Thursday, 2 May 2024
พรรคกล้า

'กรณ์' มองกรณีศึกษา SCBS เทก Bitkub เพราะสุดท้ายดิจิทัล = ธุรกิจแบงก์ยุคต่อไป

"กรณ์" ชี้ 5 สัญญาณสำคัญ อนาคตการเงิน หลังกลุ่มธนาคาร ซื้อกิจการ Crypto Exchange 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ ทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) ว่า เห็นสัญญาณบางเรื่องจากดีล Bitkub x SCBx ซึ่งการที่กลุ่มธนาคารมาซื้อกิจการ Crypto Exchange ด้วยเงินมหาศาลส่งสัญญาณสำคัญหลายข้อ คือ 

1.) เป็นการยืนยันว่า นายธนาคารมองว่า crypto เป็นส่วนสำคัญใน "อนาคตการเงิน" แน่นอน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่จะเกิดจากการ synergy ของผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคารปัจจุบันร่วมกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริหารการลงทุนของนักลงทุนไทยในสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะมีมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามต่อว่าจะทำให้เงินทุนหมุนเวียนในตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เมื่อนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นหรือได้รับการชี้ชวนจากสถาบันการเงินเดิมที่ตนเชื่อมั่นและคุ้นเคย 

2.) แนวโน้มจากที่ในอดีตธนาคารพาณิชย์ขยายฐานธุรกิจด้วยการซื้อหรือควบรวมกันเอง จากนี้เราจะเห็นธนาคารพาณิชย์ซื้ออนาคตด้วยการลงทุนใน alternative finance (การเงินทางเลือกใหม่) ซึ่งแปลว่าธนาคารที่ขาดวิสัยทัศน์หรือขาดกำลังทุนมีแนวโน้มสูญพันธุ์สูง การตอบโต้ทางการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์กันเองในเรื่องนี้ จะมีผลสำคัญในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมการเงินไทยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

“กรณ์” นำทีมพรรคกล้า กทม. ติดตามความคืบหน้า “โครงการบึงรับน้ำคู้บอน” แก้มลิงแก้ปัญหาน้ำท่วมขอผู้บริหาร กทม. แสดงความจริงใจ เร่งเวนคืนที่ดินทำพื้นที่รับน้ำ ก่อนถูกเอกชนรุกคืบสร้างบ้านจัดสรร

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ผู้เสนอตัวสมัคร ส.ส. คลองสามวา , นายมนูญ อินช่วย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. คลองสามวา ทีมพรรคกล้า กทม. และทีมทวงคืนบึงรับน้ำคู้บอน ลงพื้นที่บึงรับน้ำบริเวณคลองคู้บอน เขตคันนายาว เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการสร้างบึงรับน้ำคู้บอน เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม 

นายกรณ์ กล่าวว่า โครงการบึงรับน้ำคู้บอน ถูกออกแบบมาตั้งแต่ปี 2560 มีการทำประชามติ โดยชาวบ้านเห็นชอบพร้อมกันแล้ว เดิมกทม. มีแผนจัดสร้างบึงรับน้ำลักษณะนี้ในพื้นที่กรุงเทพตะวันออก 6 บึง ซึ่งจะสามารถกักเก็บน้ำรวมกว่า 6 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เวลา 4 ปีผ่านมา กทม. ก็ยังไม่สามารถออกราชกฤษฎีกาเวนคืนพื้นที่ เพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างคูรับน้ำไว้ได้ 

ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้น คือมีนายทุนบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เริ่มรุกคืบออกแบบจัดสรรที่ดิน เตรียมทำหมู่บ้านจัดสรรบนพื้นที่ที่ กทม. กำหนดไว้ว่ามีความจำเป็นจะต้องยกพื้นที่นี้เป็นบึงรับน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม 

4 เหตุผล ที่ยังไม่ควรแก้ ‘มาตรา112’

ไม่นานมานี้ คุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ได้เปิดเผยในรายการ Click on Clear THE TOPIC EP.81 เกี่ยวกับเหตุผลที่ ทำไม…ไม่ควรแก้ ‘มาตรา 112’ ว่า...

จุดยืนของผมและพรรคกล้า ชัดเจนว่า ‘มาตรา 112’ ไม่ควรยกเลิก และไม่ควรแก้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ เพราะว่าถ้าเราไปแก้ไข มันจะทำให้การหมิ่นเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางมากขึ้น บ่อเกิดแห่งความขัดแย้งมันก็ยังอยู่เหมือนเดิม 

ประการแรก คือ หากเกิดการแก้ไขมาตรา 112 แล้วเกิดการหมิ่นมากขึ้น สิ่งที่ตามมาเป็นประการที่สอง คือ จะเกิดการชุมนุม และเกิดการปะทะกันทั้ง 2 ฝั่งมากขึ้น

ทำไมถึงจะการเกิดการปะทะกันทั้ง 2 ฝั่ง เนื่องจากผลการดำเนินคดีของมาตรา 112 ขณะนี้ที่เราเห็นอยู่มีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้อง หรือเป็นผู้กล่าวโทษ ร้องทุกข์อยู่ครึ่งหนึ่ง ถ้าเกิดมองว่าเพราะเป็นเรื่องที่รัฐเข้าแกล้ง หรือไปดำเนินการมาตรา 112 โดยตรง แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่มาแจ้งความส่วนมากคือราษฎร นี่คือข้อเท็จจริง!!

ส่วนประการที่สามนั้น คือ โอกาสในการนำไปสู่รัฐประหารอีกครั้ง เนื่องจากว่า ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรี จะอยู่ครบ 8 ปีไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ และวันที่ท่านต้องครบคือ เดือน สิงหาคม ในปีหน้า (2565) เพราะฉะนั้นวันนี้จนถึงสิงหาคมปีหน้า ผมมองว่าถ้าการเมืองไม่เกิดวิกฤตอีกระรอก เชื่อว่าท่านก็คงไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว และรอติดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต

ฉะนั้นถ้าเราเชื่อเรื่องกลไกของประชาธิปไตย ก็อย่าพึ่งไปทำให้เกิดแรงกระเพื่อม เพราะตอนนี้วิกฤตที่เกิดขึ้นคือ วิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตโรคระบาด ไม่ใช่วิกฤตการเมือง แต่ถ้าเรามาทำให้เกิดเป็นวิกฤตการเมืองแล้วล่ะก็ ตอนเลือกตั้งทุกคนก็จะเลือกด้วยความเกลียด และความกลัว 

และนั่นก็แปลว่าเราทุกคนตกอยู่ในเครื่องมือของการแบ่งแยกคนเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งโอกาสที่การแบ่งแยกคนอีกครั้งก่อนการเลือกตั้ง มันอาจจะกลายเป็นหัวข้อว่า ใครเห็นด้วยต่อกับปฏิรูปสถาบันไปฝั่งนี้ ใครให้ไม่เห็นด้วยไปฝั่งนี้ อย่าให้ใครมาแบ่งเราแบบนี้เด็ดขาด เพราะมันจะให้เราตัดสินใจด้วยความเกลียด และความกลัว

อรรถวิชช์ กล่าวอีกว่า ผมจะไม่ยอมให้เรื่องสถาบันกลายเป็นประเด็นการแบ่งแยกเด็ดขาด เพราะความเข้มแข็งของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย จะเป็นองค์กรที่ยุติความขัดแย้งทางการเมืองได้ด้วย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนอย่างยิ่งในการยุติและหลีกเลี่ยงการปะทะของบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายเสมอ ดังนั้นถ้าเกิดว่าเราไปยุ่งเกี่ยวและดึงสถาบันเข้ามาข้องเกี่ยวทางการเมือง บ้านเมืองเราจะไปต่อไม่ได้ เพราะนี่คือความเข้มแข็งของรากฐานหรือรากเหง้าของคนไทย อย่าทำลายความเป็นไทยของเรา 

สำหรับกรณีกลุ่มวัยรุ่น นักเรียนหรือนักศึกษา เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองในมาตรา 112 อรรถวิชช์ ให้ความเห็นว่า...

ผมได้มีการดีเบตกับอาจารย์ ปิยะบุตร ว่าอาจารย์ปิยะบุตรไม่ได้โดนมาตรา 112 แต่ว่าเป็นน้อง ๆ ที่โดนมาตรา 112 จากการพูดบางอย่างลงไปสู่สังคมแล้วบาดใจคนที่เห็นต่าง ขณะที่อาจารย์รู้กรอบกฎหมายในการกล่าวถึงหรือวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน จึงไม่เกิดผลอันใด

นอกจากนี้ หลายคนอาจจะมองว่าตัวบทกฎหมายมาตรา 112 มีโทษที่หนัก เพราะจำคุก 3-15 ปี ทำให้มีการหยิบยกมาเปรียบเทียบกับการหมิ่นคนธรรมดา หรือหมิ่นเจ้าหน้าที่

แต่แท้จริงแล้วมาตรา 112 ครอบคลุมโทษอยู่ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.) ดูหมิ่น 2.) หมิ่นประมาท และ 3.) อาฆาตมาดร้าย 

'กรณ์' บุกใต้ไม่หยุด ปลุกผู้กล้าฟื้นเศรษฐกิจ เตรียมทำนโยบายจังหวัด ดันภูเก็ตเป็น World class city 

จับสัญญาณ “กรณ์” บุกใต้ถี่ เสียงตอบรับดี ภูเก็ต กระบี่ และพังงา ประชาชนเชื่อมั่นทีมงานมืออาชีพ  ฟื้นเศรษฐกิจอันดามันได้ ลั่นพร้อมทำภูเก็ตให้เป็น World class city 

หลังจากรัฐบาลประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกันมากขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจ.ภูเก็ต  นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมทีมงาน ได้เดินทางลงจังหวัดภูเก็ต เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการและประชาชน  เพื่อเก็บข้อมูลรับทราบปัญหาและความต้องการของชาวภูเก็ต รวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจภูเก็ตหลังเปิดเมืองไปแล้ว 2 สัปดาห์ ซึ่งภายหลังการพูดคุย ได้ข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวยังเดินทางเข้ามาไม่มากนักแต่มีสัญญาณที่ดีและมองเห็นแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซันนี้ ที่ผู้ประกอบการประมาณการว่าในช่วงสิ้นปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาวันละ 1 หมื่นคน จากเดิมที่เข้ามาถึงวันละ 6 หมื่นคน แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของภูเก็ตค่อยๆ ฟื้นตัว

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า การมาภูเก็ตครั้งนี้ถือว่าเป็นความท้าทายมากในการที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ของภูเก็ต ในการที่จะผลักดันให้ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าด้วยศักยภาพของภูเก็ตนั้นมีความเป็นไปได้สูง หากมีนโยบายที่ถูกต้องและมีความจริงใจในการขับเคลื่อนนโยบาย แต่สิ่งที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนในขณะนี้ คือ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กที่ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตโรงแรม ซึ่งหากดูจากเว็บไซต์การจองโรงแรมจะเห็นว่าโรงแรมในภูเก็ตที่เปิดขายห้องพักมีมากกว่า 1 หมื่นแห่ง แต่ที่มีใบอนุญาตถูกต้องนั้นมี 700 กว่าแห่งเท่านั้น ในอนาคตหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตเพิ่มขึ้น รายได้ที่เกิดขึ้นจะกระจุกตัวไม่กระจายไปยังทุกกลุ่มและผู้ประกอบการ ดังนั้น จะต้องหาแนวทางในการที่จะให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นได้เปิดกิจการได้ รวมไปถึงปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาในหลายๆ โครงการ แต่เงินทุนเหล่านั้นเข้าถึงผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและบริการในภูเก็ตน้อยมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากโรงแรมไม่มีใบอนุญาต 

“ในวันที่ 16 พ.ย.นี้ การประชุม ครม.สัญจร ในฝั่งอันดามันอีกครั้งหนึ่งที่ จ.กระบี่ อยากฝากไปถึงรัฐบาลว่า จังหวะนี้เป็นจังหวะสุดท้ายที่รัฐบาลจะทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ทำมาหากินในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีนี้ รัฐบาลต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ จะต้องมีคำตอบและทางออกในการแก้ปัญหาให้คนในอันดามัน” นายกรณ์ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาพรรคกล้าลงพื้นที่ จ.ภูเก็ตบ่อยครั้ง แสดงว่ามีความมั่นใจว่าจะสามารถปักธงใน จ.ภูเก็ตได้ หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า เหตุผลหลัก ๆ ของการเดินทางมา จ.ภูเก็ตคือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคกล้ามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้แทนคนภูเก็ต ตามแนวทางทางการทำงานการเมืองที่เราเรียกว่า “แนวทางการปฏิบัตินิยม” ทำงานอย่างสร้างสรรค์ให้กับพี่น้องชาวภูเก็ต ให้พรรคของเราได้เป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะเรามีความตั้งใจในเชิงคุณภาพ ทั้งนโยบายการทำงานและการคัดเลือกผู้สมัคร ซึ่งเราก็จะส่งผู้สมัครครบทั้ง 3 เขต และจะต้องเป็นผู้สมัครที่ สะท้อนความตั้งใจของพรรคกล้า ที่จะมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนภูเก็ต

“เราตระหนักว่า การเมืองภูเก็ต มีการแข่งขันกันสูง แต่หากถามว่า เรามุ่งมั่นและตั้งใจหรือไม่ที่จะปักธงที่ภูเก็ต ก็ต้องบอกว่าเรามีความตั้งใจระดับสูงสุด และมีความมั่นใจว่าชาวภูเก็ตก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ชาวภูเก็ตต้องการทางเลือกใหม่ ที่เป็นทางเลือกที่สร้างสรรค์ และเข้าใจถึงทั้งปัญหา ศักยภาพ และโอกาสของตัวจังหวัด พร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดควบคู่กันไปกับภาคประชาชนและธุรกิจของชาวภูเก็ตเอง” หัวหน้าพรรคกล้ากล่าว

นายกรณ์กล่าวต่อไปอีกว่า โดยเจตนารมณ์ของพรรคกล้า เรามองว่า เราเป็นพรรคการเมืองของคนทุกวัย มองว่าพื้นฐานของสังคมไทยสามารถที่จะเรียนรู้จากกันและกันได้ การที่เราจะมาจำกัดตัวเองว่า เป็นพรรคของคนรุ่นเก่า หรือพรรคของคนรุ่นใหม่ มันทำให้เสียโอกาสในการที่คนต่างวัยจะช่วยกันทำงานและเรียนรู้จากกันและกันได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้จำกัดว่าผู้สมัครของเราจะต้องเป็นคนวัยไหน แต่ขอให้เป็นคนที่มีบุคลิก “น้ำไม่เต็มแก้ว” พร้อมรับฟัง พร้อมเรียนรู้ พร้อมที่จะลองผิดลองถูก และทดลอง ที่สำคัญที่สุดก็คือ เน้นในเรื่องของการลงมือทำ ถือว่าเป็นสเปคของพรรคกล้า

‘กรณ์’ ตอกชาวเน็ตกล่าวหา ‘ไม่กล้าเรื่องความจริง’ ย้ำชัด ปัญหาปากท้อง คือ ‘ความจริง’ ที่ต้องแก้

จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Premtip Panthong ซึ่งได้เข้ามาคอมเมนต์ในเพจ กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij ว่า “พรรคนี้พรรคกล้า กล้าทุกเรื่องยกเว้นเรื่องความจริง”

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้เข้าไปตอบคอมเมนต์ดังกล่าว ว่า พวกผมที่พรรคกล้าเชื่อว่าปัญหาเรื่องปากท้อง หนี้สิน การศึกษา การเกษตร สิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คือ ‘ความจริง’ ครับ และล้วนเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ เราเชื่อว่าการอยู่ดีกินดีคือพื้นฐานของสังคมที่เป็นสุข และการมีโอกาสคือปัจจัยสำคัญของสังคมที่มีความก้าวหน้า

"อรรถวิชช์" เผย "พ.อ.สุชาติ"  ย้ายสังกัดมาพรรคกล้า ช่วยเสริมทัพภาคใต้ เชื่อมั่น "กรณ์ จาติกวณิช" ผู้นำแก้วิกฤตเศรษฐกิจ 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงกระแสข่าว พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรคพลังประชารัฐ ย้ายเข้าสังกัดพรรคกล้า ว่ามีการพูดคุยกันจริง โดย พ.อ.สุชาติ เห็นตรงกันกับพรรคกล้าว่า วิกฤตชาติที่ต้องเร่งแก้ไขคือเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง การฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดย พ.อ.สุชาติ ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และแสดงความจำนงสมัครสมาชิกพรรคกล้าแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนทางกฎหมาย 

"ผู้การเห็นพ้องว่า ยุคหน้าผู้นำต้องนำด้วยเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคใต้ ที่มีโอกาสหลายอย่าง แต่ขาดการบริหารจัดการและพัฒนาอย่างจริงจัง ก็เลยอาสามาช่วยงานลุยชุมชนในพื้นที่ภาคใต้ ร่วมกับพรรคกล้า เพื่อช่วยคุณกรณ์จัดทัพ สำคัญที่สุดคือ ผู้การพร้อมมาลุยร่วมกันทำงานแบบพรรคกล้า ยึดหลักปฏิบัตินิยม และทำงานการเมืองแบบสร้างสรรค์" นายอรรถวิชช์ กล่าว 

‘อรรถวิชช์’ คาใจ!! ผุด Sandbox ‘ชะอำ-หัวหิน’ แต่กลับดื่มในร้านไม่ได้ กระทบนักท่องเที่ยวหด

‘อรรถวิชช์’ คาใจ รัฐบาลลืมปลดล็อก ‘ชะอำ-หัวหิน’ แม้ประกาศเป็น Sandbox แต่กลับดื่มในร้านไม่ได้ ทำนักท่องเที่ยวไม่มา วอนขอมาตรฐานเดียวกับกรุงเทพฯ 

นายอรรถวิชช์ สุวรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กว่า... 

วันนี้ผมมาร่วมแถลงข่าวงาน ‘หัวหินวินเทจคาร์พาเหรด’ จัดขบวนรถโบราณหาชมยากกว่า 50 คัน ขับจากกรุงเทพ - หัวหิน ในวันที่ 17 - 19 ธ.ค. 64 ช่วยโปรโมตการท่องเที่ยว หัวหิน-ชะอำ 

ผมทำมาติดต่อกันเป็นปีที่ 19 จนอยู่ในปฏิทินการท่องเที่ยวของ ททท. และปฏิทินกิจกรรมผู้รักรถโบราณและรถคลาสสิกทั่วโลก 

มีเรื่องคาใจผมมาก คือ หัวหิน - ชะอำ ถูกประกาศเป็นเขต Sandbox ท่องเที่ยว แต่กลับดื่มสุราในร้านอาหารในโรงแรมไม่ได้ ทำแบบนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติหนีหมด 

‘โฆษกพรรคกล้า’ ซัดรัฐใช้ภาษีปชช. ฟุ่มเฟือย ชี้! เงินเดือนสูงทั้งนั้น ทำไมไม่ซื้อมือถือเอง

'โฆษกพรรคกล้า' เปิดเงินเดือน ข้าราชการการเมือง - รัฐมนตรี เงินเดือนสูง ๆ ทั้งนั้น ทำไมไม่ซื้อมือถือเอง ท้าประกาศไม่รับไอโฟนตามนายกฯ ชี้เป็นบทเรียนจัดซื้อเกินจำเป็น 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดซื้อโทรศัพท์มือถือ iPhone 12 จำนวน 111 เครื่อง วงเงิน 2.68 ล้านบาท ว่าที่ปรึกษานายกฯ ออกมาชี้แจง ทั้งเรื่องความจำเป็นในภารกิจและ iPhone 7 ที่ใช้งานมากกว่า 6 ปี เริ่มชำรุด เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ แต่บุคคลที่จะได้โทรศัพท์ส่วนใหญ่กลับเป็นระดับผู้อำนวยการ อธิบดี ข้าราชการการเมือง ไปจนถึงรัฐมนตรี มีเงินเดือนสูง มีโทรศัพท์มือถือใช้กันอยู่แล้วทุกคน รัฐมนตรีและข้าราชการการเมืองทุกคน ก็ควรจะประกาศไม่รับโทรศัพท์เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี และหาทางลดจำนวนการจัดซื้อให้เหลือเท่าที่จำเป็น 

‘กรณ์’ ลงใต้ เปิดตัวผู้สมัครจังหวัดชุมพรทุกเขต เชื่อปักธงพรรคกล้าได้ เศรษฐกิจใต้เปลี่ยนแน่นอน

วันนี้ 26 พ.ย. 64 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค, นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค และ ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี ผู้อำนวยการพรรค พร้อมทีมงานพรรค เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร เพื่อเตรียมความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง โดยเปิดตัวแทนเขตผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 3 เขต ได้แก่ เขต 1 พ.ต.อ. ทศพล โชติคุตร์, เขต 2 ทนายลิขิต ศรีชาติ, เขต 3 ว่าที่ร.ต. เดชะวิชญ์ สิทธิจันทร์ 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้าได้วางตัวผู้สมัคร ส.ส. ไว้ครบทุกเขตก่อนจังหวัดอื่น เนื่องจากมั่นใจว่าเป็นจังหวัดที่พรรคจะสามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเมืองในภาคใต้ได้ และว่าที่ผู้สมัครทุกคนก็ทำงานในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่เขต 1 หาก กกต. ประกาศให้มีการเลือกตั้งซ่อม แทนตำแหน่งที่ว่างลง เราก็พร้อมที่จะส่งผู้สมัครลงชิงชัยในทันที 

‘พรรคกล้า’ ติง!! รัฐสลายชุมนุม ‘จะนะรักษ์ถิ่น’ แม้อ้างทำตามกฎหมาย แต่ไม่มีหัวใจ

‘โฆษกพรรคกล้า’ ชี้!! เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม ‘จะนะรักษ์ถิ่น’ แม้อ้างทำตามกฎหมาย แต่ไม่มีหัวใจ ย้ำ!! เจ้าหน้าที่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างเหมาะสม ถึงเวลาแก้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ คุ้มครองสิทธิผู้ชุมนุม 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (คฝ.) สลายการชุมนุมเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น หน้าประตู 1 ทำเนียบรัฐบาลเมื่อคืนนี้ว่า แม้โฆษกรัฐบาลบอกว่าเจ้าหน้าที่ทำตามหน้าที่ ส่วน บช.น. พยายามให้เหตุผลว่าชาวบ้านผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีวัตถุประสงค์เพื่อยับยั้งการระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 แทนที่เจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนอย่างเหมาะสม แต่กลับเลือกที่จะบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมตัวประชาชนที่มาชุมนุมเพราะความเดือดร้อนจากโครงการของรัฐ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top