Friday, 17 May 2024
ขอนแก่น

ขอนแก่น - เร่งระบายน้ำบึงหนองโคตร รับปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาอย่างต่อเนื่องเพื่อ ป้องกันน้ำท่วมเขตเศรษฐกิจของเมือง ผู้ว่าฯ คาดปีนี้ฝนตกชุก เร่งเตรียมรับน้ำในทุกพื้นที่อย่างเข้มงวด

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 20 เม.ย 2564 นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น นำเจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขอนแก่น, เทศบาลนครขอนแก่น และเทศบาลตำบลบ้านเป็ด ลงพื้นที่ตรวจสภาพปริมาณน้ำเก็บกักและการบริหารจัดการน้ำที่สถานีสูบน้ำพลังงานไฟฟ้าบึงหนองโคตร ต.บ้านเป็ด  หลังจากที่ได้เริ่มพร่องน้ำลงสู่คลองร่องเหมือง มานานกว่า 1 สัปดาห์

นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าขอนแก่น จะมีปริมาณฝนที่จะชุกกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ในขณะนี้จังหวัดได้มีการประสานไปยังเทศบาลตำบลบ้านเป็ด เดินเครื่องสูบน้ำ เพื่อระบายน้ำในบึงหนองโคตรลงอีก 3 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการรองรับน้ำ ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

" บึงหนองโคตรเป็นบึงขนาดใหญ่กว่า 800 ไร่ เป็นแก้มลิงในการรับน้ำจากชุมชนเมือง,ท่าอากาศยานขอนแก่น และกรมทหารราบที่ 8 ดังนั้น เมื่อพร่องน้ำได้ระดับ 3 เมตร จะทำให้รองรับน้ำได้ปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้พื้นที่เศรษฐกิจไม่มีปัญหาน้ำท่วมขังอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันได้สั่งการไปให้ทุกอำเภอ ได้มีการสำรวจ และวางแผนในการเฝ้าระวังน้ำท่วมเช่นกัน"

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า เขตพื้นที่เทศบาลนครขอนแก่น ได้วางแผนให้มีการพร่องน้ำออกจากคลองร่องเหมือง เพื่อให้น้ำไหลลงสู่บึงทุ่งสร้าง ก่อนที่จะมีการระบายต่อไปยังหนองอีเลิง และไหลลงสู่ห้วยพระคือ และแม่น้ำชี ในเขต ต.พระลับ อ.เมืองขอนแก่น ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป ขณะเดียวกันสำนักงานชลประทานที่ 6 เตรียมวางเครื่องสูบน้ำจำนวน 8 จุด รวม 9 เครื่อง  ตามพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขัง เพื่อช่วยในกรระบายน้ำที่ท่วมขังผิวจราจร และพื้นที่ลุ่มต่ำที่จะส่งผลน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชน    

 

อย่างไรก็ตามสำหรับถนนมลิวรรณ ที่จะเริ่มมีการขยายผิวจราจร ตั้งแต่หน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น จนถึงทางเข้าท่าอากาศยานขอนแก่น แขวงทางหลวงที่ 1 ได่มีการมีการวางท่อระบายที่จะระบายจากชุมชนค่ายกรมทหารราบที่ 8 เพื่อให้น้ำไหลลงสู่บึงหนองโคตร จำนวน 3 จุด ซึ่งหากการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จ จะทำให้การระบายน้ำที่เคยท่วมขังชุมชนทางเข้ากรมทหารราบที่ 8 จะมีประสิทธิภาพการระบายน้ำได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย

ขอนแก่น - อัยการขอนแก่นสั่งฟ้อง 3 แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น และแกนนำราษฎรโขงชีมูล ในความผิดคดี พ.ร.บ.ธงชาติไทย จากการชุมนุมและปลดธงชาติ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น

จากกรณีที่ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้ ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการ ใน 3 คดี ประกอบด้วยคดีการชุมนุมที่สวนเรืองแสงและชุมนุมต่อเนื่องที่หน้า สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2564 คดีการชุมนุมที่ สภ.ย่อย มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2564 และคดีปลดธงชาติไทยและชักธงปฏิรูปกษัตริย์ที่ตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2564 โดยพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้นำแกนนำคณะราษฎรขอนแก่นเดินทางมารายงานตัว 12 คน จากทั้งหมด 16 คน เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา

ความคืบหน้าในเรื่องนี้เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 เม.ย.2564 ที่สำนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น พนักงานอัยการได้กำหนดให้ผู้ต้องหามารับฟังคำสั่ง หลังมีคำสั่งฟ้อง  นายวชิรวิทย์  ศรีเมืองเทศ  ,นายชัยธวัช รามมะเริง  นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายเชษฐา กลิ่นดี  นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากกิจกรรมการชักธงปฏิรูปกษัตริย์ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ส่วนคดีการชุมนุมที่สภ.ย่อยมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ หน้า สภ.เมืองขอนแก่น พนักงานอัยการได้สั่งให้มีการสอบปากคำเพิ่มเติม และส่งคืนสำนวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

นายเสฐียรพงศ์ ล้อศิริรักษ์ ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า กระบวนการต่อจากนี้ ในคดีที่สั่งให้สอบเพิ่มเติมนั้น  เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เรียกผู้ต้องหาไปสอบปากคำเพิ่มเติม หากพนักงานสอบสวนเห็นว่ายังมีข้อหาอื่นที่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา ก็จะมีการแจ้งเพิ่มเติม สำหรับ 4 คนที่ยังไม่ได้มารายงานตัวต่อพนักงานอัยการ เนื่องจากบางคนยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด ต้องรอให้กักตัวครบ 14 วัน และติดคดีที่อื่น  ได้นัดกันวันที่ 5 พ.ค. ให้มารายงานตัวต่อพนักงานอัยการ

"สำหรับคดีชักธงปฏิรูปกษัตริย์ที่ตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2564  พนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่า  นายวชิรวิทย์ กับพวก ได้นำธงผ้าพื้นสีแดง ขนาดความยาว 1.5 เมตร ความกว้าง 1 เมตร ซึ่งประดิษฐ์เองและเขียนข้อความด้วยสีน้ำสีขาวว่า “ปฏิรูปกษัตริย์” เข้ามาร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองในชื่อเรียก “ปล่อยเพื่อนเรา ยกเลิก 112” ที่บริเวณลานอเนกประสงค์ ริมบึงสีฐาน ฝั่งทิศตะวันออก ต่อมาเวลา 18.30 น. นายวชิรวิทย์นำธงผ้าพื้นสีแดงไปที่เสาธงซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าตึกอธิการบดี อาคาร 1 หลังเก่าซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่มีการจัดกิจกรรมประมาณ 3 กม.จึงมีคำสั่งฟ้องดังกล่าว"

ขอนแก่น - บุคลากรทางการแพทย์ทยอยเข้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ล็อต 2 ขณะที่ สสจ.ขอนแก่น ระบุวัคซีนล็อตบุคลากรทางการแพทย์ฉีดกว่าร้อยละ 80 และหลังติดตามอาการไม่พบอันตรายจากการฉีดมีเพียง 2 คนมีอาการข้างเคียง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 เม.ย.2564 ที่บริเวณชั้น 4  โรงพยาบาลขอนแก่น นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ลงพื้นที่ตรวจสอบการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ให้กับบุคลาการทางการแพทย์ของจังหวัดหลังจากที่รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการพิจารณาอนุมัติวัคซีนโควิด-19 ในรอบที่ 2 ตามกลุ่มจังหวัดฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งขอนแก่นได้รับวัคซีนรอบที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 19,840 โดส โดยวันนี้เป็นวันแรกที่กำหนดให้มีการฉีดวัคซีน

นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า การฉีดวัคซีนในรอบที่ 2 เน้นการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ของจังหวัด โดยพบว่าขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์ยื่นความประสงค์ขอฉีดวัคซีนจำนวนกว่า 15,000 คน ในจำนวนนี้ ได้รับการฉีดวัคซีนในล๊อตแรกไปแล้วประมาณร้อยละ 59 ส่วนในล็อต 2 คาดว่าจะสามารถฉีดให้บุคคลากรทางการแพทย์ได้ในภาพรวม คิดเป็นร้อยละ 80 – 90 ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ที่รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกจะเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในวันที่ 4 – 5 พ.ค.นี้ ขณะที่วัคซีนล็อต 2 จะฉีดให้แล้วเสร็จในวันนี้และวันพรุ่งนี้

ขณะที่ พญ.นาตยา มิลล์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ล็อตที่ 2 ได้เริ่มต้นฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องสัมผัสกับผู้ติดเชื้อมากที่สุด และ จากการติดตามอาการบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วพบว่าส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายเกิดขึ้น มีเพียง 2 คนที่มีอาการข้างเคียงเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นภาวะชั่วคราว จึงขอให้ผู้ที่กังวลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนมั่นใจได้ว่าไม่เกิดอันตราย ในส่วนมาตรการป้องกันแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลที่เสี่ยงได้พยายามออกหนังสือเน้นย้ำให้เข้มงวดในการป้องกันตนเองทั้งขณะปฏิบัติหน้าที่และออกไปสู่สังคม

ขอนแก่น - แห่ซื้อทุเรียนคึกคัก ผู้ค้าจัดเต็มทุกสายพันธุ์ ส่งตรงจากระยอง-จันทบุรี ในราคาสุดคุ้ม เน่า-หนอน-อ่อน-ตึง เปลี่ยนลูกใหม่ให้ทันที เล็งจัดมหกรรมทุเรียนไทยและผลไม้ภาคตะวันออก ช่วยเหลือเกษตรกรไทย วิถีใหม่แบบนิวนอมอล

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 23 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ตลาดรถไฟ จ.ขอนแก่น ชาวสวนทุเรียนต่างนำทุเรียนสายพันธุ์ต่าง ๆ จากสวนที่ จ.ระยอง และ จ.จันทบุรี ขนใส่รถกระบะบรรทุกนำส่งให้กับพ่อค้า-แม่ค้า ที่ตลาดรถไฟขอนแก่น ตามการสั่งซื้อเนื่องจากในขณะนี้ผลผลิตทุเรียนตามฤดูกาลได้ออกผลผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการค้าผลไม้ตามฤดูกาล ต่างพากันจับจองทุเรียนกับแบบข้ามปี และส่งทีมงานไปจัดซื้อถึงสวนเพื่อนำมาจำหน่ายให้กับลูกค้าในเขต จ.ขอนแก่น และ จังหวัดใกล้เคียงได้เลือกซื้อเพื่อรับประทาน ทำให้ตลอดทั้งวันรถขนส่งทุเรียนจากพื้นที่ จ.ระยองและ จ.จันทบุรี ต่างนำทุเรียนมาส่งให้กับร้านค้าต่าง ๆ กันอย่างคึกคัก ขณะที่ผู้บริโภคและผู้ที่ชื่นชอบทุเรียนต่างพากันมารอเลือกซื้อทุเรียนในสายพันธุ์ที่ตนเองชื่นชอบตลอดทั้งวันเช่นกัน

นายเอกลักษณ์  ชาวัตร เจ้าของร้านจันทร์ฉายผลไม้สด ตลาดรถไฟขอนแก่น กล่าวว่า ในปีนี้ร้านได้สั่งตรงทุเรียนจากพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ระยอง มาจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ขอนแก่น ส่งตรงจากสวนของเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนแบบวันต่อวัน ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจากการนำมาจำหน่ายตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้มาเท่าไหร่ลูกค้ามายืนรอต่อคิวและเลือกซื้อนำกลับไปรับประทานกันตลอดทั้งวัน รวมไปถึงการจำหน่ายแบบค้าส่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าร้านอาหาร ร้านขนมไทย หรือแม้กระทั่งหน่วยงานราชการที่ต่างพากันมาซื้อทุเรียนจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนในฤดูกาลผลิตปีนี้ โดยในปีนี้ทางร้านได้นำทุเรียนมาจำหน่วยทั้งหมด 6 สายพันธุ์ มีจำหน่ายให้กับลูกค้าตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง  ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ก้านยาว ที่ร้านจำหน่ายแบบยกเข่ง 50 กก.ขึ้นไป อยู่ที่ กก.ละ 250 บาท ขายปลีก กก.ละ 400 บาท,นกหยิบ ขายส่ง กก.ละ 100  บาท ขายปลีก กก.ละ 180 บาท,ชะนี ขายส่ง กก.ละ 80 บาท ขายปลีก กก.ละ 120 บาท,พวงมณี ขายส่ง กก.ละ 85 บาท ขายปลีก กก.ละ 120 บาท

“ กระดุม ขายส่ง กก.ละ 85 บาท ขายปลีก กก.ละ 120 บาท,และหมอนทอง แบบออกเป็นขนาดเล็กขายส่ง กก.ละ 105 บาท ขนาดกลาง ขายส่ง กก.ละ 120 บาท และ ขนาดใหญ่ ขายส่ง กก.ละ 130 บาท ซึ่งในการขายส่งนั้น ทุกพันธุ์ จะขายส่งที่ 50 กก.ขึ้นไป ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้ามาเลือกซื้อแบบยกเข่ง ยกลัง อย่างมาก ขณะเดียวกันทางร้านยังคงจำหน่ายแบบออนไลน์เพื่อส่งตรงถึงบ้านผ่านระบบการส่งแบบเดลิเวอรี่ให้กับลูกค้าอีกด้วยเพราะบางส่วนกลัวสถานการณ์โควิดไม่กล้ามาซื้อก็มาติดต่อขอซื้อผ่านเพจของร้าน ซึ่งทางร้านได้จัดให้มีบริการแบบครบวงจรเช่นกัน และที่สำคัญทุเรียนจากทางร้านที่นำมาจำหน่ายนั้นหากลูกค้าซื้อไปแล้วพบว่า เน่า-หนอน-อ่อน-ตึง สามารถส่งคืนและเปลี่ยนลูกใหม่กับทางร้านได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย”

ขณะที่นายสัมฤทธิ์  อุปเทศ เจ้าของร้านไสวผลไม้สดตลาดรถไฟขอนแก่น กล่าวว่า ร้านเปิดจำหน่ายทุเรียนมานานกว่า 30 ปี โดยมีทุเรียนจำหน่ายตั้งแต่เดือน เม.ย.ซึ่งเป็นทุเรียนจากภาคตะวันออกของไทย จากนั้นก็จะตามด้วยทุเรียนภาคใต้และทุเรียนศรีษะเกษ ทำให้ร้านมีทุเรียนจำหน่ายตั้งแต่เดือน เม.ย.ไปจนถึงเดือน พ.ย.ของทุกปี ซึ่งมีลูกค้าประจำหมุนเวียนมาเลือกซื้อทุเรียนกันทุกวัน  โดยเฉพาะทุเรียนหมอนทอง ที่ร้านการันตีผลผลิตว่าทุกลูกนั้นส่งตรงจากสวยส่งถึงมือผู้บริโภคที่อึ้ม อั้น พูเหลืองอร่ามสวยงามน่ารับประทาน เรียกได้ว่าเป็นเกรดพรีเมี่ยม คุณภาพดี ไม่ผิดหวัง โดยแต่ละวันจะเกษตรกรจะส่งจากต้นทางมาถึงปลายทาง ในทุกช่วงเวลา เมื่อมาถึงก็จะคัดไซค์เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าตามขนาดต่าง ๆ เช่นกัน

ด้านนายณจาวิชย์ ทัตหิรัญรัตน์ ผู้จัดการโครงการตลาดรถไฟขอนแก่น กล่าวว่า ฤดูกาลทุเรียนปีนี้ ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงทุเรียนเลิฟเวอร์อย่างมาก ซึ่งตลาดรถไฟขอนแก่น มีแผงจำหน่ายทุเรียนมากกว่า18 ร้านค้า ที่ให้บริการในทุกสายพันธุ์ในราคาไม่แพงส่งตรงจากสวน มาถึงขอนแก่น ทุกวัน เรียกได้ว่าบรรยากาศการเลือกซื้อทุเรียนแบบวิถีใหม่นิวนอมอลนั้นคึกคักอย่างมาก ตามมาตรการควบคุมและป้องกันซึ่งตลาดยังคงคุมเข้มในทุกมาตรการจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ขณะที่ราคาจำหน่ายยังคงเป็นไปตามกลไกของตลาดและราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด และที่สำคัญทุกร้านให้ความร่วมมือร่วมใจ ลดราคาแบบพิเศษสุดๆให้กับลูกค้าทำให้ตลอดทั้งวันมีลูกค้ามารอเลือกซื้อทุเรียนกันอย่างคึกคัก

“บางร้าน บางแผงเมื่อรถขนทุเรียนเข้ามาจอดก็ถูกจับจองเลือกซื้อจนหมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ต้องสั่งทุเรียนจากสวน มาจำหน่ายตามความต้องการให้กับลูกค้ากันอย่างเพียงพอและตามความต้องการ อย่างไรก็ตามตลาดรถไฟขอนแก่น เตรียมจัดเทศกาลทุเรียนไทยและผลไม้ตะวันออก ที่กำหนดจัดกิจกรรมดังกล่าวแบบนิวนอมอล ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ในช่วงต้นเดือน พ.ค. เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้จากพื้นที่ภาคตะวันออก รวมทั้งเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนได้นำผลผลิตมาจำหน่ายให้กับคนอีสานได้เลือกซื้อในราคาสุดคุ้มที่ขอนแก่นอีกด้วย”

ขอนแก่น - พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่อีก 22 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 313 ราย พุ่งสูงเป็นอันดับ 2 ของภาคอีสาน

ขณะที่คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดย้ำชัด มาตรการป้องกันยังคงบังคับใช้อย่างเข้มงวดไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยปรับไม่เกิน 20,000 บาท

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่น ได้มีการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ในกรณีของกฎหมายบังคับใช้ตามประกาศจังหวัดขอนแก่นในส่วนของการสวมใส่หน้ากากอนามัย โดยระบุว่า ให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง ก่อนออกจากบ้าน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.2563 จนกว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และอาจได้รับโทษตามมาตร 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยทาง ศบค.ได้อัปเดตให้เป็นจังหวัดที่ 44 ที่มีบทลงโทษกรณีประชาชนไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่นอกเคหะสถานและสถานที่สาธารณะ

ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จ.ขอนแก่นวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีกจำนวน 22 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 313 ราย รักษาหายแล้ว 34 ราย อยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาลต่าง ๆ 279 ราย ทำให้ขอนแก่นเป็นอันดับสองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19รองจาก จ.นครราชสีมา และยังคงมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีกหลายราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อในวงที่ 2 ซึ่งเป็นครอบครัวของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ก่อนหน้านี้

ด้านโรงพยาบาลขอนแก่น ประกาศประชาสัมพันธ์หลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นเจ้าหน้าที่เวรเปลของโรงพยาบาลขอนแก่น จำนวน 1 คน ปฏิบัติงาน ณ ห้องผ่าตัด โดยเป็นการติดเชื้อมาจากนอกโรงพยาบาล ส่งผลให้บุคลากรอื่นๆต้องถูกกักตัว 14 วันเพื่อเฝ้าสังเกตอาการ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัด 16 คน หน่วยจ่ายกลาง 3 คน ผู้สัมผัสร่วมบ้าน 4 คน โดยจากการตรวจหาเชื้อผลเป็นลบทั้งหมด ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางโรงพยาบาลขอนแก่นจึงมีการปรับแผนในการให้บริการโดยปรับลดการให้บริการผ่าตัดผู้ป่วยศัลยกรรมบางส่วน ยกเว้นรายที่จำเป็น เร่งด่วน ฉุกเฉิน ในสถานการณ์ที่บุคลากรต้องถูกกักตัว และสงวนบุคลากรทางการแพทย์สำหรับดูแลผู้ป่วยที่มีความจำเป็น จึงขอความร่วมมือผู้รับบริการที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน เลื่อนการเข้ารับบริการ สำหรับผู้ป่วยที่มีนัดรับยาเดิมต่อเนื่องและมีอาการคงที่ไม่มีอาการผิดปกติ สามารถแจ้งความประสงค์ขอรับบริการส่งยาทางไปรษณีย์ตามช่องทางต่าง ๆ ที่โรงพยาบาลขอนแก่นกำหนด

ขอนแก่น - เจ้าของผับชื่อดัง ฮึดสู้โควิด พาลูกน้องเปิดร้านหมูกระทะ ข้าวราดแกง ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ในราคาสุดคุ้ม เริ่มต้นเพียง 25 บาท พร้อมจัดเมนูพิเศษทุกวันจันทร์ อิ่มไม่อั้นทุกจาน

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 26 เม.ย.2564 ที่ย่านการค้าโอโซนวิลเลจขอนแก่น ซึ่งตั้งอยู่ ริม ถ.เทพารักษ์ ด้านข้างโรงเรียนขอนแก่นคริสเตียน เขตเทศบาลนครขอนแก่น มีประชาชนจำนวนมากทยอยกันมาเลือกซื้อข้าวแกงยูบาร์ ซึ่งเปิดให้บริการแบบเฉพาะกิจช่วยเหลือพนักงาน ผู้มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ด้วยเมนูอาหาร 14 เมนูหลัก และ ข้าวขาหมูโก้โตน ที่ให้บริการในทุกวันจันทร์ ในราคาเริ่มต้นจานละ 25 บาท โดยมีประชาชนมายืนรอต่อคิวเลือกซื้ออาหารนานาชนิดเพื่อนำกลับไปรับประทานร่วมกันของครอบครัว รวมไปถึงการร่วมส่งกำลังใจสมทบทุนการจัดทำอาหารแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อีกด้วย

นายภาณุ  ธีรภาณุ เจ้าของร้านข้าวแกงยูบาร์ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ธุรกิจหลักของครอบครัวคือการเปิดร้านอาหารและสถานบันเทิง ในชื่อร้านเดอ ลา แจ๊ส และ ร้านยูบาร์ ซึ่งจัดเป็นร้านอาหารและสถานบันเทิงชื่อดังขอจังหวัด แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ร้านต้องปิดตัวลงตามคำสั่งและตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราก็ต้องปฎิบัติตามและให้ความร่วมมือเพื่อให้สถานการณ์นั้นได้คลี่คลายไปได้โดยเร็วที่สุด และเมื่อร้านต้องปิด ทำให้พนังกานที่มีอยู่รวมกว่า 70 คนนั้นต้องตกงาน ในระยะแรกได้ส่งพนักงานทั้งหมดไปทำงานที่โรงงานแต่โรงงานก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นในการเป็นผู้นำเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันแบบครอบครัว  ผู้นำต้องกล้าที่จะตัดสินใจและไม่ท้อ จึงได้ตัดสินใจร่วมกันกับครอบครัว ใช้พื้นที่ว่างของย่านการค้าโอโซนวิเลจใจกลางเมืองแห่งนี้เปิดร้านหมูกระทะ ก่อนในระยะแรกและวันนี้เปิดข้าวราดแกง เพื่อให้พนักงานทุกคนนั้นได้มีงานทำและยังคงได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ อีกด้วย

“ โควิดระบาดระลอกใหม่ในช่วงเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา ผมตัดสินใจเปิดร้านหมูกระทะ เพราะเป็นอาหารทานง่าย และใช้พื้นที่โล่งไม่แออัดและเว้นระยะห่าง ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด และมาวันนี้เกิดการระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง ผมจึงตัดสินใจเปิดร้านข้าวแกงในชื่อร้างข้าวแกงยูบาร์ เพื่อให้พนักงานทุกคนนั้นมีงานทำ ด้วยการจัดระบบการทำงานออกเป็น 2 กะ คือกะแรกทำงานร้านข้าวแกง ตั้งแต่เวลา 07.00-14.30 น. จากนั้นกะที่ 2 ทำงานที่ร้านหมูกระทะ ตั้งแต่เวลา 15.30 -21.00 น. ซึ่งพนักงานทุกคนก็ดีใจที่เราไม่ทอดทิ้ง อีกทั้งอาหารที่ทำจำหน่ายนั้นพนักงานยังคงสามารถรับประทานได้อีกด้วย”

นายภาณุ กล่าวต่ออีกว่า ร้านข้าวแกงยูบาร์ ให้บริการทุกวัน โดยไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 07.00-14.30 น. ใน 14 เมนู โดยทุกวันจะต้องมีผัดกะเพรา,ต้มจืด,พะโล้,แกงเขียวหวาน,น้ำพริก,ไข่ดาว,พะแนงหมูและไก่ทอด ส่วนเมนูอื่น ๆ นั้นเป็นไปตามที่เซฟและทีมแม่ครัวจะพิจารณาจัดทำ โดยร้านเสริฟแบบไม่อั้น กินจนอิ่มในราคาที่กำหนดไว้ตายตัว คือราด 1 อย่าง 25 บาท ราด 2 อย่าง 30 บาท ราด 3 อย่าง 35 บาท หากเป็นแกงถุง คือ 30 บาท และข้าวเปล่า 10 บาท ซึ่งทุกจานเราจะเสริฟแบบอิ่มไม่อั้น เพราะข้าวแกงนั้นทานได้ทั้งวัน จึงตัดสินใจเปิดร้านข้าวแกงขึ้นเพื่อช่วยเหลือพนักงานที่ร้านได้มีงานทำ ช่วยเหลือผุ้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ชื่นชอบเมนูข้าวแกงได้รับประทานในราคาถูก รสชาติอาหารวัตถุดิบที่นำมาจำหน่ายอัดแน่นและเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพเพราะครอบครัวทำร้านอหารมาทั้งชีวิต ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีลูกค้าบางคนที่เข้ามารับประทานและรู้ว่าร้านของเรานั้นขายถูกและให้การช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่มีข้าวทานที่มาขอรับข้าวแกงไปทาน ที่เราก็จัดชุดพิเศษให้ ลูกค้ารายนั้นก็ได้สมทบทุนเพื่อส่งมอบกำลังใจอีกด้วย อย่างไรก็ตามในทุกวันจันทร์ ได้จัดให้มีเมนูพิเศษจานละ 30 บาทคือข้าวขาหมูโก้โตน ให้คนขอนแก่นได้อิ่มอร่อยอีกด้วย

ขอนแก่น – ผู้ว่าฯ ขอนแก่นเผยข่าวดี เตรียมรับจัดสรรวัคซีนลอตพิเศษปลายเดือนนี้ เน้นฉีดบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงด้านตรวจ 4 มุมเมือง และกลุ่มงานบริการเป็นอันดับแรก ขณะที่เดือน มิ.ย.ขอรับการจัดสรรอีก 400,000 โดส

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 26 เม.ย.2564 ที่โรงพยาบาลสนาม จ.ขอนแก่น แห่งที่ 1 (หอพัก 26 มหาวิทยาลัยขอนแก่น) นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น นำจิตอาสาพระราชทาน จ.ขอนแก่น ร่วมมอบเวชภัณฑ์ยา ,หน้ากากอนามัย,ชุดพีพีอี,น้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์เจล ให้กับ รศ.นพ.ทรงศักดิ์  เกียรติชูสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มข.สำหรับการใช้ในการปฎิบัติงานที่โรงพยาบาลสนาม ในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น

นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภาพรวมของจังหวัดขณะนี้วันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 12 ราย ทำให้จำนวนยอดผู้ป่วยสะสมในการระบาดระลอกใหม่ ขณะนี้ รวม 325 ราย ในจำนวนนี้รักษาหายขาดแล้ว 44 ราย ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้ง 26 อำเภอของจังหวัดวันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 281 ราย ขณะที่โรงพยาบาลสนาม จ.ขอนแก่น แห่งที่ 1 ที่หอพัก 26 มข. ซึ่งมีทั้งหมด 258 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทิ้งสิ้น 65 ราย ซึ่งในการบริหารจัดการ โรงพยาบาลสนามนั้น ขณะนี้มีการเตรียมแผนที่จะเปิดโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ที่อาคารเอนกประสงค์พุทธมณฑลอีสาน ซึ่งตั้งอยู่ริม ถ.เลี่ยงเมืองสายขอนแก่น-กาฬสินธื ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 240 เตียง และขณะนี้ความคืบหน้าในการดำเนินการไปแล้วกว่าร้อยละ 90 และหากสถานการณ์ในภาพรวมไม่ดีขึ้น หรือหากจำนวนผู้ป่วยที่โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 1 แห่งนี้แตะระดับไปเกินกว่า 200 คน โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ก็จะพร้อมต่อการเปิดใช้งานได้ทันที ซึ่งขณะนี้ทุกหน่วยงานได้ลงพื้นที่และดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเต็มที่ ต่อเนื่องทุกวัน

“ วันนี้สถานการณ์โดยรวมของจังหวัดเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ เริ่มลดลง อาจจะมีสู่งขึ้นบ้างในช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งการประเมินสถานการณ์นั้นจะทำแบบวันต่อวัน  โดยทีมสาธารณสุขจะดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ อย่างรัดกุม ตามนโยบายและมาตรการที่รัฐบาลกำหนด ขณะที่การฉีดวัคซีน รอบที่ 1 และรอบที่ 2 ที่จังหวัดได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขนั้น ได้มีการฉีดครบถ้วนแล้วในเข็มแรก โดยเน้นในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานในด้านหน้าที่ประจำจุดตรวจ 4 มุมเมืองของจังหวัดเป็นสำคัญ ซึ่งในเข็มที่ 2 คาดว่าจะสามารถเริ่มฉีดได้ในวงรอบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดคือประมาณกลางเดือน พ.ค.”

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า ได้รับข่าวดีเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้พิจารณาให้ขอนแก่น ได้รับวัคซีนซิโนแวค รอบพิเศษ ที่จะส่งมายังจังหวัดในช่วงปลายเดือนนี้ โดยยังคงรอข้อสรุปว่าจะได้รับการจัดสรรมากน้อยเพียงใด ตามกลุ่มจังหวัดของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อนับรวมวัคซีนที่ได้รับการจัดสรร ในรอบที่ 1 จำนวน 5,000 โดส รอบที่ 2 จำนวน 19,840 โดส และรอบพิเศษกำลังรอสรุปจากกระทรวงสาธารณสุข โดยในการฉีดนั้นจะเน้นในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ให้ครบทุกคน รวมไปถึง 4 กลุ่มตามที่ กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ขณะที่วัคซีนในรอบเดือน มิ.ย. ของแอสต้าเซเนก้า จังหวัดได้เสนอขอรับการจัดสรรจำนวน 400,000 โดสเพื่อฉีดให้กับกลุ่มบุคคลทั้ง 4 กลุ่มตามบัญชีรายชื่อ ซึ่งหากนับรวมวัคซีน ทั้ง 4 รอบ ที่ได้รับการจัดสรรนั้นเท่ากับว่าวขอนแก่นจะได้รับวัคซีนไปแล้วถึงร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งจังหวัด

ขอนแก่น - ตำรวจภูธรภาค 4 รับมอบกรมธรรม์ประกันโควิด ครั้งที่ 2 สร้างความมั่นใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในสังกัด

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4  พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรัตม์ชัย ศรีรัตนวุฑฒิ รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และผู้บริหารกลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ได้จัดกิจกรรมพิธีรับมอบกรมธรรม์ประกันโควิด จากกลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ให้กับข้าราชการตำรวจ ในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID – 19) ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการระบาดในรอบที่ 3 ทำให้มีข้าราชการตำรวจและครอบครัว ติดเชื้อและอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ และขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่

โดยที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ได้อนุเคราะห์มอบกรมธรรม์ประกันโควิด ให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 (ส่วนกลาง) อันได้แก่ กองบังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 4 ,กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ,กองบังคับการกฎหมายและคดีตำรวจภูธรภาค 4, ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 ,ตำรวจภูธรจังหวัดเลย และตำรวจภูธรจังหวัดหนองบัวลำภู รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,960 คนจำนวน 2,960 กรมธรรม์ เป็นเงิน จำนวน 3,010,320 บาท ซึ่งได้ทำสัญญาเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2564 มีผลคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 2564 เป็นต้นมา

และในครั้งนี้ กลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ได้ให้ความอนุเคราะห์มอบกรมธรรม์ประกันโควิด เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 อีกครั้งหนึ่ง โดยมอบให้กับตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น จำนวน 3,363 คน และตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี จำนวน 2,159 คน รวมทั้งสิ้น 5,522 คน เป็นเงินทั้งสิ้น 5,615,874 บาท ได้ทำสัญญาไว้

วันที่ 20 เมษายน 2564 มีผลคุ้มครองในวันที่ 5 พ.ค. 2564พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจซึ่งถือเป็นด่านหน้าที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานทั้งในด้านของการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชน ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย ที่เป็นงานประจำที่ต้องดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ตำรวจก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวดังนั้นการดูแลและคุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องดูแลในเรื่องดังกล่าว ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ตำรวจเราถือว่ามีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกลุ่มบริษัท น้ำตาลเอราวัณ จำกัด ซึ่งได้เล็งเห็นอันตรายจากความเสี่ยงดังกล่าว จึงได้ประสานการมีส่วนร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 4 ในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัย ในประเภทประกันโควิด เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจภูธร ภาค 4

ด้าน พล.ต.ต.พุฒิพงศ์  มุสิกูล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวว่าการแพร่ระบาด โควิด-19 ในรอบนี้ ตอนนี้เราได้ดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข กำชับไปยังผู้กำกับทุกสถานีและหน่วยในสังกัดต้องยึดถือมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สำหรับบางโรงพักหรือบางหน่วยที่มีข้าราชการตำรวจติดเชื้อในส่วนของตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่นที่มีข่าวว่ามีการติดเชื้อซึ่งไม่ใช่หน่วยงานที่พบปะประชาชนโดยตรงเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจซึ่งทำงานเฉพาะด้านดังนั้นจึงไม่มีผลต่อการให้บริการประชาชนในสถานีตำรวจ ดังนั้นต้องปฏิบัติตนไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่ทำงานหรือผู้ใกล้ชิดต่าง ๆ ให้ดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขถึงแม้จะไม่ใช่ช่วงในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม

ยโสธร – แมลงปีกแข็งจำนวนมาก บุกเข้าบ้านจนเจ้าของบ้านเดือดร้อน

วันที่ 26 เมษายน 2564 ที่จังหวัดยโสธรผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีฝูงแมลงปีกแข็งสีดำ หรือ มอดกระเบื้อง หลายหมื่นตัว พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านพักของชาวบ้านรายหนึ่งที่บ้านเอราวัณ ตำบลกุดชุม อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร จนสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของบ้านไม่สามารถที่จะพักอาศัยอยู่ในบ้านพักได้เนื่องจากกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากแมลงปีกแข็งดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 194 หมู่ 12 บ้านเอราวัณ ตำบลกุดชุม อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร

ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ปลูกกลางทุ่งนา ค่อนข้างห่างชุมชน บริเวณบนบ้านชั้น 2 พบว่ามีแมลงปีกแข็งสีดำไต่เต็มพื้นบ้านและบริเวณโครงหลังคาบ้านยังพบว่ามีแมลงปีกแข็งสีดำจำนวนมากเกาะอยู่และยังมีอีกบางส่วนที่หล่นลงไปยังพื้นด้านล่างจนสร้างความรำคาญให้กับเจ้าของบ้าน โดยก่อนหน้านี้เจ้าของบ้านก็พยายามใช้น้ำมันดีเซลฉีดพ่นทำลายซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่แมลงปีกแข็งสีดำดังกล่าวก็ยิ่งพากันเข้าไปอยู่ในบ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการสังเกตุพบว่าแมลงปีแข็งสีดำดังกล่าวจะมีกลิ่นฉุนเมื่อสูดดมกลิ่นของแมลงเข้าไปมาก ๆ จะมีอาการเวียนหัวทันที จนสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของบ้านไม่สามารถที่จะพักอาศัยอยู่ในบ้านได้เพราะหวั่นเกรงว่าแมลงจะไต่เข้าหูโดยเฉพาะเด็กๆที่อาศัยอยู่ในบ้านเจ้าของบ้านจึงพาสมาชิกในครอบครัวอพยพไปอาศัยหลับนอนที่นอกตัวบ้านแทนเป็นการชั่วคราวก่อนในระยะนี้เพื่อความปลอดภัย

นางคำปุ่น  ชื่นบาน อายุ 59 ปี เจ้าของบ้าน บอกว่า ก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีก่อนฝูงแมลงปีกแข็งเหล่านี้ก็เคยเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของตนทุกปีในช่วงเดียวกันนี้ หรือประมาณหน้าร้อนของทุกปีและในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งแมลงปีกแข็งสีดำได้พากันเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของตนเมื่อประมาณ 3 วันที่แล้ว จนสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและสมาชิกในบ้านไม่สามารถจะอยู่อาศัยภายในบ้านได้เพราะเกรงว่าแมลงจะไต่เข้าหูและแมลงเหล่านี้ยังมีกลิ่นฉุนเมื่อสูดดมมาก ๆ จะมีอาการเวียนหัวทันทีโดยเฉพาะในบ้านของตนมีหลานเล็ก ๆ พักอาศัยอยู่ด้วยจึงเกรงว่าอาจจะได้รับอันตรายไปด้วย ซึ่งปกติทุกปีที่ผ่านมาตนจะไปแจ้งให้กับ อบต.กุดชุม ทราบ ซึ่งก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยฉีดสารเคมีกำจัดให้พอทุเลาลงได้บ้าง แต่ในปีนี้ก็ได้แจ้งให้ทราบแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปฉีดพ่นสารเคมีกำจัดให้

โดยขณะนี้ ตนก็ให้ลูกชายนำน้ำมันดีเซลไปฉีดพ่นกำจัดเป็นการชั่วคราวไปก่อน จึงวอนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าให้การช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วนด้วย ส่วนสาเหตุที่ฝูงแมลงปีกแข็งบุกเข้าบ้านของตนทุกปีนั้น ตนก็ไม่ทราบสาเหตุชัดเจนแต่พอถึงช่วงเวลาดังกล่าวก็จะพากันเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของตนทันทีและจะอาศัยอยู่ในบ้านยาวไปจนถึงช่วงเข้าพรรษาของทุกปีฝูงแมลงปีกแข็งก็จะพากันหนีไปเอง


ภาพ/ข่าว  สมัย  คำแก้ว  ผู้สื่อภูมิภาคจังหวัดยโสธร

ขอนแก่น - ม.ขอนแก่น ผลิตชุด "พีเอพีอา" อุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจแบบจ่ายอากาศบริสุทธิ์ สนับสนุนการทำงานของชุดพีพีอีและหน้ากากพีเอ็ม 2.5 ใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเริ่มทดลองใช้งานในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 29 เม.ย.2564 ที่ รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หรือ มข. รศ.ดร.จีรนุช เสงี่ยมศักดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ มข.พร้อมด้วย นพ.อภิชาติ โซ่เงิน อายุรแพทย์ โรคระบบทางเดินหายใจ รพ.ศรีนครินทร์  คณะแพทยศาสตร์ มข. ร่วมทำการทดสอบอุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจแบบจ่ายอากาศบริสุทธิ์ หรือ พีเอพีอาร์ (PAPR)  ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ มข. ได้ทำการวิจัยและประดิษฐ์ขึ้น ชุดแรก จำนวน 10 ชุด สำหรับการให้บุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้งานสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลสนาม จ.ขอนแก่น แห่งที่ 1 ( หอพัก 26 มข.) อยู่ในขณะนี้

รศ.จีรนุช เสงี่ยมศักดิ์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ มข. กล่าวว่า การปฎิบัติงานในปัจจุบันของบุคลากรทางการแพทย์นั้น ชุดพีพีอี เป็นชุดที่สามารถกรองเชื้อได้แต่ว่าในลักษณะของการกรองอากาศที่เข้าไปให้กับผู้ที่สวมใส่นั้นจะต้องสวมใส่หน้ากาก N95 เพิ่มเข้าไป ทำให้มีลำบากที่จะหายใจต่อการใช้งาน ทีมงานวิจัยร่วมระหว่างคณะวิทยาศาสตร์ และ คณะแพทยศาสตร์ มข. จึงได้ร่วมกันวิจัยและผลิตชุดดังกล่าวขึ้นมาที่จัดเป็นชุดที่จ่ายอากาศบริสุทธิ์ที่มีความสามารถในการกรองเชื้อไวรัสได้มากกว่า96%  ในลักษณะของหมวกแรงดันบวก โดยผ้าที่ใช้ต้องเป็นผ้าร่มกันน้ำกันลม  เพื่อให้ภายใน สามารถจ่ายลมแรงดันบวก จากด้านหลัง และออกแบบท่อให้นำอากาศมาด้านหน้า เพื่อความสะดวกในการหายใจ และยังมีฟิวเตอร์ ที่สามารถกรองไวรัสได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ในห้องที่มีอากาศไม่บริสุทธิ์หรือในห้องติดเชื้อผู้ที่สวมใส่จะหายใจได้สะดวกกว่าโดยไม่ต้องใส่หน้ากากN95 โดยที่สามารถสวมหน้ากากที่ใช้ในทางการแพทย์แบบปกติได้

ขณะที่ นพ.อภิชาติ โซ่เงิน อายุรแพทย์ โรคระบบทางเดินหายใจ รพ.ศรีนครินทร์ กล่าวว่า  กรณีที่มีโรคระบาดที่เราไม่มั่นใจว่าจะแพร่กระจายทางระบบทางเดินหายใจ ทุกครั้งที่มีโรคอุบัติใหม่จะต้องคิดเสมอว่าน่าจะเป็นโรคที่แพร่กระจายทางเดินหายใจ ดังนั้นผลงานวิจัยที่ร่วมกันคิดค้นขึ้นชุดนี้จึงมีความสำคัญในทุกครั้งที่มีโรคระบาดที่เกิดขึ้น ในยุคที่เจอมาไม่ว่าจะเป็นH5n1 ,H1n1 ,ซ่าร์ส จนกระทั่งมาถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

 " โดยเฉลี่ย 10ปีจะเจอโรคแบบนี้สักครั้งซึ่งชุดนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นชุดที่มีความปลอดภัยสูงสุดและทำให้ดูแลคนไข้ได้มากกว่าชุดพีพีอีโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล บุคลากรกลุ่มอื่นที่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในห้องที่ผู่ป่วยมีการหายใจเช่น เจ้าหน้าที่รังษีเทคนิคที่เข้าไปเอ๊กซ์เรย์ปอดคนไข้หรือแม้กระทั่งแม่บ้านที่เข้าไปเก็บขยะหรือของเสียอะไรก็ตามที่ออกมาจากห้องถ้ามีชุดพอและเหมาะสมกับทุกฝ่ายที่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลคนไข้ในห้องที่มีท่อช่วยหายใจกับผู้ป่วยแยกโรคดังกล่าว"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top