Tuesday, 20 May 2025
พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘เอกนัฏ’ ย้ำ ‘หน.-เลขาฯพรรค’ ทำงานร่วมกันได้ดี แบ่งหน้าที่กันลงตัว ทุกคนในพรรคสามัคคีกลมเกลียว เป็นครอบครัวเดียวกัน

(12 พ.ค.67) เมื่อเวลา 13.50 น. ที่โรงแรมรีเจ้นท์ชะอำบีชรีสอร์ท อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมสัมมนาพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เลื่อนจากกำหนดการเดิมที่วางไว้เนื่องจากตรงช่วงเทศกาลสงกรานต์ และอยู่ระหว่างการปรับคณะรัฐมนตรี แต่บังเอิญที่มาตรงกับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่พรรครทสช.เป็นเจ้าภาพ และการสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้พูดเรื่องภายในพรรค โดยประเด็นสำคัญจะเกี่ยวข้องกับภารกิจของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างพลังงาน เพื่อลดต้นทุนให้ประชาชน โดยมีบางเรื่องที่ทำและเกิดผลแล้วแต่บางเรื่องต้องใช้เวลาดำเนินการ จึงต้องนำเรื่องนี้มาพูดกับสส.เพื่อนำไปสื่อสารให้ประชาชนรับทราบ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้า การพิจารณาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีแทนนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จะพิจารณาโควตาคนนอกหรือจากสส.ในพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในการสัมมนาวันนี้ไม่มีการพูดคุยเรื่องดังกล่าว และไม่เคยเอาเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีมาหารือในที่ประชุมสส. แล้ววันนี้ไม่ได้กำหนดอยู่ในหัวข้อสัมมนา ส่วนเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่างนั้น เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังเป็นโควต้าของพรรคหรือไม่ หรือหากจะเปลี่ยนเป็นกระทรวงอื่นต้องมีการพิจารณาหารือถึงผู้ที่เหมาะสม ทั้งนี้การเข้าร่วมรัฐบาลมีเงื่อนไขแค่ไม่เอาพรรคที่ผลักดันให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่แตะหมวดหนึ่ง หมวดสอง และมาตราอื่น ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต ดังนั้นจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงไหนขึ้นอยู่กับแกนนำรัฐบาลจะมอบให้รับผิดชอบกระทรวงใด และพรรคต้องหาบุคคลที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นไปทำงาน ทั้งเรื่องคุณสมบัติและประสบการณ์ โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นโควตาภาคใด รวมถึงต้องลงตัวในภาพรวมของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะให้ดูแลกระทรวงใดก็ทำงานเต็มที่ เห็นได้จากกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่รัฐมนตรีของพรรคทำงานอย่างหนัก ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทเต็มที่ ปฏิบัติภารกิจได้หลายเรื่อง สะสม และสะสางปัญหาที่หมักหมมในกระทรวงได้หลายเรื่อง

เมื่อถามย้ำว่าตำแหน่งที่ยังว่าง จำเป็นต้องเป็นสส.หรือมาจากคนนอกได้ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นสส. เมื่อครั้งที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็มองว่านายกฤษฎา มีความเหมาะสม ทั้งนี้ยังไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ว่างจะไปลงที่ตรงไหน โดยตำแหน่งรมช.สามารถไปลงตรงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับการเจรจาพูดคุย  ทั้งนี้ตนมองว่าตำแหน่งรมช.ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบพิจารณา แต่ยืนยันว่าการปรับครม.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในเวลานี้นิ่งแล้ว ขอย้ำว่าภายในพรรคเวลานี้ไม่มีปัญหาอะไรตามที่มีข่าว

ที่สื่อไปตีความว่าแตกแยกหรือมีปัญหา ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงสักเรื่อง ในข้อเท็จจริงบรรยากาศในพรรค เป็นไปอย่างดี ทุกคนตั้งตั้งใจทำงานเพื่อพรรค เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพลักษณ์ที่ถูกจับตามองว่าเลขาฯพรรคกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ เป็นทีมเดียวกัน เลขาฯพรรค กล่าวว่า ทุกคนรวมทีมกับเลขาฯพรรค ทุกคนในพรรคเป็นคนของเลขาฯพรรคอยู่แล้ว รวมถึงหัวหน้าและเลขาฯพรรคก็แท็กทีมกันเช่นเดียวกัน 

ผมเคยบอกแล้ว ถ้ามีพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเอกนัฏ ถ้ามีเอกนัฏ ก็ต้องมีก็ต้องพีระพันธุ์ เราทำงานเหมือนเป็นคนเดียวกัน แต่แบ่งหน้าที่กัน เป็นเรื่องปกติ ยืนยันว่านายพีระพันธุ์ จะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าสื่อจะตีความอย่างไร แต่เราจับมือทำงานและพูดคุยกันทุกเรื่อง ส่วนตนทำหน้าที่เป็นกรมการเมือง เป็นแม่บ้านพรรค ดูแลเอาใจใส่คนในพรรค ทำให้ทุกคนในพรรคสามัคคีกลมเกลียว พรรคเรามาจากหลายพรรคการเมืองแต่วันนี้ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

เมื่อถามย้ำว่า นายพีระพันธุ์ จะเป็นหัวหน้าพรรคไปจนครบรัฐบาลนี้หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนสนับสนุนนายพีระพันธุ์ ล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค เราไม่ได้ตั้งตัวเองขึ้นมา แต่มาจากการรับเลือกของที่ประชุมใหญ่พรรค ดังนั้นตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค สามารถเปลี่ยนได้ตามมติที่ประชุมใหญ่ ตามข้อบังคับพรรค เวลานี้พรรคเดินหน้าทำงานต่อไม่มีปัญหาอะไร จึงต้องขอความยุติธรรมให้กับเราบ้าง

เมื่อถามกรณีที่มีกระแสข่าว นายกฤษฎา เตรียมลาออกจากสมาชิกพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่ทราบ บางคนเมื่อเสร็จภารกิจนี้แล้ว ต้องการไปทำอย่างอื่น เช่น เป็นบอร์ดบริหารรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรอื่น มีสิทธิไปทำงานตำแหน่งอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้  ทั้งนี้หลังจากนายกฤษฎา ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี รู้สึกเสียดาย และได้พูดคุยให้กำลังใจบ้าง รวมถึงสมาชิกบางคนที่ลาออกไปแล้วเช่น นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ก็ยังได้พูดคุยและมีสัมพันธ์อันดี และอนาคตหากมีโอกาสกลับมาทำงานร่วมกันก็ทำได้

ต่อมาเมื่อถึงเวลา15.30 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ก็ได้เปิดงานสัมมนา โดยในงานนี้มีบรรยายหัวข้อ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย โดยรวมไทยสร้างชาติ’ โดยมีกรรมการบริหารพรรค บุคคลสำคัญของพรรค รวมทั้งสส. และรัฐมนตรีเข้าร่วมงานนี้กันมากมายหลายท่าน อาทิ

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายชื่นชอบ คงอุดม กรรมการบริหารพรรค นายเจือ ราชสีห์ ผู้บริหารพรรค นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ นายสัญญา นิลสุพรรณ สส.นครสวรรค์ นายสุพล จุลใส สส.ชุมพร นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา

โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธานในที่ประชุมได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างพลังงาน เพื่อให้สส.ได้นำไปชี้แจงให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมเปิดโอกาสให้สมาชิกได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นและสะท้อนปัญหาในการทำงาน

‘เศรษฐา’ ยัน!! เก็บเก้าอี้ รมต.ไว้ให้ ‘รทสช.’ ส่วนเรื่องกระทรวง เดี๋ยวค่อยคุยกัน ย้ำ!! มีจุดหมายเดียวกัน ทำงานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ของพี่น้องประชาชน

(18 พ.ค. 67) ที่สาธารณรัฐอิตาลี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่าง ลงในสัดส่วนของ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ว่า ก็เก็บไว้ให้พรรครวมไทยสร้างชาติเขา แต่ถึงวันนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่ได้มีการติดต่อมา หากมีการเสนอก็ต้องมีการพูดคุยกันต่อไป แต่ยืนยันว่าเป็นโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ 

เมื่อถามว่าโควตาดังกล่าวหมายถึงจะยังคงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเดิมใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุย แต่เราอยู่ด้วยกัน เราต้องรับฟังความคิดเห็นกันก่อน โดยเฉพาะความคิดเห็นจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ท่านอยากได้อะไร หรือมีความคิดอย่างไร 

“ผมเชื่อว่า ทั้งผมและท่านรองนายกฯพีระพันธุ์ ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน หากคิดว่ากระทรวงที่ท่านเสนอมาจะทำงานได้ อย่างเหมาะสมในกระทรวงอะไร คิดว่าเราพูดคุยกันได้ แต่หากไปกระทบกับพรรคอื่นก็ต้องพูดคุยกันในวงกว้างขึ้นก็เท่านั้นเอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘รทสช.’ ย้ำ!! จุดยืนคัดค้านนิรโทษกรรมคนผิด ‘ม.112’ ยกกรณี ‘บุ้ง’ เกิดจากการฝ่าฝืน กฎหมายไม่ได้เป็นปัญหา

(18 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการออกมาเรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายมาตรา 112 ภายหลังจากที่มีการเสียชีวิตของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติขอแสดงจุดยืนจะคัดค้านไม่ให้มีการนิรโทษให้กับผู้กระทำในมาตรา112 และคัดค้านไม่ให้มีการแก้มาตรา112 เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ไม่ได้เป็นปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่เกิดจากการกระทำความผิดที่ฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา112 อีกทั้งมาตรา112ไม่เคยทำให้คนปกติทั่วไปได้รับความเดือดร้อน

นายอัครเดช กล่าวว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 นั้นเป็นกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นความมั่นคงของรัฐ ดังนั้นกรณีที่เกิดจะต้องไปดูว่าสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากการทำผิดอะไร มีบุคคลใครอยู่เบื้องหลัง อีกทั้งกระบวนการในการพิจารณาคดีก็เป็นอำนาจศาลที่จะให้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งหากได้รับการประกันตัวแล้วก็จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลสั่ง แต่หากมีการฝ่าฝืนเงื่อนไขการประกันตัวก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายโดยยกเลิกการประกันตัวเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

“ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นประเทศชาติจะเดินต่อไม่ได้ และการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดมาตรา 112 นั้นไม่ได้มีเป็นมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เป็นเรื่องของความมั่นคงของรัฐ ไม่ใช่คดีที่มีมูลเหตุทางการเมืองเนื่องจากสถาบันอยู่เหนือการเมือง จึงไม่ควรมีการนิรโทษกรรม และการแก้ไขมาตรา112 ก็จะกระทบความมั่นคงของประเทศ พรรครวมไทยสร้างชาติจึงขอคัดค้าน” โฆษก รทสช. กล่าวทิ้งท้าย

‘ธนกร’ สยบข่าวลือ ‘รทสช.’ รักกันดี สามัคคีทุกคน ไม่มี ‘ตั้งก๊ก-แบ่งก๊วน’ ย้ำ!! ไม่ได้เป็นพรรคเฉพาะกิจ มีอุดมการณ์ ทำงานเพื่อปชช. ขอตามรอย ‘ลุงตู่’

(19 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังมีสมาชิกพรรคหลายคนลาออกทำให้เกิดกระแสข่าวพรรคใกล้แตก โดยยืนยันว่า ก็เป็นแค่ข่าวลือซึ่งในความเป็นจริง สสและสมาชิกพรรคทุกคน มั่นใจและรู้กันดีว่า รวมไทยสร้างชาติเรายังเหนียวแน่น ทำงานเป็นทีม มีการแบ่งหน้าที่กันทำในส่วนต่างๆ ไม่ได้มีการแบ่งก๊ก แบ่งก๊วน แบ่งกลุ่มตามที่มีข่าว

ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงมีข่าวในลักษณะนี้ออกมา โดยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของพรรค การเมืองที่มีคนออก คนเข้า ซึ่ง รทสช.ก็เช่นกัน มีคนทั้งรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่มีทุกรุ่นขอเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกจำนวนมาก ซึ่งสมาชิกทุกคนมั่นใจในการนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง

เมื่อถามว่า แกนนำคนสำคัญที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหลายคน ทั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ถูกมองว่าเป็นคนของกลุ่มทุนของพรรค อาจเป็นสัญญาณเตือนทางการเมืองหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การบริหารพรรคการเมือง ต้องให้เกียรติหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรคที่จะโบกธงนำพาสมาชิกในการทำงานการเมือง ส่วนการตัดสินใจลาออกถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ยืนยันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเดินหน้าทำงานตามอุดมการณ์ ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อตั้งพรรคไม่เปลี่ยนแปลง คือยึดมั่นการทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง การคงอยู่ของพรรคขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง

“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีข่าวเรื่องพรรคแตกออกมา เพราะความจริงรทสช.เราเป็นทีมเดียวกันหมด ไม่มีก๊วน โดยเฉพาะเมื่อวันที่12 พฤษภาคมที่ผ่านมาในงานสัมมนา สส.ของพรรค บรรยากาศดีเป็นไปอย่างชื่นมื่น ไม่มีการตั้งก๊ก แบ่งก๊วนอย่างที่ข่าว เพราะมั่นใจในหัวหน้าพีระพันธุ์ กรรมการบริหารและผู้ใหญ่ในพรรคจะพิจารณาทุกเรื่องอย่างเหมาะสม” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

'ดร.หิมาลัย' ปลื้ม!! ตัวเทพธุรกิจชั้นนำไทยร่วมส่งพลังใจให้ 'พี่ตุ๋ย' หลังมุ่งมั่นสร้างความเป็นธรรมด้านราคาพลังงานไทยแบบพลิกโฉม

ย้อนไปเมื่อ 10 พ.ค.67 พี่วิกรม กรมดิษฐ์และพี่ๆ น้องๆ กลุ่มคนรักเดช (พี่เดช บุลสุข ผู้ก่อต้องแมคโดนัลด์ในไทย ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เพื่อนๆ ของพี่เดชยังมีการรวมตัวจัดงานระลึกถึงเป็นระยะๆ โดยมีพี่วิกรมฯ เป็นประธานจัดอยู่เสมอๆ) ได้กรุณาจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แสดงความยินดีและให้กำลังใจผม ในการทำงานการเมืองในตำแหน่ง ผอ.พรรค รวมไทยสร้างชาติ

ในงานนี้ พี่วิกรมฯ ได้เปิดโอกาสให้พี่ๆ ในงานหลายท่านได้พูดคุยสอบถามถึงงานในด้านการเมืองของพรรคและนโยบายด้านพลังงานที่พรรครับผิดชอบอยู่ ผมได้มีโอกาสชี้แจงถึงการทำงานของท่านพีระพันธุ์ฯ ซึ่งพยายามทำงานอย่างหนัก ในการผ่าโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งท่านเห็นว่ายังไม่เป็นธรรมต่อประชาชน อาทิ...

การพยายามขอลดภาษีน้ำมัน / การขอเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซล / การจัดตั้งยุทธศาสตร์น้ำมันสำรองของประเทศชาติ เพื่อมีน้ำมันให้ประชาชนใช้ในยามวิกฤต รวมถึงให้ทหาร-ตำรวจได้ใช้ในภารกิจป้องกันประเทศและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ / การส่งเสริมการนำเข้าน้ำมันเฉพาะกลุ่ม เช่น ภาคการขนส่ง เพื่อให้ได้น้ำมัน ในราคาถูก ทำให้ต้นทุนในการขนส่งสินค้าลดลง / การจัดหาน้ำมันราคาถูกเพื่อเกษตรกร 

ผมได้เล่าให้ฟังอีกว่า ท่านพีระพันธุ์ ฯ ทำงานอย่างหนักทุกวัน เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อย่างการที่ให้บริษัทน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนน้ำมันซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลย เป็นมาตรการขั้นต้น เพื่อให้รัฐมีเครื่องมือในการพิจารณาในเรื่องราคาน้ำมัน และการชดเชยจากกองทุนน้ำมันอย่างเป็นธรรมได้มากขึ้น 

ทว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มีอุปสรรคทั้งในด้านระเบียบข้อบังคับกฎหมาย และอิทธิพลจากภายนอก อย่างปัจจุบันโรงกลั่นในประเทศไทยมีอยู่จำนวน 6 โรง ท่านพีระพันธุ์ ฯ ก็ได้มีนโยบายในการหาผู้ลงทุนโรงกลั่นเพิ่มในประเทศไทย แต่เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ประกอบการเดิม และเกิดแรงต่อต้าน โรงกลั่นที่เกิดขึ้นใหม่ จึงให้กลั่นเพื่อการส่งออกเท่านั้น และรัฐจะเก็บภาษีเป็นน้ำมันเพื่อสำรองไว้ใช้ตามยุทธศาสตร์น้ำมันสำรองของชาติโดยที่ไม่ต้องเสียเงินงบประมาณแผ่นดิน ไปหาซื้อน้ำมันมาเก็บเป็นน้ำมันสำรองแต่อย่างใด 

หลังจากที่พี่ๆ ในกลุ่มได้ฟังถึงการทำงาน ของท่านพีระพันธุ์ ฯ นอกจากพี่ วิกรม กรมดิษฐ์ แล้ว พี่ๆ อีกหลายท่าน เช่น พี่สมพงษ์ ดาววิเศษ, พี่ประเสริฐ เตชะวิบูลย์ ได้ฝากให้กำลังใจท่านพีระพันธุ์ฯ ขอให้ประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประเทศชาติและบ้านเมืองต่อไป ซึ่งผมได้นำเรียนให้ท่านพีระพันธุ์ ฯ ได้รับทราบถึงความปรารถนาดีของพี่ๆ ทุกท่าน ท่านได้ฝากขอบคุณพี่ๆ ทุกท่าน ที่กรุณาให้กำลังใจมา ณ โอกาสนี้

‘ธนกร’ ชี้ ภาคใต้มีความโดดเด่น เรื่องการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชู!! ซอฟต์พาวเวอร์ เชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ สร้างรายได้ให้ประเทศ

(26 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำคณะลงมาเปิดเวทีที่จ.สงขลาแล้วบอกว่า เศรษฐกิจภาคใต้ต่ำกว่าภาคอื่น ว่าในฐานะคนใต้มองว่า การที่นายชัยธวัช จะมาพูดเปรียบเทียบภาคใต้กับภาคอื่นก็ไม่ถูกแล้ว เพราะจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละภาค   มีความแตกต่างกัน เอามาเปรียบกันไม่ได้ โดยต้องยอมรับว่า ภาคใต้มีความโดดเด่นเรื่องจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทางทะเล มากกว่าภาคอื่น จึงเป็นเครื่องยนต์หลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคใต้มาตลอด และรัฐบาลก็มีการสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ พื้นถิ่นที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์มากขึ้น รวมถึงตัวเลขรายได้ของเกษตร และด้านแรงงานก็ขยายตัวขึ้น ไม่ใช่มีแค่ตัวเลขการท่องเที่ยวที่เพิ่มอย่างเดียว ตามที่นายชัยธวัชและพรรคก้าวไกลพูด  

ทั้งนี้ขออ้างอิง การแถลงของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้แถลง ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ ไตรมาส 2/2567 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ว่าภาคบริการท่องเที่ยว ขยายตัวต่อเนื่อง
จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวในหลายสัญชาติ ทั้งจีน มาเลเซีย ยุโรป จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น โดยอานิสงส์มาจากมาตรการฟรีวีซ่า ภาคตลาดแรงงาน ปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัว จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันรายได้เกษตรกร กลับมาขยายตัวจากรายได้ยางพาราตามราคายางที่ขยายตัวมากขึ้นเนื่องจากผลผลิตที่ออกน้อยกว่าปกติ เพราะมีการระบาดของโรคใบร่วง และสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ส่งผลต่อ ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกจากการผลิตยางพาราแปรรูปโดยเฉพาะยางผสมที่หดตัวตามคำสั่งซื้อของจีนที่ชะลอในช่วงราคายางสูง รวมถึงน้ำมันปาล์มดิบลดลงตามวัตถุดิบและอากาศที่ร้อนจัดสภาวะแล้ง ซึ่งก็มีปัจจัยแวดล้อมทั้งประเทศคู่ค้าและสภาพอากาศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“ที่นายชัยธวัช  บอกว่า ภาคใต้ไม่มีอย่างอื่นโตเลย นอกจากการท่องเที่ยว ในฐานะคนใต้ คิดว่าเป็นการพูดเกินจริงและด้อยค่าภาคใต้มากเกินไป แม้ส่วนอื่นจะไม่ได้โตมากเท่าที่คาดการณ์ก็ตาม ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ประเทศคู่ค้าและสภาพอากาศ ซึ่งเมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมของภาคใต้ก็ถือว่าโตต่อเนื่อง และเมื่อมาวิเคราะห์การสรุปในเวทีที่นายชัยธวัชและพรรคก้าวไกลพูดที่สงขลา มีเจตนาต้องการปฏิรูปโครงสร้างทั้งระบบ จึงขอถามว่า โครงสร้างที่พรรคก้าวไกลพูดนั้นหมายถึงอะไร ทั้งเป็นเรื่องจัดการโครงสร้างที่ดินใหม่ การกระจายอำนาจและอื่นๆ ทั้งหมดนี้ เป็นการด้อยค่าไม่พอ ยังมีเจตนาอื่นแอบแฝงด้วยหรือไม่ มองชัดว่าต้องการสร้างประเด็นเพื่อหวังผลทางการเมือง” นายธนกร กล่าว

'เจือ ราชสีห์' เสนอจัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายเมืองสงขลา เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ

'เจือ ราชสีห์' ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ - ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานราชการ/ภาคประชาชน วางแผนฟื้นฟูป่าสน แหลมสนอ่อน อ.เมืองสงขลา อย่างเป็นระบบ หลังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เสนอให้จัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลาในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้ประชาชนชาวสงขลาทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

(29 พ.ค.67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายไมตรี สรรพสิน โยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา และนางนำจิตร จันทร์หอม ผอ.ส่วนสิ่งแวดล้อม, นายศุภกฤต เพชรย้อย นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.สงขลา, นายไพโรจน์ นัครา ผู้อำนวยการส่วนจัดการป่าชุมชน สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา), นายสุรัตน์ ลายจันทร์ นายอำเภอเมืองสงขลา และตัวแทนภาคประชาชน กำหนดแผนงานและกิจกรรมฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งและป่าชายหาดอย่างเป็นระบบ บริเวณแหลมสนอ่อน ชายหาดสมิหลา ต.บ่อยาง อ.เมืองสงขลา 

ซึ่งเป็นป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลา ก่อนที่สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา จะทำโครงการพัฒนาพื้นที่แหลมสนอ่อนฯ โดยการปรับปรุงเส้นทางเดินและปั่นจักรยาน สร้างระบบไฟฟ้าส่องสว่างและพื้นที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยว โดยก่อนหน้านี้ นายเจือ ราชสีห์ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เสนอให้จัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลาในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้ประชาชนชาวสงขลาทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

‘ธนกร’ เผย ‘พีระพันธุ์’ กำชับ สส. ของพรรค ให้ลุยงานเพื่อ ปชช. เดินหน้าในสภาอย่างต่อเนื่อง ชี้!! วาระด่วนเร่ง ‘แก้ กม.ประชามติ-ถกงบ 68’

(1 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ช่วงที่ปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้าง ได้กำชับ สมาชิกและสส. ของพรรค ให้ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนและทำงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่วงปิดสมัยประชุมก็ตาม เพื่อสานต่ออุดมการณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สมาชิกรวมทั้งสร้างชาติทุกคนทำงานเพื่อชาติสถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำแล้ว ก็ยังคง เดินหน้า ทำต่อไป 

ทั้งนี้ ล่าสุดมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สส. รวมไทยสร้างชาติพร้อมที่จะร่วมประชุมอย่างเต็มที่เพื่อมีการพิจารณากฎหมายสำคัญโดยเฉพาะ วันที่ 18 มิ.ย. 67 มีการพิจารณาเนื้อหาการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่) พ.ศ. ของรัฐบาล โดยจะมีการแก้เนื้อหา เช่นวันที่ให้ประชาชนเดินทางไปออกเสียงประชามติ,การเพิ่มช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกเสียง เป็นต้น

ส่วนวันที่ 19-21 มิ.ย.67 จะเป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 เพื่อการพิจารณาวางกรอบงบประมาณการใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล กระทรวงและหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ จะส่งผลให้การดูแลพี่น้องประชาชนได้ดีมากยิ่งขึ้น

“รวมไทยสร้างชาติทุกคนเรา มี DNA จิตวิญญาณอุดมการณ์การทำงานการเมือง จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่แรกเริ่ม แม้เวลาผ่านไปและพล.อ.ประยุทธ์จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว วันนี้เรายังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เช่นเดิม คือการทำเพื่อชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อประชาชนเป็นที่ตั้ง ตามแนวนโยบายของลุงตู่เสมอมา ไม่ว่าจะทำงานในสภาหรือการทำงานพื้นที่ลงพบปะรับฟังเสียงสะท้อนปัญหาจากประชาชน สิ่งที่ทำแล้ว ยังคงทำอยู่ และมุ่งมั่นทำต่อไป” นายธนกร กล่าว

‘อัครเดช’ ชี้เป็นเรื่องดี ที่ตำรวจจับ ‘ผู้บริหารโรงงานกากอุตสาหกรรม’ ได้ แต่ยังห่วงอีกโกดังใน ‘อ.อุทัย’ จะเกิดเหตุซ้ำรอย หากมีการอายัด ‘กากสารเคมี’

(2 มิ.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม และ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาโรงงานกากอุตสาหกรรมที่เกิดเหตุไฟไหม้ที่โกดังเก็บสารเคมี จ.ระยอง และ จ.อยุธยา ได้แล้วและนำตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา และ สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง ว่า เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาในกรณีนี้ ทำให้ประชาชนมีความสบายใจ

ประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ระบุอีกว่า สิ่งที่ประชาชนและกรรมาธิการอุตสาหกรรมยังมีความเป็นห่วง คือโรงงานเก็บกากสารเคมีอีกแห่งใน อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งจากการประชุมร่วมกัน ของทางเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรรมาธิการอุตสาหกรรม ได้ทราบว่าที่โรงงานใน อ.อุทัย มีจำนวนกากสารเคมีอันตรายในปริมาณที่มากกว่าใน อ.ภาชีเสียอีก ซึ่งหากเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมไปดำเนินการอายัดก็อาจจะเกิดเหตุไฟไหม้เหมือนกับอีก2โรงงานที่ผ่านมาได้อีก ดังนั้นเมื่อได้มีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการและรัฐมนตรีอุตสาหกรรมกำกับดูแลก็ทำให้ประชาชนอุ่นใจก็ถือเป็นเรื่องที่ดี และสิ่งที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการต่อไปคือนอกจากให้มีการดำเนินคดีแล้ว ก็ต้องเฝ้าระวังที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยาต่อไปด้วย รวมถึงควบคุมไม่ให้เกิดเหตุเพลิงไหม้กากเคมีอุตสาหกรรมที่มีลักษณะคล้ายกับจังหวัดระยองและอยุธยา

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า จากการที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้มีการสำรวจโรงงานหรือโกดังที่มีการกองเก็บกากเคมีอุตสาหกรรมอันตรายทั่วประเทศนั้น ทำให้หน่วยงานราชการทุกส่วนมีความตื่นตัวในเรื่องนี้ ซึ่งถือว่าข้อสังการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ นี้จะเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีก และถือว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ ก็ต้องติดตามต่อไปว่าจะมีโรงงานในลักษณะนี้อีกมากน้อยเพียงใด

3 นักการเมืองหญิง 'รวมไทยสร้างชาติ' ร่วมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบาย 'สตรี-เด็ก-คนพิการ' ขยายสิทธิลาคลอด จัดเงินอุดหนุนเด็กเล็ก

(8 มิ.ย.67) พรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้ความยึดมั่นในหลักการ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ได้มอบหมายตัวแทนพรรคที่เป็นผู้ดูแลเรื่องสิทธิสตรีและเยาวชน ประกอบด้วย...

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี หรือ เนเน่ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยอดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกอบด้วย ดร.ณัฐวรินธร บวรภัควุฒิสิริ หรือ อิ๊กคิว และ ดร.กาญจนา ภวัครานนท์ หรือ ฟลุค เข้าร่วมรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากตัวแทนคณะนักเคลื่อนไหวและนักวิจัย นำทัพโดย นางเรืองรวี พิชัยกุล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา (Gender and Development Research Institue หรือ GDRI) ที่มาร่วมกับตัวแทนจาก มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย และ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก

ทั้งนี้ ผู้นำเสนอ ได้นำรายงานวิจัยและข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 ฉบับมายื่น ได้แก่ 1) รายงานวิจัยเศรษฐศาสตร์ของความเป็นมารดาในประเทศไทย  2) รายงานข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัวที่มีต่อผู้หญิงและเด็ก และ 3) รายงานผลการสำรวจสถานการณ์คนพิการที่ถูกกระทำความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งรายงาน 2 ฉบับแรกเป็นการทำวิจัยภายในโครงการ 'เสียงของผู้หญิงต่อการทำนโยบายทางสังคมต่อรัฐบาลและพรรคการเมือง' อีกด้วย 

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายที่คณะที่มาเยือนได้นำเสนอนั้น มีข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่ในหลายส่วน ซึ่งมีการคละระหว่างการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค ทั้งนี้อยู่ภายใต้ประเด็นหลัก 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การเล็งเห็นว่าสตรีเป็นส่วนสำคัญในกลไกของเศรษฐศาสตร์ และความเป็นมารดาไม่ควรเป็นอุปสรรคในการทำงาน 2) การเปลี่ยนแปลงเชิงกฎหมายและโครงสร้าง เพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัวที่มีต่อผู้หญิงและเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) การขยายกรอบนโยบายเดิม เพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับเด็กวัย 0-6 ขวบ

ในรายละเอียดของข้อเสนอแนะ ประกอบเนื้อหาบางส่วนดังนี้...

1. การรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิความเป็นมารดา รวมถึงกำหนดให้ผู้เป็นมารดามีสิทธิลาคลอด 180 วัน และให้ผู้เป็นบิดาสามารถลาเพื่อดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 30 วัน โดยได้รับค่าจ้างตาม จ่ายจริง 100% รวมถึงการผลักดันนโยบายที่จะอำนวยให้มารดาสามารถทำงานควบคู่กับการเป็นแม่ได้ เช่น การมีมุมนมแม่ในที่ทำงาน และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐ ที่ครอบคลุมการรับเลี้ยงเด็ก 0-6 ปี มีเวลาเปิดปิดที่สอดคล้องกับเวลางานของบิดา-มารดา และมีการตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงที่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ

2. การรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการขจัดความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงานโดยเฉพาะการเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงการแก้ไข พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ให้มีความเข้มแข็งมาขึ้น ให้ครอบคลุมว่าการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็นคดีอาญาที่ยอมความไม่ได้

4. เพิ่มความเท่าเทียมและถ้วนหน้าให้กับเด็ก ด้วยนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า 0-6 ปี อ้างอิงสถิติปี 2565 ที่มีเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพียงจำนวน 2.3 ล้านคน ในขณะที่ประชากรเด็กไทยมีอยู่ที่ 4.3 ล้านคน หากรับมอบเงินอุดหนุนถ้วนหน้า จะเป็นการเพิ่มงบประมาณอีกเพียง 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ความเท่าเทียมกับเด็กอีก 2 ล้านคนที่ปัจจุบันนี้ไม่ได้รับเงินสนับสนุน 

“การรับฟังผลวิจัย ข้อเสนอแนะ และมีโอกาสหารือร่วมกันในครั้งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้รับมาวันนี้ไม่ใช่การคิดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นแนวคิดที่กลั่นกรองมาจากสถิติและผลการวิจัย ด้วยเป้าประสงค์ที่อยากผลักดันให้เกิดประโยชน์ต่อสตรี เด็ก และคนพิการในประเทศไทย  ในฐานะตัวแทนพรรค พวกเรา 3 คน ขอสร้างความมั่นใจว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้ ตรงกับนโยบายและความสนใจของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ยึดมั่นในหลักการ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' อยู่แล้ว นอกจากนี้ หนึ่งในปัญหาที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมาก คือเรื่องของสังคมสูงวัยและจำนวนประชากรที่ลดลงของประเทศไทย นโยบายที่ส่งเสริมให้ผู้หญิงสามารถทำงานควบคู่กับการเป็นแม่ได้ และนโยบายที่ส่งเสริมการดึงศักยภาพด้วยการเลี้ยงดูเด็กอย่างมีคุณภาพ เหล่านี้เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องได้รับการผลักดันอย่างเร่งด่วน” นางรัดเกล้า กล่าวเสริม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top