Tuesday, 20 May 2025
ก้าวไกล

'ศรีสุวรรณ' หอบหลักฐานร้อง 'ป.ป.ช.' สอบจริยธรรม 'สส.ก้าวไกล' หลังเหยื่อสาวแฉ!! มีพฤติกรรม ลามก-คุกคาม-ลวนลาม

(12 ต.ค.66) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช.นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นคำร้องพร้อมเอกสารพยานหลักฐานให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปราจีนบุรี มีพฤติการณ์แชตไลน์กับหญิงสาวซึ่งเป็นอาสาสมัครพรรคก้าวไกลในลักษณะลามกอนาจาร และอาจมีการข่มขู่คุกคามด้วยนั้น เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีโซเชียลมีเดีย และสื่อมวลชนได้รายงานสอดคล้องต้องกันว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดปราจีนบุรี ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางเพศ แชตหาทีมงานอาสาสมัครของพรรคสาว ซึ่งมีทั้งภาพและคำลามกมากมาย ซึ่งบทสนทนาส่อแววพฤติกรรมคุกคามทางเพศ ทั้งยังมีการลวนลามอีกด้วย หลายกรรม หลายวาระ

ซึ่งกรณีดังกล่าว หญิงสาวซึ่งเป็นทีมงานอาสาสมัครของพรรคก้าวไกลคนดังกล่าว ได้อ้างว่าได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังพรรคก้าวไกลเพื่อให้ดำเนินการสอบสวน เอาผิด และหรือลงโทษ สส.รายดังกล่าวตามข้อบังคับพรรคก้าวไกลมานานแล้ว ตั้งแต่เดือนสิงหาคมว่าทางพรรคก้าวไกลยังไม่มีการสรุปหรือดำเนินการลงโทษ สส.รายดังกล่าวแต่อย่างใด แต่กลับมีข้ออ้างสารพัด ซึ่งผิดวิสัยของพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ที่หาเสียงมาโดยตลอดว่าจะทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมา

กรณีที่เกิดขึ้นแม้ ส.ส.คนดังกล่าวจะออกมาไลฟ์สดชี้แจงเรื่องดังกล่าวแล้ว ในทำนองถูกดิสเครดิตเพื่อหวังผลการทำงานตรวจสอบในเชิงพื้นที่นั้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน เพราะหลักฐานการแชตไลน์ที่ปรากฏนั้น หากเป็นเรื่องจริง ย่อมจะเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ในหลาย ๆ ข้อ อาทิ ข้อ 6 ข้อ 9 ข้อ 11 ข้อ 12 ข้อ 13 ข้อ 17 และข้อ 20 ประกอบ ข้อ 27 และยังเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขปี 2560 อีกด้วย

เหตุดังกล่าวองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงนำความพร้อมพยานหลักฐานมาร้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนและเอาผิด สส.รายดังกล่าวตามครรลองของกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อนักการเมืองรายอื่นๆ ต่อไป

‘ปิยบุตร’ กระตุกต่อมสำนึก 'ก้าวไกล' ปมปัญหาความรุนแรงทางเพศ ชี้!! พูดถึงน้อย ไม่สมกับเป็นพรรคที่ชูจุดยืนเรื่องความเสมอภาค

(16 ต.ค. 66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กระบุ Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล เรื่อง ‘ความรุนแรงทางเพศ คือ ปัญหาของทุกคน’ ระบุว่า จากประเด็นเรื่องข้อร้องเรียนปัญหาความรุนแรงทางเพศที่กระทำโดยผู้สมัครและ ส.ส. ของพรรคก้าวไกล หลายกรณีที่เป็นข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเฝ้ารอการแสดงออกของคนของพรรคก้าวไกลต่อเรื่องดังกล่าว พบว่ามีการพูดถึงประเด็นเหล่านี้น้อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ น้อยจนไม่สมกับเป็นพรรคที่ประกาศจุดยืนและคุณค่าพื้นฐานของพรรคในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ว่าน้อยนั้นก็ยังล่าช้าอีกด้วย กล่าวคือ ต้องให้สังคมและมวลชนของพรรคกดดันก่อนจึงจะมีเสียงของพรรคออกมา ต้องเกิดกรณีอื้อฉาวใหม่ จนคนโวยวายทักท้วง จึงค่อยพูดถึงกรณีอื้อฉาวเก่า ต้องมี ส.ส. ผู้ถูกร้องเรียน ไปไลฟ์สดแถลงเอง จนยิ่งเสียหายกับพรรค ทางพรรคถึงเกิดอาการตระหนก รีบออกมาแก้ไขแก้เกม มีเพียงการแถลงข่าวโดยพริษฐ์ วัชรสินธุ์ และศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ และมีแกนนำบางคนที่ถูกบังคับให้ตอบ เพราะหนีการสัมภาษณ์ไมค์รวมจากสื่อมวลชนไม่พ้น ในขณะที่มวลชนผู้สนับสนุนพรรคเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลแสดงจุดยืนในประเด็นนี้ให้ชัดเจน

ปัญหาความรุนแรงทางเพศเป็นปัญหาของสังคมไทยและสังคมต่าง ๆ ทั่วโลก จำเป็นต้องมีการถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนควรร่วมกันถกเถียง แก้ไข หาทางออก และป้องกัน ไม่ใช่ว่าพอเป็นผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลแล้ว พอเรื่องเกิดกับพรรค ก็เลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าการพูดถึงปัญหานี้แล้วกลายเป็นการจ้องทำลายพรรคก้าวไกลหรือเลิกสนับสนุนพรรคก้าวไกลไป

หลาย ๆ คนถามไถ่ผมเข้ามาทั้งต่อหน้า ทั้งทางกล่องข้อความ โทรศัพท์ และโพสถามผมในโลกออนไลน์ ว่าผมคิดเห็นอย่างไร ขอให้ผมเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา หรือแสดงจุดยืนในเรื่องนี้

ผมมีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ดังนี้ พรรคก้าวไกลควรรับมือ จัดการ ป้องกัน เรื่องความรุนแรงทางเพศและการคุกคามทางเพศอย่างไร?

พรรคก้าวไกลต้องพัฒนาแนวทางและนโยบายต่อต้านการคุกคามทางเพศในสถานที่ทำงานอย่างเป็นรูปธรรม สร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ครอบคลุมทั้ง ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส. นายกท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ทีมงานจังหวัด พนักงาน อาสาสมัคร จากข่าวในหลายกรณี จะเห็นได้ว่า ไม่มีการกำหนดช่องทางร้องเรียนกรณีการคุกคามทางเพศหรือความรุนแรงทางเพศที่ชัดเจน ผู้ที่ถูกกระทำมักต้องร้องเรียนไปที่ ส.ส. เป็นรายบุคคล หรือส่งเรื่องหาบุคคลในพรรคที่ผู้ถูกกระทำรู้สึกวางใจ หรือต้องส่งเรื่องหลายต่อกว่าจะถึงหูคณะนำพรรค

หากจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ พรรคต้องกำหนดขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน สร้างระบบช่องทางร้องเรียนในเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ พร้อมเผยแพร่ช่องทางให้ทุกคนทราบ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ผู้เสียหายจะได้รู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร กระบวนการร้องเรียนต้องเป็นความลับ เพื่อให้ผู้ที่ร้องเรียนไม่ต้องกังวลว่าการร้องเรียนจะเกิดผลกระทบกับหน้าที่การงาน เมื่อมีรายงานเหตุการณ์ความรุนแรงทางเพศ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ ความต้องการและความปลอดภัยของผู้ร้องเรียนทั้งในระหว่างและหลังกระบวนการ พรรคต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สอบสวนโดยคณะกรรมการที่เป็นกลาง อิสระ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือรู้จักมักคุ้นกับผู้ถูกกล่าวหา การให้ ส.ส. หรือคณะผู้บริหารพรรคไปเป็นกรรมการสอบสวน แบบที่ทำกันอยู่ในเวลานี้ อาจทำให้เกิด ‘ความเกรงใจ’ กันเอง จนตัดสินใจกันไปแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ เช่นกัน การให้องค์ประกอบคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้ มีแต่ ‘ชายแท้’ หรือ ‘ชายเป็นใหญ่’ หรือ ‘คนที่ไม่เข้าใจประเด็นปัญหาเหล่านี้’ ก็จะยิ่งทำให้การดำเนินการสอบสวน ให้ความเป็นธรรม ลงโทษผู้กระทำผิด และเยียวยาให้แก่ผู้เสียหาย ผิดทิศผิดทางไปกันใหญ่

นอกจากนี้ พรรคต้องมีกระบวนการช่วยเหลือให้ผู้ถูกกระทำพบแพทย์หรือนักจิตวิทยา ในท้ายที่สุด เมื่อคณะกรรมการพิจารณาแล้วว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็ต้องดำเนินการลงโทษทางวินัยต่อผู้กระทำความผิดอย่างได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน อาจกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจ หรือ Guideline ในเรื่องอัตราโทษเอาไว้ เช่น การกระทำแบบใด ถือว่าร้ายแรง การกระทำแบบใด จะรับอัตราโทษเท่าไร เป็นต้น

หากพรรคไม่มีบุคลากรที่ชำนาญ มีความรู้ประสบการณ์ในการจัดการปัญหาการคุกคามทางเพศ พรรคก็ต้องสรรหาเชิญชวนบุคคลภายนอกเข้ามา ผมเชื่อว่ามีผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ที่รักพรรคก้าวไกลและพร้อมช่วยเหลือ ในส่วนของบุคคลผู้กระทำผิดนั้น เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง กล้าหาญออกมายอมรับผิด ขอโทษต่อผู้เสียหาย พรรค และประชาชน มิใช่ปล่อยให้คนอื่นในองค์กรมารับผิดชอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้เพื่อน ส.ส. ที่ไม่ใช่ระดับผู้บริหารพรรคหรือคณะกรรมการที่รับผิดชอบพิจารณาโทษทางวินัยมารับหน้าที่แถลงอธิบายกับสังคม หรือให้สัมภาษณ์สื่อ เพื่อจัดการปัญหาแทน หากทำเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า ความรุนแรงทางเพศไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เรื่องใหญ่พอถึงขนาดต้องให้ผู้บริหารมาร่วมดำเนินการรับผิดชอบ

กรณีการแถลงข่าวของพรรคล่าสุด แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คณะนำพรรคไม่กล้าเผชิญปัญหาเหล่านี้อย่างซึ่งหน้าและตรงไปตรงมา พรรคต้องไปเข็นเอา พริษฐ์ และศศินันท์ มา “รับเผือกร้อน แบกพรรค” แทน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้อยู่ในกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน หรือสืบสวนสอบสวน แต่พรรคเลือกพวกเขามาแถลง เพราะทั้งสองคนนี้ มีภาพลักษณ์ที่ดี และมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ส่วนคณะนำของพรรค คณะกรรมการสอบสวน และผู้กระทำความผิดก็ “ลอยตัว” ไป ไม่ต้องถูกสื่อถาม ไม่ต้อง “ช้ำ” จากการแถลงข่าว

พรรคก้าวไกลต้องสร้างบรรยากาศการสื่อสารเรื่องความรุนแรงทางเพศและความเท่าเทียมระหว่างเพศอย่างตรงไปตรงมา ไม่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม ไม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยแก้ไข พรรคต้องจัดการฝึกอบรมและสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมทางเพศให้กับบุคลากรทุกคน และหมั่นทำความเข้าใจในทุกสถานการณ์อย่างจริงจัง เท่าที่ผมทราบ พรรคก็มีความพยายามจัดอบรมในเรื่องเหล่านี้ แต่ให้เวลาน้อยไปหน่อย ในการประชุมหลายๆ ครั้ง เวทีอบรมเรื่องนี้มักเป็น “ของแถม” ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และบรรดาคนในพรรค และ ส.ส. ก็มักไม่ค่อยให้ความสนใจ บรรยายไปแต่ละครั้ง กลับกลายเป็นเรื่องตลกโปกฮา แซวกันไปมาว่าใครมีพฤติกรรมอย่างไรเสียมากกว่า

ผมยังเห็นอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่พรรคก้าวไกลต้องกล้าหาญทำเรื่องเหล่านี้ เผชิญหน้ากับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา  มิใช่คิดแต่ “ผลลัพธ์ทางการเมือง” เป็นตัวนำ เช่น ไม่กล้าจัดการเรื่องนี้ตอนนี้ เพราะกลัวอื้อฉาว เดี๋ยวกระทบต่อการหาเสียงของพรรค เดี๋ยวกระทบกับการเลือกคนไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เดี๋ยวกระทบกับการเลือกตั้งซ่อม เดี๋ยวกระทบนั่น เดี๋ยวกระทบนี่ หากคิดแต่เอาปัจจัยการเมืองมาเป็นองค์ประกอบหลักในการตัดสินใจเช่นนี้ พรรคก้าวไกลก็จะไม่กล้าทำอะไรในเรื่องดังกล่าวเลย ต้องยอมรับว่า เมื่อไรเกิดกรณีความรุนแรงทางเพศหรือการคุกคามทางเพศภายในพรรคขึ้น ก็ย่อมส่งผลร้ายต่อภาพลักษณ์ของพรรคอยู่แล้ว แต่การกลัวหรือกังวลใจกับภาพลักษณ์ของพรรคจนไม่กล้าตัดสินใจ จนปิดเรื่องซ่อนเอาไว้ หรือ “ซื้อเวลา” ออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเรื่องแดงออกมา แล้วก็มาตามแก้ไข สุดท้ายพรรคก็เสียหายอยู่ดี และเสียหายเพิ่มเป็นหลายเท่า จนคนในสังคมเริ่ม “เอ๊ะ” ว่าพรรคก้าวไกลก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคอื่นๆ ในเรื่องเหล่านี้ พรรคก้าวไกลได้แต่โม้โฆษณาชวนเชื่อเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมไปอย่างนั้นเอง

(นี่ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ หรือตั้งสมมุติฐาน แต่คือข้อเท็จจริง มีคนในพรรคหลายคนมาเล่าให้ผมฟังว่า ความล่าช้าในการตัดสินใจในการจัดการปัญหาการคุกคามทางเพศ ส่วนหนึ่งเกิดจากคณะนำพรรคมัวแต่กังวลกับแต้มทางการเมือง กังวลว่าพรรคจะเสียหายโดนโจมตีในช่วงเลือกตั้ง หรือตั้งรัฐบาล)

ในส่วนของคณะนำและผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรค ต้องช่วยกันปรับทัศนคติตนเอง ให้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตระหนักรู้ถึงปัญหา และต้องการจัดการแก้ไขปัญหา ไม่ให้มีความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นในองค์กรของตน คณะนำต้องอย่าคิดแต่เรื่องภาพลักษณ์พรรค อย่าคิดแต่ว่า ปัญหาเหล่านี้เหมือน “ยุงรำคาญ” ที่บินมาไต่ตอมพรรค พอเกิดเรื่องที ก็ได้แต่บ่นกันในหมู่คณะนำของตนเองว่า “อีกแล้ว มีปัญหาอีกแล้ว ไอ้ห่าเอ๊ย เมื่อไรจะจบสักที เมื่อไรจะทำตัวดีๆ สักที เมื่อไรจะหยุดสร้างปัญหาให้พรรคเสียที” หากคณะนำและผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคมีทัศนคติแบบนี้ ก็จะไม่หาทางแก้ปัญหาให้ตรงจุด แต่จะเน้นแก้ปัญหาไม่ให้พรรคเสียหาย เสียภาพ มากกว่าคิดหาหนทางแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้อีก นานวันเข้าก็อาจนำไปสู่การคิดค้นหาวิธีการ “ปิดลับไม่ให้เรื่องแดง” ไม่ได้สนใจแก้ปัญหายุติความรุนแรงทางเพศภายในองค์กร

ข้อเสนอแนะถึง ส.ส. ผู้สมัคร ทีมงานทุกจังหวัด พนักงานพรรค การร้องเรียนเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกลหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการคุกคามและความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นแต่เฉพาะกับคนของพรรคก้าวไกล มีแต่พรรคก้าวไกลที่มีแต่คนประพฤติปฏิบัติเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งที่พรรคก้าวไกลถูกโจมตีและเป็นข่าวในเรื่องเหล่านี้บ่อยกว่าพรรคอื่นๆ ก็เพราะพรรคก้าวไกลประกาศจุดยืนเรื่องความเท่าเทียม แสดงตนว่าจะเอาจริงเอาจังกับปัญหาความรุนแรงทางเพศ ในขณะที่พรรคอื่นๆ อาจไม่สนใจหรือถือเป็นประเด็นใหญ่

ความรุนแรงทางเพศเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ปรากฏให้เห็นตามหน้าข่าวไม่เว้นแต่ละวัน ความรุนแรงทางเพศสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะมีเพศสภาพ เพศวิถี หรือรสนิยมทางเพศอย่างไร อายุเท่าไร อยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม ตามรายงานของ UN WOMEN พบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกต้องเคยเผชิญความรุนแรงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในชีวิต สำหรับประเทศไทย 44% ของผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงจากคนในครอบครัวหรือจากคนที่ตนรู้จัก โดยสาเหตุของความรุนแรงเกิดจากความมีอคติต่อผู้หญิงและระบบปิตาธิปไตยที่ผู้ชายเป็นผู้กุมอำนาจหลัก

คนในพรรคก้าวไกลทั้งหมดสามารถร่วมมือกัน ช่วยกันจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ สิ่งที่ง่ายที่สุดที่สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอ ไม่ต้องให้พรรคกำหนดกฎกติกาหรือออกแบบระบบ นั่นก็คือ ส.ส. และคนของพรรคก้าวไกล ต้องไม่ปล่อยให้เรื่องความรุนแรงทางเพศและความเท่าเทียมระหว่างเพศเป็นประเด็นที่ ส.ส. หญิง และ ส.ส. LGBTIQ+ ทำงาน รณรงค์ หรือต่อสู้เท่านั้น คนของพรรคก้าวไกล  และ สส. ทุกคนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการผลักดัน ส.ส. ชาย ที่มีความคิดแบบชายเป็นใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะรูัตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ต้องหาความรู้ ค้นคว้า อ่านหนังสือ ฟังเสวนา ในเรื่องสตรีนิยมและความเท่าเทียมทางเพศ ให้มากขึ้น อย่ามองว่าสตรีนิยมคือเรื่องของการเกลียดผู้ชาย ต้องหันมาทำความเข้าใจปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศให้ได้ก่อน

คนรุ่นเราหรือก่อนเรา ถูกปลูกฝังเลี้ยงดู ถูกสื่อ ภาพยนตร์ โฆษณา วัฒนธรรม ครอบงำ มาในแบบ “ชายเป็นใหญ่” วิธีคิดเหล่านี้ฝังหัวเราลงไป จนบางครั้ง เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้สึกว่า การกระทำของเราแบบนี้ผิด เราคิดว่า นี่คือเรื่องปกติธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมก้าวหน้ามากขึ้น กฎเกณฑ์ทางสังคมทางวัฒนธรรมเปลี่ยนไปมากขึ้น และเมื่อพรรคก้าวไกลประกาศจุดยืนในเรื่องเหล่านี้ บรรดาผู้ชายในพรรคทั้งหมด ก็ต้องปรับตัว พร้อมเรียนรู้

ส.ส. ชาย ผู้ชายในพรรค ต้องไม่เป็น bystanders หรือผู้เห็นเหตุการณ์แล้วแต่ไม่ทำอะไร เลือกที่จะนิ่งเฉย ธุระไม่ใช่ อย่าไปยุ่งเลย เดี๋ยวจะซวยเปล่าๆ ส.ส. ชาย ผู้ชายในพรรค ต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่และความมีอคติต่อผู้หญิง เมื่อไรก็ตามที่เราพบเห็นการคุกคามทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่เหมาะสม พฤติกรรมที่สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เป็นมิตร เช่น การเล่าเรื่องตลกทางเพศที่ลามกอนาจาร การประพฤติที่ไม่พึงประสงค์ ล่วงละเมิด หรือคุกคามอันเป็นเงื่อนไขในการจ้างงานหรือความก้าวหน้าต่างๆ เป็นต้น เราทุกคนสามารถทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องแกล้งทำเป็นขำๆ ไปตามสถานการณ์ ต้องรู้จักตักเตือนกัน และทำความเช้าใจกันในเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ

ผมขอแนะนำให้ ส.ส. ชายทุกคนเริ่มจากการชมคลิป Ted Talk ของ Jackson Katz ที่พูดถึงบทบาทของผู้ชายในการแก้ปัญหาความรุนแรงทางเพศไว้ได้เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติต่อได้ง่าย https://www.npr.org/…/jackson-katz-why-we-can-no-longer… คนของพรรคก้าวไกลต้องตระหนักว่า การจัดการปัญหาความรุนแรงทางเพศ เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ต้องทำเพราะกลัวเป็นข่าวหรือกลัวตนเองเดือดร้อนหรือกลัวพรรคเสียคะแนน แต่เราต้องทำ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของการรื้อถอนวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในสังคม และสร้างความเท่าเทียมทางเพศ ความเคารพต่อผู้อื่นให้เกิดขึ้นจริง

ส.ส. หญิงของพรรคก้าวไกลก็ต้องอย่านิ่งเฉยกับสถานการณ์ ต้องหมั่นเรียกร้องภายในพรรคให้มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรม ให้ความรู้ ทำความเข้าใจ และให้การช่วยเหลือ การเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงได้เข้ามีบทบาททางการเมืองอย่างแท้จริง ต้องมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยจากการคุกคามทางเพศสำหรับผู้หญิงและคนทุกเพศด้วย มิใช่แข่งกันแต่เพียงว่าพรรคไหนมี ส.ส. หญิงมากกว่ากันเท่านั้น

การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค มิใช่ การเอาอกเอาใจคณะนำ มิใช่ การเงียบ ไม่โต้เถียง ไม่แสดงความเห็นตรงไปตรงมาต่อคณะนำ เพราะกลัวตนเองถูกหมายหัว ไม่ได้ลง ส.ส. ครั้งหน้า

การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค มิใช่ คิดแต่เรื่องตนเอง คิดแต่เรื่องพื้นที่ตนเอง คิดแต่ความนิยมของตนเอง ส่วนเรื่องไหนที่เป็นเรื่องส่วนรวม ก็ไม่ยุ่ง ยุ่งแล้วเดี๋ยวซวย

การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค มิใช่ การร่วมมือกันปกปิดความผิด เพื่อปกป้องภาพลักษณ์พรรค

แต่การเป็น “ลูกที่ดี” ของพรรค ต้องอยากให้พรรคดี

แล้วพรรคก้าวไกลจะดีได้อย่างไร หากทุกคนพบเห็นพฤติกรรมความรุนแรงทางเพศหรือการคุกคามทางเพศ แล้วเลือกที่จะ “เงียบ” แล้วปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างเป็นไปสุดแท้แต่คณะนำกำหนดให้เป็น

ข้อสังเกตส่งท้าย พรรคก้าวไกลพยายามยกระดับมาตรฐานการเมืองไทย ประกาศจุดยืนเรื่องความเท่าเทียม และต่อต้านการคุกคามทางเพศและความรุนแรงทางเพศ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่พรรคก้าวไกลจะถูกเรียกร้องมากกว่าพรรคอื่นๆ เช่นเดียวกัน ก็ถูกตามจับผิดในเรื่องเหล่านี้มากกว่าพรรคอื่นๆ ด้วย

เมื่อพรรคก้าวไกลเป็นความหวังของผู้คนจำนวนมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จ การวางมาตรฐานการยุติความรุนแรงทางเพศในระดับพรรค จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ระดับสังคมด้วย หากพรรคก้าวไกลทำสำเร็จ ก็จะส่งผลแรงกดดันไปถึงพรรคอื่นๆ องค์กรอื่นๆ ช่วยยกมาตรฐานให้การเมืองไทยได้

ในส่วนของพรรคอื่นๆ หรือผู้สนับสนุนพรรคอื่น หรือผู้ที่ไม่นิยมพรรคก้าวไกล หากจริงจังกับปัญหาความรุนแรงทางเพศอย่างแท้จริง ก็ต้องไม่นำปัญหาความรุนแรงทางเพศมาเป็นแค่เครื่องมือโจมตีทางการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพูดถึงประเด็นนี้ด้วยความตั้งใจจะแก้ไขปัญหาจริงๆ มิใช่ พอเกิดเรื่องกับพรรคก้าวไกลที ก็ “ถูมือ ลูบปาก” เอาล่ะ ได้ทีแล้ว พวกเรา ถล่มมันเลย แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้กับพรรคที่ตนสนับสนุนหรือพรรคอื่นๆ ก็เงียบกริบ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

ความรุนแรงทางเพศ การคุกคามทางเพศ คือ ปัญหาสำคัญของสังคมไทย คือ ปัญหาร่วมกันของทุกคน ต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง มิใช่มุ่งเน้นแต่เอามาใช้โจมตีกันทางการเมือง

‘โตโต้’ ไล่บี้ถาม ‘กทม.’ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่? หลังปล่อยตลาดนัดเถื่อน ‘ซุกพนัน-ไร้ใบอนุญาต’

(18 ต.ค.66) ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงถึงความคืบหน้าการเปิดตลาดนัดสัญจรที่มีการพนันอยู่เบื้องหลังในพื้นที่เขตบางนา ว่า เรื่องนี้เป็นมากกว่าการพนัน แต่เป็นขบวนการต้มตุ๋นประชาชนที่อาศัยพื้นที่ในตลาดดังกล่าว เพื่อหลอกลวงทรัพย์สินจากประชาชนเป็นจำนวนมากต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน ซึ่งประชาชนในพื้นที่ทราบดีว่าทุกๆ เดือน บ่อนเหล่านี้จะมาตลาดเดือนละ 10 วัน และเวียนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เขตบางนา เชื่อว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตอื่นๆ อีก รวมถึงปริมณฑลด้วย ดังนั้นปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยในเขตบางนาเท่านั้น และจะต้องมีผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีสีอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เนื่องจากเราได้ติดตามและร้องเรียนกับทุกหน่วยงานของรัฐ เริ่มจากสำนักงานเขตบางนา โดยตนทำหนังสือร้องเรียนไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ซึ่งทางสำนักงานเขตฯ ตอบกลับมาว่า ตลาดกำลังขออนุญาตแต่ยังไม่ได้รับอนุญาต ตนจึงขอตั้งคำถามว่า 1. ตลาดเปิดได้อย่างไร 2. สำนักงานเขตฯ ชี้แจงว่า ได้มีการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว แต่เมื่อตนดูในเอกสารเป็นเอกสารที่ปรับแค่เรื่องการสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ไม่ได้ปรับตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สาธารณะว่าด้วยเรื่องตลาด และข้อบัญญัติของกรุงเทพฯ ว่าด้วยเรื่องการอนุญาตตั้งตลาด

นายปิยรัฐ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ตนได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมการปกครอง จนขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา และยังไม่ได้รับคำรับรองว่าจะดำเนินการอย่างไรจากกระทรวงมหาดไทย ตนจึงไปตั้งคำถามในสภาฯ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา คิดว่าเรื่องที่จะได้รับการแก้ไขแต่ปรากฏว่า ได้มีการตั้งตลาดอีกครั้งในวันที่ 13 ต.ค. ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 23 ต.ค. โดยประชาชนได้มีการร้องเรียนมายังตน ประชาชนรายที่เสียหายหนักที่สุดเป็นเงินมากถึง 3 แสนกว่าบาท ตนก็ถูกตราหน้าว่าส.ส. มีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เพราะร้องเรียนไปหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้รับการแก้ไข จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ตนต้องไปยืนเตือนประชาชนที่จะเข้าไปใช้พื้นที่ตลาด จึงเป็นประเด็นที่ต้องมาถกเถียงกันในวันนี้

นายปิยรัฐ กล่าวต่อว่า ดังนั้นตนขอชี้แจงเพิ่มเติม 2 ประเด็น ประเด็นแรกตลาดไม่ได้มีการจัดในรูปแบบทั่วไป เนื่องจากมีกฎหมายระบุว่า ตามพ.ร.บ.สาธารณสุข ซึ่งการตั้งตลาดนัดจะต้องมีการอนุญาตจากท้องถิ่น ถึงจะสามารถจัดตั้งได้ ดังนั้นเมื่อทางกทม. ไม่ได้อนุญาต แล้วมีการจัดตั้งตลาดได้อย่างไร ล่าสุดทางกทม. ได้ออกมาแถลงว่า ไม่ได้มีการปรับในรอบล่าสุดเพราะตลาดขออนุญาตอย่างถูกต้องในปี 2564 ตนจึงตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนขออนุญาต และขอตั้งแต่เมื่อไหร่ รูปแบบผังเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นข้อผิดพลาดของกทม. หรือไม่ เป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ประเด็นที่สอง ตลาดลักษณะนี้ไม่ได้เป็นไปตามผังตลาดอย่างแน่นอน เนื่องจากการทำตลาดนัดต้องมีผังชัดเจน ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนที่อาศัยข้างเคียง ซึ่งตลาดดังกล่าวกระทบแน่นอน ทั้งเสียง การจราจร นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตนยืนยันว่าตลาดล่าสุดที่เกิดขึ้นซึ่งใช้พื้นที่เอกชน ไม่ได้ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย สำนักงานเขตฯ ต้องชี้แจงเรื่องนี้ หลังออกมาแถลงว่าไม่มีการปรับรอบนี้ ตนถือว่ารอบนี้มีปัญหา

“ส่วนสน.และตำรวจจะอ้างว่าไม่พบการพนันที่เกิดขึ้นหลังตรวจสอบแล้ว ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ตำรวจมักจะไม่เจออะไรในสิ่งที่ตำรวจไม่อยากเจอ นี่คือข้อเท็จจริง เมื่อตำรวจไม่อยากเจอ เขาก็สามารถบันดาลว่าไม่เจอได้ ขอความเห็นใจจากประชาชนเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และฝากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในพื้นที่ของท่านหลายพื้นที่ อยู่ที่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้หรือไม่“นายปิยรัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า มูลค่าความเสียหายที่รวบรวมได้ขนาดนี้มีมูลค่าเท่าไหร่ นายปิยรัฐกล่าวว่า ที่มีการร้องเรียนมาถึงตนเองรวมๆ ก็เกือบล้าน รายเดียวก็ 3 แสนกว่า และรายอื่นๆ คนละ 2-5 หมื่นบาท ทั้งนี้จะเป็นคดีความหรือไม่ต้องแล้วแต่ความสะดวกผู้ร้องทุกข์ เนื่องจากรู้ว่านี่คือกลุ่มผู้มีอิทธิพล

“ผมคงไม่สามารถไประบุชัดเจนว่าเป็นบุคคลใดหรือสีไหน เพียงแต่ว่าหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงานที่ผมไปร้องเรียน และดำเนินการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย สำนักงานเขต สถานีตำรวจ ก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง แม้เราจะมีความพยายามแล้ว โดยเฉพาะตนได้มีการตั้งคำถามหารือผ่านประธานสภาไปตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. ยังปล่อยให้มีลักษณะนี้อีก ผมก็ไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นใคร และจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน” นายปิยรัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า จะมีการไปร้องเรียนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 ต.ค.) ตนวางแผน และปรึกษาหารือกับพรรคว่าจะตั้งกระทู้ถามสดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเข้ามาตอบกระทู้ถามสดนี้ของตนเกี่ยวกับประเด็นนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่า ถ้ามีเบาะแสหรือหลักฐาน ก็ยินดีที่จะรับเรื่องไว้ จะมีการไปพูดคุยกับนายชาดาหรือไม่ นายปิยรัฐ กล่าวว่า ตนได้ส่งเรื่องไปที่กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ถ้านายชาดาต้องการเพิ่มเติม ตนก็พร้อมให้ความร่วมมือ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่มีที่เขตบางนาเท่านั้น ดังนั้นในฐานะตนที่เป็นโฆษกและกรรมาธิการความมั่นคงฯ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงซึ่งจะนำเข้าหารือในที่ประชุมกมธ.ในวันพรุ่งนี้ด้วย

‘เพชร’ แจง เคสทำร้ายร่างกายภรรยา เป็นแค่สมาชิกร่วมลงพื้นที่ ยัน!! ไม่นิ่งนอนใจ หากพบทำผิดจริง พร้อมขับออกจากพรรค

(19 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีสมาชิกพรรคก้าวไกลทำร้ายร่างกายภรรยา ว่ายืนยันพรรคจะไม่อดทนกับการใช้กำลังในการตัดสินปัญหาและแก้ปัญหา รวมถึงชายทำร้ายหญิง หญิงทำร้ายชาย เราไม่สามารถยอมรับได้ แต่ขอเรียนว่าจากการสอบถามและค้นประวัติพบว่าเป็นเพียงสมาชิกพรรคที่สมัครเข้ามาเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และตรวจสอบจากคณะทำงานของพรรคที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริหารพรรคไม่มีชื่อบุคคลดังกล่าว เราจึงมั่นใจได้ว่าบุคคลนี้ไม่ได้เป็นคณะทำงานแต่เป็นสมาชิกพรรคที่ร่วมลงพื้นที่กับคณะทำงานของพรรคเท่านั้น 

เมื่อถามถึงมาตรการในการดำเนินการกับบุคคลดังกล่าว นายกรุณพล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหรือ สส. ถ้าอยู่ในสังกัดพรรคก้าวไกล เราจะสอบสวนตามระเบียบกฎกติกาของสมาชิกพรรคอยู่แล้ว และถ้าผิดคงต้องขับออกจากพรรค ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนก็โดยขับออก แม้กรณีดังกล่าวจะมีคดีความแล้วก็ตาม แต่พรรคยืนยันเสมอไม่ว่าคดีทำร้ายร่างกายหรือ คดีมาตรา 112 ที่พยายามเรียกร้องว่าก่อนศาลตัดสินว่าผู้ใดกระทำผิด เราต้องเชื่อว่าบุคคลนั้นยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เช่นเดียวกับคดีดังกล่าวไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าเหตุใดจึงเกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น และผู้ที่ทำร้ายร่างกายคือบุคคลนี้จริงหรือไม่ ถ้าใช่ ไม่ต้องกังวล พรรคขับออกแน่นอน 

เมื่อถามอีกว่าภายหลังจากนี้จะมีวิธีคัดกรองบุคคลเข้าเป็นทีมอย่างไร นายกรุณพล กล่าวว่า พรรคคัดกรองระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะคนที่เข้าไปเป็นทีมงานต้องรู้จักกับผู้สมัคร สส. และคณะทำงานจังหวัดอยู่แล้ว รวมถึงต้องดูประวัติย้อนหลังว่ามีอะไรที่น่ากังวลหรือไม่ แต่ตนเข้าใจว่าการคัดกรองคนดี ไม่ดี เราดูจากประวัติอาชญากรรมหรือพฤติกรรม แต่นิสัยส่วนตัวไม่ว่าจะติดยาเสพติด อารมณ์รุนแรง ชอบใช้กำลัง เราไม่สามารถดูได้หากไม่มีประวัติหรือการกระทำนั้นมาก่อน 

ต่อข้อถามว่าตอนนี้พรรคก้าวไกลมีแต่เรื่องการใช้ความรุนแรงทางเพศ นายกรุณพล กล่าวว่า ด้วยความที่พรรคมีสมาชิกพรรคและ สส. มากที่สุดในประเทศ รวมถึงเครือข่ายที่กำลังขยายในทุกระดับ จึงทำให้คนที่สนใจพรรคมีมากขึ้น อีกทั้งพรรคให้เสรีภาพกับประชาชนในการใช้โลโก้ผลิตสินค้าต่าง ๆ เช่น เสื้อ ของที่ระลึก เพื่อจำหน่าย จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งพรรคพยายามตรวจสอบและตอบข้อสงสัยของประชาชนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

‘เพชร กรุณพล’ ชี้ เพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ คอยจับผิดให้ร้ายก้าวไกล ซ้ำยังทำงานร่วมกับพรรครัฐบาลและไอโอทหาร

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.) นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.พรรคก้าวไกล และ รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ ว่า เพจนี้เป็นคนที่ไม่ชอบพรรคก้าวไกลแน่นอน เพราะมอนิเตอร์ทุกอย่าง คาดว่า น่าจะเป็นการทำงานระหว่างพรรครัฐบาลบ้างพรรคกับ IO ทหาร ที่พยายามจับผิด เนื่องจากมีการตามไปถึงสิงคโปร์ Monitor สส. พรรคก้าวไกลรายบุคคล และที่เห็นล่าสุดก็ชัดเจน คือ เพจนี้บอกว่า มีหลักฐานเกี่ยวกับ สส.พรรคก้าวไกล เล่นยาเสพติด แต่สุดท้ายก็ลบทิ้งไป ที่สำคัญ เราสังเกตเห็นว่า มีโหวตเตอร์ของพรรคการเมืองบ้างพรรคแชร์ทุกอย่างจากเพจนี้ เพื่อมาทำลายเรา พอเราเอาข้อเท็จจริงไปต่อสู้ กลายเป็นว่า โหวตเตอร์คนนั้นลบบัญชีหนีไป

เมื่อว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่า คนในพรรคก้าวไกลเป็นหนอนบ่อนไส้เสียเอง เพราะมีข้อมูลเยอะ นายกรุณพล กล่าวว่า เป็นไปได้ค่อนข้างยาก เราถึงบอกว่าน่าจะเป็นการทำงานกับพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองย่อมมีโหวตเตอร์ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า io ทหาร เพราะฉะนั้นโหวตเตอร์ที่ไม่ชื่นชอบพรรคตรงข้าม ก็จะเก็บภาพ และโยนมาที่ส่วนกลางเพื่อกระจายออก ซึ่งเป็นวิธีการง่าย ๆ เราจึงมั่นใจว่ามีพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เมื่อถามว่า เพจนี้ตั้งมาเพื่อโจมตีพรรคก้าวไกลเลยใช่หรือไม่ นายกรุณพล กล่าวว่า แน่นอน ซึ่งเราไม่ได้กังวล ดีเสียอีกพี่มีคนคอยมอนิเตอร์​เรา อะไรที่ทำไม่ดีจะได้แก้ไข แต่อะไรที่ไม่จริงแล้วเอามาตีฟูเพื่อทำลาย เราก็พยายามที่จะเอาข้อเท็จจริงมาสู้

ล่าสุด เพจที่ชื่อว่า ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ข่าวนายกรุณพล พร้อมข้อความระบุว่า “ทุกคนคะ วั้ยย ตัล แร้วววว หลอนหรือคะพี่”

อดีตคณะทำงานก้าวไกล แฉ!! ถูก สส.ฝั่งธนฯ ‘ลวนลาม-ขอมีเซ็กซ์’ นักข่าวโทรพิสูจน์ 6 สส. พบ ‘ปฏิเสธ-ไม่รับสาย-ตัดสาย-ติดต่อไม่ได้’

(20 ต.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถึงกรณีมีผู้เสียหายซึ่งเป็นอดีตคณะทำงานของสส.พรรค ก.ก. ได้เข้าร้องเรียนกับทางสำนักข่าวเนชั่นทีวี ว่า ถูก สส.กทม. ฝั่งธนบุรี พรรค ก.ก. รายหนึ่ง คุกคามทางเพศ ด้วยพฤติการณ์ อาทิ ลวนลาม แตะเนื้อต้องตัว จนถึงขั้นขอมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้เสียหายอ้างว่า เมื่อ สส.คนดังกล่าวทราบเรื่องว่าถูกร้องเรียนให้พรรค ก.ก.ตรวจสอบ ได้โทรศัพท์ไปร้องไห้ขอความเห็นใจจากคณะกรรมการวินัยพรรค อ้างว่า เป็นเรื่องสมยอมกัน และขอให้ลงโทษสถานเบานั้น

เมื่อสำรวจ รายชื่อ สส.กทม. ฝั่งธนฯ พรรคก.ก. มีทั้งหมด 10 คน จาก 10 เขต เป็นชาย 6 คน และหญิง 4 คน

โดยผู้สื่อข่าว โทรศัพท์ไปสอบถาม สส.กทม.ชาย ฝั่งธนบุรี พรรคก้าวไกล เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ปรากฏว่า นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เขตบางขุนเทียน นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร เขตธนบุรี นายสิริน สงวนสิน เขตทวีวัฒนา ต่างปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ไม่ใช่ผู้ถูกร้องเรียน และไม่ใช่สส.ฝั่งธนบุรี ที่มีพฤติกรรม ตามที่ร้องเรียนดังกล่าวแต่อย่างใด

ส่วนนายธัญธร ธนินวัฒนาธร เขตบางแค  ไม่รับสาย

นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ เขตบางพลัด -บางกอกน้อย ยังติดต่อไม่ได้ เนื่องจากไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

ขณะที่ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ เขตจอมทอง ผู้สื่อข่าวได้โทรหาหลายรอบ เมื่อนายไชยามวาน รับสาย และรู้ว่าเป็นสื่อมวลชนโทรหา เจ้าตัวได้วางสายทันที

‘ปิยบุตร’ จี้!! ‘สส.หื่น’ ยอมรับผิด ปมคุกคามทางเพศ อย่าปล่อยให้เพื่อนร่วมพรรครับหน้าชี้แจงไม่จบสิ้น

(21 ต.ค.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตสส.บัญชีรายชื่อ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ รีทวีตข้อความบน x หรือทวิตเตอร์ ของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ที่ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีมี สส.พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาคุกคามทางเพศ โดยระบุว่า เห็นใจพริษฐ์ และรองโฆษก และ สส.หญิงอีกหลายคน ที่ต้องมารับหน้าที่ ‘แบกพรรค’ แบบนี้

“ผมขอให้กำลังใจ สส.ก้าวไกล หลายๆ คนที่ออกมาต่อสู้เรื่องนี้ และพยายามผลักดันให้พรรคสร้างระบบทั้งป้องกันและแก้ไขอย่างยั่งยืน” นายปิยบุตร ระบุ

นายปิยบุตร ระบุต่อว่า สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหา หากตระหนักว่า ตนเองทำผิดจริงอย่างที่ถูกกล่าวหา ควรออกมาขอโทษผู้เสียหาย ประชาชน เพื่อน สส. และพรรคก้าวไกล มิใช่ปล่อยให้พรรคและคนอื่นๆ ต้องมาชี้แจงไม่รู้จักจบจักสิ้น แสดงความรับผิดชอบ ไม่ต้องหนี ยอมรับผิด ขอโทษ พร้อมเข้าสู่กระบวนการ

“การกระทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อปกป้องตนเอง ไม่ใช่เพื่อปกป้องพรรคก้าวไกล แต่นี่คือมาตรฐานความรับผิดชอบ กล้าเผชิญหน้า และพร้อมจะปรับปรุงแก้ไข เพื่อสร้างมาตรฐานให้พรรคก้าวไกลและสังคมไทย เพื่อร่วมกันยุติความรุนแรงทางเพศและการคุกคามทางเพศ” นายปิยบุตร ระบุ

‘พม.’ พร้อมเยียวยาจิตใจ-ให้คำปรึกษา ‘เหยื่อก้าวไกล’ หากร้องขอ ปมถูก สส.คุกคามทางเพศ โดยไม่ตัดสินใครเป็นผู้กระทำผิด

(24 ต.ค. 66) เวลา 08.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเยียวยาจิตใจเหยื่อที่ถูก ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) คุกคามทางเพศว่า ในแต่ละเคสที่โดนกระทำนั้น หากมีการติดต่อเข้ามาทางกระทรวง พม. เราก็ยินดีเข้าไปให้คำปรึกษาโดยไม่ตัดสินว่า ใครเป็นผู้กระทำ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละเคสย่อมมีความกระทบกระเทือนด้านจิตใจ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ที่อยู่ภายใต้กระทรวง พม. จะเข้าไปดูแลสภาพจิตใจของเหยื่อผู้เสียหายในแต่ละเคส 

เมื่อถามว่า จะถูกมองว่าเป็นการเมืองระหว่างพรรค ก.ก. และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ตนไม่คิดเช่นนั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนขึ้นมา ก็เป็นสิทธิของเหยื่อแต่ละคนที่จะดำเนินการ รวมถึงการกระทำเช่นนี้ก็มีขั้นตอนทางกฎหมายอยู่แล้ว ทั้งเรื่องกฎหมายจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กฎหมายอาญา หรือกฎหมายด้านอื่นๆ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะรับไปดำเนินการต่อไป 

'ก้าวไกล' เย้ย!! ทางตัน 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ปรับเงื่อนไขไร้กระตุ้น ศก. ลั่น!! รอบนี้ฝ่ายค้านใจดี แต่เปิดสมัยประชุมหน้า จองกฐินถล่ม

(26 ต.ค. 66) ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่มีการปรับลดเงื่อนไขว่า ปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องมีการปรับหลักเกณฑ์โดยการที่คัดกรองคนรวยออก ก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลน่าจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้กับนโยบายนี้แน่นอนจึงจำเป็นต้องทำจำนวนคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ลดลง ซึ่งถึงแม้ว่าจะลดลงแล้วก็ยังมีคนที่จะได้รับอยู่ที่ประมาณ 43-49 ล้านคนอยู่ดีดังนั้นโอกาสที่จะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็มีค่อนข้างน้อย และมีข้อเสนอออกมาอีกว่าจะใช้งบผูกพันปีละ 1 แสนล้านบาทภายใน 4 ปี ตนคิดว่าก็ยิ่งชัดเจนว่างบประมาณปี 2567 มีที่ว่างให้ทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเพียงแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น

“กรณีจำเป็นที่ต้องผูกพันไปถึง 4 ปี ก็เท่ากับว่าจะมีร้านค้าบางส่วนที่ไม่ได้เงินสดไปทันที และต้องรอแลกเป็นหลายรอบปีงบประมาณ ก็จะกระทบกับร้านค้า อาจจะไม่มีแรงจูงใจมากพอ ถ้าหากต้องการเงินสดมาหมุนเวียนในร้านค้าของตนเอง ก็อาจจะไม่เข้าร่วมโครงการด้วยซ้ำไป” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตนพูด ตอกย้ำว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาถึงทางตันแล้ว เนื่องจากไม่สามารถให้ธนาคารของรัฐ ธนาคารออมสินดำเนินโครงการนี้ไปก่อนได้ จึงติดข้อจำกัดหลักที่เป็นตอใหญ่คือเรื่องแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งตนคิดว่าการปรับเงื่อนไขครั้งนี้ต้องพิจารณาด้วยว่ายังคงสามารถทำได้ตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมผลที่คาดว่าจะได้รับดั้งเดิมหรือไม่ ถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไปหมดแล้ว อาจจำเป็นที่ต้องทบทวนวิธีการใหม่ทั้งหมด ทบทวนนโยบายใหม่ทั้งหมด

เมื่อถามว่าการปรับเงื่อนไขทำให้จำนวนผู้ได้รับลดลงมากน้อยอย่างไร และสะท้อนอะไรบ้าง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่าลดไปได้นิดเดียวเองสำหรับคนที่มีเงินเดือนเกิน 25,000 บาท รวมถึงเงื่อนไขบัญชีเงินฝาก ลดไปได้ 13 ล้านคน

“ถ้าเกิดเงินเดือนเกิน 50,000 บาท ยิ่งลดไปได้น้อยใหญ่เลย ลดไปได้แค่ 7 ล้านคน ดังนั้น เกณฑ์นี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในแง่ของการที่จะประหยัดงบประมาณลง ก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงว่าจะทำอย่างไรกันต่อ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ถ้าสุดท้าย รัฐบาลกลับไปทางเลือกที่ 3 ที่ให้เฉพาะคนที่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตนมองว่าอาจจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป อาจจะเป็นโครงการประคับประคองเยียวยาค่าของชีพคนที่มีรายได้น้อยหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน จะกลายเป็นการเปลี่ยนรูปแบบวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นชัดเจน ย้ำว่าคำว่าทบทวนหมายถึงอาจจะให้เปลี่ยนวิธีการมากกว่ายกเลิกโครงการ ตนเข้าใจดีว่าสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนก็สำคัญ

“ดิฉันเข้าใจว่าเพื่อไทยได้หาเสียงไว้ แต่ก็สามารถที่จะบอกกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าติดปัญหาในเรื่องอะไรดิฉันคิดว่าประชาชนน่าจะเข้าใจได้ว่ารัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีอุปสรรคชิ้นใหญ่คืองบประมาณ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่าสุดท้ายจะเหมือนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องรอดูว่าจะเป็นรูปแบบนั้นหรือไม่ตอนนี้งบประมาณที่ไปทบทวนในแต่ละหน่วยงานของรัฐทำการเสร็จแล้ว และเริ่มทยอยส่งกลับมาที่สำนักงบประมาณดังนั้น สำนักงบประมาณมีข้อมูลอยู่ในมือแล้วว่าจะสามารถที่จะตัดลดงบหรือไกล่เกลี่ยงบประมาณปี 2567 ได้เท่าไหร่

“ดังนั้น ถ้าไม่ทำงบประมาณผูกพันข้ามปีทางออกทางเดียวก็คือให้เฉพาะคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มันก็จะไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไปเป็นเพียงแค่เยียวยาค่าของชีพ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ฝ่ายค้านจะยังรอให้มาติผลการประชุมกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ออกมาก่อน เรายังใจดีให้รัฐบาลกลับไปคิดทวนลงรายละเอียดทุกอย่าง และให้คณะกรรมการชุดใหญ่มีข้อเสนอกับคณะรัฐมนตรี เราจะได้ทำการตรวจสอบกันต่อไป หลายกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็รอที่จะพูดคุยอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงปิดสมัยประชุม แต่หากเปิดสมัยประชุมเราก็จะมีการพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างแน่นอน พร้อมย้ำสื่อมวลชนให้สอบถามร้านค้าว่าหากมีการทยอยจ่ายเงินสดไม่ได้ทันที ร้านค้าเข้าร่วมโครงการอยู่หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ตอนนี้แหล่งเงินจากธนาคารออมสินไม่สามารถใช้ได้แล้ว ถ้าจะใช้ธนาคารออมสินต้องแก้ไขกฎหมาย ส่วนการออก พ.ร.ก.กู้เงินเหมือนช่วงโควิดนั้น เป็นทางออกที่ง่ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่า พ.ร.ก. จะออกได้เมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ซึ่งต้องกลับไปถามสำนักบริหารหนี้สาธารณะว่าจะยอมหรือไม่ ในกรณีที่ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนและเสี่ยงต่อการขัดต่อรัฐธรรมนูญ บอกว่าอาจเป็นการฆ่าตัวตายได้

'พิธา' พบคนไทยในนิวยอร์ก เจอถือป้ายขับไล่ "คนโกหกเชื่อถือไม่ได้" ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องห้ามทัพ หวั่นกระทบกระทั่ง 'ด้อมส้ม'

เมื่อวานนี้ (25 ต.ค. 66) ช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางไปพบปะพี่น้องคนไทยในเขตควีนส์ของมหานครนิวยอร์ก ทันทีที่นายพิธา มาที่วัดพุทธไทยถาวร ในเขตชุมนุมชาวไทยที่ eimhurst queens ny กับย่านไทยทาวน์ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัด โดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุนมาต้อนรับ กับฝ่ายตรงข้ามมาไล่ต้อน

ทั้งนี้ มีฝ่ายสนับสนุนรายหนึ่งเผยว่า ตนและเพื่อน ๆ ยอมหยุดงานมาให้กำลังใจพิธาในวันนี้ พร้อมชี้ว่าหากวันหนึ่งเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี เธอจะเดินทางกลับไปบ้านเกิดอีกครั้ง เราต้องการนายกฯ คนรุ่นใหม่ไฟแรงเพื่อมาพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มของฝ่ายตรงข้ามที่มาถือป้ายไล่ต้อนนั้น ได้นำป้ายที่มีข้อความว่า L I A R คนโกหกเชื่อถือไม่ได้ หลอกลวง ท่ามกลางผู้สนับสนุนที่มาต้อนรับ งานนี้ร้อนถึงพระคุณเจ้าต้องเข้ามาห้ามทัพและพูดคุยทั้งสองฝ่าย โดยไม่มีรายงานว่ามีการปะทะหรือกระทบกระทั่งแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพิธา มีกำหนดเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top