Sunday, 19 May 2024
พรรคก้าวไกล

‘ศิริกัญญา’ ร้อง กสทช. หยุดปัดความรับผิดชอบ ปล่อยให้เกิดการควบรวมค่ายมือถือ ‘ทรู-ดีแทค’

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เรียกร้องให้ กสทช. หยุดปัดความรับผิดชอบสั่งหยุดการควบรวมค่ายมือถือ ซึ่งการกระทำที่ผ่านมาของ กสทช. ทั้งการพยายาม ‘ยื่นตีความกฎหมายว่าตัวเองมีอำนาจหรือไม่’ ทั้งที่ศาลปกครองเคยมีคำสั่งแล้วว่าอำนาจการระงับควบรวมอยู่ในอำนาจ กสทช. และการที่ประธานบอร์ด กสทช. สั่งลบ Infographic ‘5 Facts กรณีการควบรวมทรู-ดีแทค’ ภายหลังค่ายมือถือใหญ่ออกจดหมายคัดค้าน ทำให้เราสงสัย ว่ากสทช. จะปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาไม่เอื้อนายทุนหรือไม่

โดยระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการกระทำที่น่าเคลือบแคลงอย่างยิ่งของ กสทช. คือบอร์ด กสทช. เพิ่งมีมติ 3:2 ยื่นคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ตีความอำนาจตัวเองเป็นรอบที่ 2 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองได้มีคำสั่งออกมาแล้วว่า กสทช. มีหน้าที่และอำนาจต้องดำเนินพิจารณากรณีการควบรวมค่ายมือถือ ทรู-ดีแทค

ไม่ชอบมาพากลในกรณีนี้ว่าการที่ กสทช. มีเจตนาส่งเรื่องให้องค์กรตีความกฎหมายหลายองค์กรวินิจฉัยอำนาจของตัว กสทช. เองนั้น เพื่อให้ปัดความรับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ของตนในการระงับการควบรวมค่ายมือถือซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจสัญญาณค่ายมือถือในประเทศไทยถูกผูกขาดโดยรายใหญ่เพียง 2 เจ้า

นี่ไม่ใช่การยื่นคณะกรรมการกฤษฎีกาครั้งแรก เนื่องจากบอร์ด กสทช. ก็เคยตีความไปแล้วว่าไม่รับคำร้องวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของ กสทช. แต่กสทช. ยังดึงดันส่งเรื่องให้พิจารณาอีกรอบ พร้อมทั้งยื่นหนังสือถึงรักษาการนายกฯ ให้ออกคำสั่งให้กฤษฎีกาตีความอำนาจหน้าที่ของ กสทช. (รักษาการนายกฯ ก็คือ พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ที่มีข่าวว่าสนิทกับประธาน กสทช.)

ที่ต้องตีความกันใหม่เพราะบอร์ดอยากจะเห็นต่างจากศาลปกครองหรือไม่ เพราะศาลเห็นว่า ประกาศ กสทช.ว่าด้วยมาตรการควบรวมฯ ปี 2561 ประกอบประกาศ กสทช.ว่าด้วยมาตรการป้องกันการผูกขาดปี 2549 นั้น ได้ให้อำนาจกสทช.ที่จะพิจารณา ‘อนุมัติ’ หรือไม่อนุมัติการขอควบรวมธุรกิจได้อยู่แล้ว

สรุปคือ ศาลปกครองเห็นว่าบอร์ดกสทช.มีอำนาจอนุมัติ ไม่ใช่แค่รับทราบ ซึ่งตรงกับความเห็นตามที่รายงานอนุกรรมการของ กสทช. อยากให้เป็น

เท่านั้นยังไม่พอ กสทช. ยังตั้งอนุกรรมการพิเศษด้านกฎหมายขึ้นมาอีก 1 ชุด ประกอบไปด้วย ‘เนติบริกร’ ชั้นนำของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, สมคิด เลิศไพฑูรย์, สุรพล นิติไกรพจน์, จรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งข้อเสนอแนะให้ กสทช. ยื่นตีความอำนาจตัวเองต่อกฤษฎีกาในครั้งนี้

'ครูธัญ' มองความต่าง สมรสเท่าเทียม 'ไทย-ไต้หวัน' ชี้!! ไทยยัง 'อนุรักษ์นิยม-ไม่เข้าใจความหลากหลายทางเพศ'

ธัญวัจน์ กมลวงวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมเสวนา เสวนามองสมรสเท่าเทียมผ่านบทเรียนไต้หวัน โดยมี Joyce Teng – Deputy Executive Director of Taiwan Equality Campaign

ภายในงานพูดถึงการต่อสู้ของสมรสเท่าเทียมในไต้หวันและประเทศไทย และก้าวต่อไปของสมรสเท่าเทียมในอนาคต

ธัญวัจน์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า "การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเริ่มมีเสียงที่ดังขึ้นเพราะการเติบโตของสื่อโซเชียลมีเดียที่แพร่หลายและส่งผลต่อการรับรู้ในสังคมจึงทำให้การพูดเรื่องสมรสเท่าเทียมกลับมาอีกครั้งในช่วงหลังการเลือกตั้ง 2562

"ความแตกต่างระหว่างประเทศไต้หวันและประเทศไทย คือ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในประเทศไทยสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กับสังคมในวงกว้าง และสิ่งนี้ตนมีความเห็นว่าการศึกษาไทยยังเป็นความคิดอนุรักษ์นิยมและยังไม่มีความเข้าใจในความหลากหลายทางเพศ และตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญก็แต่งตั้งจากสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ส่อง!! ข้อเสนอ กยศ. ฉบับพรรคก้าวไกล ไม่ต้องมีผู้ค้ำ นำเกณฑ์พิสูจน์ความจนออก

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ ทำให้ประเด็นเรื่องสวัสดิการการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย (ซึ่งกว้างกว่าแค่ประเด็นในร่าง พ.ร.บ. กยศ.) กลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง

การศึกษาเป็นสวัสดิการที่สำคัญสำหรับอนาคตของประชาชนและเป็นการลงทุนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แม้หลายประเทศจะมีข้อถกเถียงและข้อสรุปที่แตกต่างกันถึงระดับชั้นที่รัฐควรอุดหนุนให้ประชาชนได้เรียนฟรี ณ ปัจจุบัน แต่คงไม่มีใครปฏิเสธ ว่าหากสามารถจัดสรรงบประมาณได้เพียงพอ การอุดหนุนให้ประชาชนมีสิทธิเรียนฟรีถึงระดับมหาวิทยาลัย เป็นนโยบายที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้คนจำนวนมาก และเป็นนโยบายที่บางประเทศทำให้เกิดขึ้นจริงได้

การเรียนมหาวิทยาลัยฟรี จึงเป็นเป้าหมายที่พรรคก้าวไกลต้องการมุ่งไป โดยหากรัฐไทยยังไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อเรียนอุดมศึกษาฟรีได้ในทันที เรามีความจำเป็นต้องแก้ปัญหาของกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ดังที่วาระร่างพระราชบัญญัติ กยศ. เข้าสู่สภาในวันนี้ครับ เพื่อรับประกันสิทธิทางการศึกษาของผู้เรียนในช่วงเปลี่ยนผ่าน

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ถูกก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานของการขยายโอกาสในการเข้าถึงทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผ่านการให้ผู้เรียนกู้ยืมจากกองทุนในส่วนของค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพ 3,000 บาทต่อเดือน (เฉลี่ยประมาณ ~400,000 บาทต่อคน สำหรับการเรียน ป.ตรี 4 ปี) เพื่อจ่ายคืนตามจำนวนที่ยืมมา

แต่ที่ผ่านมา เงื่อนไขและการบริหารจัดการในหลายส่วน กลับทำให้เกิดปัญหาทั้งในการจำกัดโอกาสสำหรับผู้ที่อยากเรียนบางกลุ่ม การเพิ่มภาระให้กับผู้เรียนที่กู้เงินไปแล้ว และการบริหารจัดการกองทุนให้มีสภาวะทางการเงินที่เสี่ยงจะไม่ยั่งยืนสำหรับการปล่อยกู้ให้ผู้เรียนในอนาคต

หากเรายังต้องการคงไว้ถึงกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาในช่วงที่ยังไม่มีการอุดหนุนการเรียนมหาวิทยาลัยฟรี พรรคก้าวไกลจึงได้เสนอ 5 ข้อเสนอ ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาวาระ 2 (รายมาตรา) เพื่อปรับปรุงให้ กยศ. มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระต่อผู้เรียน และรักษาความยั่งยืนของกองทุน

โดยพรรคก้าวไกลมีข้อเสนอ5ข้อ คือ...

1. ทุกคนเข้าถึงสวัสดิการ กยศ. ได้อย่างถ้วนหน้า (มาตรา 4): ยกเลิกเรื่องเกณฑ์พิสูจน์ความจนในการกู้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตกหล่น และเพื่อยืนยันหลักคิดว่าสวัสดิการกู้ยืมเพื่อการศึกษา ควรเป็นสวัสดิการที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะยากดีมีจน

2. ขยายเงื่อนไขการให้ทุนเรียนฟรี สำหรับผู้เรียนบางกลุ่ม (มาตรา 5) : เพิ่มความยืดหยุ่นให้กองทุน ในการพิจารณาให้ทุนการศึกษาแบบให้เปล่าสำหรับผู้เรียนบางกลุ่ม ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกไปสู่การเรียน ปวส. ฟรี หรือ ป.ตรี ฟรี สำหรับบางกลุ่ม

‘ก้าวไกล’ ยื่นสภาขอแก้ กม.แพ่ง ห้ามผู้ปกครองลงโทษทารุณบุตร

ปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยภัสริน รามวงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ พนิดา มงคลสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ แถลงข่าวยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (2) ต่อสภาผู้แทนราษฎร จากแต่เดิมที่กำหนดให้ผู้ปกครองมีสิทธิลงโทษบุตรได้ตามสมควร เปิดช่องให้เกิดการทำร้ายหรือการเฆี่ยนตี จนเกิดอันตรายต่อเด็ก แก้เป็นการจำกัดสิทธิในการลงโทษ ห้ามทารุณทำร้าย เฆี่ยนตี หรือทำโทษอันด้อยค่าบุตร หวังทำให้เด็กได้รับการปกป้องจากความรุนแรงและได้พัฒนาเต็มศักยภาพ 

“ร่างนี้เป็นความตั้งใจของ ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ได้ยกร่างขึ้นหลังจากเห็นข่าวเด็กหญิงอายุ 2 ปี ถูกบิดาเลี้ยงทำร้ายจนเสียชีวิต เหตุเกิดในจังหวัดพิษณุโลก แต่เนื่องจากนายณัฐวุฒิฯ อยู่ในระหว่างรักษาโรคโควิด ไม่สามารถมาแถลงข่าวด้วยตนเอง จึงได้มอบให้ตนเป็นผู้แถลงแทน และหากเราติดตามข่าว จะเห็นข่าวเด็กถูกบิดามารดาหรือผู้ปกครองทำร้ายด้วยความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง โดยเข้าใจว่าพวกเขามีสิทธิจะลงโทษบุตร ดังที่ปรากฏใน ปพพ.ม.1567 (2) ปัจจุบันที่ว่า “ผู้ปกครองมีสิทธิทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร” สอดคล้องสุภาษิตในอดีตที่กล่าวว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่หลายครั้งวิธีการลงโทษจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกลับกลายเป็นการทารุณที่ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจ เฆี่ยนตีอย่างไม่ยั้ง หรือทำให้เด็กรู้สึกตนเองด้อยค่า นำไปสู่การบาดเจ็บ เสียชีวิต และที่สำคัญส่งผลต่อการที่เด็กจะไปสร้างความรุนแรงต่อในระยะยาว” ปดิพัทธ์ระบุ

โดยปรากฏว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เองก็ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้ยกร่างแก้ไข ปพพ. มาตรา 1567 (2) ไว้ในทำนองจำกัดสิทธิของผู้ปกครองในการลงโทษบุตร พร้อมทั้งได้ส่งเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมร่วมพิจารณามาตั้งแต่ปี 2559 แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด ทางพรรคก้าวไกลจึงได้ยกร่างและรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน เข้าชื่อเสนอขอแก้ไข ปพพ.มาตรา 1567 (2) เปลี่ยนจากข้อความเดิมเป็น “ทำโทษบุตรเพื่อว่ากล่าวสั่งสอนตามสมควร แต่ต้องไม่เป็นการกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือทำโทษอื่นใดอันเป็นการด้อยค่า” เพื่อเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยหวังว่าสภาฯ จะเร่งการพิจารณาให้ทันในสมัยประชุมหน้า แสดงถึงความตั้งใจในการปกป้องเด็กทุกคนจากความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงในบ้าน

ภัสริน รามวงศ์ ยังได้แถลงเพิ่มเติมว่า “นอกจากจะเป็นการแก้ กม.เพื่อปกป้องเด็กแล้ว การแก้ กม.นี้ยังสอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก และข้อเสนอแนะของนานาประเทศต่อไทยภายใต้กลไก Universal Periodic Review หรือ UPR รอบที่ 2 (พ.ศ.2559 ถึง พ.ศ. 2563) ที่รัฐบาลไทยยอมรับว่าจะเร่งในการปรับแก้ กม.ดังกล่าว แต่ก็เนิ่นช้าเกินกรอบเวลามากว่า 2 ปีแล้ว ไม่เหมือนกับกรณีการปรับแก้ กม.อาญา เรื่องปรับเกณฑ์อายุความรับผิด จาก 10 ปี เป็น 12 ปี ที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการไปก่อนหน้านี้ การแก้ กม.เพียงมาตราเดียวไม่ใช่เรื่องยาก แต่สะท้อนว่า รบ.จริงใจในการแก้ปัญหาหรือไม่มากกว่า และหากมีการแก้ ปพพ.ม. 1567 (2) ได้จริง เราเองก็จะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศมากขึ้นในด้านสิทธิมนุษยชน”

'วิโรจน์' ตั้ง 8 ข้อสงสัยผู้บริหารกทม.ชุดเก่า ปมหนี้ BTS ทั้งที่เงินสะสมมีพอ แต่เหตุใดจึงปล่อยให้หนี้พอก

ภายหลังจากที่มีการฟ้องร้องข้อพิพาทรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ BTSC ฟ้องกรุงเทพมหานคร และกรุงเทพธนาคม (KT) ที่ศาลปกครอง ในกรณีที่ BTSC เรียกร้องให้ กทม. จ่ายเงินที่ค้างชำระค่าเดินรถและค่าซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 เป็นเงิน 11,755 ล้านบาท ซึ่งค้างมาตั้งแต่ผู้บริหาร กทม. ชุดที่แล้ว

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่าตนและทีมงานพรรคก้าวไกลก็ได้เข้าไปสังเกตการณ์ในกรณีนี้ด้วย ซึ่งวิโรจน์ ได้ตั้งข้อสังเกตต่อกรณีนี้ 8 ประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้...

1. ผู้บริหาร กทม. ชุดก่อน ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร คสช. เคยร้องขอต่อสภา กทม. ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร คสช. ให้มีการอนุมัติเงินสะสมของ กทม. มาจ่ายหนี้ค่ารถไฟฟ้า แต่สภา กทม. ในขณะนั้นกลับไม่อนุมัติให้นำเอาเงินสะสมมาจ่ายหนี้ให้แก่ BTSC ทำให้หนี้ค่าจ้างเดินรถ และค่าซ่อมบำรุง สะสมทบต้นทบดอก จนเป็นภาระหนี้สินที่หนักมากขึ้น ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก เพราะ กทม. มีเงินสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงพอต่อการใช้หนี้ ไม่จำเป็นต้องเบี้ยวหนี้ จนดอกเบี้ยทบต้นทบดอก

2. มีสัญญาระหว่างกรุงเทพธนาคม กับ BTSC อยู่ 2 ฉบับ ที่เป็นสาระสำคัญ ที่ กทม. ควรพิจารณาเปิดเผยต่อสาธารณะ ได้แก่ สัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายที่ 1 ที่ กทส.006/55 ลงวันที่ 3 พ.ค. 2555 และสัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ส่วนต่อขยายที่ 2 ที่ กทส.024/59 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2559 ซึ่งตัวเลขหนี้สินต่าง ๆ ที่ กทม. และกรุงเทพธนาคม ค้างจ่ายให้กับ BTSC ล้วนคำนวณมาจากสัญญา 2 ฉบับนี้

3. สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นหลัก ที่มีอายุสัญญาสัมปทาน 30 ปี จะสิ้นสุดลง ณ วันที่ 4 ธ.ค. 2572 แต่สัญญาจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง ทั้ง 2 ฉบับข้างต้น ยังคงผูกพัน กทม. และกรุงเทพธนาคม ไปจนถึงปี พ.ศ. 2585 นั่นหมายความว่าสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ มีผลกระทบอย่างมากต่อการเปิดประมูลสัมปทานใหม่ ดังนั้นการอ่านทานสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

'โรม' สงสัยเหตุใดสุขภาพ 'บิ๊กป้อม' ดีขึ้นอย่างชัดเจน หรือเพราะ 'บิ๊กตู่' ไม่ได้อยู่ในบทบาทสำคัญแบบเดิม 

(3 ก.ย. 65) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาปมนายกฯ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยืนยันว่าไม่นับเริ่มการเป็นนายกฯ ตั้งแต่ 24 ส.ค. 2557 ว่า การเขียนคำชี้แจงเช่นนี้ หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการอยู่ยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อภาพลักษณ์ที่ต้องการบอกกับสังคมว่าไม่อยากอยู่ยาว เพราะตอนนี้เกิดสภาวะเสพติดอำนาจไปเสียแล้ว ถ้าเรามองอย่างใจเป็นธรรม กฎหมายเขียนเพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจ 

ดังนั้นจึงต้องนับการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2557 โดยนับวันโปรดเกล้าฯ เป็นวันแรก การที่พล.อ.ประยุทธ์ ส่งทีมกฎหมายเขียนคำชี้แจงเช่นนี้ก็กล้าเสียเหลือเกิน สรุปแล้วช่วงปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอะไร โจร หรือคนยึดอำนาจ ตนไม่เข้าใจว่าจะต้องเล่นแร่แปรธาตุตีความกฎหมายเป็นอื่นเพื่อให้ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงไปเพื่ออะไร

‘ก้าวไกล’ ฉะ!! นิพนธ์ชิงลาออกหนีถูกชี้มูลผิดคาเก้าอี้ ชี้ หากต้องการแสดงสปิริตควรออกตั้งแต่ป.ป.ช.ชี้มูล

‘ประเสริฐพงษ์-ก้าวไกล’ ฉะนิพนธ์ชิงลาออกหนีถูกชี้มูลความผิดคาเก้าอี้ เรียกร้อง รมช.มหาดไทยคนใหม่เข้ามาสะสางความไม่ชอบมาพากลออกเอกสารสิทธิ์กรมที่ดิน

ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.พรรคก้าวไกล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงการลาออกจากตำแหน่งของนาย นิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย โดยประเสริฐพงศ์กล่าวว่า หากจำกันได้ตนได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทยถึงสองครั้ง

ครั้งแรกเป็นชี้ให้เห็นเรื่องการใช้อำนาจดันโครงการอุตสาหกรรมจะนะ ชี้ เอื้อประโยชน์นายทุน หลังพบกว้านซื้อที่ดิน-ออกโฉนดทับที่ทำกินชาวบ้าน พบเครือญาติ-เครือข่าย เอี่ยวการจัดซื้อที่ดินในพื้นที่รวมถึงจ่ายเงินให้บริษัทเอกชนที่ประมูลรถบำรุงทางเอนกประสงค์ของ อบจ.สงขลาในขณะนั้น 

โดยหลังจบอภิปรายไม่ไว้วางใจตนนำหลักฐานในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งหมดไปยื่นต่อ ป.ป.ช. และป.ป.ช.ได้มีการส่งฟ้องต่อศาลอาญาแผนกการทุจริตกลาง ต่อมาพรรคก้าวไกล โดย ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ยื่นหนังสื่อต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสถานภาพการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรีช่วงกระทรวงมหาดไทย ของนายนิพนธ์ บุญญามณี โดยเหตุการณ์ในวันนั้นมี นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาได้แถลงข่าวว่าการยื่นผ่านประธานสภาในลักษณะนี้ไม่สามารถทำได้และผิดขั้นตอน ทั้งที่ความจริงแล้วตนและพรรคก้าวไกลได้ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพราะหลังจากนั้น ประธานสภาฯได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยคุณสมบัติของนายนิพนธ์ตามที่ตนได้ยื่นคำร้อง 

เหตุการณ์ดังกล่าวชัดเจนว่ามีกระบวนการพยามขัดขวางการตรวจสอบคุณสมบัติของรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยจากเลขาฯประธานสภาฯ อย่างชัดเจน

‘โรม’ ทวงสำนึก ส.ว. ‘หยุดสืบทอด-หวง’ อำนาจ คืนอำนาจสู่ประชาชน ช่วยยุติระบบอันบิดเบี้ยว

‘โรม’ ถามหาสำนึก ส.ว. หยุดสืบทอดอำนาจ ชี้ กรณี ‘สิบตำรวจโทหญิง’ แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ส.ว. ที่ผ่านมาไม่มีคุณวุฒิ คุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ พร้อมเสนอแก้ไข ม.272 ปิดสวิตช์ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจ

ในการประชุมร่วมของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่าง รธน. ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม รังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลได้ลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายประเด็น โดยเฉพาะข้อเสนอที่ให้มีการแก้ไข ม.272 ปิดสวิตช์ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจ

***หนุนเพิ่มสิทธิเสรีภาพประชาชน ควบคู่ปฏิรูปศาลและหน่วยงานยุติธรรมให้ทำตามหลักกฎหมาย***

รังสิมันต์กล่าวว่า ตนและพรรคก้าวไกลมีจุดยืนสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดที่เพิ่มสิทธิและเสรีภาพประชาชนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น...

- คำนิยาม “สิทธิเสรีภาพ” ให้หมายรวมถึงที่ประเทศไทยได้มีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ
- เพิ่มเติมข้อความว่าการประกันตัวว่าต้องได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็ว การคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีหากไม่ใช่กรณีที่โทษร้ายแรงจะต้องมีกำหนดเวลาไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น
- การระบุรายละเอียดของสิทธิในกระบวนการยุติธรรมว่าต้องสะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง พิจารณาโดยเปิดเผย ให้โอกาสจำเลยในการสู้คดีอย่างเพียงพอ ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นธรรม
- เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ที่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม เสรีภาพเหล่านี้จะถูกจำกัดมิได้
- สิทธิชุมชน ให้การทำโครงการที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะต้องศึกษาและประเมินผลกระทบอย่างรอบด้านโดยประชาชนและชุมชนได้มีส่วนร่วม
- เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจะจำกัดได้ก็ด้วยกฎหมายเฉพาะเรื่องการชุมนุมสาธารณะ หรือในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเท่านั้น
- เสรีภาพในการรวมกลุ่มเป็นพรรคการเมืองให้การจัดตั้งไม่ยุ่งยากซับซ้อน การเข้าร่วมเป็นสมาชิกไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะมาหาเรื่องยุบพรรคไม่ได้ถ้าไม่ใช่กรณีล้มล้างการปกครองเท่านั้น 

“สิทธิและเสรีภาพต่างๆ เหล่านี้ อันที่จริงแล้วบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ก็ควรจะเพียงพอแล้วที่จะเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ก็อย่างที่เราเห็นกันว่าศาลและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมนั้นบิดเบือนกฎหมายที่มีอยู่ไปขนาดไหน ผมเชื่อว่าหากเราปฏิรูปให้องค์กรผู้ใช้อำนาจทั้งหลายมีความยึดโยงกับประชาชนได้ การจะใช้กฎหมายเท่าที่มีอยู่เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเลย” รังสิมันต์ กล่าวเสริม

***ยืนยันหลักการนายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง***

ในเรื่องของคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส.พรรคก้าวไกลตั้งแต่ในอดีตสมัยยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ยืนยันสนับสนุนหลักการนี้มาโดยตลอดว่าผู้ที่คู่ควรได้เป็นผู้นำประเทศ ต้องเป็นผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งตามระบบในประเทศไทยที่เราใช้หมายถึงผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. มิใช่เป็นใครบางคนที่รังเกียจการเลือกตั้ง แต่ก็หวังอยู่ในอำนาจต่อโดยดูดเอาผู้มีอิทธิพลกลุ่มต่างๆ มาช่วยหาเสียงแทนตัวเอง

***ถามหาสำนึก ส.ว. เลิกหวงอำนาจ คืนอำนาจกลับสู่ประชาชน***

ประเด็นสุดท้าย ตามร่างที่ยื่นเสนอเข้ามาโดยภาคประชาชนที่เข้าชื่อกันเป็นจำนวนทั้งสิ้น 64,151 คน เนื้อหาไม่มีอะไรซับซ้อนให้ยกเลิกบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ที่ให้ ส.ว. ชุดแรก 250 คน มีวาระ 5 ปี ที่มาจากการคัดเลือกโดย คสช. มีอำนาจในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่ง ส.ว. ชุดนี้ทั้งหมด ยกเว้นประธานสภาที่งดออกเสียงตามมารยาท ก็ใช้อำนาจนี้ยกมือโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สืบทอดอำนาจหลังยุคคณะรัฐประหารต่อไป ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 เป็นต้นมา

'พิธา' เตรียมดันนโยบายดูแลสูงวัยทั่วประเทศ หลังรัฐสร้างปัญหา ออกกฎหมายขัดกันมั่ว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล รับหนังสือจากกลุ่ม 'นักกฎหมายทนายความประชาชนสี่ภาค' เตรียมผลักดัน นโยบายรองรับสังคมสูงวัย หวั่นคนแก่ถูกทอดทิ้ง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยส.ส. จากพรรคก้าวไกล รับหนังสือจากกลุ่มนักกฎหมายทนายความประชาชนสี่ภาค ซึ่งเดินทางมาร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาเบี้ยผู้สูงอายุที่เกิดขึ้น โดยพิธาได้อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นโดยยกตัวอย่าง กรณีผู้สูงอายุถูกรัฐสั่งฟ้องคืน 'เงินคนแก่' และตัวอย่างที่ยกไปนั้นไม่ใช่ตัวอย่างเดียวที่เกิดขึ้น แต่ยังมีตัวอย่างของผู้สูงอายุอีกจำนวนมากที่ต้องคืนเงินให้กับรัฐ เนื่องจากความผิดพลาดของการออกกฎหมายที่ขัดกันและการดำเนินการของรัฐที่ไม่รอบคอบถี่ถ้วน หากรัฐไม่สามารถจัดการระบบและกฎหมายที่ขัดกันได้ ปัญหานี้จะกลายเป็นปัญหาคุกคามผู้สูงวัยทั่วประเทศ วันนี้ตนจึงเดินทางมารับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มทนายที่พบปัญหาโดยตรง

หนึ่งในตัวแทนกลุ่มนักกฎหมายทนายความประชาชนสี่ภาค ได้ยกตัวอย่างปัญหาสำคัญของคดีลูกความผู้สูงอายุที่ตนเป็นทนายความไว้ว่า "ที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางได้เรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุที่รับเงินจากบำเหน็จบำนาญจากบุตรชายที่เสียชีวิต ผมจึงเข้าไปเป็นทนายความยื่นฟ้องศาลปกครอง เมื่อศาลปกครองรับฟ้อง พิจารณาหลังจากนั้นผมได้ยื่นฟ้องศาลปกครองต่อกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานโดยตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง หลังจากยื่นฟ้องศาลปกครองรับฟ้อง คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ

‘พิธา’ ลั่น พร้อมเป็นนายกฯ พาไทยแข่งขันบนเวทีโลก โชว์กึ๋น สร้างอุตฯ ไฮเทค ผ่านการแก้ปัญหาน้ำประปา

ในงานเปิดแคมเปญเลือกตั้งพรรคก้าวไกล 'ต้องก้าวไกล ให้ไทยก้าวหน้า' นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เริ่มต้นเปิดงานด้วยการแสดงวิสัยทัศน์การบริหารประเทศแบบก้าวไกลด้วยการหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นและชวนให้ผู้ฟังมองปัญหาระดับประเทศที่ซ่อนอยู่ในน้ำดื่มขวดนี้

“ทุกครั้งที่เรายกน้ำขึ้นมาดื่ม ทุกท่านเชื่อมั้ยครับว่า มันมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังที่สะท้อนความล้มเหลวและความไร้ประสิทธิภาพของรัฐไทย ความล้มเหลวของรัฐไทยในการให้บริการน้ำประปาที่สะอาดดื่มได้ทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระค่าน้ำดื่มสูงขึ้นถึง 1,000 เท่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยที่มีทรัพยากรน้ำมหาศาล” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า การประปาอาจจะบอกว่าตรวจคุณภาพน้ำในกรุงเทพฯ 2,000 จุดแล้วดื่มได้ แต่น้ำประปาผ่านตามท่อถึงบ้านเรา ไขก๊อกออกมาดื่มไม่ได้ ในกรุงเทพฯ บางพื้นที่ยังใสแต่ในต่างจังหวัด แต่ละบ้านต้องมาแข่งกัน ว่าน้ำประปาจะสีอะไร ใช้ซักผ้าไม่ได้ ใช้ล้างจานไม่ได้ ใช้อาบน้ำไม่ได้ ในประเทศอื่นๆ เขาควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยของน้ำประปาโดยใช้ 'แรงดันน้ำ' ที่ปลายท่อครับ ทำให้แบคทีเรียและความสกปรกในท่อก็จะยิ่งเข้ามาปนอยู่ในน้ำประปาได้ยาก

ในต่างประเทศตั้งค่าแรงดันน้ำขั้นต่ำที่ปลายทางเอาไว้สูง เปิดในแนวตั้งต้องพุ่งสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ที่อเมริกาคือถ้าต่ำกว่า 14 เมตร ให้ต้มน้ำดื่ม ถ้าต่ำกว่า 3.5 เมตรเขาให้ล้างน้ำประปาคงค้างให้หมดแล้วนำน้ำไปตรวจแบคทีเรีย แต่สำหรับประเทศไทยเราไม่ได้กำหนดแรงดันน้ำปลายทางแรงดันในท่อหลักอยู่ที่ 6 เมตร มาถึงบ้านปลายทางไม่ได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้ ทำให้เหลือแรงดันแค่ 2 เมตรเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ทำไมน้ำประปาถึงดื่มไม่ได้ และด้วยเหตุนี้เองถึงได้เกิดอุตสาหกรรมน้ำขวดขึ้นมา มูลค่า 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากน้ำประปาที่ราคา 1,000 ลิตร ราคา 10 บาท เราถึงได้ต้องดื่มเป็นน้ำขวดที่ราคา 1 ลิตร 10 บาท หรือแพงขึ้น 1,000 เท่า

สาเหตุที่รัฐไทยให้แรงดันน้ำกับประชาชนไม่ได้ นั่นเพราะเราจะสูญเสียน้ำไปตามท่อจากท่อระบายน้ำรั่วประมาณ 30% ถ้ายิ่งเปิดแรงดันน้ำแรงน้ำก็จะยิ่งรั่วมาก ถ้าเปิดน้ำอ่อยๆ น้ำก็จะรั่วน้อยลง แต่การที่ภาครัฐเปิดน้ำให้ประชาชนอ่อยๆ เพราะกลัวน้ำรั่วเป็นปัญหาที่สะท้อนแนวคิดในการแก้ไขปัญหาแบบระยะสั้น ลูบหน้าปะจมูก แบบไทยๆ ผลักภาระน้ำที่ไม่สะอาด กับค่าถังพักน้ำ ค่าปั๊มน้ำ ให้ประชาชน ในขณะเดียวกันพอน้ำรั่วน้อย แต่เป็นการรั่วซึม เราก็จะไม่เห็นว่าน้ำรั่วที่จุดไหน เราก็จะไม่สามารถไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้

ประเทศไทยมีปัญหาที่หมักหมม และแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกอยู่แบบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำแล้ง-น้ำท่วมที่แก้กันแบบ 'น้ำแล้งขนน้ำไปหาคน น้ำท่วมขนคนหนี' เรื่องเกษตรที่อุ้มราคาเฉพาะหน้าอย่างเดียวแต่แทบไม่มีการยกระดับเกษตรกร เรื่องงบประมาณที่ซุกหนี้และภาระผูกพันไว้มากมายเป็นระเบิดเวลาในอนาคต ฯลฯ ถ้าเรื่องที่พื้นฐานมากๆ อย่างแรงดันน้ำ ประเทศไทยยังไม่สามารถทำได้เพื่อให้น้ำสะอาด เราไม่มีวันที่จะสามารถทำเรื่องยากๆ เพื่อให้ประเทศไทยแข่งขันในระดับโลกได้

อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ใช้น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากก็คือชิปคอมพิวเตอร์ โรงงานผลิตชิปคอมพิวเตอร์โรงงานหนึ่งอาจใช้น้ำได้สูงถึง 10,000 ลบ.ม. ต่อปี นอกจากนี้การมีปริมาณน้ำที่มากอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องใช้น้ำที่บริสุทธิ์มากด้วยเพื่อมาใช้ล้างชิปด้วย ชิปคอมพิวเตอร์สมัยนี้เล็กมากระดับนาโนเมตร ชิปเล็กที่สุดตอนนี้ 2 นาโนเมตรเล็กยิ่งกว่าเกลียวดีเอ็นเอ เพราะฉะนั้นน้ำที่จะมาใช้ล้างชิประดับนาโนเมตรได้ก็ต้องเป็นน้ำที่บริสุทธ์มากระดับ Ultrapure Water ที่ไม่มีอนุภาคอะไรเหลือเลย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top