั้งนี้ถ้าทุกฝ่ายสร้างบรรยากาศไม่มีความรุนแรง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีในการที่จะเปิดช่องรับฟัง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ขั้นตอนการพูดคุยหลักการใหญ่เห็นชอบแผนสันติสุขร่วมกันแล้วรวมถึงเห็นชอบหลักการรายละเอียดของแผน โดยจะมีคณะเทคนิคไปพูดคุยเพื่อทำตามกิจกรรมของแผน โดยช่วงนี้คณะเทคนิคอยู่ระหว่างการประชุมและในครั้งที่ผ่านมา คณะเทคนิคได้มีการประชุมแล้วสองครั้ง โดยรวมอยู่ในขั้นตอนที่คุยกันได้ เพื่อที่จะให้เดินไปข้างหน้า แม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายเรื่องแต่ก็จะใช้ความพยายาม ในฐานะที่ตนเองเป็นหัวหน้าพูดคุย ต้องขอขอบคุณ อย่างน้อยได้มีการพูดคุยก็เป็นเรื่องที่ดีจึงต้องรักษาไว้

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนชนข่าว ทางช่องTNN เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67

ต้นทุนราคาน้ำมันถ้าเราไม่รู้ต้นทุน เราจะรู้ได้ไงว่าราคามันควรจะเป็นเท่าไหร่

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนชนข่าว ทางช่องTNN เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67

‘อัครเดช’ ไม่กังวล การอภิปรายของ ‘สว.’ เชื่อเข้าใจขอบเขต เพราะเป็นผู้ใหญ่ ย้ำ รมว.ทุกคนของพรรค ทำงานใกล้ชิด ปชช. มีผลงาน สัมผัสได้

(24 มี.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า การขอเปิดอภิปรายทั่วไปของวุฒิสภา (สว.) เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ที่ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ว่า ถือเป็นข้อดีที่วุฒิสมาชิกใช้กลไกของรัฐสภาในการตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ถือเป็นกลไกปกติในระบอบประชาธิปไตยที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะทำหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ดังนั้นในส่วนรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติก็มีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะชี้แจงและตอบข้อซักถามของสว.

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ทั้งนี้ รัฐมนตรีของพรรค 4 คนที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาบริหารงานใน 4 หน่วยงานหลัก ประกอบด้วย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม นายกฤษดา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง และนายนายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ ขณะนี้ได้เตรียมข้อมูลพร้อมที่จะตอบข้อซักถามของสว.แล้ว และถือเป็นโอกาสดีที่รัฐมนตรีของพรรคจะได้ชี้แจงผลงานในการทำงานช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา หลังจากได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำงาน

“รัฐมนตรีของพรรคทำงานในกระทรวงที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน ที่ผ่านมาได้ทำงานอย่างหนักมีผลงานชัดเจนสัมผัสได้ ผลงานของรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติหลายผลงาน ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาลอีกด้วย จึงถือเป็นโอกาสดีที่รัฐมนตรีของพรรคจะได้ชี้แจงผลงานไปในตัว จึงไม่ได้มีความกังวล และมีความยินดีในการเปิดอภิปรายของสว. ผมไม่ห่วงการอภิปรายของสว. เนื่องจากเป็นการอภิปรายทั่วไปไม่ใช่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมเชื่อมั่นสว.เป็นผู้ใหญ่พอคงจะทราบข้อนี้เป็นอย่างดี ว่าการอภิปรายนอกเหนือประเด็นจากข้อสงสัยที่ยื่นเป็นญัตติมาแล้วจะอภิปรายนอกประเด็นตามที่ข้อบังคับการประชุมกำหนดนั้นทำไม่ได้”  โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

'เอกนัฏ' ลั่น!! 'รทสช.' พร้อมหนุนแก้ รธน.หากไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แนะ!! ไม่ต้องแก้ทั้งฉบับ เลือกแก้แค่หมวดที่ 'สร้างสุข-ปลดทุกข์' ให้ปชช.

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมอภิปรายระหว่างการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นผู้เสนอว่า ญัตติที่เสนอโดยนายชูศักดิ์เพื่อขอมติที่ประชุมร่วมรัฐสภายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องมีการทำประชามติหรือไม่ พวกตนเห็นด้วยจะได้สิ้นสงสัยว่ากระบวนการจะต้องทำอย่างไร ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร ทำประชามติก่อนหรือไม่จำเป็นต้องทำประชามติ พวกตนไม่ติดใจ น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องอภิปราย เพราะหัวใจสำคัญเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ว่า จะต้องทำประชามติหรือไม่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและวิธีแก้รัฐธรรมนูญ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติถ้าให้เลือกได้ เราเห็นความสำคัญของการเดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชน รวมถึงการแก้กฎหมาย แก้ระเบียบ กติกาที่เป็นอุปสรรคมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่ายังมีกฎระเบียบอีกหลายตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ถ้าสามารถได้จะคลายความทุกข์ให้ประชาชนสร้างความสุขให้ประชาชนมากกว่า

นายเอกนัฏ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสมาชิกหลายคนหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้งเราไม่ติดใจ แต่ขออนุญาตเตือนสติพวกเราว่า ถ้าเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเกือบทั้งฉบับ นอกจากจะใช้เวลานานแล้ว มีความเสี่ยง จะสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก มีการสรุปไว้ทุกครั้งที่มีการทำประชามติต้องใช้งบประมาณกว่า 3,200 ล้านบาท ถ้าทำประชามติ 3 ครั้งใช้งบเกือบหมื่นล้านบาท

“แต่ถ้าเราถอยกลับมาทบทวนว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เพราะในร่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มีสิ่งดีๆ ที่เราควรรักษาไว้ ถ้ามีปัญหาอยากแก้ตรงไหนควรแก้ไขได้ทันทีไม่จำเป็นต้องทำประชามติให้เสียเวลา เสียงบประมาณ ผมเข้าใจมีเพื่อนสมาชิกหลายคนติดใจกังวลอยู่กับวาทกรรมเรื่องเผด็จการประชาธิปไตย และติดใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลพวงจากการทำรัฐประหาร ผมขออนุญาตย้อนข้อเท็จจริคือ รัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านความเห็นชอบตามระบอบประชาธิปไตย”นายเอกนัฏกล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 เกิดขึ้นมี 2 ตอน หนังตอนแรก รัฐธรรมนูญทำจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี มาจากคสช. ทั้ง 4 ส่วนรวมกัน ตนไม่ปฏิเสธว่าทั้ง 4 ส่วนถ้าจะบอกว่ามาจากการแต่งตั้งของคสช. แต่หนังเรื่องนี้ถูกพับไปแล้วเพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างมาถูกคว่ำ โดย สภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้เกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญโดยผู้มีความรู้ความสามารถปราศจากการเมือง ได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติโดยประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ได้รับเสียงเห็นชอบกว่า 15 ล้านเสียง มากกว่า 58 % มากกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นเสียงส่วนมาก

เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตนบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้หลายคนยังจมอยู่กับวาทกรรมเผด็จการ และการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่เป็นความจริง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างจากคนมีความรู้ความสามารถ ผ่านการทำประชามติและประชาชนส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบ เป็นผลพวงจากการทำประชามติไม่ใช่รัฐประหาร หากเราจะเดินหน้าประเทศอย่าจมอยู่กับวาทกรรมการทำรัฐประหาร และสามารถเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ แก้โดยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นหากจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่าเสียงบประมาณ และเสียเวลา ยังมีทางเลือกที่จะเดินหน้าไปได้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย

“ผมไม่ติดใจหากเพื่อนสมาชิกคิดว่าจะต้องเดินหน้า ต้องไปแก้ไขเกือบทั้งฉบับ จนนำไปสู่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสมควรทำประชามติหรือไม่ และหากมีการแก้ทั้งฉบับจริง จะต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่กระทบต่อการปราบปรามทุจริต สิ่งนี้คือจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยนำเสียงสส. 36 เสียงไปเป็นหลักประกันไว้ตอนจัดตั้งรัฐบาลถือเป็นการแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติยินดีโหวตให้ แต่ขอฝากผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้ายังจะเดินหน้าแก้ทั้งฉบับ ต้องระบุคำถามเป็นหลักประกันให้พวกเรา ไว้วางใจ ใส่ไว้ในคำถามว่า ไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต ถ้าทำแบบนี้ได้พวกผมไว้วางใจทุกเสียงยินดีสนับสนุนมีมติให้รัฐสภายื่นญัตตินี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป”นายเอกนัฏกล่าว

'รัดเกล้า' เผย!! สศค.เล็งทบทวน มาตรการช่วยอสังหาฯ เพิ่มเงินกู้บ้านล้านหลังเป็น 2 ล้านบาท พร้อมลดค่าจด-โอน เหลือ 0.01%

(30 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมพิจารณาทบทวนมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้เติบโตขึ้น โดยพิจารณามาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 1% คำจดจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับอสังหาฯที่ราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน3 ล้านบาท โดยจะขยายให้ราคาซื้อขายเกิน 3 ล้านบาทมีสิทธิเข้าร่วมมาตรการด้วย แต่ให้สิทธิเฉพาะ 3 ล้านบาทแรก

ส่วนมาตรการการเงิน โครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่กำหนดให้กู้ได้เฉพาะผู้ซื้อบ้านก่อสร้างและวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน1.5 ล้านบาทนั้น จะขยายเป็นราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท เพราะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หาได้ยากและไม่ได้เสี่ยงมาก ส่วนการทบทวนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้มา 5-6 ปีแล้ว กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย กำลังศึกษาร่วมกันเพื่อทบทวนให้เหมาะสม เช่นการจัดระเบียบประเภทที่ดินให้ชัดเจนมากขึ้นรวมทั้งการให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ปัจจุบันให้ อปท. ใช้ดุลพินิจได้ตามความเหมาะสม เช่น ที่ดินเปล่าที่เจ้าของปลูกต้นไม้ทำสวน แต่ไม่ถึงเกณฑ์เป็นที่ดินเพื่อการเกษตรนั้นได้ให้ อปท.ตัดสินใจได้เลยว่าจะเข้าเกณฑ์ใดส่วนอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีแนวคิดปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การปรับมาตรการกล่าว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ โดย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมรายละเอียดเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในเร็ว ๆ นี้

'รองโฆษก รทสช.' ซัด 'ก้าวไกล' ทำตัวเหมือนผี ชอบเล่นเกม นับองค์ประชุม อยากเอาชนะ หวังให้สภาล่ม หวังทำคอนเทนต์ เพื่อเล่นงานฝั่งตรงข้าม

(30 มี.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคก้าวไกลมีเนื้อหาระบุว่า...

สส.ก้าวไกลเหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่แสดงตน 

หวังทำ 'สภาล่ม' แต่ล้มไม่เป็นท่า

คืนที่ผ่านมาถือว่า น่าตื่นตาทีเดียวกับบรรยากาศประชุมสภาเรื่องพิจารณาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ฝ่ายค้านดิ้นสุดฤทธิ์ที่จะดึงเกมให้สภาล่ม และสุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็รวมใจกันชนะโหวต ด้วยการแสดงตนในสภา ด้วยวาจา '253 ต่อ 0 เสียง' งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 2

ขณะที่พรรคก้าวไกล ผู้ประกาศก้องว่าพรรครุ่นใหม่ รักและศรัทธาประชาธิปไตย แต่พร้อมใจหายตัวเป็นวิญญาณ ไม่เหลือสักตัวยามแสดงตน

"ว้ายมา 2 ก็เคยแล้ว"... รอบนี้เหลือศูนย์จะเป็นไรไป ไม่แสดงตนไปเลยแบบเมื่อคืนจบๆ พรรครุ่นใหม่เล่นเกมได้ทุกองศา หากต้องการเอาชนะ ตอนหลังแถลงข่าวเสียงอ่อยว่า เห็นด้วยกับคาสิโน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย..คืออะไร?

สรุปแล้ว:

- ยอมหักดิบยอมผิดคำพูด ข้อตกลงวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน
- ยอมถ่วงความเจริญ ปัดตกญัตติเปลี่ยนส่วยคาสิโน เป็นภาษี
- ยอมทำสภาล่ม หวังทำคอนเทนต์เล่นงานฝั่งตรงข้าม

ทุกความพยายามในการทำ 'สภาล่ม' จากสภาสมัยที่แล้ว จนถึงสมัยนี้ ด้วยวิธีเดิมๆ ขอนับองค์ประชุมแบบเด็กอยากเอาชนะ ไม่ต่ำกว่า 30-40 ครั้ง เสียหายครั้ง 4.1 ล้านบาท โดยไม่สนว่าจะเป็นการลงมติที่มีประโยชน์กับบ้านเมือง หรือกำลังแก้ปัญหาปชช.แต่อย่างใด

ไร้ซึ่งเจตจำนงทำงานเพื่อประชาชน

ไร้ซึ่งเกียรติในการทำงานประสานความร่วมมือ

จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม 'ว่าว' นายกฯ

เพราะขนาดอยากทำ 'สภาล่ม' ยังว่าวไม่เป็นท่า

‘ธนกร’ ย้ำ รธน. มาจากเสียงส่วนใหญ่ หากจะยกร่าง ต้องถามปชช. ยืนยัน ไม่แก้ ‘หมวดความมั่นคง-พระมหากษัตริย์’

(30 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังรัฐสภาร่วมลงมติเห็นชอบให้รัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้รัฐสภาสอบถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จะได้ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 / 2564 ถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือมีอำนาจแค่แก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น ตามมาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาของประชาชนขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและรายได้ไม่เพียงพอ หนี้สินล้นพ้นตัว สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล ควรมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ก่อน ตามที่นายกฯและรัฐบาลกำลังหาแนวทางดำเนินการแก้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ และเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากมีการผลักดันให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำประชามติในช่วงปีนี้ อาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เพราะการทำประชามติ 1 ครั้งใช้งบฯ กว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว หากต้องทำ 2-3 ครั้ง จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่า 9,600 ล้านบาท มองว่าควรเอางบประมาณในส่วนนี้ ลงไปอุดหนุนอุ้มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการภายหลังได้

“การจะยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จำเป็นต้องถามประชาชนก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ.2560 มาจากความเห็นชอบเสียงส่วนใหญ่กว่า 15 ล้านเสียง ที่ประชาชนไปออกเสียงประชามติมา

หากจำเป็นต้องยกร่างรัฐธรรมนูญทำประชามติกันจริง ๆ ตนและสส.รทสช. ก็ขอย้ำชัดในจุดยืนเดิม ว่า ต้องเขียนคำถามพ่วงให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการแก้ไข ไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเนื้อหา ต้องไม่แก้ไขกฎหมายเกี่ยวการทุจริต ประพฤติมิชอบ ที่เขียนไว้อย่างดีรอบคอบแล้ว“ นายธนกร ย้ำ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top