Tuesday, 20 May 2025
พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘ดร.ปรเมษฐ์-เนเน่’ เสวนาการศึกษาฯ เร่งพัฒนาคุณภาพครู ยกระดับการศึกษา เสนอ ‘พานิภัค โมเดล’ ชี้!! ‘เด็ก-เยาวชน’ ให้ค้นพบตัวเอง เพื่อมีเป้าหมาย มุ่งสู่ฝัน

เมื่อวานนี้ (17 ส.ค.67) ดร.ปรเมษฐ์ จินา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขต 5 พร้อมด้วยนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเสวนาในเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรการศึกษาทั้งในและนอกระบบของ จ.สุราษฎร์ธานี ในกิจกรรม ‘ธนาคารโอกาสและถนนครูเดิน ครั้งที่ 2’ และเวทีเสวนาเพื่อเคลื่อนขบวนความร่วมมือ ‘All for Education -  Education for All’ ซึ่งจัดโดย กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา หน่วยบริการ ALTV องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) ในวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2567 ณ โรงเรียนศรีสุวรรณ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

ดร.ปรเมษฐ์ จินา กล่าวว่า ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เคยรับผิดชอบดูแลในเรื่องของทั้งการสาธารณสุขและการศึกษา 

ปัญหาโดยพื้นฐานของสังคมจะมีอยู่ 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ เรื่องการแก้ปัญหาขาดความรู้ผ่านการศึกษา การแก้ปัญหาการเจ็บป่วยผ่านการสาธารณสุข แก้ปัญหาความยากจนผ่านการสร้างรายได้ ถ้าแก้ปัญหา 3 ประเด็นนี้ได้ปัญหาสังคมอื่น ๆ จะหมดไป 

ประเด็นสำคัญของสุราษฎร์ธานีคือ การแก้ปัญหาการยุบเลิกโรงเรียน ตนเห็นว่าจะต้องมีการปรับโมเดลของการศึกษาให้สอดคล้องกับพื้นที่มากกว่าการยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในพื้นที่ที่ทำเรื่องการท่องเที่ยวก็ต้องเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องของการท่องเที่ยว โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ทำการประมงก็ต้องเพิ่มพูนความรู้เรื่องของการประมง 

จากประสบการณ์การไปดูงานในประเทศที่ประสบความสำเร็จทางการศึกษาระดับต้น ๆ ของโลก มีการปลูกฝังเป้าหมายของเด็กและเยาวชน เพื่อให้ค้นพบตัวตนตั้งแต่ต้น ยกตัวอย่างเมื่อเร็ว ๆ มานี้ เทนนิส นางสาวพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดคนแรกของประเทศไทยที่ได้รับเหรียญทองจากการแข่งกีฬาโอลิมปิก และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกสองสมัยติดต่อกัน ที่ได้ตั้งเป้าหมายและเดินตามเส้นทางนักกีฬา ตั้งแต่อายุน้อย ๆ นี่คือสิ่งที่การศึกษาของประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนหลักการทางการศึกษา

การพัฒนาในเรื่องการศึกษาอีกหัวใจสำคัญคือการให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย พร้อมกับการสนับสนุนที่ดีของภาครัฐภาคเอกชน ทั้ง 3 ส่วนนี้จะสามารถผลักดันคุณภาพทางการศึกษาต่อไปได้ 

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี เปิดเผยว่า ในฐานะคุณแม่คนหนึ่ง สิ่งที่เป็นความฝันและความหวัง ก็คือการที่จะได้เห็นการศึกษาของประเทศไทยดีขึ้น งานครั้งนี้ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่หลาย ๆ ภาคส่วนร่วมมือ ร่วมใจกัน เพื่อยกระดับการศึกษาไทย

จากประสบการณ์ที่ตนเรียนจบปริญญาโทมาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา (ICT in Education) จากมหาวิทยาลัยด้านการศึกษาเบอร์ 1 ของโลกคือ Institutute of Education (IoE) ในเครือของ University College London (UCL) ประเทศสหราชอาณาจักร  การสนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโลยีให้กับโรงเรียนเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเน้นย้ำคือ การพัฒนาบุคลากรครู

ทุกวันนี้เราพยายามตั้งเป้าในการพัฒนาผ่านอุปกรณ์ในการเรียนการสอน ซึ่งหลายๆ ครั้งต้องใช้ทั้งเวลา และใช้งบประมาณ แต่สิ่งที่เราสามารถผลักดันได้เลยทันทีคือคุณภาพและความเป็นอยู่ของครู เพราะมันเสริมสร้างรากฐานที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืนที่สุด

‘เนเน่-รัดเกล้า’ ร่วมแสดงแฟชั่นโชว์ ‘อัตลักษณ์ภูษา พัสตราชาติพันธุ์’ เผยแพร่วิถีชีวิต-ภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ เทิดพระเกียรติพระพันปีหลวง

เมื่อวานนี้ (22 ส.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ตนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ ผ่านการแสดงแฟชั่นโชว์ ‘อัตลักษณ์ภูษา พัสตราชาติพันธุ์’

ภายในงานมหกรรมแสดงผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชนและสินค้าราษฎรบนพื้นที่สูง เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ‘ใต้ร่มพระบารมี พระบรมราชชนนีพันปีหลวง’

งานดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘ใต้ร่มพระบารมี อัตลักษณ์วิถีชาติพันธุ์ วิสาหกิจชุมชนสร้างสรรค์ ผลักดันสวัสดิการยั่งยืน’ จัดโดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. 

ซึ่งงานดังกล่าวจะถึง 3 วัน ระหว่างวันที่ 22 - 24 สิงหาคม 2567 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ไลฟ์ ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร 

โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ และเป็นช่องทางในการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์กลุ่มชาติพันธุ์ของราษฎรบนพื้นที่สูง เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาด ช่วยสร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ที่มั่นคงแก่ชุมชนบนพื้นที่สูง

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันโครงการดี ๆ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยทุกคน ทุกชาติพันธุ์ อย่างเท่าเทียมกัน

‘ลอรี่ พงศ์พล’ แนะผู้ไม่หวังดี เลิกตั้งศาลเตี้ย กรณีแต่งตั้ง ‘เอกนัฏ’ ชี้!! ควรปล่อยให้ ‘กฤษฎีกา’ ได้พิจารณา ไปตามกระบวนการ

(25 ส.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแนะผู้ไม่หวังดี ให้เลิกตั้งศาลเตี้ย...กรณีแต่งตั้ง ‘เอกนัฏ’ ระบุว่า...

ฝากถึงนักการเมืองเก่าเหล่านั้น ช่วยเอาเวลาโจมตี ‘เอกนัฏ’ ไปทำประโยชน์ ปล่อยกฤษฎีกาได้พิจารณาคุณสมบัติ รมต.ตามกระบวนการ

ตามที่นักการเมืองอดีตสังกัดพรรคสีฟ้า ออกมาดาหน้าโจมตี เลขาธิการพรรค รทสช. 'เอกนัฏ พร้อมพันธุ์' ถึงจริยธรรมและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี

ส่วนตัวที่สัมผัสตัวตน คุณเอกนัฏสนใจแต่การทำงานให้ชาติไม่ว่าในตำแหน่งแห่งหนใด จะในฐานะเป็นรมต.หรือไม่? จึงควรให้เวลาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้พิจารณาคุณสมบัติตามกระบวนการ

ไม่มีอะไรซับซ้อน เราไม่เน้นโต้วาทีสาดโคลนไปมา

จริงอยู่ มันจะมีนักการเมืองที่เห็นแต่ผลประโยชน์ ซึ่งพวกนั้นจะย้ายหลายพรรคเมื่อมีจังหวะ คอยปัดสวะใส่คนอื่น พูดอะไรก็คืนคำ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นนักร้องทุกเรื่องเอาดีเข้าตน จนเป็นนิสัย 

คุ้นๆ ไหมครับ มันคือ นิสัยนักการเมืองเก่าเน่าๆ นั่นเอง

แต่ผมว่าไม่ใช่กับ 'เอกนัฏ' ที่ลาออกจาก สส.อายุน้อยที่สุดในสภา มาเป็นนักสู้ข้างถนน ในฐานะเลขากปปส. ไม่ได้หลบหนีพี่น้องร่วมอุดมการณ์ ยามเสียงปืนแตก อุดมการณ์กับหัวใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง

‘เอกนัฏ’ คนเดียวกันกับที่ขึ้นศาล สู้คดีไปทุกครั้งทุกนัด มีหมายอัยการเรียกไม่เคยหนี ฝั่งไหนก็ไป ให้การเรื่องม.112 อย่างสุจริตชนตรงไปตรงมา

‘เอกนัฏ’ คนเดียวกันกับที่ผมรู้จัก ยังเป็นเลขาธิการพรรคที่เสียสละให้กับ สส.ในพรรคท่านอื่นได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีก่อน ด้วยความนอบน้อม ไม่ได้ยึดติด ถวิลหาตำแหน่งตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด

คงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย ถ้าประเทศนี้ไม่ได้ใช้งานรัฐมนตรีรุ่นใหม่ มากความรู้ความสามารถดีกรี ม.อ๊อกซ์ฟอร์ด ที่ชื่อ'เอกนัฏ'เข้ามาขับเคลื่อนประเทศ

วันหนึ่งประชาชนจะตัดสินใจเองได้ ว่าโต้วาทกรรมไปมาไม่ใช่ทางออก แต่คือการตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้เป็นที่ประจักษ์ 

แบบฉบับ DNA จากลุงตู่ สร้างความเจริญตลอด 9 ปีวันนี้มีแต่คนคิดถึง มา 'คุณพีระพันธุ์' แก้กฎหมายพลังงานรุดหน้า แม้มีเสียงเหยียดหยันก็ไม่หวั่น มาจนถึงคุณเอกนัฏ จะต่างอะไรกัน? คนเหล่านี้คือ ‘นักสู้’ 

ด่าได้ด่าไป รทสช.จะตอบกลับในรูปแบบผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ต่อชาติและประชาชน ให้สาสม...ขอบคุณในแรงผลักดันเหล่านี้ครับ

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จัดเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475’ ณ ม.กรุงเทพธนบุรี แลกเปลี่ยนความรู้-มุมมองประวัติศาสตร์ 2475 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67)  รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมเปิดกิจกรรมเสวนา ‘มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้างร่างที่เป็น’ และรับชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ณ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 

โดยมี ผศ.ดร.เสงี่ยม บุษบาบาน รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ, ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ดร.ธนพันธุ์ พลูชอบ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี, นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ, ร.ต.อ.หญิงอัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ นายฤกษ์อารี นานา อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ อดีต ผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนักศึกษา ประชาชนร่วมงานจำนวนมาก

กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ทั้งจากมุมมองของนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

นอกจากนี้ยังเป็นการร่วมไขความจริง ว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475 นั้น เป็นความหวังในการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือที่มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มองว่าเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความฝันที่ไม่สามารถตอบโจทย์การเมืองการปกครองของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

หวังว่าการเสวนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่ดี ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองและเส้นทางแห่งประชาธิปไตยของไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อประโยชน์ของสังคมและการเมืองของเราต่อไป

‘อัครเดช’ เชื่อ!! นโยบาย ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ตอบโจทย์ประชาชน ฝากฝ่ายค้าน!! อภิปรายให้สร้างสรรค์ เพื่อส่งผลดี ‘ด้านการค้า-การลงทุน’

(8 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า

ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 นี้จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

ลำดับแรกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับในกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้นนโยบายหลักในการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ โครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ และค่าไฟฟ้า ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงถึงความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้ 

ลำดับต่อมาในส่วนของการอภิปรายการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีนั้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในส่วนของฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับที่มีข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นที่ได้อภิปรายในช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประท้วงมากนัก

และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้จะไม่ใช้เวทีของรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี

หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้ว ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี จะส่งผลด้านดีในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เป็นต้น

ท้ายที่สุดตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกกระทรวงโดยเฉพาะใน 2 กระทรวง ได้แก่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม การแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างชัดเจนและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน

‘อนุชา บูรพชัยศรี’ ย้ำ!! ร่างพรบ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จะสร้างความเจริญ พร้อมชู!! ‘เศรษฐกิจ BCG’ ควบคู่อุตสาหกรรม New S-Cruve

(15 ก.ย. 67) นายอนุชา บูรพชัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี ว่า

ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ SEC ซึ่งเป็นแนวคิดจากของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการสร้างยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนให้กับภาคใต้ 

ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้นี้จะเป็นการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับภาคใต้โดยเฉพาะอุตสาหกรรม BGC ซึ่งจะเป็นการสร้าง New S-Cruve ให้กับทั้งภาคใต้และประเทศไทย จากเดิมที่เศรษฐกิจหลักมาจากภาคการเกษตรและการประมง 

และขอฝากไปยังรัฐบาลว่า นโยบาย ภารกิจ หรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐนั้นไม่ได้เป็นของพรรคใด พรรคหนึ่ง หรือนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง สิ่งใดที่ส่งผลดีต่อประเทศและประชาชนจะต้องมีการดำเนินการต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาและสานต่อ ยกตัวอย่างเช่น กองทุนกู้ยืมทางการศึกษาหรือ กยศ. และ 30 บาทรักษาทุกโรค 

หากมีการแบ่งแยกนโยบาย การพัฒนาประเทศคงเป็นเปลี่ยนแปลงทุก ๆ 4 ปี แล้วประชาชนจะคาดหวังได้อย่างไรว่าการเมืองที่ขาดเสถียรภาพและความยั่งยืนเช่นที่กล่าวมาจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

‘ธนกร’ ลั่น!! ไม่รวม ‘ม.112’ ในร่างนิรโทษกรรม ย้ำ!! จะทำละเมิดสถาบันไม่ได้ ชี้!! เป็นความมั่นคงของประเทศ แต่หากสภาฯ พิจารณาขัด รธน. ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ

(22 ก.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเสนอรายงานต่อที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 26 ก.ย.นี้ ซึ่งให้สภาร่วมกันพิจารณาในความเห็นต่างเรื่องคดีมาตรา 112 จะรวมอยู่ในการนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งทราบว่าในคณะกมธ.เองไม่สามารถหาข้อสรุป จึงให้สมาชิก กมธ.แต่ละคน บันทึกความเห็นไว้ในรายงานแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1.ไม่รวม มาตรา112 เพราะไม่ใช่แรงจูงใจทางการเมือง 2.รวม อย่างมีเงื่อนไข และ3.รวมโดยไม่มีเงื่อนไข   โดยส่วนตัว ได้ยืนยันมาตลอด ว่าไม่เห็นด้วยและคัดค้านถึงที่สุด ไม่สมควรรวมคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่แรงจูงใจทางการเมือง เพราะรัฐธรรมนูญระบุชัดเจน ในมาตรา 6 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระนามพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้  และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เกี่ยวข้องการเมือง  หากจะนิรโทษกรรมให้ก็เสี่ยงที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้ จากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ก็ชี้ชัดแล้วว่า มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นการ รณรงค์หาเสียง รวมถึงการยื่นแก้ไขมาตรา 112  ซึ่งเมื่อมองเทียบเคียงกับ ผู้ที่กระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว ยิ่งมีน้ำหนักรุนแรงกว่าพรรคก้าวไกลเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นในการประชุมสภาเรื่องนี้ ตนจะขอใช้เอกสิทธิ์สส. เลือกข้อ1. ไม่รวมมาตรา 112  ซึ่งเห็นด้วยที่จะมีการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่มีความรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิต รวมทั้งไม่รวมคดีทุจริตคอรัปชั่นด้วย แต่ควรจะมีเงื่อนไขในการพิจารณาการนิรโทษกรรมอย่างละเอียดรอบคอบ  เชื่อว่าสภาเองก็ต้องมีการพิจารณาอย่างรัดกุม ไม่ทำให้เกิดการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง

“ยกคดียุบพรรคก้าวไกลมาเทียบ ก็ทำให้เห็นได้ชัดเจน ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างละเอียดว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง หากจะนิรโทษกรรมให้ผู้มีความผิดตามมาตรา 112 สภาต้องคิดให้ดีและรอบคอบ ส่วนตัวขอคัดค้านและไม่เห็นด้วยที่จะรวมมาตรานี้ให้ได้รับนิรโทษกรรม เพราะไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจทางการเมือง แต่หากที่ประชุมสภาในวันที่ 26ก.ย.มีการพิจารณาออกมาอย่างไร หากขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบ” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘เจือ ราชสีห์’ ยื่นหนังสือถึง ปธ.กมธ.คมนาคม วุฒิสภา ให้เร่งเดินหน้าสร้างสะพาน ลั่น!! ความทุกข์ของชาวบ้าน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ผมจะหยุดได้อย่างไร

(12 ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าพบและยื่นหนังสือถึงนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมการการคมนาคมวุฒิสภา ขอให้สนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ระหว่าง อ.เมืองสงขลา และ อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยให้คณะกรรมาธิการฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อเร่งดำเนินการเป็นการด่วนและรายงานให้ทราบเพื่อคณะกรรมาธิการฯ จะได้ผลักดันให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ต่อไป 

ผมไม่เคยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน สะพานข้ามทะเลสาบสงขลาเพื่อเชื่อม อ.เมืองสงขลาและ อ.สิงหนคร จ.สงขลา เป็นอีกหนึ่ง ความหวังของคนสงขลา ผมรับเรื่องร้องเรียนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมา ก็ทำหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ทันที กระทั่งจังหวัดสงขลาได้ตั้งคณะทำงานฯขึ้นมาทำงานกันอย่างจริงจัง มีความคืบหน้าตามลำดับ วันนี้ผมยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคมวุฒิสภา เพื่อให้สนับสนุนโครงการ ซึ่งท่านก็รับปาก ว่าจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุม เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวสงขลาอย่างเร่งด่วน และจะแจ้งความคืบหน้าให้ผมทราบเป็นระยะครับ

‘พีระพันธุ์’ ย้อนรำลึกเหตุการณ์ วันที่คนไทย ร้องไห้กันทั้งประเทศ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9

(13 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของคนไทยทั้งประเทศ โดยมีใจความว่า ... 

พระองค์เป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ เป็นยิ่งกว่าพ่อของแผ่นดิน

สำหรับผม พระองค์เป็นเทพที่จุติมาเพื่อชาวไทยและประเทศไทยโดยแท้ 
ผมเห็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์มาตั้งแต่จำความได้จนเติบใหญ่ ไม่เคยเห็นพระองค์หยุดคิดถึงประชาชนแม้ในยามประชวร 
พระองค์ไม่เคยหยุดปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนของพระองค์เลย

ผมยังจำเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีที่แล้วได้ดี ความรู้สึกนั้น ในวันที่พระองค์จากพวกเราไป

ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม เมื่อผมได้ทราบข่าวพระอาการของพระเจ้าอยู่หัว ผมรู้สึกใจหายวูบ เป็นอาการในลักษณะเดียวกันกับที่ผมเคยรู้สึกเมื่อครั้งที่ผมได้สูญเสียคุณแม่

ในขณะนั้น ผมได้แต่ภาวนาให้พระองค์ท่านทรงหายพระประชวรโดยเร็ว 

โดยในวันที่ 12 ตุลาคม ผมรีบเดินทางไปลงนามถวายพระพร ซึ่งในเย็นวันนั้น ก็มี
แถลงการณ์สำนักพระราชวังบอกว่าพระอาการ ยังไม่ดีขี้น และมีอาการติดเชื้อในกระแสพระโลหิตมากขึ้น ผมทนไม่ได้น้ำตาไหล และรีบเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชอีกครั้ง เพราะอยากอยู่ให้ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด

เมื่อไปถึงก็พบว่ามีพสกนิกรของพระองค์จำนวนมากต่างเดินทางมาร่วมสวดมนต์ภาวนาให้ทรงหายจากอาการพระประชวร สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปที่ชั้น 16 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ประทับอยู่ด้วยความหวังอย่างเปี่ยมล้นหัวใจ

และในวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ วันนี้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผมจำได้อย่างแม่นยำ มีข่าวที่ไม่สู้ดีแพร่ออกมาตั้งแต่ช่วงสาย และเมื่อถึงตอนบ่ายข่าวลือยิ่งโหมสะพัด

ผมไม่รอช้า รีบเดินทางไปโรงพยาบาลศิริราช ทันที!! 

เพื่อขอให้ได้อยู่ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุด รถติดมาก เส้นทางเดิมที่ควรใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง กลายเป็นสามชั่วโมง ก็ยังไม่เข้าใกล้ที่หมายเลย

จนกระทั่งรถของผมได้มาถึงบริเวณลานพระรูปทรงม้า หน้ากองทัพภาคที่ ๑ เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ‘สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ’ ว่าเจ้าชีวิตของชาวไทยทั้งชาติ ได้ทรง ‘เสด็จสวรรคต’ แล้ว 

ผมรู้สึกตกใจมาก ทุกข์ใจ เศร้าใจ สมองตื้อ ทำอะไรไม่ถูก นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ในรถยนต์

นาทีนั้น ผมนึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า จะต้องไปอยู่ใกล้พระองค์ท่านให้ได้ เมื่อรถเคลื่อนมาถึงทางแยกไปโรงพยาบาลศิริราช บนสะพานพระราม 8 ตำรวจกั้นถนน ผมก็ต้องให้รถวิ่งอ้อมไปทางพุทธมลฑล แล้วหาทางกลับรถวิ่งมาใหม่ทางถนนข้างล่าง ถึงแยกถนนจรัญสนิทวงศ์รถก็ติดมาก ผมจึงตัดสินใจลงจากรถ แล้วเดินเท้ามุ่งหน้าไปหาพระองค์ท่าน ที่โรงพยาบาลศิริราช 

เดินไปน้ำตาไหลไป 

เมื่อถึงโรงพยาบาลศิริราช ผมก็ได้เข้าไปที่ลานหน้าพระบรมรูปสมเด็จพระบิดา เพื่อกราบบังคมถึงพระองค์ท่านด้วยน้ำตานองหน้า

ไม่เพียงผมเท่านั้น ประชาชนอยู่เป็นจำนวนมากก็เช่นเดียวกัน ร้องไห้กันไม่หยุด เสียงตะโกนว่า “เรารักในหลวง....ทรงพระเจริญ...เราจะอยู่รอปาฏิหาริย์” ดังขึ้นเป็นระยะๆ 
แต่ที่บาดใจที่สุดก็ตรงที่ประชาชนร่วมกันร้องตะโกนว่า “เอาในหลวงของเราคืนมา” 

ผมรู้สึก ‘เหมือนใจจะขาด’ เคว้งคว้างล่องลอย เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างดับสูญไปหมด นึกถึงแต่คำว่า ‘พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น’ ที่พระองค์ท่านมีต่อประเทศชาติและประชาชน 

พระองค์จากพวกเราไปแล้ว เหมือนโลกหยุดหมุน เสียงร่ำไห้ดังทั่วแผ่นดิน น้ำตาผมไหลออกมาเองแบบหยุดไม่ได้

แม้เหตุการณ์ในวันนั้น จะผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว แต่มันก็ยังคงฝังลึกในความทรงจำอย่างไม่รู้ตัว แค่นึกถึงก็น้ำตาไหลอีกแล้ว…

ในเช้าวันนี้ (13 ต.ค. 67) ผมได้ไปวางพวงมาลา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับคณะรัฐมนตรี 

สำหรับผม ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นการรำลึกถึงพระผู้มีพระคุณใหญ่หลวงกับปวงชนชาวไทยและประเทศไทยมายาวนานกว่า 70 ปี

ผมรักและเทิดทูนพระองค์มากจริงๆ มากที่สุดในชีวิต

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

‘พีระพันธุ์’ นำทีมรวมไทยสร้างชาติ ต้อนรับ ‘โปลิตบูโรจีน’ ย้ำ!! พร้อมเดินหน้า ความร่วมมือ ‘เศรษฐกิจ - การเมือง’

(23 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และคณะ ได้ให้การต้อนรับกับคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือโปลิตบูโร และคณะ ซึ่งนำโดยท่านเฉิน กัง คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลชิงไห่ ท่านทูตหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ในวาระที่ทั้งสองประเทศนั้น จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี 

นายพีระพันธุ์นั้น ได้กล่าวชื่นชม ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน โดยได้ยกย่องว่าเป็นผู้นำระดับโลกที่นานาชาติให้การยอมรับว่าทำให้ประเทศจีน พัฒนาอย่างรวดเร็วนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนและก็ยังกล่าวขอบคุณ ท่านผู้นำจีน ที่ได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทย ในการให้ความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทั้งการส่งเสริม ทางด้านการค้า การลงทุน รวมทั้งการต่อยอดพัฒนาทางด้านวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ 

ซึ่งทาง นายเฉิน กัง ก็ได้กล่าวยินดีในความร่วมมือของทั้งสองประเทศและจะได้มีการพัฒนาความร่วมมือในหลายมิติต่อไป โดยเล็งเห็นว่าการที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เข้ามาบริหารงานที่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม นั้นถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะต่อยอดกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน สร้างความรุ่งเรืองให้กับเศรษฐกิจของทั้งไทยและจีน นอกจากนี้ในอนาคตจะได้พัฒนาความร่วมมือด้านการเมืองร่วมกันโดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างพรรคการเมืองซึ่งกันและกันอีกด้วยเพราะพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นก็ต้องการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติเพื่อพี่น้องประชาชนโดยยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารประเทศดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ของทั้ง2ฝ่ายจะนำไปสู่ประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศในอนาคต

นอกจากนี้ก็ยังได้กล่าวเชิญ นายพีระพันธุ์ ทั้งในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทย และในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มณฑล ชิงไห่ เพื่อกระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top