Friday, 3 May 2024
ชาติพัฒนากล้า

‘กรณ์’ ลุยภาคใต้ 2 สัปดาห์ติด มั่นใจกระแสดี ปักธงใต้อย่างน้อย 5 คน การันตี!! ผู้สมัคร ‘ชพก.’ เน้นลงมือทำ-แก้ปัญหา พาใต้สู่ยุครุ่งเรืองได้

(11 พ.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ยังคงปักหลักอยู่ที่ จ.ภูเก็ต เพื่อช่วย 2 ผู้สมัคร นายเทมส์ ไกรทัศน์ เขต 2 เบอร์ 7 และนางสาวอรทัย เกิดทรัพย์ เขต 3 เบอร์ 1 ขอเสียงประชาชนในช่วงท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง

โดยช่วงเช้า นายกรณ์ได้ขึ้นรถแห่พร้อมด้วยนายเทมส์ ไปยัง ต.ฉลอง ต.ราไวย์ อ.เมือง เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมา ตลอดจนผู้ประกอบการร้านค้าสองข้างทาง และหมู่บ้านต่างๆ โดยมีเสียงตอบรับและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งชูมือสัญลักษณ์เลข 7 ตลอดเส้นทาง โดยนายกรณ์ ได้ฝากนายเทมส์ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีจิตสาธารณะ เป็นคนที่เราใฝ่หาคนแบบนี้มาตลอด ทำให้มั่นใจว่าเขาจะเป็นส.ส.ที่ดีให้กับชาวภูเก็ตได้อย่างแน่นอน ขณะที่นายเทมส์ ก็ได้เสริมว่า เพื่ออนาคตของภูเก็ต ถ้าได้เทมน์ ไกรทัศน์ เบอร์ 7 ท่านจะได้ ส.ส.เด็ดๆ ได้ภูเก็ตที่ดีกว่า ได้คนทำงาน ได้คนกล้า เข้าไปแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน    

จากนั้นนายกรณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ กับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้มั่นใจว่า ผู้สมัครทั้ง 2 คนที่พรรคชาติพัฒนากล้า ส่งลงจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน เพราะประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง วันนี้ภูเก็ตจะมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามามาก แต่เราไม่ได้มองแค่ตัวเลขนักท่องเที่ยวหรือ หรือ ตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มขึ้น แต่เราต้องไปดูในระดับประชาชนว่าเขาได้รับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างไร ภูเก็ตควรมีโอกาสบริหารตัวเอง การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นธรรม เราพูดแต่แรกว่า ภูเก็ตจะเป็นเมืองระดับโลกที่แท้จริงได้ สาธารณูปโภคต้องอยู่ในระดับมาตรฐานของโลกด้วย และตัวของ ส.ส.ที่จะเข้ามาเป็นตัวแทนของชาวภูเก็ต นอกจากจะพึ่งพาได้แล้ว ยังต้องเป็นคนที่คนภูเก็ตภาคภูมิใจ ว่าเขาเป็นตัวแทนในระดับสากลได้ด้วย นอกจากนี้เรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุเหตุมาจากต้นทุนพลังงาน และค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เราต่อสู้มาโดยตลอด นอกจากนี้ในช่วง 2 ปี ที่ภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงักเพราะสถานการณ์โควิด หนี้สินภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น เราจะเข้ามาช่วยคนตัวเล็กให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม 

นายกรณ์ กล่าวว่า กระแสของพรรคชาติพัฒนากล้าในภาคใต้ดีวันดีคืน ตนมาอยู่ที่ภาคใต้ตลอดสองสัปดาห์ ตระเวณช่วยผู้สมัคร ปราศรัยหาเสียง ตั้งแต่ ภูเก็ต สงขลา หาดใหญ่ พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ฯลฯ แม้เราจะไม่ได้ส่งผู้สมัครครบทุกเขต แต่คะแนนของผู้สมัครเราอย่าในระดับดี ประชาชนให้การยอมรับในท่าทีของเราที่ไม่ขัดแย้งกับใคร เรายึดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก เพราะการลงพื้นที่ไม่เคยมีใครถามว่า เราจะอยู่ฝ่ายไหน มีแต่สะท้อนปัญหาความเดือดร้อนให้เราช่วยผลักดันแก้ไข เราจึงส่งผู้สมัครคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจเปลี่ยนแปลงการเมือง เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าการเมืองไม่เปลี่ยน เพราะปัจจุบันการผูกขาดมันมากขึ้นเรื่อยๆ และครอบงำการเมืองระดับประเทศ พรรคเราเป็นพรรคเล็กที่ปราศจากทุนผูกขาดอุปถัมภ์ เราสู้แบบไม่ต้องเกรงใจใคร และผู้สมัครทุกคนก็มีอิสระทางความคิดของตนเอง 

“ภาคใต้เราส่งผู้สมัคร 19 คน ผมมั่นใจเข้ามาได้อย่างน้อย 5 คน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงสำหรับพรรคขนาดเล็กของเรา และหากเข้ามาได้ จะมีผลต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของภาคใต้ ที่จะกลับไปสู่จุดเดิม ผมเป็นคน กทม.เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาก่อน มีความชื่นชมการเมืองภาคใต้ตลอด รู้สึกว่าการเมืองภาคใต้ เป็นผู้นำทางความคิด และผู้นำในระดับประเทศ แต่ช่วงนี้มันหายไป เราไม่เห็นบุคคลที่โดดเด่นทางความคิดในทางปฏิบัติ เหมือนในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ผมเชื่อว่าชาวใต้เองก็โหยหา ในส่วนของคนรุ่นใหม่พรรคชาติพัฒนากล้าครั้งแรกผมก็ไม่ได้มั่นใจนัก แต่พอเขาแสดงตน มีหลายคนที่จะสามารถนำพาการเมืองกลับไปสู่เหมือนเดิมได้ เพราะมีอุดมการณ์ที่ชัดเจนคือ ไม่ซื้อเสียง นำความคิด เน้นเรื่องลงมือทำ เน้นการแก้ปัญหา ทั้งเทมส์ – อรทัย ภูเก็ต, จูรี หาดใหญ่ สงขลา, ทนายลิขิต ชุมพร, นายหัวสิทธิ ชะอวด นครศรีธรรมราช คนพวกนี้จะเข้าไปเป็นเชื้อการเมืองที่ดี แนวสร้างสรรค์ นำมาการเมืองภาคใต้ไปอยู่ยุครุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ ผมเชื่อแบบนั้น” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว  

ด้านนายเทมส์ กล่าวว่า การเลือก ส.ส.เขต คือเลือกตัวบุคคล โดยส่วนตัวไม่อยากให้การเมืองใหญ่มาเป็นปัจจัยในการลงคะแนน หยิบปากกาให้มั่น เลือกคนที่คุณมั่นใจจริง ๆ เราไม่ได้เลือกแล้วมีผลต่อการตั้งรัฐบาลทันที แต่สิ่งที่สำคัญคือ ชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน อย่าเลือกด้วยความกลัวว่าใครจะกลับมาหรือใครจะอยู่ต่ออีกกี่ปี แต่อยากให้เลือกด้วยความหวัง ว่าเศรษฐกิจหลังจากนี้จะดีขึ้น ปากท้องดีขึ้น เงินต้องมี สินค้าต้องไม่แพง เราต้องเลือกด้วยความหวังว่า คนไหนที่จะมาแก้ปัญหาให้เราได้ และ ส.ส.เขตคนไหนที่เราพึ่งได้จริงๆ ว่าเขาจะแก้ไขปัญหาให้เราได้ พูดแทนเราได้จริง การเมืองไทยจะดีขึ้น 14 พฤษภาคม เลือกเทมส์ ไกรทัศน์ เบอร์ 7 ไม่ผิดหวังแน่นอน

‘นุ่น ยศยา’ ตอกย้ำจุดยืนสายมู นิมนต์พระเจิมป้ายเสริมสิริมงคล หวังคว้าชัย เข้าไปผลักดันนโยบาย ‘เศรษฐกิจสายมู’ ของ ‘ชพก.’

(11 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน สีสันการเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้ายการหาเสียงของ ผู้สมัคร ส.ส.อย่างวันนี้ นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ หรือนุ่น ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง บางนา เบอร์ 2 จากพรรคชาติพัฒนากล้า ตอกย้ำจุดยืนความเป็นสาวสายมู นิมนต์พระเกจิอาจารย์มาเจิมและสวดมนต์เอาฤกษ์เอาชัยป้ายเพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่ป้ายประชาสัมพันธ์ตนเอง ทั่วเขตพระโขนง และเขตบางนา สร้างความฮือฮาแก่ผู้คนที่ละแวกนั้นไม่น้อย นับเป็นสีสันแห่งการทิ้งโค้งช่วงสุดท้ายที่สะท้อนให้เห็นถึงหลักความเชื่อ และศิลปะวัฒนธรรมของชาวไทย เชื้อสายพุทธที่มีมาช้านาน 

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนลงพื้นที่ พบปะพี่น้องประชาชนและขอคะแนนเสียง มาจนถึงวันนี้ มั่นใจเกินร้อยว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่ง ‘นุ่น ยศยา’ เบอร์ 2 เข้าไปทำงานในสภา เพื่อเข้าไปผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสายมู สร้างแลนด์มาร์คเชิงศรัทธาทั่วไทย 77 จังหวัด เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และเพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ใหม่ให้คนไทยทั้งประเทศ

นายสาวยศยา กล่าวว่า แม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ แต่ให้จำสโลแกนที่ใช้หาเสียงมาตลอดคือ “สายมู พร้อมอยู่คู่ประชาชน” ตนพร้อมอาสาเข้ามาทำงานการเมือง หญิงแกร่งคนนี้จบการศึกษาปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจ อาสามาทำงานการเมืองโดยมุ่งทุบทุนผูกขาด สร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้คนไทยทุกคน เพื่อให้คนไทย “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” ทั่วทั้งประเทศ ฝากพี่ ๆ น้อง ๆ เป็นกำลังใจให้น้องนุ่น ยศยา ชิยาปภารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต เขตพระโขนง และเขตบางนา วันที่ 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 2 เพื่อให้นุ่นได้เข้าไปทำงานในสภา และกาเบอร์ 14 เพื่อให้ทีมเศรษฐกิจจากพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าไปแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน

‘กรณ์’ ชี้ เดินสายมา 1,183 วัน ปชช. คือแรงบันดาลใจให้สู้มาตลอด ย้ำจุดยืนครั้งสุดท้าย!! ‘ชพก.’ ทุบทุนผูกขาด เพิ่มโอกาสให้ ปชช.

เมื่อวันที่ 12 พ.ค.66 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนทำงานในฐานะหัวหน้าพรรค เดินสายพบพี่น้องประชาชน ทั้งปราศรัยและลงพื้นที่ มาถึงวันนี้ 1,183 วันเต็ม สะสมความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์มามากมาย ตนทำงานทุกวันไม่เคยท้อ เพราะมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ ของพรรคชาติพัฒนากล้า วันนี้อยากบอกกับพี่น้องว่า เป้าหมายการทำงานของพรรคชาติพัฒนากล้า เราจะมาทำงานเพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทยรวยขึ้น แต่ความรวยไม่สามารถแก้ปัญหา และทำให้เรามีความสุขได้ เราจะไม่มาอ้างเหมือนนักการเมืองหลายๆคน ว่าจะมากำจัดคนยากคนจนออกจากบ้านเมือง ทุกประเทศทั่วโลกก็ต้องมีคนจนที่เราต้องดูแล แต่สิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้าจะให้คือโอกาสที่จะทำให้อนาคตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น

นายกรณ์ กล่าวว่า ตนอยากให้คนไทยไม่ว่าจะเกิดมาจากที่ไหน ภาคไหน คนไทยทุกคนมีโอกาสที่จะฝัน ที่จะเชื่อว่า ถ้าเขาขยัน มุ่งมั่น ตั้งใจ เขาจะมีโอกาสที่จะมีชีวิต และรวยขึ้นได้ วันนี้คนไทยยังไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะกติกาของสังคมที่คนไทยทุกคน ขอให้ขยันและตั้งใจโอกาสมีแน่นอน และพรรคชาติพัฒนกล้า เป็นพรรคแห่งโอกาส ข้อเสนอนโยบายประชาชนนิยม ลดแลกแจกแถม เราทำประชานิยมมาแล้วกี่ยุคสมัย สุดท้ายคนไทยก็ยังไม่รวย เพราะติดกับดักว่า โอกาสก้าวหน้าเขาไม่มี วาทกรรมการเมือง ว่า เบี้ยผู้สูงอายุ จำนำข้าว และจะไปตัดงบทหาร เป็นรัฐสวัสดิการ ขอบอกว่าต่อให้ยุบกระทรวงกลาโหม ก็จะได้เงินมาแค่ 2 - 3 แสนล้านบาท ไม่ถึงครึ่งของนโยบายที่นำเสนอกัน ประเทศเราไปจุดนั้นได้ เราต้องรวยกว่านี้อีกเยอะ นั่นคือการสร้างโอกาสให้กับพี่น้องประชาชน

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า ประชาชนทุกคนต้องมีความเชื่อ มีความหวัง สิ่งที่ตนได้รับมาตลอดคือของฝากจากพี่น้องประชาชน คือฝากให้เราช่วยดูแล แก้ปัญหาปากท้อง ที่จ.ภูเก็ตช่วงโควิด ทำมาหากินไม่ได้เลย ฝากช่วยดูแลเรื่องดอกเบี้ย โอกาสการกู้ยืมเงิน พอมา จ.ชุมพร พี่น้องประชาชนก็ฝากเรื่อง ราคาพืชผลทางการเกษตร ราคาปุ๋ย ไปที่ไหนมีแต่ของฝาก นี่คือความจริง ประชาชนยังมีความหวัง ถ้าเขาไม่หวัง ไม่ศรัทธา เขาไม่มาฝากพรรคชาติพัฒนากล้าหรอก และนี่คือแรงบันดาลใจที่เราสู้มาตลอดพันกว่าวัน

นายกรณ์ กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค แรงบันดาลใจนอกจากมาจากประชาชนแล้ว ทีมงานของเราทุ่มเทเสียสละ ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ขอเพียงโอกาสช่วยบ้านเมือง ตนขอยกตัวอย่างเพื่อนผู้สมัคร 2 คนๆ แรกคือ เลขาธิการพรรค นายเทวัญ ลิปตพัลลภ วันนี้ไม่ได้อยู่กับเรา นายเทวัญ เลือกที่จะสู้ด้วยการแข่งขันในเขตเลือกตั้งเดิมของตัวเองคือเขต 1 โคราช ที่มีการแข่งขันหนักมาก ตนขอส่งกำลังใจไปให้นายเทวัญ ด้วย ผู้สมัครอีกท่านคือ นายจูรี นุ่มแก้ว เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เรื่องราวชีวิตเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ตน ผู้สมัคร และพี่น้องชาวใต้นับล้านคน เขาต่อสู้แนวทางสร้างสรรค์ บริสุทธิ์ นายจูรีทำงานเพื่อส่งตัวเองเข้าเรียน  ใฝ่คว้าหาโอกาสด้วยตัวเขาเองจนประสบความสำเร็จ ทั้งเป็น นักกฎหมายรับราชการ เป็นสื่อมวลชน จนมาเป็นดาวติ๊กตอก สร้างรายได้หลายสิบล้าน จากนั้นเขาทิ้งทุกอย่าง เพื่อทุ่มเทให้กับการเมือง สองท่านคือ ดีเอ็นเอ คือการสร้างโอกาสให้กับพี่น้องประชาชน เน้นเรื่องของการสร้างโอกาส

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า  เราเป็นพรรคที่นำเสนอยุทธศาสตร์ชัดเจน เราจะสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนได้ เราจะสร้างรายได้ให้กับประเทศ 5.5 ล้านล้านบาท ซึ่งต่างจากพรรคอื่นคือเราสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในระดับครัวเรือน เพราะเรามองประชาชนอยู่ศูนย์กลาง เช่น นโยบายเฉดสีเชียว การสร้างโรงงานไฟฟ้าโดยประชาชนที่มีหลังคาบ้าน , เฉดสีขาว เราส่งเสริมการท่องเที่ยวสายมู ฯลฯ และไม่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น โอกาสทางการเมืองก็สำคัญ การใช้สิทธิของพี่น้อง มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เรายืนหยัดคือความเป็นประชาธิปไตยของบ้านเมือง เราจะเข้าร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาล่าง โดยไม่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.

นอกจากนี้ ในเรื่องคุณภาพชีวิต เราเดือดร้อนปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 เราต่อสู้เพื่อให้พี่น้องมีอากาศสะอาด ผ่าน พ.ร.บ.อากาศสะอาด หรือโอกาสของผู้สูงอายุที่จะมีบ้านที่ปลอดภัย ผ่านโครงการอารยสถาปัตย์ , ช่วงกลางคืนทุกคนเงยหน้าต้องมองเห็นดาว เราจึงมีนโยบายคุ้มครองพื้นที่ที่เป็นฟ้ามืดเป็นมรดกให้ลูกหลานเราสามารถดูดาวได้ เราต้องการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ สิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้าให้ความสำคัญอีกโครงการที่อยากพูดถึงวันนี้คือ ถึงเวลาแล้วที่กองสลากจะเพิ่มสัดส่วนคืนกำไรให้กับประชาชนผ่านโครงการ หวยจังหวัดๆ ละ 3 ล้านบาท สร้างเศรษฐีจังหวัดละ 3 คนในทุกงวด

นายกรณ์ กล่าวว่า แม้เราจะเป็นพรรคเล็ก แต่เป็นพรรคเล็กที่คิดใหญ่ ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางประเทศ เราจะทำให้ทุกคนรวยขึ้น มีคำถามว่า นโยบายที่เรานำเสนอ ดูเป็นเรื่องใหญ่ แล้วพรรคเล็กเลือกไปแล้วทำได้จริงหรือ ขอตอบว่า ถ้าพี่น้องย้อนกลับไปดู สองปีที่ผ่านมา เมื่อเจอปัญหาหนักๆ เช่น ค่าน้ำมันแพง ไฟแพง อัตราดอกเบี้ยแพงพี่น้องกู้ยืมเงินไม่ได้ มีพรรคไหนสู้เพื่อพี่น้องบ้างนอกจากเราพรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญเท่าขนาดของหัวใจ อยู่ที่ความตั้งใจถ้าเรามีโอกาสเราต่อสู้เต็มที่ พรรคเราจะมี ส.ส.กี่คนก็แล้วแต่ตนมั่นใจหัวใจของผู้สมัครทุกคน

สุดท้ายวันอาทิตย์นี้ มันเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ ที่ท่านรอมา 4 ปี ในการที่จะใช้สิทธิไปเลือกตั้ง เพื่อกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศ ตนอยากเชิญชวนให้ท่านใช้สิทธิหนึ่งครั้งนี้ของเราในการสร้างพลังบวกให้กับสังคมไทย ที่พูดแบบนี้เพราะการเลือกตั้งแต่ละครั้ง มันจะมีกระบวนการปั่นให้เราทั้งกลัวทั้งเกลียดในทุกยุคทุกสมัย ไม่มีอะไรต้องกลัว สิ่งที่เขาไม่พูดถึงคืออิทธิพลของทุนผูกขาดที่อยู่เหนือการเมือง พรรคยิ่งใหญ่ยิ่งต้องอาศัยทุนผูกขาด แต่พรรคเราพรรคเล็กที่มีอิสระในการต่อสู้ ที่ประชาชนวางใจได้ เราไม่อยู่ภายใต้ทุนผูกขาด วันที่ 14 พฤษภาคม พี่น้องเลือกด้วยพลังบวก เลือกคนที่ท่านศรัทธา อย่าเลือกด้วยความกลัว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะเก็บความภาคภูมิใจจนถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าเราได้ใช้ 1 เสียงของเรา ไปสู่พลังบวก ดีกว่าเราเลือกด้วยพลังลบที่ทั้งเกลียดและกลัว 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 14 เลือกพรรคชาติพัฒนากล้า และเบอร์ผู้สมัครทุกเขตที่อยู่ในพื้นที่ท่าน

‘กรณ์’ ขึ้นรถแห่ทั่วกรุงฯ ชวน ปชช. เลือก ‘ชพก.’ เบอร์ 14 พร้อมขอโอกาสเข้าสภาฯ ไปแก้ ‘เศรษฐกิจปากท้อง’ ให้คนไทย

(13 พ.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ลงพื้นที่ เพื่อช่วยลูกพรรคหาเสียงเป็นวันสุดท้าย เพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าเริ่มจากเข้าสักการะพระแม่อุมาเทวีและสิ่งศักดิ์สิทธิที่ วัดแขก เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะเดินทางไปยังตลาดศรีย่าน ราชวัตร ซึ่งเป็นพื้นที่หาเสียงของนายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 9 จากนั้นได้ขึ้นรถแห่ไปยังเขตลาดพร้าว ซึ่งเป็นพื้นที่ของ นายบุญสืบ จันทร์แจ่มศรี ผู้สมัคร เบอร์ 3 และเขตบางกะปิ พื้นที่ของนายธาม สมุทรานนท์ ผู้สมัครเบอร์ 8 ก่อนจะตรงไปยังตลาดบองมาเช่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของ นางสาววิเวียน จุลมนต์ ผู้สมัครเบอร์ 10 

โดยนายกรณ์ ได้เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม กาเบอร์ 14 พรรคชาติพัฒนากล้า และกาเบอร์ผู้สมัครของพรรคชาติพัฒนากล้าในทุกเขตเลือกตั้ง โดยตลอดเส้นทาง ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี โดยประชาชนโบกมือทักทาย และอวยพรให้โชคดี ได้เข้าไปทำงานแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน ตามที่ได้ตั้งใจไว้ จากนั้นคณะได้พักรับประทานอาหารที่ตลาดบองมาเช่ ก่อนที่นายกรณ์ จะให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พรรคชาติพัฒนากล้าจะได้มีโอกาสลงพบปะพี่น้องประชาชนขอคะแนนเสียง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปหาเสียงกันในเขตของตัวเอง อยากฝากประชาชนว่าในวันที่ 14 พฤษภาคม อยากให้ไปใช้สิทธิกันมาก ๆ และหากเห็นว่าประเด็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ควรได้รับการดูแลเหนืออื่นใด ก็ขอให้พิจารณาเลือกพิจารณาพรรคชาติพัฒนากล้า เพราะพรรคเราเป็นพรรคเศรษฐกิจที่มีความเชี่ยวชาญและมีความตั้งใจที่จะมาแก้ปัญหาปากท้องโดยเฉพาะ และมีทีมงานที่ผสมผสานกันระหว่างคนรุ่นเก่า และผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเศรษฐกิจ ธุรกิจ พร้อมรับใช้ท่าน 

“ขอให้ท่านส่งพลังบวกเลือกในสิ่งที่ท่านต้องการจริง ๆ อย่าไปกังวลว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยถ้าเราได้เลือกในสิ่งที่เราชอบและศรัทธาแล้ว ก็เชื่อว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ เราจะมีความภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของเรา และหากกรุณาเลือกเบอร์ 14 ทั่วประเทศ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี ถ้าเรามีโอกาสเข้าไปทำงาน เราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

ต่อมาในช่วงบ่าย นายกรณ์ พร้อมคณะ ออกจากตลาดบองมาร์เช่ ขึ้นรถแห่ไปตามถนนในเขต บางเขน จตุจักร หลักสี่ ในพื้นที่ของ ดร.แวววรรณ ก้องไตรภพ ผู้สมัครเบอร์ 3 ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง ถ.สาทร ซึ่งเป็นพื้นที่หาเสียงของ 3 ผู้สมัคร คือ นายนันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์ เขต1 เบอร์9 นายวรนนท์ อัศวกิตติเมธิน เขต2 เบอร์ 3 สาทร ปทุมวัน ราชเทวี และ นายปรัชญา อึ้งรังสี เขต3 เบอร์ 14 บางคอแหลม ยานนาวา โดยตลอดเส้นทางถนนสาทร นราธิวาสฯ พระราม3 ประชาชนรอให้การทักทายอย่างคับคั่ง

‘สุวัจน์’ ขอบคุณ ‘เศรษฐา’ แต่งตั้ง ‘เทวัญ’ นั่งที่ปรึกษานายกฯ ย้ำ!! ชพก.ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการทํางานร่วมกับรัฐบาล

(16 ก.ย.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ได้กล่าวขอบคุณนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขอบคุณพรรคแกนนําพรรคเพื่อไทยที่ได้กรุณาให้เกียรติให้นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้เข้าไปเป็น 1 ใน 9 ของคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 

“พรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร เมื่อบ้านเมืองมีวิกฤตก็ได้ร่วมมือกันทำให้งานที่ยากลําบากผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เป็นความร่วมมือของ 11 พรรคร่วมรัฐบาลในการที่จะสานต่อรวมพลังกันทํางานในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้ประสบความสําเร็จ ฉะนั้น พรรคชาติพัฒนากล้า ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการทํางานร่วมกับรัฐบาล” นายสุวัจน์ กล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวว่า การทํางานของรัฐบาล ‘เศรษฐา 1’ ทำได้รวดเร็ว อะไรทําได้ทําทันที ถูกใจและตรงกับปัญหาของพี่น้องประชาชน ถ้าสามารถรักษาอัตราความเร็วของการทํางานบวกกับประสิทธิภาพแล้วสามารถจะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายระยะสั้น ระยะยาวที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน คือ เรื่องสินค้าราคาแพง, เรื่องลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน, การพักหนี้เกษตรกร, การพักหนี้ SME, การกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ส่วนระยะยาว คือ การสร้างรายได้ สร้างโอกาส และการรักษาคุณภาพชีวิต โดยการเพิ่มรายได้การส่งออกเป็นหลัก, การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล, การหาตลาดการค้าใหม่, การปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม แสงแดดทำให้ต้นทุนไฟฟ้าถูกลง, การแสวงหา แก๊ส น้ำมัน ในอ่าวไทย, การกำหนดโครงสร้างค่าการกลั่นน้ำมัน, การสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชนในเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ทำกิน, การหยิบ soft power มาเป็นพลังในการต่อยอดเศรษฐกิจ ต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ Soft Power 

“โดยภาพรวมถ้ารัฐบาลสามารถที่จะขับเคลื่อนนโยบายที่ได้แถลงต่อสภาทั้งระยะสั้น ระยะยาวให้เป็นไปตามกรอบ ตามแนวทาง พร้อมรับข้อเสนอของฝ่ายค้านได้จะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ” นายสุวัจน์ กล่าว

ยัดห้องเย็นปั่นราคา!! 'กำนันอู๊ด' สส.ชาติพัฒนากล้า แฉมีคนคุมกลไกราคาไข่ จี้!! 'รมว.พาณิชย์' เร่งจัดการ ก่อนไข่ 'เศรษฐา' ราคาพุ่ง

(29 ก.ย.66) คุณประสาท ตันประเสริฐ หรือ กำนันอู๊ด สส.นครสวรรค์ พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ตั้งกระทู้ถาม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงปัญหาราคาไข่ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า...

นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าคือ ราคาสินค้าต้องถูก โดยเฉพาะอาหารที่ทุกคนต้องบริโภคทุกวัน โดยเฉพาะไข่ ที่เป็นอาหารหลักของคนไทย แต่ทุกวันนี้หากสั่งข้าวกะเพราราคาจานละ 40 บาท เมื่อเพิ่มไข่ดาว ราคาจะเพิ่มเป็น 50 บาท

จากการสำรวจราคาไข่หน้าฟาร์มพบว่า เวลานี้ไข่ไก่ เบอร์ 3-4 ราคาต่อแพค (30 ฟอง) 137 บาท เบอร์ 2-3 ราคา 165 บาท ถ้าขนาดจัมโบ้ ราคาพุ่งไปที่ฟองละ 8.30 - 8.80 บาท และถ้าเราซื้อไข่ลวกในร้านสะดวกซื้อ ถ้าเป็นไข่ไก่เบอร์ 3-4 ราคาตกฟองละ 8.50 บาท ไข่ต้มฟองละ 11 บาท ส่วนไข่เป็ด ราคาหน้าฟาร์มฟองละ 4 บาท ถ้าฟองใหญ่ราคา 4.60 บาท และเมื่อต้องผ่าน ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว กว่าจะถึงมือประชาชนราคาจะเพิ่มเป็นฟองละ 5-6 บาท แต่ชาวบ้านก็ต้องซื้อ เพราะเป็นอาหารหลัก

“เราไม่โทษเกษตรกรที่ขายราคาแพง เนื่องจากอาหารสัตว์ ที่เป็นต้นทุนขึ้นราคาจาก 400 บาทขึ้นเป็น 550 บาท ทำให้ราคาไข่หน้าฟาร์มแพงขึ้น แต่สิ่งที่อยากบอกคือ กลไกราคาของไข่ มีคนควบคุมที่จะให้ถูกหรือแพง ถ้าต้องการให้ไข่แพง เขาก็เอาไข่เข้าห้องเย็น ให้ไข่หายจากท้องตลาด ราคาไข่จะพุ่งสูงขึ้นเพราะความต้องการสูง ซึ่งถ้าเขาอยากให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เจ๊ง ก็นำไข่ออกมาจากห้องเย็น ดังนั้นจึงขอความกรุณา รมว.พาณิชย์ ช่วยมาจัดการในเรื่องนี้ เพื่อให้ไข่น้านิด ถูกนิดๆ สมชื่อท่านนายกรัฐมนตรี”

‘นพ.วรรณรัตน์’ แนะ!! รัฐบาลจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งระยะยาว ช่วยเกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี

(5 ต.ค. 66) นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมอภิปรายในญัตติการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยระบุว่า ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อโลกยิ่งร้อนขึ้น การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิอากาศ ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย และส่งผลกระทบไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น การเกิดคลื่นความร้อนที่รุนแรง ฝนตกหนักจนน้ำท่วม พายุหมุนที่รุนแรง ภาวะความแห้งแล้ง เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ ก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายอย่างมหาศาล ต่อมวลมนุษยชาติ อย่างที่ชาวโลกกำลังประสบอยู่ในเวลานี้

ผู้จัดการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านอุทกภัยสูง เป็นอันดับที่ 9 ของโลก รองจาก เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งการเกิดอุทกภัยในปี 2554 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของไทย นอกจากจะทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 680 ราย และส่งผลกระทบต่อประชากรเกือบ 13 ล้านคนแล้ว ยังสร้างความเสียหาย และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศคิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 1.4 3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 12.6% ของ GDP หรือประมาณ 40% งบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นต้องมีกรอบการทำงานที่เข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องจัดทำแผนแม่บท เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ทั้งการวางแผนระยะสั้นและระยะยาว ในทุกลุ่มน้ำที่สำคัญของประเทศ ทั้ง 25 ลุ่มน้ำ นับตั้งแต่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นต้นไป 

"ไม่ว่าจะต้องใช้เงินงบประมาณ มากน้อยเพียงใด เราก็จำเป็นต้องทำเพราะหากเรามัวแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวแล้ว เราก็จะไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่านี้ได้อย่างถาวร"

เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศของภาคอุตสาหกรรมด้านการค้าการลงทุน ที่มีการก่อสร้างทั้งถนนมอเตอร์เวย์, ระบบรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ซึ่งต้องใช้งบประมาณแผ่นดินหลายล้านล้านบาท เราก็ยังกล้าลงทุน แต่เรายังไม่เคยลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรกรรมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของน้ำ

ทั้งนี้ การแก้ปัญหาอุทกภัยและปัญหาภัยแล้ง นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดจากน้ำท่วมขังแล้ว ยังจำเป็นที่จะต้องสร้างระบบเก็บกักน้ำหรือแก้มลิง และระบบชลประทานเพื่อการเกษตร ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบพร้อมกันไปด้วย เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากปัญหาอุทกภัย มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี และมีน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมอย่างพอเพียงและยั่งยืน

“ถ้าเรามีน้ำเพื่อการเกษตรกรรมอย่างพอเพียงแล้ว เกษตรกรก็สามารถที่จะทำนาทำไร่ และประกอบอาชีพเกษตรกรรมอื่น ๆ ได้ตามปกติ สามารถสร้างผลิตผลทางการเกษตรออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และถ้าสามารถนำไปขายได้ในราคาที่เป็นธรรมแล้ว เชื่อมั่นว่าปัญหาหนี้สิน และปัญหาความยากจนของเกษตรกรก็จะหมดสิ้นไป หรือพูดง่าย ๆ ว่าถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องน้ำได้ เราก็จะสามารถแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรได้ จึงขอฝากรัฐบาลพิจารณาดำเนินการ จัดทำแผนแม่บท เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ที่เกิดขึ้นซ้ำซากให้หมดไป รวมทั้งการพัฒนาระบบชลประทาน และแหล่งเก็บกักน้ำให้พอเพียงกับความต้องการทางด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม และเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนทั่วทั้งประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”

'อรรถวิชช์' ไขก๊อก!! ลาออกรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลุยงานภาคประชาชน เดินหน้าโปรเจกต์แก้กฎหมายเครดิตบูโร ชวนทุกฝ่ายขับเคลื่อน

(11 ต.ค. 66) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดเผยว่า ตนจะไปทำโปรเจกต์เสนอร่างแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโร ฉบับประชาชน ให้ทันสมัยสามารถเข้าถึงสินเชื่ออย่างเป็นธรรม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งกลุ่มภาคประชาชน เครือข่ายลูกหนี้ ธนาคาร และพรรคการเมืองต่างๆ มาร่วมกันเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย จึงตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โดยได้แจ้งต่อประธานและหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าแล้ว

"คนจำนวนมาก เกินกว่า 5 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบ ไม่มีเงินทุนกลับมาฟื้นอาชีพ ฟื้นกิจการได้ การแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโร จะเป็นกลไกสำคัญในปฏิรูประบบสินเชื่อ การลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า จะทำให้คล่องตัวมากขึ้น ในการแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในการขับเคลื่อนร่างแก้ไขกฎหมายนี้ให้สำเร็จ" ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวด้วยว่า ผมได้ร่างกฎหมายแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตไว้แล้ว โดยผมได้หารือกับคุณกรณ์ จาติกวณิช ในรายละเอียดกฎหมายแล้ว ท่านก็พร้อมให้การสนับสนุน ผมหวังว่าการลาออกมาเดินสายพูดคุย ชี้แจงกับกลุ่มและพรรคการเมืองต่างๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

‘ครม.’ ตั้ง ‘อรัญ พันธุมจินดา’ ขรก.การเมือง สำนักเลขาฯ นายกฯ ฟาก ‘วัชรพล โตมรศักดิ์’ นั่งตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

(17 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรคชาติพัฒนากล้า’ ได้โพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับ ‘อรัญ พันธุมจินดา’ ผู้อำนวยการพรรคชาติพัฒนากล้า ได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ‘วัชรพล โตมรศักดิ์’ อดีต สส.โคราช 3 สมัยได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

ทั้ง 2 คนที่ได้รับตำแหน่ง มีประวัติการทำงานในด้านการเมืองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดย ‘อรัญ พันธุมจินดา’ จบการศึกษา ปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ ปริญญาโท นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายมหาชน และปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ 

เริ่มเข้าสู่การเมือง ในปี พ.ศ. 2548 ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ, ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...., ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภาผู้แทนราษฎร, ผู้ชำนาญการประจำสมาชิกวุฒิสภา ผู้ชำนาญการประจำสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายเทวัญ ลิปตพัลลภ

ส่วน ‘วัชรพล โตมรศักดิ์’ เป็นลูกโคราชโดยแท้ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2505 ที่ จ.นครราชสีมา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาศิลปศาสตร์ สถาบันราชภัฏนครราชสีมา, ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (การปกครองท้องถิ่น) มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี 2533 จากการเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาติดต่อกัน 6 สมัย เคยดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และประธานสภาองค์การบริหารการบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา

นายวัชรพล สวมเสื้อพรรคชาติพัฒนาลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการเลือกตั้งสมัยแรกในปี 2550 สมัยที่สองในปี 2554 และสมัยที่สามในปี 2562 จากนั้นได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรคชาติพัฒนา ในปี 2563 และรักษาการหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าในปี 2566

ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญอีกมากมาย โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการที่ดินและสิ่งก่อสร้างคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565, เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร, เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาช้างป่า, เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ

เคยดำรงตำแหน่ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ, เป็นรองประธานคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำป่าสัก, เป็นคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล), เป็นอนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมายของวิปรัฐบาล, เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 และเป็นโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัยพิจารณาปัญหาการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและศึกษาแนวทางช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญทางด้านกีฬา เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ หลายตำแหน่ง ตั้งแต่รองประธานกรรมาธิการการกีฬา สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า (สวาทแคท) เป็นประธานสโมสรวอลเลย์บอลนครราชสีมา วีซี และเป็นประธานสโมสรกีฬาลีลาศจังหวัดนครราชสีมา จากความรู้และประสบการณ์ที่มีเชื่อว่าจะสามารถทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี

'สุวัจน์' ยินดี 'แอนโทเนีย' หลานย่าโม คว้ารอง 1 มิสยูนิเวิร์ส 2023 พร้อมขอบคุณที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลก

(19 พ.ย.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า แสดงความยินดีกับ น.ส.แอนโทเนีย โพซิ้ว มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 ตัวแทนประเทศไทย ที่สามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Miss Universe 2023 ในการประกวดนางงามจักรวาล ครั้งที่ 72 รอบตัดสิน (Final Competition) ที่จัดขึ้น ณ ยิมเนเซียมแห่งชาติ ในกรุงซานซัลวาดอร์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ เช้าวันนี้ (ตามเวลาประเทศไทย)

โดยนายสุวัจน์ ได้แสดงความชื่นชมและขอบคุณแอนโทเนีย โพชิ้ว ซึ่งเป็นชาวโคราช หลานย่าโม ที่ได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยอย่างดีที่สุด จนสามารถคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1  Miss Universe 2023 มาครอง นอกจากนี้แอนโทเนียยังได้เผยแพร่ซอฟต์พาวเวอร์วัฒนธรรมไทยที่งดงามโดดเด่นแก่สายตาชาวโลก โดยเฉพาะชุดแต่งกายประจำชาติ ‘เทพธิดาอาณาจักรอยุธยา’ ที่ได้รับแรงบันดาลจากรูปปั้นพระแม่ธรณีในช่วงยุคสมัยอยุธยาของอาณาจักรสยามที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 

“ปีนี้เป็นปีครบ 555 ปี เมืองโคราช การได้ครองตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ครั้งนี้ของแอนโทเนีย นับเป็นเรื่องที่ชาวโคราชภาคภูมิใจและมีความสุขกับความสำเร็จของหลานย่าโมคนนี้ ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีระดับโลก ได้ใจคนโคราชและคนไทยทั้งประเทศ” นายสุวัจน์ กล่าว

สำหรับ แอนโทเนีย โพซิ้ว เธอเกิดเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 1996 (พ.ศ. 2539) ปัจจุบันอายุ 27 ปี เป็นเจ้าของแฮชแท็ก #หลานย่าโมจะGOจักรวาล มารดาของแอนโทเนียเป็นคนไทยและเป็นชาวโคราช บิดาเป็นชาวเดนมาร์ก ก่อนการประกวด เธอได้เข้าสักการะกราบเท้าย่าโม ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และยังเข้ากราบขอพรที่วัดศาลาลอย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่ท้าวสุรนารีสร้างขึ้น นอกจากนี้ แอนโทเนีย ยังชอบทำและชอบกินผัดหมี่โคราชด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top