Thursday, 2 May 2024
พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘อัครเดช’ จี้!! หน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งหาสาเหตุเพลิงไหม้โกดังอยุธยา หวั่น!! 'จงใจเผาทำลาย-กำจัดหลักฐาน' กากสารเคมีอันตราย

เมื่อวานนี้ (1 มี.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีในอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า สถานที่เกิดเหตุดังกล่าวไม่ใช่โรงงาน แต่เป็นโกดังที่เก็บสารเคมีและอาจมีวัตถุอันตรายที่รับมาจากโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อกำจัด ซึ่งที่ผ่านมาทาง กมธ.อุตสาหกรรมได้รับการร้องเรียนจากสส.ในพื้นที่รวมถึงประชาชนและได้เคยลงพื้นที่ร่วมกับทางกรมโรงงานอุตสาหกรรม และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจากการที่ได้เคยลงพื้นที่ไปพบว่าในสถานที่ดังกล่าวน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการของเสียเคมีวัตถุที่อาจเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายเช่นการกองเก็บและการกำจัดที่อาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีความเห็นว่า ผู้ที่ครอบครองจะต้องดำเนินการจัดการกับเคมีวัตถุที่ได้กองเก็บไว้ให้ถูกต้องตามวิธีและตามกฎหมาย

“ดังนั้นกรณีที่เกิดเพลิงไหม้นี้ ผมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวเร่งดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอุบัติเหตุ หรือจงใจเผาเพื่อกำจัดกากสารเคมีอันตรายดังกล่าว ” นายอัครเดช กล่าว

ประธาน กมธ.การอุตสาหกรรม ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ที่มีเนื้อหาครอบคลุมถึงสถานที่จัดเก็บกากสารเคมีผิดวิธี โดยมีการมีเพิ่มโทษทางอาญา และเพิ่มเบี้ยปรับ เพราะที่ผ่านมากฎหมายยังมีช่องว่าง เช่นโทษอาจไม่ครอบคลุมถึงเจ้าของที่ดินที่ให้เช่า หรือโทษอาญาที่ไม่หนักแน่นพอจึงทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมาย โดยในสัปดาห์หน้าทาง กมธ. จะได้นำร่าง พ.ร.บ.โรงงานฉบับที่ได้มีการศึกษาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ที่กรรมาธิการอุตสาหกรรมได้ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อศึกษาแก้ไขปัญหานี้ซึ่งเป็นปัญหาที่เคยเกิดขึ้นที่จังหวัดราชบุรีมาแล้วและทำร่างกฎหมายเสร็จพอดีในช่วงนี้เข้ายื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุเข้าระเบียบวาระนำไปสู่การพิจารณาเพื่อแก้พรบ.โรงงานต่อไปเพื่อจะได้แก้ปัญหาการลักลอบการกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมผิดวิธีและสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย

'รัดเกล้า' เผย!! สาระสำคัญการประชุม รมต.เศรษฐกิจอาเซียน 9 มี.ค.นี้ มุ่ง 'ยกระดับ-เชื่อมโยง' เศรษฐกิจภาคบริการในภูมิภาคอาเซียน

(3 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างเอกสารกรอบการอำนวยความสะดวกด้านบริการของอาเซียน (ASEAN Services Facilitation Framework: ASFF) โดยมีกำหนดการร่วมรับรองเอกสารในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ในวันที่ 9 มี.ค.นี้ ซึ่ง สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียน ปี 67 กำหนดจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 30 โดยในระหว่างการประชุมจะมีการรับรองร่างเอกสาร ASFF จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าบริการต่างๆ ที่นำมาจากความตกลงการค้าบริการอาเซียน ความตกลงอาเซียนว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา และข้อริเริ่มร่วมว่าด้วยกฎระเบียบภายในประเทศภาคบริการขององค์การการค้าโลก ซึ่งไทยเป็นภาคีสมาชิกแล้ว 

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างเอกสาร ASFF มี 5 ด้านดังนี้...

1.การสร้างความเป็นธรรม และการเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจการค้าบริการของอาเซียน 
2.การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายและการเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคบริการในภูมิภาคอาเซียน 
3.การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลด้านการค้าบริการของอาเซียน 
4.การสร้างเศรษฐกิจบริการของอาเซียนที่ยั่งยืนและมีนวัตกรรม 
และ 5.การเป็นหุ้นส่วนกับภาคธุรกิจเพื่อกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจบริการของอาเซียนร่วมกัน

“ASFF จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคบริการในภูมิภาคอาเซียน และการปรับปรุงนโยบายด้านการค้าบริการ และการกำกับดูแลเพื่อสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการค้าบริการ รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองของผู้ให้บริการ และเป็นแนวทางกำกับดูแลการใช้กฎระเบียบภายในประเทศ มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และคาดการณ์ได้” รองโฆษกรัฐบาล กล่าว

'รมว.ปุ้ย' เดินหน้า 'Green Win' วินสองล้อพลังงานสะอาดพิฆาตฝุ่นพิษ นำร่อง กทม. ก่อนขยายผลต่อทั่วประเทศ ด้าน ก.อุตฯ หนุนเต็มที่

(3 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการ Green Win เพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ระหว่างสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย โดยนายเฉลิม ชั่งทองมะดัน นายกสมาคมฯ กับ บริษัท สตรอมไทยแลนด์ จำกัด และ บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ โดยมีนายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายเอกภัทร วังสุวรรณ, นายบรรจง สุกรีฑา, นายใบน้อย สุวรรณชาตรี, นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 และ ห้องโถง ชั้น 1 และอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า นับเป็นความก้าวหน้าที่ทุกคนได้ร่วมมองไปข้างหน้าเพื่อหาทางออกและร่วมกันแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ และนี่คือโอกาสที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้องร่วมกันพัฒนาในทิศทางพลังงานสะอาด เนื่องจากการใช้รถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงการขนส่งและการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ และเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดสู่การใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นจุดแข็งสำหรับทางเลือกของผู้ประกอบอาชีพจักรยานยนต์รับจ้างไม่เฉพาะใน กทม.เท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปได้ทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน 

“การทำให้อากาศบริสุทธิ์ ไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการ และรัฐบาล ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้ส่งเสริมเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 2564 ตั้งเป้าผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การส่งเสริมการลงทุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (มาตรฐาน EV3 และ EV3.5) การกำหนดมาตรฐานการใช้งานและความปลอดภัย โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อเป็นหนึ่งในผู้นำของการพัฒนาสู่การเปลี่ยนผ่านในภูมิภาคนี้ ด้วยการเดินหน้าสู่ยุคพลังงานสะอาดเพื่อส่งต่ออากาศบริสุทธิ์ให้กับลูกหลานต่อไป” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว  

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เล็งเห็นความสำคัญและร่วมกันสนับสนุน 'โครงการ Green Win' (วินเขียว กทม.) เพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 และสร้างโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้โครงการสำเร็จและเป็นประโยชน์แก่ประเทศต่อไป

‘ธนกร’ หนุน กมธ.นิรโทษกรรม แต่ย้ำ ไม่ยกโทษให้พวกคนผิด ม.112 เพราะไม่ใช่คดีทางการเมือง แต่เป็นการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงของคนไทย

(9 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ได้ข้อยุติเริ่มนับเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยจะเชิญทุกฝ่ายการเมืองที่มีคดีความจากการชุมนุม มาแสดงความคิดเห็น ว่า ตนเห็นด้วย หากจะเริ่มนับ 1 ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยเฉพาะความเห็นต่างทางการเมือง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติ ซึ่งอาจจะต้องดูข้อกฎหมายเกี่ยวกับแต่ละคดีประกอบอย่างละเอียด เพราะหลายเหตุการณ์ที่เกิดการชุมนุมทางการเมืองขึ้น ยอมรับว่า ไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ มีการใช้อาวุธทำลายสิ่งของและสถานที่ราชการด้วย จึงต้องดูให้ละเอียดรอบคอบเพราะเป็นคดีอาญา การเชิญตัวแทนกลุ่มการเมืองฝ่ายต่างๆ มาร่วมประชุมแสดงความเห็นถือเป็นนิมิตหมายที่ดีทางการเมือง

นายธนกร ย้ำว่า ขอสนับสนุน กมธ.นิรโทษกรรมฯ ที่ยังไม่พิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีหมิ่นประมาทอาฆาตมาตร้ายพระมหากษัตริย์ ไม่ควรเหมารวมกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ รวมกับความเห็นต่างทางการเมือง และเชื่อว่า หากมีการรวมคนที่ทำผิดมาตรา 112 ให้รับการนิรโทษกรรม ตนเองและคนไทยทั้งชาติไม่มีใครยอมได้แน่นอน

“ขอให้กมธ.นิรโทษกรรมพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ ไม่ควรหยิบเอาคดีทำผิดหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ มาพิจารณารวมกับคดีการเมือง เพราะไม่เกี่ยวกัน แม้ว่าจะมีบางพรรค พยายามชี้ให้เห็นว่าเป็นความเห็นต่างทางการเมืองก็ตาม ซึ่งความจริงแล้ว สถาบันฯอยู่เหนือการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นการสร้างชุดข้อมูล สร้างความเข้าใจที่ผิดๆให้กับบางกลุ่มและประชาชน จึงจำเป็นที่ กมธ.นิรโทษกรรม จะต้องมีจุดยืนทางกฎหมาย หากมีการเหมารวมและยกโทษให้กับผู้กระทำความผิดมาตรา 112 เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครยอมได้” นายธนกร ระบุ

‘ธนกร’ ฝากผู้ว่าฯ-ตำรวจ ลงพื้นที่เข้มแหล่งท่องเที่ยว หวั่นลักลอบขายบริการ หลังเกิดเหตุ กลุ่มสาวประเภทสอง รุมทำร้ายฝรั่งที่ภูเก็ต กังวลภาพลักษณ์ ของประเทศ

(10 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงเหตุวิวาททำร้ายร่างกายระหว่างสาวประเภทสองในพื้นที่อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต กับนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาติ ว่า  ที่จังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก และในช่วงนี้ ก็พบว่ามีเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นหลายกรณี  ตั้งแต่กรณีฝรั่งชาวสวิสฯ มาเฟียรัสเซียและล่าสุด เกิดเหตุกลุ่มสาวประเภทสองรวมทำร้ายนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาติขึ้นอีก จึงอยากขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ฝ่ายปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงไปตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเข้มงวด ว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องใด ตนมองว่าการทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายใช้ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้น และหากมีสาเหตุมาจากการตกลงกันไม่ได้เรื่องการขายบริการของสาวประเภทสอง  เจ้าหน้าที่ก็ต้องหามาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ให้กลุ่มดังกล่าวใช้แหล่งท่องเที่ยวบางหน้าเป็นที่รับลูกค้าลักลอบขายบริการได้ ซึ่งกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอย่างมาก

ทั้งนี้เมื่อรัฐบาลเดินหน้านโยบาย วีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวหลายประเทศ ย่อมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น  ตนจึงอยากฝากผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศ ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวและเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่น่าประทับใจเพราะหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ก็จะทำให้เกิดการสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้เติบโตตามมา  แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อาจกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในประเทศได้  ส่วนที่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องได้รับการแก้ไขและดำเนินคดีตามกฎหมาย

“ขอฝากท่านผู้ว่าฯภูเก็ต ฝ่ายปกครองรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงไปตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว อย่าให้เกิดการใช้แหล่งท่องเที่ยวมาบังหน้าเพื่อลักลอบขายบริการทางเพศ เพราะจะทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวมไปด้วย นอกจากนั้น อยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญทุกจังหวัดด้วยไม่ใช่แต่เฉพาะภูเก็ตเท่านั้น”นายธนกรกล่าว

‘อัครเดช’ นำคณะกมธ.ฯ ลงพื้นที่ จ.พังงา แหล่งแร่ลิเธียม เตรียมเร่ง ให้ผลิตแบตฯป้อน ยานยนต์ไฟฟ้า ตามนโยบายรัฐบาล 

(10 มี.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร นำคณะกมธ.ฯลงพื้นที่จังหวัดพังงา เพื่อติดตามโครงการสำรวจและผลิตแร่ลิเธียมในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน โดยมีนายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา อุตสาหกรรมจังหวัดพังงา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและให้ข้อมูลกับคณะกมธ.

นอกจากนี้ คณะกมธ.ฯยังได้ลงพื้นที่เขตแหล่งแร่เรืองเกียรติ ตำบลกะใหล อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เพื่อดูสถานที่จริงพร้อมรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้รับอาชญาบัตรสำรวจแร่ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ นำโดย นายวิชัช ไตรรัตน์ นายก อบต.กะใหล ได้ชี้แจงรายละเอียดสถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกมธ.ฯให้สัมภาษณ์ว่า ได้หารือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา อุตสาหกรรมจังหวัดพังงา ตลอดจนผู้อำนวยการอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ในเรื่อง การนำแร่ลิเธียมซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากเป็นโครงการที่สำคัญรัฐบาลให้สนับสนุนในการผลิตเพื่อนำมาป้อนอุตสาหกรรมรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ จากการประชุมหารือกับหลายฝ่าย และลงไปดูแหล่งแร่ลิเธียมที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานได้ประกาศเป็นแหล่งแร่ลิเธียมในตำบลกะไหล พบปะกับผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ ข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าทางจังหวัดพังงามีนโยบายจะทำเหมืองแร่ลิเธียมให้ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้ของจังหวัดด้านการท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของจังหวัดพังงา เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อจำนวนมาก

นายอัครเดช กล่าวว่า คณะกมธ.ฯได้รับทราบข้อมูลจากผู้สำรวจเหมืองแร่ที่ได้รับอาชญาบัตรสำรวจแร่ลิเธียมพบว่าใบอนุญาตในการสำรวจขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และขณะนี้มีนักลงทุนหลายราย สนใจเข้ามาลงทุนสำรวจแต่ยังติดขัดในข้อกฎหมาย ติดขัดในเรื่องผู้รับสิทธิ์สำรวจกฎหมายไม่อนุญาตให้สำรวจซ้ำซ้อนกันได้คณะกมธ.จึงรับข้อร้องเรียนดังกล่าวเพื่อนำกลับมาหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยว เพื่อแก้ไขปัญหาให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต้นน้ำของการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสามารถทำได้จริงตามนโยบายสำคัญที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้คณะกมธ.ฯจะมาหารือเพื่อแก้ปัญหาต่อไป

ประธานคณะกมธ.กล่าววย้ำว่า ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่พวกเขาอยากให้ทางรัฐบาล และส่วนราชการได้สนับสนุนให้มีการสำรวจขุดเจาะแร่ลิเทียมอย่างจริงจัง เพื่อสร้างงานให้กับชุมชน จังหวัดและประเทศ พวกเขามีความเป็นห่วงว่าถ้าทำไม่จริงจัง ในอนาคตเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป แร่ลิเธียมมูลค่าอาจจะลด ขณะที่แร่ลิเธียมมีมูลค่าสูงจึงอยากให้รัฐบาลสำรวจขุดเจาะเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ประชาชน ไม่ได้คัดค้านแต่เป็นห่วงว่าในระหว่างที่ดำเนินโครงการต้องทำ CSR และควบคุมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชนและแหล่งท่องเที่ยว

“การขุดเจาะสำรวจแร่ลิเธียมทราบว่ามีหลายจังหวัด ในจังหวัดราชบุรี ก็มีการสำรวจ ของจังหวัดพังงาได้ดำเนินการมา 3 ปีแล้วสำรวจขุดเจาะได้กว่า 200 หลุม มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากพอสมควรว่า สามารถทำเป็นอุตสาหกรรมเปิดเหมืองนำแร่ลิเธียมมาผลิตเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่าการลงทุน อย่างไรก็ตามคณะกมธ.ฯจะนำข้อมาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมในการเร่งและแก้ไขปัญหา ให้ประชาชนในพื้นที่ต่อไป”นายอัครเดชกล่าว

‘ธนกร’ ค้าน!! นิรโทษกรรม คนผิด ม.112 ยัน!! เป็นคดีด้านความมั่นคง ไม่ใช่การเมือง

(15 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช.มองคดี ม.112 เป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากอยากคลี่คลายความขัดแย้งควรขยายพื้นที่การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิดมาตรานี้ด้วยนั้น ว่า ก่อนอื่นบุคคลในฝ่ายการเมืองต้องตั้งหลักให้ถูกต้องก่อน เพราะคดีชุมนุมทางการเมือง กับ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ เป็นคนละเรื่องที่จะนำมาเหมารวมว่าเป็นการเมืองไม่ได้

“ยกตัวอย่างหากมีใครมาด่าว่า หมิ่นประมาทบุพการีของเรา แบบเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง เจ้าตัวจะยอมหรือไม่ ผมเข้าใจว่าที่หลายคนมองเรื่องนี้ผิดไปเป็นเรื่องการเมืองนั้น เนื่องจากมีบางพรรคการเมืองให้การสนับสนุนกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อมีความผิดก็คิดว่าเป็นคดีทางการเมืองซึ่งไม่ใช่ และที่สำคัญศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ชี้ชัดแล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรานี้ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง ผมจึงอยากให้ทุกฝ่ายทางการเมืองตั้งสติ แยกประเด็นให้ถูกต้อง” นายธนกร กล่าว 

เมื่อถามว่าหากนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.112 จะมีการแก้ปัญหาความเห็นต่างในบ้านเมืองอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า สังคมไทยมีหลายเวทีให้แสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย ทั้งเวทีสาธารณะและเวทีสภา ซึ่งตนมองว่าควรที่จะเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง หรือ บางกลุ่ม ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สมควรที่ปัญญาชนต้องเคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นในสังคม ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลของกลุ่มตนเองฝ่ายเดียวมากกว่านั้น พรรคการเมืองหรือผู้ใหญ่ต้องชี้แนะ และให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่คนรุ่นใหม่ ไม่เป็นการให้ท้ายในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นความมั่นคงของรัฐ ต้องให้ความสำคัญใครจะละเมิดไม่ได้ ถือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

“คุณณัฐวุฒิ ควรยึดหลักการให้ดี ไม่ใช่เห็นว่าเป็นการชุมนุมแล้วเหมารวมว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเสียหมด ต้องมาดูว่าเจตนาและเป้าหมายของการชุมนุมและการแสดงความเห็นต่าง ๆ นั้น ต้องการอะไรกันแน่ ความคิดเห็น ความชื่นชอบทางการเมืองแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่สร้างความแตกแยก ทำกิจกรรมโดยความสงบ และต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากทำผิดเรื่องความมั่นคงของรัฐ ไปแตะต้องเบื้องสูงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง และศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยชี้ชัดมาแล้ว ซึ่งนายณัฐวุฒิก็ยอมรับเองว่าไม่เคยมีการเคลื่อนไหวแบบนี้มาก่อน จึงมองว่าเรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่การเมือง” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ หนุน ‘อนุทิน’ กวดขันหาดป่าตอง เร่งแก้ปัญหา ต่างชาติแย่งงานคนไทย เชื่อหากวางระบบความปลอดภัยให้ดี มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อีกหลายเท่าตัว

(16 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และได้แจ้งข้อมูลให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทราบแล้วนั้น ล่าสุดต้องขอขอบคุณ นายอนุทิน ที่ได้ลงพื้นที่หาดป่าตองจังหวัดภูเก็ตด้วยตัวเอง  พร้อมทั้งยังได้สั่งการให้ อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจพื้นที่ แก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวทันที มีการดำเนินคดีฝรั่งที่ก่อเหตุทำร้ายแพทย์หญิง รวมถึงกรณีอื่นๆที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวด้วย จึงเชื่อว่าการแก้ปัญหามาเฟียต่างชาติจะหมดไป

ทั้งนี้ขอฝากนายอนุทิน พิจารณาขยายพื้นที่โซนนิ่งเปิดสถานบริการถึงเวลา 04:00 น. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและพื้นที่อื่น ๆ ให้เกิดความคึกคัก โดยควบคู่กับการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยและระบบดูแลอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและเพียงพอ เชื่อว่า จะสร้างความมั่นใจและดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาในพื้นที่อีกจำนวนมาก จะสร้างงานสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการและประชาชนมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“ต้องขอบคุณ มท.1 ที่เมื่อผมได้ส่งข้อมูลเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและผู้ประกอบการในภูเก็ตให้ ท่านก็ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ทันที พร้อมสั่งการให้ผู้ว่าฯเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขัน ไม่ยอมปล่อยให้มาเฟียต่างชาติ เข้ามายึดพื้นที่ แย่งงานคนไทยได้ และเชื่อว่าหากมีการวางระบบรักษาความปลอดภัยการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจะสร้างความมั่นใจดึงดูดให้มีการเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่มากยิ่งขึ้น หากภาครัฐพิจารณาขยายเวลาเปิดสถานบริการเพิ่มขึ้นไปถึงตี 4 เชื่อว่า จะสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวได้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว

'รทสช.' จัดทัพ 18 สส. ถกงบประมาณปี 67 วาระ 2-3 กำชับ 'สส.-กมธ.งบประมาณฯ' ยึดประโยชน์ 'ชาติ-ปชช.'

เมื่อวานนี้ (18 มี.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เผยว่า พรรครวมไทยชาติได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระ 2 และ 3 ในวันที่ 20-22 มีนาคมนี้ ทั้งในส่วนของสส.ของพรรคที่ได้สงวนคำแปรญัตติไว้ และในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่พรรคส่งไปเป็นกมธ. ทั้งสส.และกมธ.ที่เตรียมข้อมูลอภิปรายมี 18 คน

ทั้งนี้ กมธ.ของพรรคจะมีการชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่มีรัฐมนตรีของพรรคดูแลอยู่ ถึงเหตุผลในการพิจารณางบประมาณของแต่ละกระทรวงที่ไม่ได้ปรับลดงบประมาณลงว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ขณะที่สส.จะอภิปรายถึงเหตุผลในการสงวนคำแปรญัตติในการขอปรับลดงบประมาณโดยมีเป้าหมายที่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สส. และกมธ.ที่พรรคได้ส่งไปทำงาน

‘ธนกร’ ขอบคุณ นายกฯ-สุริยะ เร่งสร้างถนน-มอเตอร์เวย์ เพื่อพัฒนา กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ คนปักษ์ใต้

(23 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีสส.ภาคใต้จากทุกพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เสนอข้อคิดเห็นต่อนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ให้มีการสร้างมอเตอร์เวย์และสร้างถนนเพิ่มเส้นทางมุ่งสู่ภาคใต้เพื่อแก้ปัญหาจราจรให้พี่น้องประชาชน ว่า ตนในฐานะ สส.คนใต้ เกิดและโตที่จ.นครศรีธรรมราช เห็นด้วยอย่างยิ่งที่กระทรวงคมนาคมจะได้ดำเนินโครงการสร้างถนนมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นที่ 1 เส้นมอเตอร์เวย์ จาก จ.นครปฐม-ชะอำ จ.เพชรบุรี และจาก อ.ชะอำ- จ.ชุมพร เส้นที่ 2 จาก อ.หาดใหญ่ไป อ.สะเดา-จาก อ.สะเดาไปชายแดนไทย-มาเลเซีย เส้นที่ 3 เป็นถนนคู่ขนานเส้นเพชรเกษมหมายเลข 4 จากวังมะนาวไป อ.ปากท่อ-จาก อ.ปากท่อไป อ.หนองหญ้าปล้อง อ.แก่งกระจาน อ.หนองพลับ ลงไปถึง จ.ชุมพร พร้อมทั้งขยายเส้นทางหลักเพิ่มอีก รวมทั้งปรับปรุง เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ปัญหาการจราจร รวมถึงครอบคลุมการแก้ปัญหาระบายน้ำในช่วงที่เกิดอุทกภัยได้ด้วย ป้องกันไม่ให้ภาคใต้ได้รับผลกระทบในวงกว้าง การจราจรจะไม่เป็นอัมพาตทั้งภาคเมื่อเกิดน้ำท่วมเหมือนอย่างที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ จากที่ สส. ภาคใต้จากทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลรวมตัวกันเรียกร้องนั้น ล่าสุด ตนทราบว่า นายสุริยะได้นำข้อร้องเรียนเรื่องปัญหาดังกล่าวให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบแล้ว โดยหลังจากทราบเรื่อง นายกฯได้เชิญตัวแทนสส.ใต้ พรรครวมไทยสร้างชาตินำโดยนายวิชัย สุดสาสดิ์ สส.ชุมพรไปสอบถามข้อมูลปัญหาการจราจร สัญจรลงภาคใต้แล้ว มาติดขัดตรงจุดใด ซึ่งทั้งนายสุริยะและนายกฯ ก็ได้รับเรื่องแล้ว และรับปากจะเร่งดำเนินการพิจารณาโครงการก่อสร้างถนน มอเตอร์เวย์เพื่อแก้ไขให้พี่น้องประชาชนคนใต้ รวมถึงมองในเรื่องการสนับสนุนการท่องเที่ยวภาคใต้ในระยะยาวด้วย 

“ขอบคุณท่านสุริยะและท่านนายกฯที่มองเห็นความสำคัญของเศรษฐกิจท่องเที่ยวภาคใต้และความเดือดร้อนของผู้ที่สัญจรไปมาลงใต้ เมื่อทั้ง 2 ท่านทราบปัญหาก็ได้รับฟังข้อเสนอแนะจากตัวแทนสส.ใต้และสั่งการให้เร่งแก้ปัญหานี้ทันที จึงเชื่อว่า หากผลักดันจนโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ลงไปท่องเที่ยวภาคใต้ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน ส่งผลต่อเศรษฐกิจในพื้นที่และภาพรวมของทั้งประเทศให้ดีขึ้น” นายธนกร กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top