Saturday, 7 June 2025
ปราชญ์สามสี

จากเศรษฐกิจพอเพียงของ ร.9 สู่ ‘ลากอม - สวีเดน บทเรียนแห่งความพอดีของโลกตะวันออกและตะวันตก

(27 ม.ค. 68) ในปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ชอบแอบอ้างแนวคิดสังคมนิยมของสวีเดนมาใช้เป็นเครื่องมือทางวาทกรรม โดยกล่าวหาว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นสิ่งที่ไม่ทันสมัยและไม่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมยุคใหม่ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาเลือกจะมองข้าม คือรากฐานสำคัญของสวีเดนเองที่สะท้อนความพอเพียงอย่างชัดเจนผ่านแนวคิด "ลากอม" (Lagom) ซึ่งสอดคล้องอย่างมากกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ลากอม : พื้นฐานของความสมดุลในสังคมสวีเดน
"ลากอม" เป็นวิถีชีวิตของชาวสวีเดนที่มุ่งเน้นความพอดีในทุกด้าน ไม่มากไป ไม่น้อยไป ซึ่งถือเป็นหัวใจของความสำเร็จในระบบสังคมนิยมของสวีเดนเอง แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการกระจายความมั่งคั่ง แต่ยังรวมถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและสิ่งแวดล้อม

คำว่า "ลากอม" (Lagom) มีรากฐานทางภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมแนวคิดนี้จึงฝังรากลึกในชีวิตของชาวสวีเดนมาตั้งแต่โบราณ

รากของคำว่า "ลากอม" ต้นกำเนิดจากภาษาสวีเดนโบราณ คำว่า "ลากอม" มาจากคำว่า “laget om” ในภาษาสวีเดนยุคเก่า ซึ่งหมายถึง "รอบวง" หรือ "แบ่งปันในกลุ่ม" แนวคิดนี้เกิดจากประเพณีการแบ่งปันทรัพยากรในสังคมยุคก่อน เช่น เมื่อสมาชิกในชุมชนดื่มจากแก้วเดียวกัน ทุกคนจะต้องดื่มในปริมาณที่พอดี เพื่อให้ทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมและได้รับอย่างเท่าเทียม

วิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ในอดีต สวีเดนเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติและทรัพยากรอย่างจำกัด การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ การใช้ชีวิตแบบ "ลากอม" จึงเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น การเพาะปลูก การล่าสัตว์ และการเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้วิจารณญาณและความพอดี

รากฐานทางจิตวิญญาณและศาสนา แนวคิด "ลากอม" ยังมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดทางศาสนาคริสต์ในยุโรปเหนือ ซึ่งสอนเรื่องการหลีกเลี่ยงความโลภ (Greed) และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ชาวสวีเดนถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการสะสมทรัพย์สิน แต่คือการพอใจกับสิ่งที่ตนมี

การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ธรรมชาติที่รุนแรงในสวีเดน เช่น ฤดูหนาวอันยาวนาน ทำให้คนในอดีตต้องวางแผนการใช้ทรัพยากรและสร้างสมดุลในชีวิต การไม่ใช้เกินความจำเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

ลากอม : รากฐานในวัฒนธรรมร่วมสมัย
ในยุคปัจจุบัน แนวคิดลากอมยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมสวีเดน โดยสะท้อนผ่านหลายด้านของชีวิต เช่น:

การออกแบบ (Design): สไตล์สแกนดิเนเวียนที่เรียบง่าย เน้นความพอดีและประโยชน์ใช้สอย
การทำงาน: วัฒนธรรมองค์กรในสวีเดนให้ความสำคัญกับการมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
การบริโภค: การลดการใช้ทรัพยากรอย่างไม่จำเป็น และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
บทเรียนจากรากของลากอม สิ่งที่ลากอมสอนเราไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตแบบพอประมาณ แต่ยังสอนเรื่อง การคำนึงถึงผู้อื่นและส่วนรวม ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของการสร้างสังคมที่สมดุลและยั่งยืน การแบ่งปัน การใช้ชีวิตอย่างมีสติ และการเคารพทรัพยากรธรรมชาติ เป็นหัวใจของแนวคิดที่ช่วยให้ชาวสวีเดนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

ดังนั้น "ลากอม" ไม่ใช่แค่คำพูดหรือแนวคิดในตำรา แต่คือการปฏิบัติจริงที่เชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสร้างชีวิตที่สมดุลและยั่งยืนทั้งในระดับบุคคลและสังคมโดยรวม

ตัวอย่างของลากอมในชีวิตประจำวันของชาวสวีเดน ได้แก่:

การบริโภคอย่างยั่งยืน : ชาวสวีเดนมุ่งเน้นการซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและลดของเสีย
การทำงานสมดุลกับชีวิตส่วนตัว : มีการจัดเวลาเพื่อครอบครัวและสุขภาพจิต
ความรับผิดชอบต่อสังคม : ช่วยเหลือเพื่อนบ้านและสนับสนุนการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจพอเพียงและลากอม : เส้นทางที่มาบรรจบกัน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความคล้ายคลึงกับลากอมในหลายแง่มุม โดยเน้นการพึ่งพาตนเอง การวางแผนชีวิตที่ไม่เกินตัว และการสร้างความสมดุลในชีวิตและธรรมชาติ ความแตกต่างอยู่ที่เศรษฐกิจพอเพียงมีรากฐานจากสังคมเกษตรกรรมและการพัฒนาชุมชน ขณะที่ลากอมเน้นบริบทของสังคมเมืองที่พัฒนาแล้ว แต่ทั้งสองแนวคิดล้วนยึดหลักการเดียวกัน: ความพอดีเพื่อความยั่งยืน

คำเตือน : การบิดเบือนข้อเท็จจริง
สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่บางกลุ่มพยายามแอบอ้างสวีเดนในแง่ของสังคมนิยม โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อโจมตีเศรษฐกิจพอเพียง พวกเขาเลือกเน้นเฉพาะเรื่องของรัฐสวัสดิการ แต่กลับละเลยว่าความสำเร็จของสวีเดนนั้นมีรากฐานจากแนวคิดลากอมซึ่งส่งเสริมความพอเพียงในระดับปัจเจก

การละเลยลากอมในวาทกรรมนี้จึงเป็นการมองสวีเดนเพียงด้านเดียว โดยไม่เข้าใจว่าความยั่งยืนของประเทศนี้ไม่ได้มาจากการแจกจ่ายทรัพยากรเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนรู้จักพอประมาณในทุกด้าน

บทสรุป
การยกเอาสวีเดนเป็นตัวอย่างในเรื่องระบบสังคมนิยม จำเป็นต้องเข้าใจถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสวีเดน ซึ่งสะท้อนผ่านแนวคิดลากอม แนวคิดนี้ไม่ได้ต่างจากเศรษฐกิจพอเพียงของไทยในแก่นแท้ หากเราเปิดใจเรียนรู้และมองสิ่งเหล่านี้อย่างสมดุล จะพบว่าทั้งสองแนวคิดล้วนชี้ให้เราเห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างพอดีและรับผิดชอบ

"ความพอเพียงไม่ได้ถูกผูกขาดโดยชนชั้นหรือชาติใด แต่คือความจริงที่ทุกสังคมควรเรียนรู้และยึดถือร่วมกัน"

ในหลวง เสด็จฯ เชียงใหม่ ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา สะท้อนสัมพันธ์แนบแน่นสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

รู้หรือไม่? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา ในการเสด็จประพาสเชียงใหม่

การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปยังจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการพระราชกิจและการสืบสานประเพณีสำคัญของชาติ ทั้งยังตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

พิธีบายศรีทูลพระขวัญ: การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของเจ้านายฝ่ายเหนือ

หนึ่งในจุดเด่นของการเสด็จฯ ครั้งนี้คือพิธีบายศรีทูลพระขวัญ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่เจ้านายฝ่ายเหนือจัดขึ้นอย่างวิจิตรเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์ พิธีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของล้านนา แต่ยังแสดงถึงความจงรักภักดีและความผูกพันของเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชาติ

พิธีบายศรีที่จัดขึ้นครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งนำขบวนรำบายศรีด้วยความสง่างาม สื่อถึงบทบาทอันสำคัญของเจ้านายฝ่ายเหนือในฐานะผู้สืบทอดประเพณีและตัวแทนความภาคภูมิใจของล้านนา การรำบายศรีไม่เพียงเป็นการต้อนรับพระมหากษัตริย์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สืบทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน เจ้าวงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ ประมุขสายสกุล ณ เชียงใหม่ และเจ้าอาวรเทวี ณ ลำพูน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ผูกข้อพระหัตถ์ขวาและซ้ายในหลวงและพระราชินี

บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และล้านนา
เหตุการณ์นี้ชวนให้นึกถึงการเสด็จประพาสเชียงใหม่ในอดีต เช่น รัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งพระองค์ได้รับการต้อนรับด้วยขบวนช้างจำนวน 80 เชือกที่ตกแต่งอย่างวิจิตร พร้อมการแสดงรำและดนตรีพื้นบ้านล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือในเวลานั้นได้มีบทบาทสำคัญในการต้อนรับและแสดงความจงรักภักดีแด่พระมหากษัตริย์แต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

ความสำคัญของการจัดการประเพณีที่ยั่งยืน การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการกิจกรรมและประเพณีอย่างยั่งยืน ไม่เพียงเพื่อธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา แต่ยังตอกย้ำถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างเจ้านายฝ่ายเหนือกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นของชาติ

ดังนั้น การเสด็จประพาสเชียงใหม่ครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสืบสานประเพณีและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่มีมายาวนาน ทั้งในด้านวัฒนธรรม ความจงรักภักดี และการบริหารจัดการกิจกรรมสำคัญของชาติ

เมื่อ ‘รัฐบาลญี่ปุ่น’ ฉุนขาด ส่งตัดงบช่วยเหลือองค์กรสิทธิสตรี UN หลังแนะยกเลิกกฎสืบทอดราชสมบัติ ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น

อยู่ ๆ องค์กรสิทธิสตรีก็ไป 'เสือก' เรื่องสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นซะงั้น... งานนี้มีคำว่า " UN ไม่ใช่พ่อ!" แน่ ๆ เอาจริง ๆ นะ สำหรับข้าพเจ้า งานนี้ดูเป็น case study ได้เลย

รัฐบาลญี่ปุ่นโต้เดือด! ไม่แก้กฎสืบราชบัลลังก์ แม้ CEDAW กดดัน

โตเกียว, 29 มกราคม – รัฐบาลญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ตอบโต้คณะกรรมการเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (CEDAW) อย่างแข็งกร้าว หลังจาก CEDAW แนะนำให้ญี่ปุ่นแก้ไขกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดให้การสืบราชสมบัติเป็นสิทธิของฝ่ายชายเท่านั้น

คำแนะนำดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดย CEDAW เห็นว่ากฎเกณฑ์นี้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและขัดกับหลักความเสมอภาค อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่ากระบวนการสืบราชสมบัติไม่ใช่สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และถือเป็นเรื่องพื้นฐานทางวัฒนธรรมของประเทศที่องค์กรระหว่างประเทศไม่ควรแทรกแซง

"คุณสมบัติในการขึ้นครองราชย์ไม่ได้รวมอยู่ในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้น การจำกัดการสืบราชสมบัติให้เฉพาะฝ่ายชายจึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี" รัฐบาลญี่ปุ่นระบุในแถลงการณ์ พร้อมเน้นย้ำว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์และความต่อเนื่องของสถาบันจักรพรรดิญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเรียกร้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ซึ่งเป็นองค์กรดูแล CEDAW ให้ "ไม่ให้นำเงินที่ญี่ปุ่นบริจาคไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW" พร้อมทั้งยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นของคณะกรรมการดังกล่าวในปีนี้

ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นบริจาคเงินให้ OHCHR ปีละประมาณ 20-30 ล้านเยน (ราว 4.8-7.2 ล้านบาท) ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ผ่านมาไม่เคยถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW อย่างไรก็ตาม การที่ญี่ปุ่นระบุเงื่อนไขไม่ให้ใช้เงินบริจาคในกิจกรรมเฉพาะด้านของสหประชาชาติถือเป็นท่าทีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การตอบโต้ครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุดของญี่ปุ่นต่อองค์กรระหว่างประเทศ ท่ามกลางกระแสถกเถียงภายในประเทศเกี่ยวกับอนาคตของระบบสืบราชสมบัติ เนื่องจากปัจจุบัน สมาชิกราชวงศ์ฝ่ายชายที่สามารถสืบราชสมบัติมีจำนวนน้อยลง ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของสถาบันจักรพรรดิในระยะยาว

แม้จะมีแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจอธิปไตยภายในของประเทศ และจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎมณเฑียรบาลในเร็ว ๆ นี้

อ้างอิง:
NHK News (29 มกราคม 2025)
https://www3.nhk.or.jp/.../20250129/k10014707141000.html...

ศึกใหญ่ของ ‘อีลอน มัสก์’ กับ ปฏิบัติการขุดรากถอนโคน USAID องค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือก่อการร้ายของรัฐบาลเงา?

(4 ก.พ. 68) เกิดอะไรขึ้นในอเมริกา? เมื่อ Elon Musk เปิดฉากไล่ล่า USAID

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและนโยบายต่างประเทศไปตลอดกาล เมื่อ Elon Musk ประกาศสงครามกับ USAID (United States Agency for International Development) องค์กรที่มีงบประมาณมหาศาลและถูกกล่าวหาว่าเป็น เครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย และมีส่วนพัวพันกับการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย

USAID คือใคร? ทำไมถึงถูกโจมตีว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย?

USAID ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดย John F. Kennedy โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศยากจน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา USAID ถูกกล่าวหาว่ากลายเป็นแขนขาของอำนาจเงาภายในรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ใช้เงินภาษีของประชาชน แทรกแซงการเมืองโลก, สนับสนุนการล้มรัฐบาล และส่งเสริมแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่ง

มีรายงานว่า USAID ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่เกี่ยวข้องกับขบวนการปฏิวัติสี (Color Revolutions) ในประเทศต่างๆ เช่น อาหรับสปริง, ยูเครน, เวเนซุเอลา และแม้แต่กลุ่มเคลื่อนไหวในฮ่องกง

ที่ร้ายแรงกว่านั้น Middle East Forum (MEF) ได้เปิดเผยว่า USAID อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งผ่านเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ไปยังกลุ่มที่เชื่อมโยงกับก่อการร้าย เช่น Hamas และองค์กรหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง

คำถามคือ ถ้าข้อมูลนี้เป็นจริง เงินภาษีของชาวอเมริกันกำลังถูกใช้เพื่อสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่โจมตีพันธมิตรของอเมริกาเองหรือไม่?

Musk กับปฏิบัติการปิดฉาก USAID – การรื้อถอนรัฐลึก?

Musk ในฐานะหัวหน้าของ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยทรัมป์ กำลังไล่ล่าหลักฐานที่ชี้ว่า USAID เป็นแหล่งเงินทุนขององค์กรหัวรุนแรงและเครือข่าย NGOs ฝ่ายซ้ายสุดโต่ง

การเข้ายึดอำนาจของ USAID เริ่มต้นเมื่อทีมของ Musk พยายามเข้าไปตรวจสอบเอกสารลับใน SCIF (Sensitive Compartmented Information Facility) ซึ่งเป็นห้องข้อมูลลับสุดยอดของหน่วยงาน แต่ถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ USAID

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ การปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูงของ USAID สองคนออกจากตำแหน่งทันที ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า USAID กำลังปกปิดอะไรอยู่?

Musk กล่าวว่า

> “ผมได้หารือกับทรัมป์อย่างละเอียด และเขาเห็นพ้องว่าควรปิดมันลง ผมเช็คกับเขาหลายครั้ง และเขาก็ยืนยันคำตอบเดิม”

> “USAID คือกองทัพหนอน ไม่มีแอปเปิลอยู่เลย มันต้องถูกกำจัด”

Musk ย้ำว่าการปิด USAID ไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพการใช้เงิน แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ

USAID ถูกปิดตาย – เกมอำนาจของ Musk และ Trump?

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการบุกเข้าไปของ DOGE เว็บไซต์ของ USAID และบัญชี X ขององค์กรก็ถูกลบออกจากระบบ

นี่หมายความว่าอะไรกันแน่?

1. USAID ถูกยุบอย่างเป็นทางการ? หรือเป็นเพียงการ “รีแบรนด์” เพื่อให้เข้ากับนโยบายของทรัมป์?

2. มีเอกสารอะไรอยู่ใน SCIF? และทำไม USAID ถึงปฏิเสธไม่ให้ Musk เข้าไปตรวจสอบ?

3. เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ USAID ลาออกกันเป็นจำนวนมาก นี่คือสัญญาณของการล่มสลายของเครือข่าย NGOs ฝ่ายซ้ายหรือไม่?

การที่ USAID ถูกปิดตัวลงโดยคำสั่งของทรัมป์ และได้รับการผลักดันโดย Musk แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารชุดนี้กำลังจัดการกับองค์กรที่พวกเขามองว่าเป็นภัยต่ออเมริกา

Musk กำลังทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ?

ในอดีต มีข้อกล่าวหามากมายว่า USAID และ NGOs ในเครือ ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อแทรกแซงประเทศอื่น และสนับสนุนขบวนการที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง

แต่ ไม่มีใครเคยกล้าจัดการกับพวกเขาอย่างจริงจัง

Musk อาจเป็น คนแรกที่กล้าเผชิญหน้ากับเครือข่ายนี้ และเปิดโปงความจริงที่ถูกปกปิดมานาน

คำถามสำคัญคือ Musk กำลังเป็นฮีโร่ที่กำจัดองค์กรที่ทุจริต หรือเขากำลังกลายเป็นผู้ควบคุมอำนาจของรัฐลึกแทน?

อนาคตของ USAID และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร?

หาก USAID ถูกปิดจริง อเมริกาจะยังสามารถคงบทบาทการเป็นมหาอำนาจโลกได้หรือไม่?

1. นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการแทรกแซงผ่าน NGOs ไปสู่การใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจแทน

2. ประเทศที่เคยพึ่งพาเงินทุนจาก USAID เช่น ยูเครน และไต้หวัน อาจได้รับผลกระทบหนัก

3. NGOs ฝ่ายซ้ายทั่วโลกอาจสูญเสียแหล่งเงินสนับสนุนหลัก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศ

บทสรุป: Musk คือชายที่กำลังเปลี่ยนโลก?

สิ่งที่ Musk กำลังทำ อาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นช่วงเวลาที่อำนาจของรัฐลึกถูกท้าทายอย่างแท้จริง

หาก Musk ทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นบุคคลที่เปิดโปงเครือข่าย NGOs ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

หากเขาล้มเหลว เขาอาจถูกโจมตีจากกลุ่มอำนาจที่มองว่าเขากำลังทำลายกลไกสำคัญของรัฐ

นี่เป็นสงครามของ Musk และทรัมป์กับเครือข่ายรัฐเงาจริงหรือไม่? หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เกมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21?

‘อีลอน มัสก์’ เปิดศึก ‘โซรอส – Deep State’ หลังแฉตระกูลโซรอสใช้เงินปั่นการเมืองทั่วโลกรวมถึงไทย

หรือว่า!? Elon Musk เดินหน้าชน! เปิดศึกตระกูลโซรอส – เผยเครือข่ายทุนที่เชื่อมโยงถึงไทย 

'Yeah.' คำสั้น ๆ จาก Elon Musk ที่เหมือนเป็นเพียงการตอบโพสต์ของ Mario Nawfal แต่อาจเป็นสัญญาณเปิดฉากศึกใหญ่ ระหว่างเขากับ Deep State ที่มี George Soros และเครือข่าย Open Society Foundations (OSF) อยู่เบื้องหลัง

โพสต์ที่ Musk ตอบนั้นเปิดโปงว่า Soros และลูกชาย Alex Soros ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพวกเขาสามารถ ควบคุมการเมืองจากเบื้องหลัง ผ่านการให้ทุนสนับสนุนพรรคการเมือง นักกฎหมาย สื่อมวลชน และ NGO ทั่วโลก

Soros กับบทบาทการปั่นเกมการเมืองทั่วโลก

George Soros คือเจ้าพ่อกองทุนที่ใช้ Open Society Foundations เป็นเครื่องมือสำคัญในการแทรกแซงการเมืองระดับโลก ตั้งแต่ Color Revolutions (ปฏิวัติเสื้อสี) ในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ไปจนถึงการสนับสนุนอัยการ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวสายซ้ายในสหรัฐฯ

อิทธิพลของ Soros ที่แทรกซึมเข้าไทย โซรอสมีบทบาทในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ที่ค่าเงินบาทถูกโจมตีโดยกองทุนเก็งกำไร ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย การสนับสนุนเครือข่าย NGO และสื่อที่มีแนวทางเสรีนิยมสุดโต่ง Color Revolution ฉบับไทย ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว เพื่อต่อต้านมาตรา 112 และพยายามเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติ

Prachatai: เครื่องมือของ Soros ในไทย?

หนึ่งในองค์กรที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคือ Prachatai (ประชาไท) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส มาอย่างต่อเนื่อง

หลักฐานที่เชื่อมโยง Prachatai กับ Soros
การสนับสนุนทางการเงินจาก OSF ต่อ Prachatai ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการเปิดโปงผ่าน การแฮ็กฐานข้อมูลของ OSF โดยเว็บไซต์ DCLeaks ซึ่งพบว่ามีเงินไหลเข้ามาสนับสนุนประชาไทมากถึง 1.7 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2548

เรื่องนี้ถูกขยายความโดย เทพชัย หย่อง อดีตบรรณาธิการเครือเนชั่น ที่รายงานเรื่องนี้ผ่าน The Nation พร้อมย้ำว่า Prachatai ยอมรับว่าได้รับเงินจาก Soros แต่ปฏิเสธว่าเงินนี้ไม่มีผลต่อแนวทางการนำเสนอข่าว

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Prachatai มักมีแนวทางที่กระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ และเน้นสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว ซึ่งอยู่ในแนวทางเดียวกับขบวนการที่ Open Society สนับสนุนทั่วโลก

อ้างอิง 
https://www.bangkokbiznews.com/news/714023#google_vignette
https://www.nationtv.tv/news/378513810#google_vignette

Deep State และการแทรกแซงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อีกประเด็นที่สำคัญคือ การแทรกแซงของเครือข่ายทุน Soros ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ Soros และองค์กรเครือข่ายของเขา ให้ทุนสนับสนุนกลุ่ม NGO ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายครั้งถูกตั้งคำถามว่า ให้ความชอบธรรมกับกลุ่มที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐ มากกว่าที่จะสนับสนุนความมั่นคงของประเทศ

แนวทางของ NGO ที่ได้รับทุนจาก OSF มักเน้นไปที่ การลดบทบาทของรัฐไทย ในพื้นที่ชายแดน ขณะที่เปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มที่มีแนวคิดแยกตัว โดยใช้วาทกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือ

Elon Musk: คู่ต่อกรตัวจริงของ Soros และ Deep State
Musk ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเทคโนโลยี แต่กำลังกลายเป็น ศัตรูตัวฉกาจของเครือข่ายทุนโลกาภิวัตน์ เขาเคยแฉว่า Soros ต้องการทำลายอารยธรรมตะวันตก เขายกเลิกโครงการของ USAID ซึ่งเป็นแขนขวาของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงต่างประเทศ

ล่าสุดเขาเปิดโปง เครือข่าย Open Society Foundations และนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับ Alex Soros

Deep State กำลังถูกเปิดโปง – ศึกนี้จะลงเอยอย่างไร?
นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองของสหรัฐฯ แต่เป็นการต่อสู้ระดับโลก เครือข่ายทุนเงา ที่เคยกำหนดทิศทางของประเทศต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อกรที่ท้าทายอำนาจของพวกเขาโดยตรง สิ่งที่คนไทยควรจับตามองคือ NGO และสื่อในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส กำลัง ปั่นกระแสอะไร และ สร้างวาทกรรมอะไร ในสังคม ศึกนี้ยังไม่จบ และ Elon Musk กำลังเข้าสู่บอสไฟต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!

‘อีลอน มัสก์’ หั่นอิทธิพล Deep State สหรัฐฯ ปฏิบัติการรุกหนักเปลี่ยนเกมข้อมูลสู่ยุคใหม่

อีลอน มัสก์ จุดกระแสร้อนแรงอีกครั้ง หลังออกมาสนับสนุนให้ปิด Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) ซึ่งเป็นสองสื่อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมัสก์ให้เหตุผลว่า "ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ใช้งบภาษีไปปีละ 1 พันล้านดอลลาร์แบบไร้เหตุผล"

เรื่องนี้เริ่มจากโพสต์ของ ริชาร์ด เกรเนลล์ (Richard Grenell) อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติยุครัฐบาลทรัมป์ ที่โจมตี RFE/RL และ VOA ว่า "เป็นเครื่องมือของ Deep State เต็มไปด้วยอคติทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย" ซึ่งมัสก์ตอบกลับทันทีว่า "ถูกต้อง ควรปิดมันไปเลย"

RFE/RL - VOA: เครื่องมือ Deep State ที่มัสก์ต้องการโค่น ต้องเข้าใจก่อนว่า RFE/RL และ VOA ไม่ใช่แค่สื่อธรรมดา แต่มันคือ 'กระบอกเสียง' ของ Deep State สหรัฐฯ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแทรกแซงต่างประเทศมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

RFE/RL ก่อตั้งในปี 1950 เพื่อเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลอเมริกัน ในการต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

VOA ก่อตั้งในปี 1942 เพื่อตอบโต้โฆษณาชวนเชื่อของนาซีเยอรมนี และต่อมาได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้แทรกแซงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

ทั้งสององค์กรนี้ ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลกลาง และอยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ Deep State ใช้ควบคุมวาระข่าวสารระดับโลก

แม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปแล้ว แต่สื่อเหล่านี้ยังคงอยู่ เพราะ Deep State ยังต้องการมีเครื่องมือที่ใช้ควบคุมข้อมูลในเวทีระหว่างประเทศ

การโค่น USAGM: ภารกิจหินที่แม้แต่ทรัมป์ยังทำไม่สำเร็จ
การจะล้มองค์กรที่อยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยมีอำนาจเต็มมือ ก็ยังไม่สามารถรื้อถอนมันได้

ทรัมป์เคยพยายามปรับโครงสร้าง USAGM ในสมัยดำรงตำแหน่ง โดยแต่งตั้ง Michael Pack เป็นผู้อำนวยการ USAGM และออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนที่ควบคุมสื่อเหล่านี้ แต่สุดท้าย Pack กลับถูกเล่นงานจากภายใน และถูก Joe Biden ปลดออกหลังเข้ารับตำแหน่ง

การล้ม USAGM เป็นมากกว่าการปิดหน่วยงานรัฐ แต่มันหมายถึงการรื้อถอนเครื่องมือหลักของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงโลกมาเกือบศตวรรษ นี่เป็นงานใหญ่ที่ต้องเผชิญแรงต้านมหาศาลจากนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และเครือข่าย Deep State ภายในรัฐบาลเอง

มัสก์อาจมีอำนาจทางเทคโนโลยีและเงินทุน แต่เขาไม่มีอำนาจรัฐ ต่างจากทรัมป์ที่เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น การผลักดันให้ปิด RFE/RL และ VOA อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามใหญ่ที่รออยู่

มัสก์กำลังลดอิทธิพล Deep State และเปลี่ยนมืออำนาจสื่อ
สิ่งที่มัสก์ทำ ไม่ใช่แค่เรื่อง 'ภาษีประชาชน' แต่มันคือ การล้างไพ่กระดานข่าวสารระดับโลก และตัดแขนตัดขาของกลุ่ม Deep State อเมริกัน

1. Deep State สูญเสียเครื่องมือสำคัญ – สื่อของรัฐบาลอเมริกันเหล่านี้ เคยเป็นช่องทางหลักในการแทรกแซงข่าวสารของประเทศอื่นๆ หากปิดตัวลง Deep State จะสูญเสียอำนาจทางข้อมูลขนาดใหญ่

2. แพลตฟอร์มใหม่จะขึ้นมาครองเวที – มัสก์เองถือครอง X (Twitter) ซึ่งกำลังกลายเป็นแหล่งข่าวหลักของประชาชนทั่วโลก นี่อาจเป็นหมากสำคัญของเขาในการเปลี่ยนอำนาจจากสื่อดั้งเดิมมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์

3. สหรัฐฯ ยุคใหม่อาจไม่มี Deep State คุมเกมข่าวสาร – มัสก์ไม่ใช่แค่กำลังเปลี่ยนมือสื่อ แต่เขากำลังผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบ Deep State ในการครอบงำข้อมูลอีกต่อไป

ไทยต้องเรียนรู้อะไรจากเกมนี้?
สิ่งที่มัสก์กำลังทำ สะท้อนให้เห็นว่า อเมริกาไม่ได้แค่กำลังลดบทบาทของสื่อเก่า แต่มันคือสัญญาณของ 'การเปลี่ยนอำนาจ' ภายในสหรัฐฯ เอง

1. Deep State ไม่เคยถอนกำลัง เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการ – ตั้งแต่สงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ใช้เครื่องมือสื่อและข้อมูลเพื่อแทรกแซงประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด แม้ RFE/RL และ VOA จะถูกปิด แต่พวกเขาจะหาทางใช้ช่องทางอื่นแทน

2. อเมริกาจะยังแทรกแซงไทย แต่เปลี่ยนรูปแบบ – อย่าคิดว่าอเมริกาจะเลิกสนใจไทย เพียงเพราะพวกเขาปิดสื่อแบบเดิม ในอนาคต การแทรกแซงอาจมาในรูปแบบแพลตฟอร์มโซเชียล อินฟลูเอนเซอร์ หรือ AI แทน

3. ไทยต้องหยุดมองโลกสวย – อเมริกาไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อ 'ลดอำนาจ' ของตัวเอง แต่เป็น การเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เราต้องตามเกมให้ทัน

อเมริกายุคใหม่: ใครควบคุมข้อมูล ใครกำหนดวาระโลก?
อย่าคิดว่าการปิด RFE/RL และ VOA เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่นี่คือ 'การเปลี่ยนเกมข้อมูลระดับโลก' Deep State กำลังถูกท้าทาย และพยายามปรับตัว

มัสก์กำลังสร้างระบบข่าวสารใหม่ ที่อาจอยู่ในมือของแพลตฟอร์มเอกชน
สหรัฐฯ จะยังมีบทบาทในโลก แต่ในรูปแบบใหม่

สุดท้ายแล้ว การควบคุมข้อมูลข่าวสารยังคงเป็นอำนาจสำคัญของโลกยุคปัจจุบัน อเมริกาอาจลดบทบาท Deep State แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะเลิกควบคุมข้อมูล เพียงแต่ มือที่ถือไพ่ อาจเปลี่ยนไปอยู่ในกลุ่มคนที่พร้อมเล่นเกมใหม่แทน

ถึงเวลากางบัญชี ‘มหาวิทยาลัย’ ตรวจสอบ เงินภาษีเพื่อการศึกษาหรือเครื่องมือปลูกฝังแนวคิดเปลี่ยนโลก?

(17 ก.พ. 68) มหาวิทยาลัยควรเป็นสถานที่ของความรู้ หรือกำลังกลายเป็นเครื่องมือของใครบางคน? คำถามนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด เมื่อการใช้เงินภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในภาคการศึกษา รวมถึงเงินทุนจากภาคเอกชนระดับโลก เช่น Open Society Foundations ของ George Soros ถูกตั้งคำถามว่ามีเป้าหมายเพียงเพื่อพัฒนาการศึกษา หรือเป็นเครื่องมือในการควบคุมความคิดของคนรุ่นใหม่กันแน่

Calley Means เปิดประเด็น! มหาวิทยาลัยใช้งบประมาณไปกับอะไร?
Calley Means ได้ปลุกกระแสในโซเชียลมีเดีย โดยตั้งข้อสังเกตว่า เงินภาษีที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ได้รับจากรัฐบาลกลาง ถูกใช้ไปในทางที่ไร้ประโยชน์หรือไม่? โพสต์ของเขาระบุว่า

> "ถ้าคุณคิดว่า USAID แย่แล้ว รอจนกว่าคุณจะเห็นว่ามหาวิทยาลัยใช้เงินภาษีของรัฐบาลกลางเป็นพันล้านดอลลาร์กันอย่างไร เปิดบัญชีตรวจสอบกันเถอะ!"

โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นไวรัลทันที เพราะ USAID เองก็เคยถูกวิจารณ์ว่าใช้งบประมาณสนับสนุนโครงการต่างประเทศที่ถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และตอนนี้มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ก็กำลังถูกเพ่งเล็งในลักษณะเดียวกัน

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เงินทุนของ Soros ผ่าน Open Society Foundations (OSF) ก็ถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทสำคัญในการแทรกแซงการศึกษา โดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เกิดความไม่สงบ

มหาวิทยาลัย: จุดยุทธศาสตร์ของสงครามความคิด?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรปถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า กลายเป็นศูนย์กลางของแนวคิดที่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคม มากกว่าที่จะเป็นสถานศึกษาที่ให้ความรู้เป็นกลาง แนวคิดเสรีนิยมแบบสุดโต่ง และการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น วาระเกี่ยวกับ LGBTQ+ ความเท่าเทียมทางเพศ และทัศนคติต่อต้านโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิม มักได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้

> คำถามคือ แนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเอง หรือได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากแหล่งทุนที่มีวาระซ่อนเร้น?
รายงานหลายฉบับระบุว่า Open Society Foundations ของ Soros ได้ให้ทุนสนับสนุนมหาวิทยาลัยและองค์กรเยาวชนในหลายประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย แต่ฝ่ายตรงข้ามมองว่านี่เป็น กลไกในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

งบประมาณเพื่อการศึกษาหรือเพื่อควบคุมเยาวชน?
หากย้อนดูตัวเลขงบประมาณในภาคการศึกษาของสหรัฐฯ จะพบว่า รัฐบาลอเมริกันจัดสรรงบประมาณมหาศาลให้กับมหาวิทยาลัย ขณะที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้รับเงินสนับสนุนจากแหล่งทุนเอกชนด้วย

> แล้วเงินเหล่านี้ถูกใช้ไปเพื่ออะไร?
ไปกับค่าจ้างอาจารย์และนักวิจัย หรือไปกับโครงการที่สนับสนุนแนวคิดเฉพาะกลุ่ม?
ไปกับการพัฒนาหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างทักษะให้เยาวชน หรือไปกับโครงการรณรงค์ทางการเมือง?
ถูกใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา หรือเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม?

ประเทศไทยอยู่ตรงไหน?
แม้ประเด็นนี้จะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ แต่ไทยก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากปัญหานี้เช่นกัน มีรายงานว่า องค์กรนานาชาติเหล่านี้เคยให้ทุนสนับสนุนโครงการในไทย ทั้งด้านสิทธิมนุษยชนและการศึกษา บางครั้งก็มีการสนับสนุนบุคคลและกลุ่มที่มีท่าทีต่อต้านโครงสร้างเดิมของประเทศ

> ดังนั้น คำถามสำคัญสำหรับไทยคือ "เงินทุนเหล่านี้กำลังช่วยพัฒนาการศึกษา หรือกำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเยาวชนให้สอดคล้องกับวาระของต่างชาติ?"

ถึงเวลาที่ต้องเปิดบัญชีตรวจสอบ!
ขณะที่สังคมกำลังให้ความสนใจเรื่องการใช้งบประมาณในภาครัฐ การตรวจสอบเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ระบบการศึกษาก็ควรเป็นเรื่องเร่งด่วนเช่นกัน

> มหาวิทยาลัยคือสถานที่แห่งความรู้ หรือเป็นเวทีของการต่อสู้ทางความคิดที่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง?
นี่คือคำถามที่สังคมต้องช่วยกันหาคำตอบ

‘Amnesty’ ทำตัวเป็นนักบุญ แต่ตรรกะพังยับ ถามกลับหากไม่ส่ง ‘อุยกูร์’ กลับมาตุภูมิ จะให้ส่งไปไหน?

อุยกูร์กำเนิดที่ไหน? และตรรกะบิดเบือนของ Amnesty ที่พยายามเปลี่ยนข้อเท็จจริงให้เป็นอาชญากรรม

ถ้าพูดกันตามประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ชาวอุยกูร์ไม่ใช่ชนเผ่าหลงทาง พวกเขามีบ้าน มีถิ่นกำเนิด และที่สำคัญคือ บ้านของพวกเขาอยู่ในจีน ไม่ใช่อเมริกา ไม่ใช่ยุโรป และไม่ใช่ 'แดนศิวิไลซ์แห่งสิทธิมนุษยชน' ที่พวก NGO ตะวันตกชอบปั้นแต่งขึ้นมา

อุยกูร์: ชาติพันธุ์ที่มีรากฝังแน่นในดินแดนจีน

ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ อุยกูร์เป็นชนเผ่าที่ตั้งรกรากอยู่ในซินเจียงมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดินแดนนี้เป็นศูนย์กลางของเส้นทางสายไหม เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอารยธรรมจีน เปอร์เซีย อาหรับ และยุโรปตะวันออก อุยกูร์มีภาษา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของตัวเองก็จริง แต่ดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็เป็น ส่วนหนึ่งของจีนมาตลอด ตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง มาจนถึงยุคราชวงศ์ชิง

ดังนั้น ถ้าถามว่าอุยกูร์กำเนิดที่ไหน? คำตอบชัดเจน: ที่จีน

Amnesty กับตรรกะบิดเบือนเรื่องการส่งตัวอุยกูร์กลับจีน

เมื่อใดก็ตามที่มีการส่งตัวอุยกูร์กลับจีน Amnesty และ NGO ตะวันตกจะโวยวายทันทีว่ามันคือ 'การละเมิดสิทธิมนุษยชน' หรือแม้กระทั่ง 'การส่งไปตาย' พูดราวกับว่าจีนเป็นแดนมิคสัญญีที่ไม่มีใครควรกลับไปเหยียบอีก แต่ ถ้าชาวอุยกูร์ไม่กลับจีน แล้วจะให้พวกเขาไปไหน?

ไปยุโรป? อย่าหวังเลย ประเทศตะวันตกที่ชอบตะโกนเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่เคยเปิดประตูต้อนรับผู้อพยพอุยกูร์เป็นจำนวนมาก

ไปอเมริกา? เผลอ ๆ จะถูกปฏิเสธตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง

หรือ Amnesty อยากให้อุยกูร์ตั้งประเทศใหม่? ถ้าคิดแบบนี้ก็พูดมาตรง ๆ อย่าอ้อมค้อม เพราะนี่คือแนวคิดแบ่งแยกดินแดนโดยตรง

การส่งผู้ร้ายข้ามแดน: หลักการสากลที่ Amnesty แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

เรื่องที่ตลกร้ายคือ เมื่อเป็นเรื่องของอาชญากรจากประเทศอื่น ประเทศตะวันตกก็รีบส่งตัวกลับประเทศต้นทางทันทีโดยไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเป็นอุยกูร์ Amnesty กลับพยายามทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่การส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นหลักการสากลที่ทุกประเทศปฏิบัติตาม

ถ้าไม่ส่งกลับจีน แล้ว Amnesty จะให้ไปไหน? หรือพวกเขาต้องการให้คนเหล่านี้ลอยนวลไปอาศัยอยู่ที่อื่นโดยไม่มีการตรวจสอบ ทั้งที่บางคนอาจมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรง เช่น ETIM (East Turkestan Islamic Movement) ที่ถูกขึ้นบัญชีเป็นองค์กรก่อการร้ายจากหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ เอง

วัฒนธรรมอุยกูร์อยู่ในจีน: สัจธรรมที่ Amnesty ไม่อยากรับรู้ อุยกูร์ไม่ใช่ชนเผ่าไร้ราก พวกเขามีดินแดน มีบ้าน และบ้านของพวกเขาก็คือ จีน ศิลปะ อาหาร ดนตรี และการค้าขายของอุยกูร์เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมจีนมาหลายร้อยปี ลองไปเดินตลาดในคัชการ์ (Kashgar) แล้วจะเห็นว่าอุยกูร์ไม่ได้เป็นแค่กลุ่มชนที่แยกตัวจากสังคมจีน แต่พวกเขาคือ หนึ่งในสีสันของอารยธรรมจีน

ถ้าจีนเป็นบ้านของอุยกูร์ แล้วทำไมการส่งตัวกลับถึงเป็นปัญหา? นี่คือคำถามที่ Amnesty ไม่มีวันตอบได้ เพราะพวกเขาไม่ได้สนใจสิทธิมนุษยชนจริง ๆ พวกเขาสนแค่การใช้ 'สิทธิ' เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อโจมตีจีน

บทสรุป: Amnesty ทำตัวเป็นนักบุญ แต่ตรรกะพังยับ
สุดท้ายแล้ว ประเด็นเรื่องอุยกูร์ไม่ใช่เรื่องของ 'การละเมิดสิทธิ' อย่างที่ Amnesty พยายามยัดเยียดให้โลกเชื่อ แต่เป็นเรื่องของ การบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของจีน

ชาวอุยกูร์เกิดที่จีน โตที่จีน วัฒนธรรมของพวกเขาอยู่ในจีน และเมื่อพวกเขาถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดของพวกเขาเอง Amnesty กลับโวยวายเหมือนเป็นเรื่องผิดมหันต์ เอาให้ชัดก่อนว่าคุณกำลังปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือกำลังสร้างความแตกแยกกันแน่?

‘ประชาไท’ กับการแทรกแซงสถาบันฯ โดยไร้ความเข้าใจ อ้างทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่แท้จริงกลับแฝง ‘วาระซ่อนเร้น’

นับเป็นอีกครั้งที่ 'ประชาไท' ก้าวล้ำเส้นแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ จนกลายเป็นการแทรกแซงพระราชอำนาจอย่างไม่เหมาะสม ภายใต้หน้ากากสื่อเสรีนิยม ที่อ้างตนว่าทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่แท้จริงแล้วกลับละเมิดหลักการพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เสียเอง

กรณีการนำเสนอข่าวพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศทางทหารแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมตั้งข้อสงสัยถึงความถูกต้องชอบธรรม เพราะไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการนั้น เป็นตัวอย่างชัดเจนของความเขลาในกฎหมาย หรืออาจมากกว่านั้นคือเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นสู่การลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชอำนาจ

ในเมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้แบ่งแยกอำนาจไว้อย่างชัดเจนว่า 'ราชการแผ่นดิน' (government affair) ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการตามมาตรา 182 แต่ 'ราชการส่วนพระองค์' (royal affair) ซึ่งรวมถึงการพระราชทานยศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือการแต่งตั้งในพระบรมราชสำนัก ตามมาตรา 15 ไม่จำเป็นต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

การที่ประชาไทนำเรื่องนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ จึงไม่ใช่เพียงความผิดพลาดทางข้อเท็จจริง แต่ยังสะท้อนท่าทีอันอันตรายของ 'วาระซ่อนเร้น' ในการบ่อนเซาะความมั่นคงของสถาบันหลักของประเทศด้วยการสร้างความสับสนแก่ประชาชน เสมือนจงใจปลูกฝังความเข้าใจผิดว่า สถาบันฯ กระทำสิ่งใดโดยปราศจากกลไกตรวจสอบ ทั้งที่ในความเป็นจริง กลไกต่าง ๆ ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างรัดกุมและแยบยล

คำถามคือ... หากประชาไทมีความเข้าใจในรัฐธรรมนูญจริง เหตุใดจึงเสนอข่าวในลักษณะที่บิดเบือน? หรือแท้จริงแล้วนี่คือแผนปฏิบัติการ 'ทำลายศรัทธา' ผ่านเครื่องมือสื่อ โดยการใช้วาทกรรมกึ่งกฎหมายมาห่มคลุมเจตนาทางการเมือง

และท้ายที่สุด การกระทำเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เสรีภาพในการสื่อสาร หากแต่เป็นการใช้เสรีภาพอย่างเกินขอบเขต จนกลายเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและมั่นคงของชาติ

บางครั้งการ 'ไม่รู้' อาจให้อภัยได้ แต่การ 'แกล้งไม่รู้' เพื่อละเมิด...สังคมย่อมต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่า ยังควรปล่อยผ่านหรือไม่

รู้จัก ‘คาลินินกราด’ ไข่แดงท่ามกลางนาโต้ เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง

กลางสมรภูมิร้อนระอุของยุโรป มีดินแดนหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระดูกชิ้นโตติดคอของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ดินแดนที่พวกเขาอยากทำเป็นไม่สนใจ แต่กลับต้องจับตามองทุกความเคลื่อนไหว เมืองนั้นคือ คาลินินกราด อดีต 'คอนิกส์แบร์ก' เมืองหลวงแห่งปรัสเซียตะวันออก เมืองที่เคยเป็นหัวใจของอารยธรรมเยอรมัน แต่วันนี้กลายเป็น ห้องเก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ที่พร้อมจะทำให้ยุโรปทั้งทวีปต้องนั่งไม่ติด

จากศูนย์กลางแห่งปรัสเซียสู่หมากรบของเครมลิน
คอนิกส์แบร์กเคยเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของเยอรมัน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอัลแบร์ทิน่า บ้านเกิดของอิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาผู้เปลี่ยนแปลงโลก เป็นศูนย์กลางของกองทัพรัสเซียที่สร้างนักรบผู้แข็งแกร่ง และเป็นที่ที่กษัตริย์ฟรีดริชที่ 1 ประกาศสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งปรัสเซียครั้งแรกในปี 1701 เมืองนี้เคยเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิเยอรมัน

แต่สงครามโลกครั้งที่สองได้เปลี่ยนทุกอย่าง หลังจากที่นาซีเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแดงในปี 1945 คอนิกส์แบร์กก็ถูกโซเวียตเข้ายึด สตาลินสั่งขับไล่ชาวเยอรมันทั้งหมดออกจากพื้นที่ เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น 'คาลินินกราด' เพื่อเป็นเกียรติแก่มีไคโล คาลินิน ผู้นำโซเวียต และทำให้เมืองนี้กลายเป็นป้อมปราการของคอมมิวนิสต์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญาเยอรมัน กลายเป็นศูนย์กลางของอาวุธสงคราม

เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง
ชาวเยอรมันบางกลุ่มยังคงมองคาลินินกราดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มันคือดินแดนที่เคยเป็นของพวกเขา เป็นมรดกแห่งจักรวรรดิที่พวกเขาสูญเสียไปตลอดกาล แต่อย่าเข้าใจผิด ไม่มีใครในรัฐบาลเยอรมันกล้าออกมาพูดว่าพวกเขาต้องการดินแดนนี้คืน เพราะการแตะต้องเมืองนี้ก็เท่ากับ ท้าทายเครมลินโดยตรง และไม่มีใครในยุโรปอยากเป็นต้นเหตุของสงครามโลกครั้งที่สาม

แต่ถึงจะไม่พูดออกมา ความจริงก็คือ คาลินินกราดเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งในยุโรป และมันทำให้เยอรมันกับฝรั่งเศสต้องเกรงใจรัสเซียมากกว่าที่พวกเขาอยากยอมรับ

คลังแสงของรัสเซียที่พร้อมถล่มยุโรปตะวันตก
คาลินินกราดไม่ใช่แค่เมืองชายขอบของรัสเซีย แต่มันคือ ป้อมปราการทางทหารที่พร้อมโจมตียุโรปได้ทุกเมื่อ กองทัพรัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานติดตั้ง ขีปนาวุธ Iskander-M ที่สามารถยิงหัวรบนิวเคลียร์ไปถึงกรุงเบอร์ลิน ปารีส หรือแม้แต่ลอนดอนได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่เพียงแค่นั้น เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ที่สามารถสกัดเครื่องบินของนาโตไม่ให้เข้าใกล้ได้

และถ้านั่นยังไม่พอ คาลินินกราดยังเป็น ที่ตั้งของกองเรือรัสเซียในทะเลบอลติก ซึ่งสามารถปิดเส้นทางเดินเรือที่สำคัญของยุโรปได้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ถ้ารัสเซียต้องการเล่นเกมหนักกับนาโต พวกเขาแค่ต้องสั่งให้กองเรือจากคาลินินกราดปิดกั้นทะเลบอลติก และยุโรปเหนือจะถูกตัดขาดจากเส้นทางขนส่งทันที

เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส กับปัญหาที่พวกเขาแก้ไม่ได้
สงครามยูเครนทำให้ยุโรปต้องออกมาสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ เยอรมันกำลังส่งรถถัง เลโอโพลด์ ฝรั่งเศสกำลังส่งขีปนาวุธ อังกฤษกำลังช่วยฝึกทหารให้ยูเครน พวกเขาหวังว่า ถ้ารัสเซียแพ้ในยูเครน มันจะทำให้มอสโกอ่อนแอ

แต่ปัญหาก็คือ ถ้ารัสเซียถูกไล่ออกจากยูเครน คาลินินกราดจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม เพราะเครมลินไม่มีวันยอมให้ตัวเองอ่อนแอลงในยุโรปโดยไม่มีการตอบโต้

เยอรมันรู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าสงครามลุกลาม คาลินินกราดจะเป็นจุดที่ยุโรปต้องกังวลมากที่สุด พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานยิงนิวเคลียร์ไปยังยุโรปตะวันตก พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้มันเป็นฐานปิดล้อมทะเลบอลติก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

รัสเซียรู้ว่าไข่แดงนี้สำคัญแค่ไหน
เครมลินรู้ดีว่า คาลินินกราดคือ ไพ่ตายของรัสเซียในยุโรป พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่มีมันอยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ยุโรปต้องนั่งไม่ติดแล้ว

ตอนนี้นาโตกำลังเสริมกำลังในโปแลนด์และลิทัวเนีย อังกฤษกำลังส่งเรือรบเข้าสู่ทะเลบอลติก ฝรั่งเศสกำลังเตรียมระบบป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม แต่รัสเซียแค่ เพิ่มขีปนาวุธในคาลินินกราด เท่านั้นเอง และยุโรปก็ตื่นตระหนกกันไปหมด

สรุป: เมืองที่อันตรายที่สุดในยุโรป
คาลินินกราดเป็นมากกว่าเมือง มันคือ ป้อมปราการของรัสเซียในใจกลางยุโรป เป็นดินแดนที่ทำให้เยอรมันต้องเดินบนเปลือกไข่ และทำให้นาโตต้องคิดหนักก่อนจะเผชิญหน้ากับรัสเซีย

ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามการเมืองและการแข่งขันทางทหาร คาลินินกราดไม่ใช่แค่ 'เมืองชายขอบของรัสเซีย' แต่มันคือ หมากสำคัญบนกระดานที่สามารถเปลี่ยนดุลอำนาจของยุโรปได้ทุกเมื่อ

ไม่มีใครในตะวันตกอยากพูดถึงมัน ไม่มีใครอยากแตะมัน แต่ไม่มีใครสามารถทำเป็นลืมมันได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าคาลินินกราดยังอยู่ รัสเซียก็จะไม่มีวันแพ้ในเกมอำนาจของยุโรป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top