Monday, 21 April 2025
ปราชญ์สามสี

เพจ ‘ปราชญ์ สามสี’ แซะตรรกะ ‘เนติวิทย์’ ปมไม่อยากเรียนจบ เชื่อ! คิดใช้ ‘สถานะนักเรียน’ เคลื่อนไหว

เพจเฟซบุ๊ก "ปราชญ์ สามสี" โพสต์กรณีนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ยังไม่อยากเรียนจบการศึกษา ว่า เรียนผลาญเงินพ่อแม่ ไม่ต้องรีบจบ เพราะจบไปก็ทุกข์กับตัวเอง...อืม คงมีคนแอบเลี้ยง เนเน่ อยู่สินะครับถึงไม่ต้องรีบหางานทำ...เพราะอยู่เฉย ๆ ก็มีเงินกิน

ส่วนเรื่องเรียน จริง ๆ การเรียนหนังสือ ทำได้ตลอดแม้จะเรียนจบออกมาแล้วชีวิตก็ไม่ได้หยุดการเรียนรู้...

'ปราชญ์สามสี' โพสต์ภาพเทียบ 'หยก' 2 เวอร์ชัน อนาคตอยากให้เป็นแบบไหน น่าจะคิดเองได้

(9 พ.ย. 66) จากเพจ 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ หากเส้นทางที่ 'หยก' เลือกเปลี่ยนไป ว่า...

ผมเชื่อว่า เยาวชนเขาน่าจะคิดได้ 
ระหว่างสองภาพนี้อนาคตของน้อง ๆ จะเป็นแบบไหน...
เลือกเอาเองนะครับ...

‘ปราชญ์ สามสี’ ฟาดใส่!! ฝ่ายค้าน กรณีอภิปรายเบี้ยเลี้ยงทหาร ในสภาผู้แทนราษฎร ชี้!! เป็นเรื่องเล็กภายในองค์กร ควรใช้เวลาพิจารณานโยบาย ที่กระทบต่อคนทั้งประเทศ

(7 ก.ย.67)  เพจเฟซบุ๊ก 'ปราชญ์ สามสี' ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า...

อันนี้จริง....การนำเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเป็นการแสดงออกถึงความไร้ประสิทธิภาพอย่างร้ายแรงของการใช้เวลาในสภา การที่ผู้แทนเลือกใช้เวลามาพูดถึงปัญหาภายในกรมทหารที่ควรได้รับการแก้ไขในระดับองค์กรทหารเอง มันสะท้อนถึงการละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของสภา ซึ่งควรจะเป็นเวทีสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและการพิจารณานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ

นี่คือการกระทำที่แสดงถึงการใช้สภาอย่างเสียเปล่าและไม่เกิดประโยชน์ สภาไม่ใช่ที่สำหรับการมาวิพากษ์เรื่องเล็กน้อยหรือปัญหาภายในองค์กรเล็ก ๆ การนำประเด็นเช่นเรื่องอาหารและเบี้ยเลี้ยงของทหารเกณฑ์มาเป็นหัวข้ออภิปราย แทนที่จะพูดถึงนโยบายที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม มันทำให้สภากลายเป็นเวทีสำหรับปัญหาที่ไม่สมควรได้รับการอภิปรายในระดับชาติ

หากผู้แทนยังคงดึงประเด็นเล็กน้อยเช่นนี้มาถกเถียงในสภา นั่นไม่เพียงแต่เป็นการทำให้เวลาของสภาหมดเปลืองไปอย่างไม่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบที่แท้จริง ซึ่งควรจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานของรัฐบาล ความอ่อนแอในการจัดลำดับความสำคัญของผู้แทนเหล่านี้ จะเป็นบ่อนทำลายสภาและเสื่อมเสียต่อประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นดังนี้

- มันแสดงให้เห็นว่าผู้แทนพวกนี้ พุ่งเป้าดิสเครดิตหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างทหารเท่านั้น มันรับงานขององค์กรต่างประเทศมาเล่นงานเฉพาะหน่วยงานดูจากการกระทำหลาย ๆ ครั้งของพวกเขา ทำให้เราคิดแบบนี้ได้

จะอภิปรายเรื่องราคาถาดหลุมที่แพงเกินจริง ก็อภิปรายไป แล้วก็ไปตามจับตามเล่นงานถ้ามีการทุจริตเรื่องอาหารไม่ได้คุณภาพ ถ้ามีการทุจริตก็ไปควานหาคนทำผิดมาให้ได้แบบที่ฝ่ายค้านควรทำ

แต่การแตกประเด็นยิบย่อยเรื่องคุณภาพอาหาร ออกไปในโลกโซเชียลแบบนี้ ที่ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนมันคือการดิสเครดิตเพราะไม่เคยจัดการกับคนทุจริตได้ อย่างโรงเรียนที่ทุจริตเรื่องค่าอาหารเด็กก็ยังตามจับคนทุจริตอย่างผอ.โรงเรียนได้

- เป้าหมายของมันก็คือ เปิดประเด็น ‘ทำลาย’ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ แล้ว ‘สื่อ’ จะนำไปขยายต่อเอง มันไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เหมาะ หรือไม่เหมาะ ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ไม่สน! เพราะเรื่องมันไปอยู่ในพื้นที่สื่อสามกีบหมดแล้ว พวกกองเชียร์สมองตื้น ๆ ก็พร้อมจะเชื่อและด่า สร้างเป็นกระแสต่อไป

- เอาจริงนะ ที่ทำไปนั่นน่ะ ก็แค่ไม่อยากถูกประชาชนมองว่า ทำงานไม่สมกับตำแหน่งที่เป็น เพราะไม่ยอมไปตรวจสอบรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ต้องตรวจสอบเยอะแยะ แต่จะมานั่งตากแอร์เย็น ๆ ในสภาเฉย ๆ ก็กลัวถูกตำหนิจากประชาชน จึงหาเรื่องไร้สาระมาอภิปรายเพื่อจะบอกประชาชนว่า นี่ไงทำงานแล้วนะ

-สภาทุกวันนี้เหมือนโรงถ่ายละครกันไปทุกวันผมเลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะดู

- มีอะไร ที่เกี่ยวกับ ปชช. บ้างหรือยัง สองวันกับเรื่องของทหารเนี่ย อะไรนักหนา

- ข้าว สส. มื้อละพัน..... ทำงานคุ้มค่าข้าวมาก

- เล่นเรื่องถาดหลุม บอกว่าแพงไป พอไปรู้ราคาต้นทุนจริง ก็วนไปเล่นว่าใช้ถาดใหญ่และดีขนาดนี้ทำไม พอพลาธิการทหารบกชี้แจง ก็ไปเล่นว่าอาหารไม่มีคุณภาพต่ออีก.....ฝ่ายค้านคุณภาพตรงไหนเนี่ย...!!!

นอกจากนี้ เพจ 'ปราชญ์ สามสี' ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า พรรคประชาชน (ปชน.) วิจารณ์กองทัพจัดซื้อถาดหลุมทหาร ราคาห้าร้อยทำเป็นบ่น แต่กลับขายเข็มหมุดปักอก ชิ้นละพัน ทำเงียบ สส.เล่นบท จเร เสียเวลาสภามาก ๆ

‘ปราชญ์ สามสี’ วิเคราะห์ Gen Z ชี้มั่นใจในตัวเองจนล้นเกิน ไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริง ขาดภูมิคุ้มกันรับมือกับความล้มเหลว

(6 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ปราชญ์ สามสี’ ได้ทำการวิเคราะห์ลักษณะนิสัย และแนวทางการใช้ชีวิตของ Gen Z ว่า 

Gen Z: The Lost Generation

ในยุคที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน Gen Z เติบโตขึ้นมาเป็นเจเนอเรชันที่เชื่อมต่อกับโลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส และมีความสามารถในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาหลงทางในโลกแห่งความเป็นจริง

Gen Z มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่บางครั้งความเชื่อมั่นนี้ก็กลายเป็นดาบสองคม พวกเขาเห็นความสามารถของตัวเองเหมือนมองในกระจก มองเห็นความเป็นตัวตนที่สะท้อนกลับมาหาตนเอง แต่ละเลยความจริงที่โลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนและอุปสรรค เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความล้มเหลวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การขาดการเตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวนี้ทำให้พวกเขาดูเหมือนไม่มีมาตรการรับมืออย่างเพียงพอ

ในบทความนี้ เราจะสำรวจลึกลงไปในพฤติกรรมและลักษณะเฉพาะของ Gen Z เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาเป็น "เจนที่ล้มเหลว" จริงหรือเป็นเพียงกลุ่มคนที่ยังต้องการเวลาในการปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่นี้ ที่ไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเขาเคยเชื่อ

>>>ลักษณะเฉพาะของเด็ก Gen Z ที่สะท้อนแนวคิดและวิถีชีวิต

1. ปฏิเสธการวัดผลด้วยเกรด
เด็ก Gen Z ไม่ต้องการระบบการวัดผลด้วยเกรด พวกเขาเชื่อว่าการเรียนรู้ควรเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ ความรู้ และความเข้าใจมากกว่าการประเมินผลด้วยตัวเลขหรือการแบ่งแยกด้วยเกรด

แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงการกดดัน แต่การปฏิเสธการวัดผลอาจทำให้ขาดเกณฑ์มาตรฐานในการประเมินความสามารถ ทำให้ยากต่อการพัฒนาตนเองหรือการเตรียมตัวสำหรับการทำงานในโลกความเป็นจริง ที่ยังคงใช้การประเมินผลงานเป็นตัววัดความสามารถ

2. เรียนเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจ
พวกเขามักเลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่ตรงกับความสนใจของตนเอง และหลีกเลี่ยงการเรียนในวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา การเรียนรู้แบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาความรู้ในด้านที่ตนถนัด

อย่างไรก็ตาม การมุ่งเรียนเฉพาะสิ่งที่สนใจอาจจำกัดความรู้รอบด้าน ทำให้ขาดทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหรือในสายงานที่ไม่ได้ตรงกับความชอบทั้งหมด นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขาอาจขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการความรู้ที่หลากหลาย

3. ไม่ชอบการแข่งขันและเน้นความเท่าเทียม
Gen Z ไม่ชอบการแข่งขันที่ต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ พวกเขาเน้นให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น ในการแข่งขันวิ่งมาราธอน พวกเขาต้องการให้ทุกคนได้รับเหรียญรางวัลไม่ว่าจะเข้าเส้นชัยที่อันดับใดก็ตาม

การไม่ชอบการแข่งขันอาจลดทอนแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง เพราะการไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะอาจทำให้ผู้คนขาดความทะเยอทะยานและการฝึกความอดทนเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่การลดทอนคุณค่าของความสำเร็จที่แท้จริง

4. สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ
เด็ก Gen Z เชื่อมั่นในความเท่าเทียมทางเพศ และเรียกร้องให้ทุกเพศมีสิทธิ์และเสรีภาพในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตของตนเอง พวกเขาเห็นความสำคัญของการมีห้องน้ำแยกตามเพศทางเลือก เพื่อให้ทุกเพศมีความสะดวกและสบายใจในการใช้ชีวิต

แม้การสนับสนุนความเท่าเทียมเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเน้นย้ำมากเกินไปในบางกรณีอาจสร้างความซับซ้อนและปัญหาในการจัดการกับความหลากหลายที่มากเกินความจำเป็นในสังคม เช่นงานเอกสารเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลประชากรเกิดความซับซ้อน

5. ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองแม้ว่ามันจะไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
เด็ก Gen Z มองว่าทุกการกระทำมีเหตุผลเบื้องหลังเสมอ และไม่มีการกระทำใดที่ถือว่าผิดหากสามารถอธิบายเหตุผลได้ แม้ว่าเหตุผลนั้นอาจไม่ตรงกับค่านิยมหลักของสังคมก็ตาม พวกเขาเชื่อในความหลากหลายทางความคิดและให้ความสำคัญกับการเข้าใจมุมมองของผู้อื่นมากกว่าการตัดสินแบบเด็ดขาด

การที่เด็ก Gen Z เชื่อว่าทุกการกระทำมีเหตุผลที่อธิบายได้ อาจทำให้พวกเขาหลุดจากการรับผิดชอบในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่อแก้ตัวหรือหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ขาดการเรียนรู้จากความผิดพลาดและการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

6.Gen Z มักไม่นิยมการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ โดยเชื่อถือในภูมิปัญญาหรือประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนเป็นข้อมูลตกสมัย

เนื่องด้วยเด็ก Gen Z เกิดมาในยุคที่เรามีเทคโนโลยีข้อมูลสนับสนุนต่างๆเข้าถึงง่าย และ พวกเขาจึงชื่นชอบการหาข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งแสดงถึงความเป็นอิสระและความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง

อย่างไรก็ตามการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้ใหญ่ อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ไม่สามารถหาได้จากการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว เพราะอินเตอร์เน็ตไม่ได้มีข้อมูลที่รอบด้านเท่าประสบการณ์ของผู้ใหญ่

จากการศึกษาพฤติกรรมทั้งด้านข้อดีและข้อเสียของ Gen Z จะเห็นได้ว่ามีลักษณะเฉพาะที่ทำให้พวกเขาอาจไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในลักษณะเฉพาะนั้นคือการมองเห็นตัวเองผ่านกระจกเสมือนว่าโลกภายนอกสะท้อนแต่ความสามารถของตนเอง พวกเขามักให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นในตัวเองและข้อมูลที่ตนเองหามาได้ มากกว่าการรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้อื่น

การมองโลกผ่านมุมมองที่สะท้อนความสำเร็จของตัวเองทำให้พวกเขาอาจมองข้ามความเป็นจริงของโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความยากลำบาก เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พวกเขาอาจขาดการเตรียมตัวหรือมาตรการรองรับการล้มเหลวนั้น เพราะพวกเขาไม่เคยเรียนรู้จากคำเตือนหรือประสบการณ์ของผู้อื่นมาก่อน

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเผชิญความจริงของโลก ความล้มเหลวอาจเป็นบทเรียนที่ยากลำบาก และหากพวกเขาไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือแผนรองรับความล้มเหลวนี้ อาจทำให้เกิดความสับสนและขาดการปรับตัวในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

>>>สภาพการเรียนรู้ของเด็ก Gen Z และผลกระทบต่อการจ้างงานอย่างไร?
การที่พฤติกรรมของ เด็ก Gen Z ที่มักซึมซับเฉพาะสิ่งที่ตนเองสนใจและละเลยสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจ ส่งผลให้พวกเขามีลักษณะการเรียนรู้ที่ขาดๆ เกินๆ ซึ่งสร้างข้อจำกัดต่อความสามารถในการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ว่าพวกเขาอาจมีความเชี่ยวชาญในบางด้านอย่างลึกซึ้ง แต่กลับขาดความรู้รอบด้าน ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ และการประยุกต์ใช้ความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานเป็นทีม

นอกจากนี้ การขาดทักษะในการสื่อสารกับกลุ่มที่มีความคิดและความสนใจต่างกัน และการขาดความอดทนต่อการเผชิญกับความท้าทาย ทำให้พวกเขาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ความเป็นจริงแล้วโลกใบนี้มันอยู่ยากกว่าที่คิด เด็ก GenZ จะเอาตัวไม่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่สูง จะไม่สามารถทนได้กับความผิดหวัง จะจะอยู่ได้ยากในสภาพสังคมโลกที่เผชิญกับภัยพิบัติต่างๆที่ไม่สามารถคาดคะเนได้

ด้วยเหตุนี้ สภาพการเรียนรู้ที่ไม่สมดุลและขาดการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกด้านของ Gen Z จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกเขาไม่ได้รับการจ้างงานมากเท่าที่ควรในตลาดแรงงานปัจจุบัน ซึ่งต้องการบุคลากรที่มีความยืดหยุ่น มีทักษะการทำงานร่วมกัน และสามารถเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

>>>แล้วคน Gen Zจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z คือการมีความเป็นตัวเองสูง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ส่งผลต่อการเลือกอาชีพและการดำเนินชีวิต พวกเขาเน้นไปที่การทำสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสายงานศิลปะ การออกแบบ หรืออาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวนำ ซึ่งอาชีพที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาจึงมักจะเป็นอาชีพที่สามารถเน้นความสนใจเฉพาะตัว เช่น การเป็นผู้ประกอบการ นักออกแบบ หรือทำการตลาดออนไลน์ โดยสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาเอง

การที่พวกเขามีอิสระในการตัดสินใจและสร้างสิ่งใหม่ๆ ตามความสนใจของตัวเอง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านค้าหรือสร้างธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง พวกเขาก็สามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องรอคำแนะนำจากคนอื่น หากล้มก็ล้มด้วยตัวเอง แต่ด้วยความที่ขาดประสบการณ์และการวางแผนในระยะยาว โอกาสที่จะเสี่ยงล้มเหลวก็สูงตามไปด้วย เพราะพวกเขามักไม่ค่อยยอมรับฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่หรือผู้มีประสบการณ์มาก่อน

ดังนั้น แม้ว่าความเป็นตัวเองจะทำให้เด็กในกลุ่มนี้มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าลงมือทำ แต่การขาดประสบการณ์และการเตรียมตัวรับมือกับความล้มเหลวอาจทำให้เส้นทางการเติบโตของพวกเขามีความเสี่ยงมากขึ้น การหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นตัวเองกับการรับฟังคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงในอนาคต

ลับแลกระจก : บานกระจกที่เชื่อมอดีต และปัจจุบัน พร้อมความลับแห่งประวัติศาสตร์ใน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ

หากคุณได้ชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ฉากหนึ่งที่อาจผ่านตาแต่ไม่ทันสังเกต คือฉากในห้องลับหลังหอสมุดวชิรญาณ ที่ตัวละคร 'ลุงดอน' บรรณารักษ์ผู้เงียบขรึม เก็บกระจกบานใหญ่ไว้ในความมืด หากไม่ได้ใส่ใจ คุณอาจมองข้ามสิ่งที่อาจเป็น 'กุญแจ' ของประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง

กระจกบานนั้นใหญ่โต โดดเด่นด้วยกรอบไม้จำหลักลายพรรณพฤกษาและลายรักร้อยผสมผสานลวดลายแบบตะวันตกอย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้นคือ ไม้กางเขนกับมงกุฎ สัญลักษณ์ที่อาจดูเหมือนไม่ใช่ของไทย แต่กลับปรากฏบนงานฝีมือในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ทำให้เกิดคำถาม—กระจกนี้มาจากไหน และมีความหมายอย่างไร?

จากราชมณเฑียร วังหน้า สู่ความลับในห้องสมุด
การสืบค้นประวัติศาสตร์พาเราย้อนกลับไปสู่ราชมณเฑียร วังหน้า ที่ซึ่งกระจกบานนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชมณเฑียรของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กระจกดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นงานออกแบบที่สะท้อนการพบกันระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก—ลายไทยอันประณีตเคียงคู่กับสัญลักษณ์คริสต์ศาสนาอย่างไม้กางเขนและมงกุฎ สื่อถึงการต่อสู้ การทดสอบ และรางวัลจากสวรรค์ กระจกนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตกแต่งพระราชมณเฑียร แต่ยังสะท้อนพระราชรสนิยมและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ในการนำพาประเทศไทยเข้าสู่โลกสมัยใหม่

แรงบันดาลใจในวรรณกรรมและภาพยนตร์
ความลึกลับของกระจกบานนี้ยังอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ทวิภพ วรรณกรรมเรื่องเยี่ยมที่ตัวเอกใช้กระจกบานใหญ่เป็นช่องทางย้อนเวลา เพื่อสื่อสารและเรียนรู้จากอดีต เช่นเดียวกับบทบาทใน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ที่กระจกนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน

กระจกในฐานะสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์
ในบริบทของภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ลับแลกระจกไม่ได้เป็นเพียงสิ่งประกอบฉาก แต่แฝงความหมายที่ลึกซึ้ง มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การมองอดีตเพื่อทำความเข้าใจกับปัจจุบัน และความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในมุมมืดของประวัติศาสตร์

การปรากฏของลับแลกระจกในภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดของทีมผู้สร้าง ที่นำสิ่งของทางประวัติศาสตร์มาผสมผสานกับการเล่าเรื่องได้อย่างงดงาม นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวของการปฏิวัติ หากแต่เป็นการชวนให้เรา 'มอง' ประวัติศาสตร์ในแง่มุมใหม่—ผ่านบานกระจกที่สะท้อนความจริงหลายชั้น ทั้งที่เราเคยมองข้ามไปและที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

สำหรับใครที่ชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ แล้วเกิดความสนใจใน ลับแลกระจก ที่ปรากฏในฉากของ 'ลุงดอน' และอยากเห็นของจริง คุณสามารถตามรอยประวัติศาสตร์นี้ได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

ตำแหน่งของกระจกในปัจจุบัน
ลับแลกระจกบานนี้ถูกจัดแสดงอยู่ในส่วนหนึ่งของพระที่นั่งบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งเดิมเคยเป็นราชมณเฑียรในวังหน้า พระราชวังของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กระจกบานนี้ยังคงความสง่างาม แม้เวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปี ด้วยกรอบไม้จำหลักลายพรรณพฤกษาและลายรักร้อยอันวิจิตรที่สะท้อนถึงความสามารถของช่างฝีมือในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

การเดินทางไปชม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งอยู่บริเวณถนนหน้าพระธาตุ ใกล้สนามหลวง กรุงเทพมหานคร การเดินทางสะดวกสบายทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารสาธารณะ หรือหากคุณอยู่ใกล้ย่านเมืองเก่า สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าสายสีม่วง (MRT) มาลงที่สถานีสนามไชย และต่อรถหรือเดินเพียงเล็กน้อยก็ถึงสถานที่

สิ่งที่คุณจะได้พบ
เมื่อไปถึง คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงอบอวลอยู่ในทุกมุมของพิพิธภัณฑ์ นอกจากลับแลกระจก คุณยังจะได้ชมโบราณวัตถุอื่น ๆ ที่สะท้อนวิถีชีวิต รสนิยม และศิลปะในยุคของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย

ข้อควรทราบ
การเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ควรตรวจสอบเวลาทำการล่วงหน้า โดยทั่วไปเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. และปิดทำการในวันจันทร์-อังคาร การซื้อตั๋วเข้าชมสามารถทำได้ที่จุดขายตั๋วบริเวณพิพิธภัณฑ์

นี่คือโอกาสที่คุณจะได้สัมผัสประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด และชื่นชมความงดงามของลับแลกระจกในสถานที่จริง—การพบกันของอดีตและปัจจุบันผ่านบานกระจกที่สะท้อนความลึกซึ้งของประวัติศาสตร์ไทย

กรณีของ ‘อานนท์ นำภา’ บทเรียนจากมาตรา 116 สิทธิมนุษยชนที่ไม่คำนึงถึงความสงบเรียบร้อย

คดีของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกตัดสินจำคุกกว่า 18 ปีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล การเคลื่อนไหวที่สนับสนุนอานนท์และโจมตีกฎหมายดังกล่าวสร้างคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพกฎหมาย

มาตรา 116: เสรีภาพที่ต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ
มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญากำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ยุยงปลุกปั่นซึ่งกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยครอบคลุมถึงการปลุกระดมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือกฎหมายโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยุยงให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน กฎหมายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นเสรีภาพ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความสงบเรียบร้อยในสังคม

พฤติกรรมของอานนท์ที่เข้าข่ายมาตรา 116 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับแสดงถึงเจตนาที่จะปลุกระดมและกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย การกระทำดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ แต่ยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความแตกแยกในสังคมอย่างลึกซึ้ง

สิทธิมนุษยชน: การปกป้องเสรีภาพต้องคู่กับความยุติธรรม
สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่มีคุณค่าและควรได้รับการเคารพ แต่การปกป้องสิทธิของบุคคลหนึ่งไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม การที่องค์กรอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยกกรณีของอานนท์เป็นตัวอย่างในการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและปลุกปั่นความแตกแยกสามารถถูกยอมรับได้ในนามของสิทธิมนุษยชน

ในสังคมที่ต้องการความสงบเรียบร้อย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมายต้องเดินไปด้วยกัน กฎหมายอย่างมาตรา 116 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปิดกั้นเสียงของประชาชน แต่เพื่อปกป้องสังคมจากการยุยงให้เกิดความวุ่นวายและความแตกแยก

คืนสติ: เสรีภาพต้องมีขอบเขต
ในท้ายที่สุด คดีของอานนท์นำมาซึ่งบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของเสรีภาพ เสรีภาพไม่ใช่การกระทำตามใจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น การเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความสร้างสรรค์ และความเคารพกฎหมาย การอ้างสิทธิมนุษยชนโดยละเลยผลกระทบต่อส่วนรวมไม่เพียงแต่บั่นทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน แต่ยังสร้างความไม่สมดุลในสังคม

บทเรียนจากกรณีนี้คือ เราควรใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีสติ รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมที่เคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

Globalism: อุดมคติแห่งโลกไร้พรมแดน หรือกับดักที่หลอมรวมความแตกต่าง?

(1 ม.ค. 68) ในยุคที่คำว่า "โลกาภิวัตน์" หรือ Globalism ถูกยกย่องว่าเป็นภาพแทนของอุดมคติร่วมสมัย—โลกที่ไร้พรมแดน การร่วมมือเพื่อเป้าหมายใหญ่ และการเคารพความหลากหลาย—ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดถือ แต่เบื้องลึกของแนวคิดนี้กลับซับซ้อนกว่าที่คิด มันเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสังคม และเปิดคำถามสำคัญถึงความหมายที่แท้จริงของ "ความหลากหลาย" และ "สันติภาพ" ที่ Globalism พยายามนำเสนอ

Globalism: อุดมคติแห่งระเบียบโลกใหม่
แนวคิด Globalism ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อโลกกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางอุดมการณ์และอำนาจที่รุนแรง แนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความพยายามของบางฝ่ายที่ต้องการสร้าง "ระเบียบโลกใหม่" ที่ทุกประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้บนกฎเกณฑ์เดียวกัน

แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นจากความหวังดี—ความต้องการแก้ไขปัญหาของโลกที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ในระดับประเทศ เช่น ความยากจน โรคระบาด หรือความขัดแย้งระหว่างชาติ แนวคิดเรื่อง "การร่วมมือระดับโลก" จึงถูกนำเสนออย่างจริงจัง เพื่อให้ทุกประเทศทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานั้น โลกจำเป็นต้องหาทางออกจากความรุนแรงในรูปแบบเดิม

แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป แนวคิด Globalism ได้เปลี่ยนแปลงและขยายตัว กลายเป็นกรอบอุดมคติที่ไม่เพียงเน้นการร่วมมือ แต่ยังรวมถึงการกำหนดมาตรฐานที่เหมือนกันในทุกประเทศ บ่อยครั้ง มาตรฐานเหล่านี้สะท้อนความต้องการของมหาอำนาจบางแห่งมากกว่าความจำเป็นของประเทศที่ถูกบังคับให้ปรับตัวตาม

Global Citizen: พลเมืองโลกในโลกไร้พรมแดน
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ Globalism คือแนวคิด "Global Citizen" หรือ "พลเมืองโลก" ที่ส่งเสริมให้ผู้คนมองข้ามพรมแดนและอัตลักษณ์ของชาติ โดยอ้างว่าเพื่อความร่วมมือและลดความขัดแย้ง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสร้างเยาวชนที่พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและละทิ้งความเป็นชาติ

กลไกที่ใช้คือกิจกรรมทางการศึกษา เช่น โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ค่ายเยาวชนนานาชาติ หรือทุนการศึกษาระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยปลูกฝังให้เยาวชนเหล่านี้มองว่า "โลกคือบ้านของเรา" และลดความสำคัญของ "ชาติ" แนวคิดนี้สร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่ระเบียบโลกใหม่ มากกว่าการพิทักษ์อัตลักษณ์ของชาติ

เด็ก : เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง
ในโครงสร้างที่เปรียบเหมือน สามเหลี่ยมแห่งการปกครอง ที่ชนชั้นล่างเป็นฐาน ชนชั้นกลางเป็นกลไกขับเคลื่อน และชนชั้นนำเป็นผู้กำหนดทิศทาง Globalism มองว่าเยาวชนคือชนชั้นนำในอนาคต โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวชนชั้นนำ เช่น ลูกหลานนายทุน เจ้าของธุรกิจ หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

ทำไมต้องเป็นพวกเขา? เพราะเยาวชนกลุ่มนี้มีโอกาสกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของพวกเขาจึง ง่ายกว่าและส่งผลกระทบได้เร็วกว่า การเปลี่ยนแปลงความคิดของชนชั้นกลางหรือล่าง

กิจกรรมที่ใช้ในการปลูกฝัง เช่น การจัดค่ายแลกเปลี่ยน การส่งเสริมแนวคิดโลกนิยม และการลดทอนความเป็นชาติ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นพร้อมความคิดว่า "การเป็นพลเมืองโลก" สำคัญกว่าการภักดีต่อชาติ

อุดมคติที่ขัดแย้งในตัวเอง
แม้ Globalism จะอ้างว่าสันติภาพเกิดจากการร่วมมือระดับโลก แต่มันกลับสร้างปัญหาใหม่ ความพยายามในการสร้างระเบียบเดียวกันทั่วโลกไม่เคารพความหลากหลายของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ท้ายที่สุด Globalism กลับทำให้ประเทศที่มีอัตลักษณ์อ่อนแอสูญเสียความสามารถในการกำหนดอนาคตของตนเอง

BRICS : แนวคิด Multipolarity และสมดุลของโลก
ในขณะที่ Globalism มุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจ กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้) เสนอแนวคิด "Multipolarity" หรือ "โลกหลายขั้วอำนาจ" ซึ่งสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ รักษาอิสระในการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบที่มหาอำนาจควบคุม

Multipolarity ส่งเสริมความสมดุล โดยเน้นการกระจายอำนาจและเคารพความหลากหลาย เช่น การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐในระบบการค้าโลก และสร้างพันธมิตรในด้านเศรษฐกิจและพลังงาน แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งสร้างระเบียบเดียว แต่สนับสนุนให้แต่ละประเทศพัฒนาในแบบของตัวเอง

บทส่งท้าย: รักษาความหลากหลายเพื่อความยั่งยืน
Globalism อาจดูเหมือนคำตอบสำหรับความท้าทายของโลกยุคใหม่ แต่ในความจริง มันสร้างโลกที่เปราะบางและขัดแย้ง แนวคิด Multipolarity ของ BRICS แสดงให้เห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องมีระเบียบเดียวกันเพื่อความสงบสุข แต่ควรสร้างสมดุลบนพื้นฐานของความหลากหลาย

คำถามสำคัญสำหรับอนาคตคือ เราจะรักษาความเป็นอิสระและความหลากหลายของเราได้อย่างไร ในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด? เพราะท้ายที่สุด สันติภาพไม่ได้มาจากระเบียบที่เหมือนกัน แต่มาจากการเคารพในความแตกต่างอย่างแท้จริง

ส่องแนวคิด ‘จรัล ดิษฐาอภิชัย’ กับตรรกะที่ผิดเพี้ยนชู หลังชู ‘อานนท์ นำภา’ เป็นบุคคลแห่งปีทั้งที่ทำผิด กม. ซ้ำซาก

รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 จรัล ดิษฐาอภิชัย โพสต์เสนอชื่อ อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี 2567 พร้อมชูเขาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การยกย่องบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 18 ปีด้วยข้อหาภายใต้มาตรา 116 และ 112 นั้น กำลังสร้างภาพประชาธิปไตยในแบบใด? มันไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพหรือความเท่าเทียม แต่คือ “รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย” และรูปปั้นนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานที่มั่นคง แต่มันสั่นคลอนด้วยแนวคิดที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐ

มาตรา 116: กติกาที่ปกป้องเสถียรภาพของสังคม
มาตรา 116 เป็นเหมือนรั้วที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านประชาธิปไตย มันไม่ได้มีไว้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการพูด แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดหรือการกระทำใดๆ ยุยงให้เกิดความไม่สงบในสังคม การที่อานนท์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ไม่ได้เกิดจากการแสดงความคิดเห็น แต่เพราะเขาจงใจละเมิดกติกานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในการปลุกปั่นยุยงและการกระทำที่ล้ำเส้นเกินกว่าการใช้เสรีภาพส่วนตัว

18 ปีแห่งการละเมิด: ราคาของการไม่เคารพกฎหมาย
การที่อานนท์ถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีไม่ได้มาจากระบบที่อยุติธรรม แต่มาจากการกระทำผิดซ้ำซากที่ขัดต่อกฎหมายที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน การเชิดชูบุคคลที่ละเมิดกฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มันคือการลดคุณค่าของระบบที่ควรสร้างบนความยุติธรรมและการเคารพกติกา

ประชาธิปไตยหรือการบูชาคนผิด?
สิ่งที่จรัลทำในการยกย่องอานนท์ คือการสร้าง “รูปปั้น” ที่ไม่ได้สะท้อนถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่กลับเป็นการปั้นสัญลักษณ์ของการไม่เคารพกฎหมาย การนำคนที่ทำผิดอย่างต่อเนื่องมาชูเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสีย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดว่า ความวุ่นวายและการละเมิดกฎหมายคือสิ่งที่ยอมรับได้

บทสรุป: สัญลักษณ์ที่ไม่ควรมี
ประชาธิปไตยไม่ควรถูกหล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย การสร้างสัญลักษณ์ที่ขัดแย้งกับรากฐานของระบบย่อมไม่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง หากเรายังคงหล่อรูปปั้นจากความผิดพลาด ประชาธิปไตยในสายตาของคนไทยและนานาชาติจะไม่เหลือคุณค่า นี่ไม่ใช่การสร้างอนาคต แต่มันคือการย้อนกลับไปทำลายรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม

‘ปราชญ์ สามสี’ แกะรอย 'เพนกวิน' โผล่เรียนที่สหรัฐฯ สุดกังขา ใครอยู่เบื้องหลังเส้นทางหลบหนีคดี 112

( 3 ม.ค. 68) - เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เปิดประเด็นการหลบหนีคดีมาตรา 112 ของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ไปต่างประเทศ ว่ามีกลุ่มใดอยู่เบื้องหลัง โดยระบุว่า เอ๊ะ จิ๊กซอว์ ต่อลงพอดีเลยแหะ?!? "เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ หลบหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ดัน 'บังเอิญ' ไปโผล่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับที่อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล สอนอยู่! อาจารย์ผู้มีจุดยืนกระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างเปิดเผย

นี่คือโชคชะตาหรือขบวนการที่วางแผนมาแล้วอย่างแยบยล? จิ๊กซอว์นี้ต่อออกมาแล้วจะเห็นภาพอะไรกันแน่—แค่บังเอิญ หรือเรื่องที่มี 'อะไร' ซ่อนอยู่มากกว่านั้น?"

ปราชญ์ สามสี ระบุว่า จรัล ดิษฐาอภิชัย ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ว่าได้เดินทางไปเยี่ยม 'เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์' ที่สหรัฐอเมริกา โดยระบุถึงการพบปะกับ Paul Handley ผู้เขียนหนังสือ The King Never Smiles ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิพากษ์บทบาทของสถาบันกษัตริย์ไทยในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นอกจากนี้ จรัลยังกล่าวถึงการใช้เวลาร่วมกันในบริบทที่ดูเหมือนจะบ่งชี้ถึงสถานที่ของเพนกวินในอเมริกาอย่างชัดเจน

การโพสต์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยในแง่มุมของการหลบหนีของเพนกวิน ซึ่งเคยประกาศว่าจะยืนหยัดในประเทศไทยและไม่ลี้ภัยออกนอกประเทศ ทว่าการเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจผ่านโพสต์นี้ชี้ให้เห็นถึงที่อยู่ของเขาในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน พร้อมเชื่อมโยงถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและเครือข่ายในวงการที่มีความเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง

ข้อผิดพลาดในลักษณะนี้นอกจากจะทำให้การหลบซ่อนตัวของเพนกวินกลายเป็นที่จับตามอง ยังอาจนำมาซึ่งคำถามทางการเมืองและสังคมเกี่ยวกับการสนับสนุนที่เขาได้รับในต่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงการช่วยเหลือพิเศษหรือการประสานงานในระดับนานาชาติ

แกนนำการเคลื่อนไหวทางการเมือง 'เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์' ได้โพสต์ข้อความยอมรับถึงการสูญเสียจุดยืนทางการเมืองของตนเองในกรณีมาตรา 112 โดยเขาเคยยืนยันว่าจะไม่หลบหนีออกนอกประเทศหรือขอลี้ภัยทางการเมือง แต่ท้ายที่สุดกลับจำใจต้องหลบหนี ซึ่งเขาได้ยอมรับว่าเป็นการละเมิดจุดยืนที่เคยตั้งไว้ โดยการกระทำนี้เกิดขึ้นหลังเขาต้องเผชิญคดีการยุยงปลุกปั่นและใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ไทย พร้อมกับการปล่อยให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ต้องเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ

ข้อความที่เขาโพสต์เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ไม่เพียงสะท้อนถึงความย้อนแย้งในจุดยืนของตัวเอง แต่ยังมีการเผยแพร่ภาพถ่ายของเขาขณะยืนอยู่หน้าภาพโมเสคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งหากตรวจสอบลึกลงไปพบว่าภาพดังกล่าวถ่ายในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับ UW-Madison Letters & Science (L&S) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดใน University of Wisconsin-Madison (UW-Madison) ประเทศสหรัฐอเมริกา

วิทยาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของหลายสาขาวิชาที่ครอบคลุมทั้ง ศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์กายภาพ สังคมศาสตร์ และ วิทยาการคอมพิวเตอร์และข้อมูล

ทั้งนี้เริ่มมีข้อสงสัยหนาหูว่า เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้รับการช่วยเหลือพิเศษจากทางการทูตของสหรัฐอเมริกาในการจัดการให้เขาสามารถไปศึกษาอยู่ที่ University of Wisconsin-Madison (UW-Madison) แบบเป็นกรณีพิเศษหรือไม่

ซึ่งบางคนมองว่านี่อาจเป็นตัวอย่างของการใช้เส้นสายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลในสถานการณ์ที่ควรจะเผชิญหน้ากับความจริงในคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112

คำถามนี้สะท้อนความไม่พอใจในสังคมว่าการได้รับโอกาสในลักษณะนี้ อาจทำให้หลายคนมองว่าเป็นการใช้สิทธิพิเศษเกินควร โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาที่ต้องเผชิญชะตากรรมในเรือนจำ ในขณะที่ตัวเขาเองสามารถหลบหนีและได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาต่อในต่างประเทศจากสหรัฐ

เรื่องนี้จึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามและตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มีข้อเท็จจริงหรือเบื้องหลังใดที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนจากหน่วยงานระหว่างประเทศหรือไม่ และความยุติธรรมของกระบวนการเหล่านี้จะสามารถอธิบายให้สังคมยอมรับได้อย่างไร

ย้อนบทเรียนสมัย ร.5 ชี้! การพนันสร้างแต่ปัญหา วอนทบทวน พรบ.การพนัน ช่วยตัดไฟแต่ต้นลม

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเรื่องนี้หลายคนสะกิดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความห่วงใยของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาที่จะเกิดจากการเปิดคาสิโนในประเทศจะไม่ได้รับการใส่ใจ หลายฝ่ายกังวลว่าการผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมาย อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สิน การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะประชาชนรากหญ้าที่ต้องดิ้นรนขายเช้ากินค่ำ เพื่อประคองชีวิตกลับต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วง

ทั้งนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นต้องขออนุญาตส่งข้อห่วงใยถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงพิษภัยของ การพนัน...นะครับ

บทเรียนจากอดีต…ลืมไปแล้วหรือ?

ในอดีต สมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเคยเจอวิกฤตจากบ่อนการพนันที่เฟื่องฟูจนกลายเป็นต้นเหตุของอาชญากรรมและปัญหาสังคม 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นถึงโทษของการพนันที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย จึงทรงมีพระราชดำริให้ลดและเลิกบ่อนการพนันทั่วประเทศ โดยเริ่มจากการลดจำนวนบ่อนในหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 และขยายมาสู่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2432 กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติห้ามบ่อนการพนันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460

ทั้งนี้เป็นการตัดสินใจ 'ตัดไฟแต่ต้นลม' ด้วยการปิดบ่อนทั่วประเทศ เพราะรู้ดีว่าผลเสียของการพนันมันกัดกินประเทศยิ่งกว่ารายได้ที่ประเทศชาติจะได้รับ แต่ดูเหมือนบทเรียนนี้จะเลือนหายไปในยุคที่ใครๆสนใจแต่ตัวเลขผลกำไร มากกว่าผลกระทบที่แท้จริง

ประเทศอื่นเขาก็รู้…การพนันสร้างแต่ปัญหา

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือฟิลิปปินส์ ที่เปิดให้การพนันถูกกฎหมายอย่างเสรี ผลลัพธ์คือการเพิ่มหนี้สินของประชาชน ปัญหาครอบครัวแตกแยก และการขยายตัวของแก๊งฟอกเงิน ในขณะที่ประเทศที่ควบคุมการพนันอย่างเข้มงวด เช่น นอร์เวย์ กลับมีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลเขาเลือกส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีและการศึกษา

ใครเจ็บ? ใครได้?

ประชาชนรากหญ้าที่ขายเช้ากินค่ำมักจะเป็นกลุ่มที่เจ็บหนักที่สุด เพราะความหวังลมๆ แล้งๆ จากการพนันที่หลอกล่อพวกเขาให้เอาเงินก้อนสุดท้ายไปเสี่ยง โอกาสที่จะ “หมดตัว” มีสูงกว่าการถูกรางวัลเสมอ แต่คนที่ได้กลับเป็นเจ้าของเว็บและรัฐบาลที่เก็บภาษีอยู่บนหนี้สินและน้ำตาของประชาชน

การพนัน…ไม่ใช่คำตอบของประเทศนี้

ถ้ารัฐบาลนี้มีวิสัยทัศน์รักในประชาชนจริงๆ ข้าพเจ้าเห็นควรเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมที่สร้างอนาคต เช่น การศึกษา การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยี มากกว่าการพึ่งรายได้จากความทุกข์ของคนจน การพนันไม่ใช่ทางลัด มันคือ “หลุมดำ” ที่ทำให้ประชาชนจมลึกลงไปในปัญหาที่แก้ไม่จบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top