Saturday, 19 April 2025
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

'คุณากร' เผย ก.เกษตรฯ ดัน ไก่ย่างไม้มะดัน-โคขุนวากิว ขึ้นชั้นสินค้า GI สู่ สุริทร์โมเดล ด้วยนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงแรมทองธารินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจาก นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นประธานกล่าวเปิดการฝึกอบรม หลักสูตร "การขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และการพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น" โดยมีผู้บริหาร เจ้าหน้าที่สังกัดกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานส่วนจังหวัด เข้าร่วม สำหรับการฝึกอบรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการขอขึ้นทะเบียนสินค้าเป็นสิ่งบ่งขี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และการตลาดสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้กับเกษตรกร และเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ รวมถึงนำความรู้ไปใช้ในการยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สินค้าโคขุนสุรินทร์วากิว และไก่ย่างไม้มะดันห้วยทับทัน ที่ส่งผลต่อการเพิ่มมูลค่า และสามารถต่อยอดด้านการตลาดได้

“กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์มุ่งมั่นดำเนินภารกิจพัฒนาด้านปศุสัตว์ให้มีการบริหารจัดการที่ดีไปจนถึง แปรรูปปศุสัตว์ให้สามารถจำหน่ายสู่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงตามนโยบายรัฐบาลตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว จะสามารถพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่และเกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในพื้นที่ของตนเองได้ รวมถึงยกระดับสินค้าให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ จนสร้างความเชื่อมั่น ในคุณภาพ และคุณลักษณะพิเศษของสินค้าที่แตกต่างจากแหล่งอื่นให้เกิดการต่อยอดสู่ตลาดสากลต่อไป” ผู้ช่วยเลขานุการฯ รมว.กษ. กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ นายคุณากร ผู้ช่วยเลขานุการเกษตรฯ ได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานการควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์เพื่อการส่งออก ณ ด่านกักกันสัตว์สุรินทร์ และสำรวจพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจะมีการจัดศูนย์ฝึกและพัฒนาราษฎรไทยบริเวณชายแดนสุรินทร์ ตลาดอาเซียนช่องจอม และจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม รวมถึงตรวจเยี่ยมจุดตรวจร่วมบูรณาการสินค้าเกษตรสำหรับจัดโครงการสุรินทร์โมเดล (Surin Model) ครั้งที่ 3 อีกด้วย

‘รมช.อนุชา’ หนุนเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม PGS ขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ-ชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

(19 มี.ค. 67) นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ PGS วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผักปลอดภัย ตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา หารือกับผู้ประกอบการรับฟังปัญหาเพื่อนำมาสู่การแก้ไข

ทั้งนี้ ได้มีการเปิดพื้นที่แปลงของนายจำนงค์ นาคประดับ หมอดินอาสาจังหวัดพะเยา ซึ่งทำการเกษตรแบบผสมผสานตามแนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เดิมเกษตรกรในพื้นที่ปลูกพืชผัก และมีความสนใจในการทำเกษตรอินทรีย์ นายจำนงค์ จึงได้รวบรวมเกษตรกรมาศึกษาเรียนรู้และเข้าสู่กระบวนการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม PGS ที่สนับสนุนโดยสถานีพัฒนาที่ดินพะเยา จัดตั้งเป็นกลุ่มผลิตผักปลอดภัยตำบลบ้านตุ่น ส่งจำหน่ายโรงพยาบาลพะเยา และพัฒนาศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดินจอกับปอ โดยเป็นตัวอย่างการทำเกษตรแบบผสมผสานปลูกไม้ผลและพืชผักหลากหลายชนิด มีจุดถ่ายทอดการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยการก่อสร้างฝายชะลอน้ำ พร้อมส่งน้ำด้วยระบบท่อ โดยใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ นับเป็นต้นแบบที่ดีในการทำเกษตรอินทรีย์ของคนต้นน้ำ

นอกจากนั้น ยังเป็นศูนย์ฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินในพื้นที่ใกล้เคียง ให้สามารถเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองได้ โดยมุ่งให้ความรู้เกษตรกรด้านการทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาภาคเกษตรกรรมและยกระดับรายได้ของพี่น้องเกษตรกร

นายอนุชา เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคการเกษตรต้องมีการพัฒนาที่ทันสมัย รวดเร็ว รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ดิน เพื่อให้เป็นรากฐานการผลิตที่ยั่งยืน โดยทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมกันหาแนวทางปรับเปลี่ยนแนวคิดการทำงาน เพิ่มองค์ความรู้ใหม่ ๆ ปรับเปลี่ยนบริบทภาคเกษตรเพื่อเพิ่ม GDP ภาคเกษตรให้สูงขึ้น อีกทั้ง ต้องร่วมกันขับเคลื่อนการใช้พื้นที่เกษตรให้เต็มศักยภาพ ด้วยการจัดการผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ นำไปสู่การสร้างอาชีพให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลุดพ้นความยากจน ลดภาระหนี้สิน

รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุนเพื่อให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม โดยเน้นความสำคัญของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อร่วมขับเคลื่อนการทำงานอย่างเป็นระบบ นำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า พร้อมพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเกษตรปลอดภัย

“กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาไทยให้กินดี อยู่ดี มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพิ่มขีดความสามารถให้ชาวนาพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เน้นการทำเกษตรเชิงรุก ยกระดับจากมาตรฐาน GAP สู่เกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม PGS วิถีชุมชนที่อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ของหมอดินอาสาที่มีศักยภาพในการจัดทำแปลงสาธิต และมีความสามารถในการเป็นวิทยากร เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงานเรียนรู้จากแปลงต้นแบบและฐานเรียนรู้ ได้อย่างถูกต้อง” นายอนุชา กล่าว

‘กรมฝนหลวง’ เตรียมปฏิบัติการทำฝนหลวงในภาคเหนือ  เริ่ม 11 เม.ย.นี้ หวังช่วยชะล้างฝุ่น PM 2.5 กว่า 50%

(9 เม.ย.67) นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือ ในฐานะที่ตนกำกับดูแลกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งมีภารกิจหลักในการแก้ไขปัญหา จึงสั่งการให้กรมฝนหลวงฯ นำเครื่องบินขึ้นทำฝนหลวง เพื่อดัดแปลงสภาพอากาศของภาคเหนือตอนบนทั้งหมด

“สร้างความมั่นใจว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์พื้นที่ภาคเหนือตอนบนทั้งหมด โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย ปริมาณฝุ่นจะลดลงอย่างต่ำ 50% ของพื้นที่ และในช่วงเวลาเดียวกันจะมีการวางแผนทำฝนหลวงควบคู่ไปด้วย เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงดังกล่าวเหมาะกับการทำฝนหลวง ซึ่งการปฏิบัติการดังกล่าวเรียกว่าเป็นการลดอุณหภูมิของสภาพอากาศ เพื่อให้ฝุ่นในชั้นล่างลอยขึ้นไปด้านบนได้ วิธีนี้จะช่วยให้ฝุ่นลดความแออัดลงได้ถึง 50% เช่นเดียวกัน” นายไชยา กล่าว

นายไชยา กล่าวว่า การทำฝนหลวงมีอุปสรรคต้องใช้น้ำเย็น ในขณะที่ประสิทธิภาพการทำฝนหลวงจริง ๆ ต้องใช้น้ำแข็งแห้ง แต่น้ำแข็งแห้งสามารถผลิตได้ที่เดียวคือที่ จ.ระยอง ดังนั้นการขนย้ายจาก จ.ระยอง มา จ.เชียงใหม่ จึงเป็นปัญหาอุปสรรค เพราะถ้ามีการขนมาประสิทธิภาพอาจลดลง จึงต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการใช้น้ำเย็น

“ในวันที่ 11 เมษายนนี้ จะขึ้นปฏิบัติการทำฝนหลวงด้วยตนเอง เพราะอยากรู้การทำงานมีขั้นตอนอย่างไร โดยต้องอาศัยเทคนิคการคำนวนทิศทางลม ความชื้นของชั้นบรรยากาศ หากไม่ได้ขึ้นไปด้วยตัวเองก็จะอธิบายกับสังคมไม่ได้ จึงไม่อยากให้ด้อยค่ากรมฝนหลวง เนื่องจากทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีศาสตร์พระราชา และปฏิบัติการฝนหลวงสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้จริง และตอนนี้มีข้อเรียกร้องจากภาคประชาชนหลายพื้นที่ในการทำฝนหลวง” นายไชยา กล่าว

นายไชยา กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมฝนหลวง ขึ้นทำฝนหลวงทุกวันในช่วงสงกรานต์ คาดหวังว่าในช่วงสงกรานต์จะทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เที่ยวกันอย่างมีความสุข ส่วนกรณีที่เกิดข้อสงสัยว่าการทำฝนหลวงจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นในระยะยาวได้หรือไม่นั้น ต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่หน่วยงานของเรา แต่เรามีหน้าที่สนับสนุน จึงต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกัน รวมทั้งให้ความรู้ และขอความร่วมมือไม่ให้เกษตรกรเผาป่า ซึ่งจะสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

“การทำฝนหลวงไม่ได้ทำให้ฝุ่นทั้งหมดไป เนื่องจากฝุ่นดังกล่าวลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้อย่างน้อย 50%” นายไชยา กล่าว

‘อรรถกร’ เผย 'บิ๊กป้อม' กำชับลุยงาน ‘รมช.เกษตร’ ให้เต็มที่สมที่ไว้วางใจ พร้อมอวยผลงาน ‘ธรรมนัส’ 7 เดือนชิ้นโบแดงทำกดดัน แต่พร้อมลุย

(2 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ เวลา 08.20 น. เป็นไปอย่างคึกคัก หลังรัฐมนตรีใหม่ได้ทยอยเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อตรวจคัดกรองเชื้อโควิด (RT PCR) ที่ห้องเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่วันที่ 3 พ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีใหม่เข้าถวายสัตย์ฯ ในเวลา 17.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน อาทิ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. สาธารณสุข, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้เป็นการเตรียมตัวทำงาน และดีใจที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร และตั้งแต่วันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งชื่อ และทราบว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี ก็ได้มีการคิดล่วงหน้าและเตรียมความพร้อม ว่าเมื่อเรามีโอกาสได้เข้ามาทำงานในฐานะรัฐมนตรีช่วย ก็จะทำให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามเมื่อได้มอบหมายให้รับผิดชอบมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถือเป็นกระทรวงใหญ่ เป็นกระทรวงที่ดูแลเกษตรกรที่มีจำนวนมากในประเทศไทย ยอมรับว่าก็อาจจะรู้สึกกดดันบ้าง อีกทั้งตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำงานไว้ผลงานระดับชิ้นโบแดง แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณบ้าง แต่ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ก็เป็นเชิงบวกอย่างที่ทุกคนเห็นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า การที่พรรคพลังประชารัฐ ได้ดูกระทรวงเกษตรทั้งหมด จะส่งผลอย่างไร? นายอรรถกร กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรตนไม่ทราบ แต่เบื้องต้นเท่าที่ได้คุยกับ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว ตนเองตั้งใจที่จะทำงานเพื่อแบ่งเบาภารกิจของท่าน และพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ เรื่องที่จะสามารถแบ่งเบาได้ และในฐานะคนรุ่นใหม่ ก็จะทำตามนโยบาย รมว.เกษตร ที่ได้วางนโยบายไว้ คือการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ และใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปทำงาน ดังนั้นการสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเกษตรกรที่สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อโลกเปลี่ยนไป หากเราใช้รูปแบบเดิม ๆ ผลลัพธ์อาจจะเป็นแบบเดิมหรือน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากทุกอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะภูมิอากาศซึ่งส่งกระทบกับผลผลิต จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งกระทรวงเกษตรก็มีหลายหน่วยงาน และนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถจะเข้าไปช่วยตรงนี้ได้"

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้ามาทำงานตรงนี้ พล.อ.ประวิตรได้ฝากฝังอะไรหรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ท่านบอกว่าอย่าให้เสียชื่อ ท่านมอบความไว้วางใจแล้ว ท่านให้โอกาสแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ครับ"

นายอรรถกร กล่าวว่า หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมายงาน แต่ที่ตนตั้งใจไว้คือ ต้องการแบ่งเบาภารกิจของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ได้มากที่สุด 

ส่วนสาเหตุที่ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้อย่างไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางพรรคพลังประชารัฐก็เสนอรายชื่อแคนดิเดตรัฐมนตรีหลายคนเพื่อให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ? นายอรรถกร กล่าวว่า "เท่าที่ทราบตามข่าว พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ ส่งรายชื่อไป 3-4 รายชื่อ หลังจากนั้นก็ขึ้นกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งกรุณาเลือกตนเข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรี เพื่อมาทำงานร่วมกับร.อ.ธรรมนัส และเชื่อว่าตัวเอง และ ร.อ.ธรรมนัส จะทำงานร่วมกันได้อย่างดี เพื่อประโยชน์ของประชาชนต่อไป โดยเป้าหมายส่วนตัว จะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่ท่านนายกรัฐมนตรี และ ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบไว้ให้และจะทำให้บรรลุในทุกข้อ"

ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีเลือกเข้ามาเพราะมีภาพคนรุ่นใหม่เป็นองค์ประกอบร่วมด้วยใช่หรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ตนตอบแทนนายกรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ในเมื่อมีโอกาสมาทำงานตรงนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มีโอกาสเข้ามาทำงาน และทราบมาว่า ครม.ชุดนี้ มีคนรุ่นใหม่หลายคนเข้ามา ก็เชื่อว่าจะร่วมมือกันทำงานมิติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น"

เมื่อถามว่าแต่งตั้งนายอรรถกรแล้ว ยังมีแรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชารัฐอยู่หรือไม่? นายอรรถกร กล่าวว่า "ต้องขอบคุณพี่น้องเพื่อนในพรรคพลังประชารัฐ หลังจากมีข่าวตนได้รับการโปรดเกล้าฯ ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี และตนจะตั้งใจทำงานในฐานะที่เป็นตัวแทนของพรรค และคนฉะเชิงเทราที่มีโอกาสเข้ามาทำงานฝ่ายบริหาร และให้สมกับที่นายกรัฐมนตรีให้ความไว้วางใจ"

‘รัดเกล้า’ เผย!! ครม.ไฟเขียวขยายเวลา 2 โครงการใหญ่ชลประทาน เหตุเพราะปัญหาและอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด19

(11 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 2 โครงการ สาเหตุเนื่องจากปัญหาและอุปสรรคจากสถานการณ์ Covid - 19 ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางให้อยู่ในวงจำกัด ส่งผลให้ผู้รับจ้างประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้างเครื่องจักร เครื่องมือไม่เพียงพอ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้ นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวงฯ ยังมีสาเหตุมาจากสภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขแบบก่อสร้างเพื่อให้มีความสอดคล้องกับสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน และลดผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่ ประกอบกับในขั้นตอนการจัดหาที่ดินมีเจ้าของทรัพย์สินบางส่วนไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนดและไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมถึงที่ดินบางแปลงติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งจากปัญหาอุปสรรคดังกล่าว กษ. โดยกรมชลประทานจึงได้อนุมัติให้มีการขยายอายุสัญญาและอนุมัติงดค่าปรับจากการแก้ไขแบบแก้ไขสัญญา และให้ได้รับสิทธิ์กำหนดอัตราค่าปรับร้อยละ 0 ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงแพร่ระบาดโรค Covid - 19 ของทั้ง 2 โครงการด้วยแล้ว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาดังกล่าว กษ. (กรมชลประทาน) จึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิมจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง จังหวัดชลบุรี เสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาจากเดิม 14 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553–2566) เป็น 17 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553–2569) และโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง จากเดิม 19 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548–2566) เป็น 22 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548–2569) 

“โครงการชลประทานขนาดใหญ่เป็นไปเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำ ทั้งสำหรับพื้นที่เพาะปลูก การอุปโภค บริโภค การอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งยังสามารถใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ได้ในอนาคตอีกด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว

‘ปลาหมอคางดำ’ กับ การรับมือสถานการณ์วิกฤต ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กรมประมง ต้องหาความจริง!! ดำเนินการตามกฎหมาย กับผู้ที่สร้างความเสียหาย

(27 ก.ค.67) ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Sarotherodon melanotheron Rüppell เป็น ปลาหมอ (ปลานิล) สายพันธุ์พื้นเมืองที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่มอริเตเนียไปจนถึงแคเมอรูน มีสีค่อนข้างซีดแตกต่างกัน เช่น ฟ้าอ่อน ส้ม และเหลืองทอง โดยปกติจะมีจุดสีเข้มตรงคางของปลาที่โตเต็มวัย จึงถูกเรียกว่า ‘ปลาหมอคางดำ’

‘ปลาหมอคางดำ’ สามารถทนต่อความเค็มสูงได้ และพบได้มากในบริเวณป่าชายเลน และสามารถอพยพไปยังน้ำจืด เช่น ลำธารตอนล่าง และน้ำเค็ม ในแอฟริกาตะวันตก ปลาชนิดนี้จะอาศัยอยู่ใน ทะเลสาบ น้ำกร่อยและปากแม่น้ำเท่านั้น และพบมากในป่าชายเลน ซึ่งจะรวมฝูงกันและหากินเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะหากินในเวลากลางวันแต่ก็ไม่บ่อยนัก อาหารส่วนใหญ่จะเป็นหอยสองฝาและแพลงก์ตอนสัตว์ โดยจะกินอาหารด้วยการกัดกลืน 

การวางไข่จะเกิดขึ้นใกล้ชายฝั่งในน้ำตื้น ตัวเมียจะเกี้ยวพาราสีตัวผู้ ขุดหลุม และนำในการผสมพันธุ์ ในที่สุดตัวผู้จะตอบสนองในลักษณะค่อนข้างเฉื่อยชา แล้วคู่จะผสมพันธุ์กัน เป็นปลาที่ฟักไข่โดยใช้ปากของปลาตัวผู้ แต่ปลาตัวเมียสายพันธุ์หนึ่งในกานาก็สามารถฟักไข่โดยใช้ปากได้เช่นกัน ปัจจุบัน ‘ปลาหมอคางดำ’ ถูกจัดเป็นปลาพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive alien species) ในหลายพื้นที่อาทิ มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่า ‘ปลาหมอคางดำ’ จะถูกนำเข้ามาโดยอาศัยการลักลอบนำเข้าจากการค้าสัตว์น้ำ มีข้อสงสัยว่ามีการปล่อยปลาเหล่านี้โดยเจตนา ในบางพื้นที่พบ ‘ปลาหมอคางดำ’ คิดเป็น 90% ของค่าชีวมวลของปลาทั้งหมด ในมลรัฐฮาวายเรียกปลาชนิดว่า "ปลาหมอน้ำเค็ม" เนื่องจากปลาชนิดนี้สามารถอยู่รอดและขยายพันธุ์ได้ในน้ำทะเลได้ ตามเกาะต่าง ๆ จะพบ ‘ปลาหมอคางดำ’ บริเวณชายหาดและในทะเลสาบรอบเกาะโออาฮูและรวมถึงเกาะอื่น ๆ ด้วย ‘ปลาหมอคางดำ’ ถือเป็นศัตรูพืชในคลองและอ่างเก็บน้ำในฮาวาย เพราะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

ฟิลิปปินส์ ซึ่งเรียกปลาชนิดนี้อย่างไม่เป็นทางการว่ากลอเรียหรือติลาเปียง อาร์โรโย ตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย เนื่องจากปลาชนิดนี้มีขนาดเล็ก และมีเม็ดสีเข้มคล้ายไฝใต้ขากรรไกรล่าง ซึ่งคล้ายกับรูปร่างเตี้ยและไฝที่แก้มซ้ายของอดีตประธานาธิบดี เชื่อกันว่าในช่วงต้นปี 2015 มีลักลอบนำเข้า ‘ปลาหมอคางดำ’ เพื่อการค้า และแอบปล่อยสู่ธรรมชาติในแหล่งน้ำใกล้จังหวัดบาตานและบูลากัน ‘ปลาหมอคางดำ’ ถือเป็นภัยคุกคามต่อบ่อปลาเนื่องจากขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและกินพื้นที่รุกล้ำปลาชนิดอื่นโดยเฉพาะปลากะพงเลี้ยง ถูกพบในอ่าวมะนิลาเช่นกัน

สำหรับบ้านเรา ‘ปลาหมอคางดำ’ กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่มีการกล่าวถึงในสังคมโซเชียล ปลาชนิดนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำเข้า ไม่ว่าการหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติจะเกิดจากใครก็ตาม กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่สืบสวนหาความจริง และดำเนินการตามกฎหมาย โดยการร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อเจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้จะต้องมีผู้กระทำผิดที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางแพ่งและอาญา เนื่องจากพบการระบาดรุนแรงในหลายพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผู้เลี้ยงปลาและกุ้งจำนวนมากได้รับความเสียหาย รัฐบาลโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศว่าจะกำจัด ‘ปลาหมอคางดำ’ ให้หมดสิ้น โดยมาตรการการกำจัดอย่างหนึ่งคือ การปล่อยปลาล่าเหยื่อ เช่น ปลากะพงขาวสู่ธรรมชาติเพื่อควบคุมจำนวนประชากรของ ‘ปลาหมอคางดำ’ ซึ่งต้องติดตามผลการดำเนินการดังกล่าวต่อไป

สำหรับประเทศที่ประสบปัญหาลักษณะนี้มากที่สุดในโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา เพราะชาวอเมริกันจำนวนมากที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกๆ สัตว์หายาก แต่เมื่อเบื่อหรือเลี้ยงไม่ไหวแล้วแทนที่จะกำจัดทิ้ง กลับแอบปล่อยสู่แหล่งธรรมชาติ ทำให้ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะมลรัฐฟลอริดา มีสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานสัตว์พื้นถิ่นในระบบนิเวศอยู่มากมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้คือ ‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’(United States Fish and Wildlife Service : USFWS หรือ FWS) หน่วยงานรัฐบาลกลางในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงมีมาตรการต่าง ๆ ที่มีความทันสมัยในการจัดการกับทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ตัวอย่างของสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในสหรัฐฯ ได้แก่ หอยแมลงภู่ Quagga และ Zebra สัตว์ฟันแทะ (Rodents) ปลาคาร์พหัวโต, สีเงิน, สีดำ และปลาคาร์พหญ้า (Bighead, Silver, Black และ Grass Carp) ซึ่งเป็นอันตรายต่อการประมง การพักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ โดยมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ปลาพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้เข้ายึดครองแหล่งที่อยู่อาศัยและคุกคามปลาสายพันธุ์พื้นเมือง และส่งผลกระทบต่อกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชนหลายแห่ง  

‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’ จัดการกับปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญทำการวิจัยและให้ความช่วยเหลือด้านกลยุทธ์ ด้วยการพัฒนา “แผนการจัดการและการควบคุมสำหรับปลาคาร์ปหัวโต เงิน ปลาดำ และปลาคาร์พหญ้า ในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งสามารถใช้เป็นพิมพ์เขียวระดับชาติในการจัดการปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานได้ ทั้งยังได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดจากช่วงชีวิตของปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในทุกช่วง (ไข่ ตัวอ่อน ลูกปลา และปลาตัวเต็มวัย) และปรับปรุงการตรวจจับตั้งแต่เนิ่น ๆ และมีกระบวนการตอบสนองที่รวดเร็ว

ปัญหาการระบาดของ ‘ปลาหมอคางดำ’ คนไทยทุกคนต่างมีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบทั้งสิ้น การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการระบุชนิดของสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานจึงเป็นสิ่งสำคัญ การช่วยเหลือในการตรวจจับตั้งแต่เนิ่น ๆ การตอบสนองอย่างรวดเร็ว และความตระหนักรู้ของคนไทยทุกคนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานระบาดแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดให้สิ้นซาก วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานคือการป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ามาในประเทศ เราท่านสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานได้หลายวิธี อาทิ งดเว้นการเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ สัตว์หายาก แต่เมื่อเลี้ยงแล้วต้องระวังไม่ปล่อยให้พวกมันหลุดหนีไป เพราะสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานสามารถสร้างความเสียหายให้กับสัตว์พื้นเมืองและถิ่นที่อยู่ได้ เมื่อพวกมันหลบหนีหรือถูกปล่อยออกไป ต้องยอมมอบสัตว์เลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่สามารถดูแลมันได้อีกต่อไป ให้ทำอย่างมีความรับผิดชอบ แหล่งข้อมูลที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ สำหรับวิธีป้องกันการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์รุกราน 

กระบวนการในการจัดการตาม “แผนการจัดการและการควบคุมสำหรับปลาคาร์ปหัวโต เงิน ปลาดำ และปลาคาร์พหญ้า ในสหรัฐอเมริกา” ของ ‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’ เป็นเรื่องที่กรมประมงสมควรได้เร่งนำมาพิจารณาและศึกษาเพื่อปรับใช้เป็นแนวทางและการปฏิบัติในการจัดการ การควบคุม และการกำจัด ‘ปลาหมอคางดำ’ ให้มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป

เชียงใหม่-รมช.เกษตรฯเปิด 'งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5'

 

เมื่อวานนี้ (5 มี.ค.68) ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5 ซึ่งกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์การผลิตข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาวในประเทศประเทศไทย  และเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากธัญพืชเมืองหนาว โดยมี โดยมี นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว พร้อมด้วย นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง ส่วนราชการ ผู้ประกอบการ ตลอดจนประชาชนและเกษตรกรชาวอำเภอสะเมิง เข้าร่วมงาน

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา รัสเซียและยูเครน ส่งออกข้าวสาลี วัตถุดิบสำคัญในการผลิตขนมปังเป็นสัดส่วนสูงถึง 30% ของตลาดโลกโดยมีมากกว่า 50 ประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกจากทั้งสองประเทศนี้ อีกทั้งอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลีเนื่องจากเกิดภาวะภัยแล้ง ส่งผลกระทบทำให้เกิดความขาดแคลนข้าวสาลีทั่วโลก 

โดยในปีนี้กรมการข้าวและศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงได้มีการเปิดตัวข้าวบาร์เลย์ ที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นรุ่นที่ 2 จนมีความเหมาะสมกับประเทศไทย มีความแข็งแรง ทนต่อโรค และให้ผลผลิตต่อไร่ที่ดี  ซึ่งในพื้นที่ภาคเหนือของไทยยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับรองรับการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาว  ดังนั้น กรมการข้าวจึงได้นำนโยบายของกระทรวงเกษตรสหกรณ์ในการขยายผลการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกข้าวในช่วงฤดูหนาว ไม่ว่าจะเป็นข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และมอลต์ เพราะได้ราคาที่สูงกว่า และปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในส่วนที่เป็นเมล็ดพันธุ์และผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยหากเกษตรกรสนใจก็สามารถมาซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ที่กรมการข้าว หรือหากมีการรวมกลุ่มกันเป็นศูนย์ข้าวชุมชน หรือเกษตรกรแปลงใหญ่ กรมการข้าวก็จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์มาให้ในราคาที่ถูกลง หรือไม่มีค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่

นายอัครา กล่าวอีกว่า คาดว่าในอนาคตจะมีความต้องการธัญพืชเมืองหนาวเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขณะนี้ พ.ร.บ.สุราชุมชน ได้ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาจากสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ เมื่อกฎหมาย พ.ร.บ.สุราชุมชน ได้รับการอนุมัติแล้ว  กรมการข้าวจะช่วยส่งเสริมในการนำเมล็ดธัญพืชจากศูนย์ข้าวชุมชนและเกษตรกรแปลงใหญ่มาแปรรูปเป็นสุราชุมชน และยังมีการประกันราคาให้อีกด้วย  

ในวันนี้ต้องขอขอบคุณหน่วยงานกรมการข้าวที่ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนางานวิจัยทางด้านข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาว รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้ดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง ซึ่งมีศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง กองวิจัยและพัฒนาข้าว เป็นศูนย์หลักในการดำเนินการ และหน่วยงานราชการในพื้นที่ทุกภาคส่วนทึ่เกี่ยวข้อง

ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูงได้ในอนาคต

นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ส่งเสริม ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานอย่างเหมาะสมและยั่งยืน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และมีมาตรฐานปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่เหมาะสม นั้น

กรมการข้าว เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ สำหรับการวิจัยในโครงการ “การพัฒนาศักยภาพการผลิตธัญพืชเมืองหนาวสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง” โดยศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงเป็นศูนย์หลักในการวิจัยและพัฒนาธัญพืชเมืองหนาวไทย ร่วมกับศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ ศูนย์วิจัยข้าวแม่ฮ่องสอน ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา 

โดยทางโครงการ ฯได้จัดงาน“งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลีล้านนา ครั้งที่ 5” ในวันที่ 5 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้างานทั้งหมด 1,300 ราย  ภายในงานมีกิจกรรม นิทรรศการด้านพันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิต การสาธิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากธัญพืชเมืองหนาว การประกวดภาพถ่าย และการแข่งขันประกอบอาหารจากธัญพืช เมืองหนาว การสาธิตอาหารแนวใหม่สไตล์ฟิวชั่นล้านนา (Fusion Food Lanna) กิจกรรมกาดมั่ว ตลาดนัดล้านนา กิจกรรมชุมชนพบปะกันระหว่างนักวิจัย ผู้ผลิต และผู้ประกอบการ ที่ใช้ประโยชน์ธัญพืชเมืองหนาว

ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การผลิตข้าวสาลีในประเทศไทยและเป็นการจัดแสดงเชื้อพันธุกรรมข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และโอ๊ตมากกว่า 700 พันธุ์ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจ รวมทั้งเป็นการเปิดตัวข้าวบาร์เลย์สายพันธุ์ดีเด่น FNBL#140 เพื่อการทำมอลต์ ที่จะเตรียมรับรองพันธุ์ในปีงบประมาณ 2569 เนื่องจากไทยไม่มีพันธุ์รับรองข้าวบาร์เลย์ ตั้งแต่ปี 2528 นานมากกว่า 40 ปี โดยสายพันธุ์นี้ต้านทานโรคใบจุด รวมทั้งมีศักยภาพการให้ผลผลิตสูงสุด 339 กก./ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่าพันธุ์เดิมร้อยละ 20 ที่รับรองพันธุ์ไว้ เมื่อปี 2528 และที่สำคัญมีคุณภาพเพื่อการทำมอลต์ตามมาตรฐานสากล

นายศิริพงษ์ นำภา นายอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าอำเภอสะเมิง เป็นอำเภอหนึ่งใน 25 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรมพื้นถิ่น และเลื่องลือไกล จะเป็นเรื่อง บรรยากาศราวกับอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ จนเป็นที่มาของคำขวัญอำเภอคือ “สตรอเบอรี่รสเยี่ยม ภูเขาสูงเทียมฟ้า ดอกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศสวิส ฯ เศรษฐกิจพอเพียง” 

อำเภอสะเมิงมีพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญ ได้แก่ สตรอเบอรี่ กระเทียม กล้วยน้ำว้า ส้ม ดอกไม้เมืองหนาว ดอกเก็กฮวย หญ้าหวาน รวมถึงพืชผักปลอดสารพิษ นักท่องเที่ยวมักจะนิยมมาเที่ยวสัมผัส ไร่สตรอเบอรี่ ทุ่งดอกเก็กฮวย ช่วงตั้งแต่เดือน พ.ย.ไปจนถึง ก.พ.ของทุกปี รวมถึง ทุ่งข้าวสาลี ณ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิงแห่งนี้ ซึ่งแต่เดิมเรารู้จักในชื่อ โครงการในพระราชประสงค์ที่ 7 ตามพระราชประสงค์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการวิจัยข้าวสาลีและธัญพืชเมืองหนาวอื่น ๆ

จึงเป็นการดี ที่ในการจัดงานครั้งนี้ อำเภอสะเมิงจะได้มีโอกาส เผยแพร่ผลงานด้านการเกษตร ที่เกี่ยวกับธัญพืชเมืองหนาว อีกทางหนึ่ง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจสืบต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top