เพื่อให้ประเทศเดินหน้า!! ‘บิ๊กป้อม’ เผย!! แม้มี ‘สำนึกอนุรักษ์นิยม’ แต่เข้าใจใน ‘ประชาธิปไตยเสรีนิยม’
(1 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์จดหมายเปิดใจฉบับที่ 4 ซึ่งเป็นฉบับที่มีเนื้อหาต่อจากจดหมายเปิดใจ ‘ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง’ ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาที่เล่าถึงสภาพแวดล้อมในวัยเด็กของ พล.อ.ประวิตร และประวัติการรับราชการทหาร ตั้งแต่สำเร็จการศึกษาโรงเรียนนายร้อยโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) จนเติบโตจากกองทัพภาคที่ 1 ในสังกัดกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือคนส่วนใหญ่รู้จักในนาม ‘ทหารเสือราชินี’
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ชีวิตถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยความเป็น ‘ทหารอาชีพ’ จาก ‘ทหารชั้นผู้น้อย’ ค่อยๆ เติบโตมาจนเป็น ‘ผู้บัญชาการกองทัพ’ และด้วยการปลูกฝังจากสังคมแวดล้อม ระบบการศึกษา และหน้าที่การงาน ทำให้ตนมีความจงรักภักดีที่มีต่อ ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’ เป็นสภาวะที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณ
พล.อ.ประวิตร ระบุต่อว่า บ้านของตนเป็นแหล่งรวมการใช้ชีวิตของพี่น้องเพื่อนฝูงมาตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสือ จนกระทั่งทำงานรับใช้ราชการ เป็นที่พบปะ หารือ ช่วยเหลือเกื้อกูล มีอะไรก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ชีวิตที่ดำเนินไปเช่นนี้ทำให้รับรู้ว่า ผู้มีความรู้ความสามารถเหล่านี้ มีไม่น้อยเลยที่มีเจตนาดี และมีจิตใจที่พร้อมจะเสียสละมาทำงานเพื่อประเทศชาติ หากรัฐสภาและรัฐบาลได้คนมีความรู้ความสามารถเหล่านี้เข้ามาร่วมงาน จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำพาประเทศพัฒนาสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับความเป็นไปของประเทศคือ โอกาสที่คนเหล่านี้จะได้เข้ามาร่วมทำงานให้กับประเทศนั้นมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีหนทางเลย ระบอบประชาธิปไตยของประเทศเรา กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ปิดกั้นพวกเขา
การแข่งขันทางการเมืองที่มุ่งเอาชนะคะคานสูงยิ่ง ทำให้ทุกคนที่คิดจะเข้ามาเสี่ยงกับการเป็นเป้าถูกโจมตี ทำลายล้าง ความคิดที่จะเสียสละมาทำงานเพื่อชาติกลายเป็นเปิดทางให้ตัวเองถูกทำลาย และแม้จะมีบางคนที่กล้าพอจะเข้ามา ทว่าวัฒนธรรมการเลือกตั้ง ไม่เอื้อให้คนมีความสามารถเหล่านี้ได้รับชัยชนะ เนื่องจากไม่มีความสามารถในการหาคะแนนเท่ากับ ‘ผู้มีอาชีพนักการเมือง’ ที่มีความเชี่ยวชาญในการหาวิธีได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมากกว่า คนมีความรู้ ความสามารถ และมีเจตนาดีต่อการพัฒนาประเทศเหล่านี้ แทบไม่เหลือโอกาสที่จะเข้ามาทำงานให้ประเทศในระบบที่อำนาจต้องผ่านการเลือกตั้ง ตามที่ฝ่าย ‘ประชาธิปไตยเสรีนิยม’ มุ่งมั่น กำหนด
