Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47762 ที่เกี่ยวข้อง

ผลพวงการลอบสังหาร ‘พลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิก’ ส่อกระทบความมั่นคงภายในรัสเซีย - การเจรจายูเครน

เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2025 รัสเซียต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อทั้งความมั่นคงภายในประเทศและเวทีการทูตระหว่างประเทศนั่นคือการลอบสังหารพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิก (Yaroslav Moskalik) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองบัญชาการทหารรัสเซียผ่านการโจมตีด้วยระเบิดแสวงเครื่องในเมืองบาลาชิคาใกล้กรุงมอสโก เหตุการณ์นี้มิได้เป็นเพียงการสังหารบุคคลสำคัญทางทหารแต่ยังเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์และความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังดำเนินอยู่ในรูปแบบของสงครามลูกผสม (Hybrid War) มาเป็นเวลากว่าสามปี มอสคาลิกมิใช่เพียงนายทหารระดับสูงแต่ยังเคยมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนในกรอบความร่วมมือระดับนานาชาติ เช่น กลุ่มนอร์มังดี (Normandy Format) และเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบแนวทางยุทธศาสตร์ทหารของรัสเซียในช่วงหลังการผนวกไครเมียในปี ค.ศ. 2014 การลอบสังหารเขาจึงมีนัยทางการเมืองอย่างลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินกับทูตพิเศษของสหรัฐฯ เพื่อหารือแนวทางฟื้นฟูการเจรจาสันติภาพกับยูเครน

พลโทยาโรสลาฟ วลาดีมีโรวิช มอสคาลิก (Yaroslav Vladimirovich Moskalik) ถือเป็นหนึ่งในขุนพลคนสำคัญของกองทัพรัสเซียยุคหลังการผนวกไครเมีย เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1966 และรับราชการในกองทัพตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1980 จนได้รับการเลื่อนยศและเข้ารับตำแหน่งระดับสูงในกระทรวงกลาโหมของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตยูเครนปีค.ศ. 2014 เขามีบทบาทโดดเด่นทั้งในด้านการปฏิบัติการทางทหารและการวางยุทธศาสตร์ระดับชาติ มอสคาลิกเป็นที่รู้จักในฐานะหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์พิเศษ (Special Strategic Operations) ในหน่วยงานความมั่นคงระดับสูงและมีบทบาทในหลายภารกิจลับของรัสเซียในต่างประเทศ เช่น ซีเรีย และภูมิภาคดอนบาส นอกจากบทบาทด้านการทหารแล้วเขายังมีส่วนร่วมในการประชุมเจรจาระหว่างประเทศในกรอบ Normandy Format และ Minsk Agreements โดยมีสถานะคล้ายกับ "ตัวแทนทางทหาร" ของฝ่ายบริหารรัสเซียที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณทางยุทธศาสตร์แท้จริงนอกเหนือจากคำพูดของนักการทูต โดยพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิก มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อรัสเซีย ดังนี้

1) เป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน มอสคาลิกขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในนายทหารที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินและมักถูกมองว่าเป็น "ขุนศึกเงา" ผู้ให้คำปรึกษาทางการทหารในระดับสูงโดยเฉพาะในช่วงปีค.ศ. 2022–2024 เขามีบทบาทในกระบวนการตัดสินใจด้านปฏิบัติการในยูเครน

2) ผู้เชื่อมั่นในแนวคิดภูมิรัฐศาสตร์เชิงรุก เขาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิด “แนวป้องกันเชิงรุก” ของรัสเซีย ซึ่งเห็นว่ารัสเซียต้องรักษาอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้านโดยการใช้กำลัง หากจำเป็น เพื่อป้องกันการแทรกแซงของตะวันตกและ NATO ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับสำนักคิดของนักยุทธศาสตร์อย่างอเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Alexander Dugin) และเซอร์เกย์ คารากานอฟ (Sergey Karaganov)

3) สัญลักษณ์ของรัฐพันธะระหว่างทหาร-การเมือง บทบาทของมอสคาลิกยังสะท้อนลักษณะพิเศษของระบบการเมืองรัสเซียซึ่งผสานพลังของกองทัพเข้ากับอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะในยุคของปูตินที่กองทัพมิใช่เพียงเครื่องมือแต่เป็นหนึ่งในผู้กำหนดทิศทางของรัฐชาติ

4) ผู้ถ่วงดุลกระบวนการเจรจา บางแหล่งข่าวระบุว่ามอสคาลิกเป็นผู้ที่มีแนวทาง "แข็งกร้าว" กว่าคณะเจรจาทางการทูตและมักเป็นเสียงสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึง "ข้อจำกัด" ของการประนีประนอมกับยูเครน โดยเฉพาะในเรื่องสถานะของไครเมียและดอนบาส 

แม้ว่ามอสคาลิกจะไม่ใช่นักการเมืองหรือนักการทูตที่เป็นที่รู้จักในระดับสาธารณะ เขากลับได้รับการเคารพนับถืออย่างสูงในวงการทหารและสายข่าวกรองของรัสเซีย การปรากฏตัวของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินในงานศพของเขาเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2025 จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของเขาในโครงสร้างอำนาจของรัสเซียได้อย่างชัดเจน

เหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณ 10:40 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่มอสคาลิกเดินผ่านรถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้ที่พักของเขาในเขตที่อยู่อาศัยสำหรับทหารเกษียณในเมืองบาลาชิคา ระเบิดแสวงเครื่อง (IED) ที่บรรจุเศษโลหะถูกจุดชนวนจากระยะไกลทำให้เกิดแรงระเบิดรุนแรงจนทำให้มอสคาลิกเสียชีวิตทันทีและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกสองราย แรงระเบิดยังทำให้กระจกหน้าต่างของอาคารใกล้เคียงแตกเสียหาย คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียได้ยืนยันว่าเป็นการลอบสังหารโดยใช้ระเบิดแสวงเครื่องที่มีการฝังเศษโลหะเพื่อเพิ่มความรุนแรงของการระเบิด เหตุการณ์นี้นับเป็นการลอบสังหารนายทหารระดับสูงของรัสเซียครั้งที่สองในรอบสี่เดือน โดยก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2024 พลโทอิกอร์ คิริลลอฟ (Igor Kirillov) หัวหน้าหน่วยป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมีของรัสเซียก็ถูกลอบสังหารด้วยระเบิดในกรุงมอสโก เจ้าหน้าที่รัสเซียรวมถึงนาง มาเรีย ซาคาโรวาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและดมิทรี เปสคอฟโฆษกเครมลินได้กล่าวหาว่าหน่วยข่าวกรองของยูเครนอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนหรือการยืนยันจากฝ่ายยูเครน

เหตุการณ์ลอบสังหารพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิกได้สร้างความตื่นตัวอย่างสูงในแวดวงการเมืองและความมั่นคงของรัสเซีย เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลรัสเซียออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ นางมาเรีย ซาคาโรวาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อรัสเซียว่า “การลอบสังหารเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของเราเช่นนี้มีลักษณะของการก่อการร้ายโดยรัฐ (state-sponsored terrorism) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการสร้างความไม่มั่นคงในประเทศของเรา” เธอระบุเพิ่มเติมว่า รัสเซียจะใช้ “มาตรการที่เหมาะสม” เพื่อตอบโต้การกระทำที่เป็นภัยต่ออธิปไตยของชาติ ในทำนองเดียวกัน ดมิทรี เปสคอฟโฆษกประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินกล่าวต่อสื่อว่า “ทุกสิ่งชี้ไปยังยูเครน และพันธมิตรของพวกเขาในตะวันตก” แม้ว่าจะไม่มีการนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์ใด ๆ ต่อสาธารณชนก็ตาม 
เปสคอฟยังกล่าวว่า การลอบสังหารเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า “สงครามไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวหน้าอีกต่อไป” แต่กำลังขยายสู่ “แนวลึกของรัฐ” แนวโน้มของการกล่าวหาโดยตรง ต่อยูเครนในครั้งนี้สะท้อนถึงรูปแบบการสื่อสารทางการเมืองของรัสเซียในช่วงสงคราม ซึ่งมุ่งสร้างการรับรู้ต่อประชาชนว่า รัสเซียกำลังตกเป็น “เหยื่อของการรุกรานโดยกลุ่มตะวันตกผ่านตัวแทน” การใช้โวหารเช่นนี้จึงอาจมองได้ว่าเป็นการ สร้างความชอบธรรมให้กับมาตรการตอบโต้ทั้งในเชิงทหารและการทูต ขณะที่ฝ่ายยูเครนยังไม่ออกมาแสดงความเห็นอย่างเป็นทางการต่อเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ว่าในอดีตจะเคยมีรายงานว่ายูเครนมีบทบาทในปฏิบัติการพิเศษนอกประเทศเพื่อทำลายโครงสร้างการบังคับบัญชาของกองทัพรัสเซีย เช่น การลอบสังหารนายพลและการโจมตีเครือข่ายรางรถไฟ แต่ในกรณีนี้ ยังไม่มีหลักฐานหรือแถลงการณ์ที่บ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายยูเครนโดยตรง

การลอบสังหารพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิกเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะหลังจากที่มีรายงานว่าสตีฟ วิตคอฟ (Steve Vitkov) ทูตพิเศษของสหรัฐอเมริกาได้เดินทางเข้าพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการหยุดยิงชั่วคราวหรือการเปิดเส้นทางมนุษยธรรมในบางภูมิภาคของยูเครน การเสียชีวิตของมอสคาลิกนายทหารระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างความมั่นคงภายในรัสเซียย่อมส่งผลกระทบทางจิตวิทยาและสัญลักษณ์ต่อเครมลินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การเจรจาสันติภาพยังอยู่ในระยะเปราะบางและไม่มีโครงสร้างที่มั่นคง ผลกระทบที่ตามมามีดังนี้

1) ความไม่ไว้วางใจที่เพิ่มขึ้น
เหตุการณ์ลอบสังหารพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิกกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่ตอกย้ำระดับความไม่ไว้วางใจที่ลึกและฝังรากระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะในบริบทที่ทั้งสองฝ่ายพยายามเริ่มต้นหรือฟื้นฟูการเจรจาสันติภาพซึ่งต้องอาศัยพื้นฐานของความเชื่อมั่นและการเปิดพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการเจรจา  เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย เช่น มาเรีย ซาคาโรวา (โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ) และ ดมิทรี เปสคอฟ (โฆษกเครมลิน) ได้ออกมากล่าวหาว่า “ยูเครนอยู่เบื้องหลัง” การลอบสังหารนี้ทันทีหลังเกิดเหตุแม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจในระดับโครงสร้างที่ไม่จำเป็นต้องอิงจากข้อเท็จจริงหรือกระบวนการสอบสวนใด ๆ แต่เป็นผลสะสมของทัศนคติที่ทั้งสองฝ่ายมองอีกฝ่ายในฐานะ “ภัยคุกคามโดยธรรมชาติ” การลอบสังหารบุคคลสำคัญเช่นมอสคาลิกผู้ซึ่งมีบทบาทในระบบความมั่นคงภายในของรัสเซียเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณเชิงลบโดยตรงต่อเครมลินและเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของยูเครน (ในสายตารัสเซีย) ว่าเป็น “รัฐที่ใช้ความรุนแรงเชิงลับ” (covert violence) มากกว่าคู่เจรจาในกระบวนการทางการทูต สิ่งนี้นำไปสู่ความยากลำบากในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย (safe space) สำหรับการเจรจา แม้ว่าทูตพิเศษของสหรัฐฯ อย่าง สตีฟ วิตคอฟจะพยายามเปิดช่องทางการสื่อสารและวางรากฐานเบื้องต้นสำหรับข้อตกลงหยุดยิงหรือการแลกเปลี่ยนเชลย การเกิดเหตุลอบสังหารในช่วงเวลานี้อาจทำให้รัสเซียตั้งข้อสงสัยว่า “กระบวนการเจรจานั้นจริงใจหรือเป็นเพียงฉากหน้า” และอาจใช้เป็นข้ออ้างในการชะลอการเจรจาหรือยกระดับมาตรการตอบโต้ในรูปแบบอื่น ในอีกด้านหนึ่งการลอบสังหารยังมีผลต่อ “ความรู้สึกของประชาชน” ในรัสเซีย โดยเฉพาะกลุ่มที่นิยมรัฐบาลและมองว่าการโจมตีครั้งนี้คือการรุกรานอธิปไตยของรัสเซียในเชิงสัญลักษณ์ ความรู้สึกเหล่านี้สามารถถูกใช้ต่อยอดเป็นแรงสนับสนุนให้รัฐบาลมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นและยิ่งบั่นทอน “การยอมรับ” ทางสังคมต่อกระบวนการสันติภาพ

2) การเพิ่มอุณหภูมิของวาทกรรมชาตินิยม
การลอบสังหาร พลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิก ไม่เพียงเป็นเหตุการณ์ทางการทหารเท่านั้นแต่ยังเป็นเชื้อเพลิงที่เติมเต็มวาทกรรมชาตินิยมสุดโต่งในรัสเซียโดยเฉพาะในช่วงที่การทำสงครามกับยูเครนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “การต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์ของชาติ” ซึ่งกลไกของรัฐรัสเซีย โดยเฉพาะสื่อของรัฐ นักการเมืองและผู้นำระดับสูงได้นำเหตุการณ์นี้ไปขยายความในแนวทางที่ส่งเสริมแนวคิด “ชาตินิยมรัสเซียเชิงปกป้อง” อย่างเข้มข้น หลังเหตุลอบสังหาร เจ้าหน้าที่รัฐรัสเซียหลายรายได้กล่าวโทษยูเครนอย่างทันที โดยไม่ต้องรอผลสอบสวน เป็นการผลิตวาทกรรมที่สะท้อนความคิดว่า “รัสเซียตกเป็นเป้าหมายของโลกตะวันตกและพันธมิตร” โดยยูเครนเป็นเพียงเครื่องมือในสงครามตัวแทนของ NATO สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำแนวทางของเครมลินที่นำเสนอความขัดแย้งนี้ในฐานะ “สงครามเพื่อความอยู่รอดของรัสเซีย” ตัวอย่างเช่น ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่าการลอบสังหารมอสคาลิกเป็น “การโจมตีโดยขบวนการที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก” นอกจากนี้พลโทมอสคาลิกในสายตาของรัฐบาลและสื่อมวลชนรัฐคือ “บุรุษผู้เสียสละเพื่อความมั่นคงของชาติ” ซึ่งการเสียชีวิตของเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการ “ถูกหักหลัง” และเป็นเหตุผลทางอารมณ์ที่ใช้เร่งเร้าการสนับสนุนของประชาชนต่อกองทัพและรัฐบาล กระแสเหล่านี้มักใช้ในการ ระดมความชอบธรรมให้กับการดำเนินสงครามอย่างต่อเนื่อง การถ่ายทอดภาพงานไว้อาลัยของมอสคาลิกในสื่อรัสเซียจำนวนมากมักแทรกถ้อยคำอย่าง “เสียชีวิตอย่างวีรบุรุษ” “สละชีวิตเพื่อมาตุภูมิ” และ “พิสูจน์ให้โลกเห็นว่ารัสเซียไม่ยอมอ่อนข้อ” นักวิเคราะห์บางราย เช่นผู้ใกล้ชิดกับเซอร์เกย์ คารากานอฟ หรือแม้แต่นักการเมืองจากพรรคชาตินิยม (เช่น LDPR) ได้ออกมาใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเรียกร้องให้รัสเซีย ขยายปฏิบัติการทหารอย่างเด็ดขาด “กวาดล้าง” กลุ่มต่อต้านในยูเครนหรือแม้แต่ยกระดับวาระภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การควบรวมดินแดนใหม่ในยูเครนตะวันออก การสร้างแนวกันชนในยุโรปตะวันออก หรือการหวนกลับสู่แนวคิด “อาณาบริเวณเชิงอารักขา” (protective buffer zones) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวาทกรรมชาตินิยมรัสเซียยุคใหม่ ในระดับมวลชน เหตุการณ์นี้ได้เพิ่มแรงสะเทือนต่อกลุ่มประชาชนที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัฐบาลและเชื่อในแนวคิด “รัสเซียถูกรุกราน” (siege mentality) ทำให้กระแสชาตินิยมไม่เพียงอยู่ในระดับชนชั้นนำแต่ยังแผ่ขยายในวงกว้างผ่านการใช้โซเชียลมีเดีย, สื่อโทรทัศน์ และกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เช่น การจัดขบวนแห่ไว้อาลัย การให้เด็กนักเรียนเขียนจดหมายถึง “วีรบุรุษแห่งชาติ” ฯลฯ

3) ผลต่อภาพลักษณ์ทางการทูต
การลอบสังหารพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิกส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญทั้งในแง่การถูกมองว่าเป็นรัฐที่ไม่มั่นคง การทำลายความน่าเชื่อถือในการเจรจาสันติภาพและการขยายช่องว่างกับโลกตะวันตก แม้เหตุลอบสังหารจะเกิดขึ้นในรัสเซียและไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นผู้กระทำแต่ท่าทีตอบโต้ของรัสเซีย โดยเฉพาะถ้อยแถลงที่กล่าวโทษยูเครนทันทีจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น มาเรีย ซาคาโรวา และดมิทรี เปสคอฟส่งผลให้หลายประเทศเริ่มมองว่ารัสเซียอาจใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการขยายปฏิบัติการทางทหารเพิ่มเติม โดยไม่รอการสอบสวนอย่างโปร่งใส ซึ่งยิ่งบั่นทอนความไว้วางใจต่อความมุ่งมั่นของรัสเซียในการแก้ปัญหาด้วยวิถีทางการทูต ในขณะที่ตัวแทนของสหรัฐอเมริกา (เช่น สตีฟ วิตคอฟ) กำลังหารือกับผู้นำรัสเซียในประเด็นแผนหยุดยิงและลดความรุนแรง การลอบสังหารนายพลระดับสูงของรัสเซียในช่วงเวลาเดียวกันทำให้ความพยายามสร้างบรรยากาศเชิงบวกสำหรับการเจรจาถูกกลบด้วยอารมณ์แห่งความโกรธ ความหวาดระแวง และความเป็นศัตรู นอกจากนี้ การที่รัสเซียเลือกใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวในระดับการทูตยังอาจส่งผลให้ประเทศอื่นๆ ที่อาจมีบทบาทเป็นคนกลาง (เช่น จีน อินเดีย หรือตุรกี) เกิดความลังเลที่จะเข้ามามีบทบาทอย่างเปิดเผย เหตุการณ์นี้อาจทำให้ภาพลักษณ์ของรัสเซียในฐานะ “ผู้แสวงหาสันติภาพ” หรือ “ผู้มีเหตุมีผลทางภูมิรัฐศาสตร์” เสื่อมถอยลง โดยเฉพาะเมื่อรัสเซียเลือกใช้วาทกรรมที่เน้นการตอบโต้และยกระดับความขัดแย้งมากกว่าการสืบสวนด้วยความรอบคอบ ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศคู่ค้าหรือพันธมิตรที่ระมัดระวัง เช่น ประเทศในเอเชียกลาง หรือกลุ่ม BRICS บางประเทศรู้สึกอึดอัดใจในการแสดงออกเชิงสนับสนุน ในทางกลับกันเหตุการณ์นี้อาจช่วยให้ยูเครนสามารถสร้างภาพลักษณ์ของตนในเวทีโลกว่าเป็นฝ่ายที่ถูกรัสเซียกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานและตกเป็นเป้าหมายของสงครามข้อมูลข่าวสาร (information war) โดยยูเครนอาจเลือกที่จะไม่ตอบโต้อย่างเปิดเผยแต่ใช้ช่องทางการทูตและสื่อระหว่างประเทศในการตอกย้ำว่ารัสเซียไม่พร้อมเจรจาอย่างเป็นกลาง ซึ่งอาจนำไปสู่การได้รับการสนับสนุนทางการทูตเพิ่มขึ้นจากโลกตะวันตก

4) ความเป็นไปได้ของการโต้ตอบ
การลอบสังหารนายพลระดับสูงอย่างมอสคาลิก ไม่เพียงเป็นความสูญเสียด้านบุคลากรระดับยุทธศาสตร์ แต่ยังถูกตีความจากรัฐบาลรัสเซียว่าเป็น การท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งอาจผลักดันให้เครมลินตอบโต้ในรูปแบบที่หลากหลายและอาจรุนแรงขึ้น เหตุการณ์นี้อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการยกระดับการโจมตียูเครนในภาคตะวันออกหรือใต้โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัสเซียอ้างสิทธิครอบครองอย่างโดเนตสก์ ลูฮันสก์ หรือซาโปริซเซีย เพื่อแสดงพลังอำนาจและฟื้นความมั่นใจในกองทัพรัสเซียต่อสาธารณชนภายในประเทศ นอกจากนี้ยังอาจมีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน เช่น ระบบพลังงานหรือเครือข่ายคมนาคม เพื่อส่งสัญญาณตอบโต้เชิงสัญลักษณ์รัสเซียอาจดำเนินแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อของรัฐโดยอ้างว่ายูเครนหรือพันธมิตรตะวันตกอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อสร้างความชอบธรรมในการดำเนินการตอบโต้ ทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยมและลดแรงกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจหรือความไม่พอใจภายใน ในกรณีที่รัสเซียเชื่อว่าการลอบสังหารมอสคาลิกเป็น “ปฏิบัติการพิเศษของยูเครน” ก็อาจมีการตอบโต้ด้วยปฏิบัติการลับ (covert operation) เช่น การพยายามลอบสังหารผู้นำกองทัพยูเครนเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหรือบุคคลสำคัญในรัฐบาลยูเครนโดยเฉพาะผู้ที่มีบทบาทในปฏิบัติการต่อต้านรัสเซียในสนามรบ อีกมิติหนึ่งที่รัสเซียอาจเลือกใช้คือ การตอบโต้ผ่านไซเบอร์ โดยการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของยูเครน เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบควบคุมการบินหรือเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาลเพื่อสร้างความปั่นป่วนและลดขีดความสามารถของยูเครนในการตอบสนองเชิงกลยุทธ์ นอกเหนือจากมิติทางทหาร รัสเซียอาจยกระดับความตึงเครียดผ่าน มาตรการทางการทูต เช่น การเรียกเอกอัครราชทูตของประเทศพันธมิตรยูเครนเข้าพบ การประกาศยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือบางประการ หรือแม้แต่การกล่าวหา NATO อย่างเป็นทางการว่า “อยู่เบื้องหลัง” เพื่อขยายข้อขัดแย้งไปยังระดับภูมิรัฐศาสตร์โลก แม้การโต้ตอบจะเป็นไปได้ในหลายรูปแบบ แต่รัสเซียก็ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลทางจิตวิทยาและผลทางการทูต การตอบโต้ที่รุนแรงเกินไปอาจทำให้การเจรจาสันติภาพพังทลายและกระตุ้นให้ NATO หรือประเทศพันธมิตรของยูเครนเพิ่มการสนับสนุนทางทหารหรือเศรษฐกิจซึ่งอาจทำให้รัสเซียเข้าสู่ภาวะความตึงเครียดที่ควบคุมได้ยาก

สรุป การลอบสังหารพลโทยาโรสลาฟ มอสคาลิกไม่ได้เป็นเพียงการโจมตีทางกายภาพต่อเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของรัสเซียเท่านั้น หากแต่ยังเป็น แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อทั้งภายในรัสเซียและเวทีการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความพยายามเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน การตอบสนองของรัฐบาลรัสเซียทั้งในระดับวาทกรรมและยุทธศาสตร์ชี้ให้เห็นถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นและโอกาสที่ความขัดแย้งจะลุกลามกลายเป็นวงกว้างก็มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะเดียวกันปฏิกิริยานี้ยังอาจถูกนำไปใช้ในการสร้างความชอบธรรมในการขยายอำนาจของรัฐและเสริมอุดมการณ์ชาตินิยมที่กำลังเข้มข้นในรัสเซียปัจจุบัน ในด้านของการเจรจาสันติภาพเหตุการณ์นี้อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ลดลงอย่างมากและทำให้กระบวนการทางการทูตเปราะบางยิ่งขึ้น การที่ยูเครนยังไม่ออกแถลงการณ์ใด ๆ อาจเป็นความพยายามหลีกเลี่ยงการยั่วยุเพิ่มเติมแต่ก็อาจถูกตีความว่าเป็นการ “นิ่งเฉยเชิงรับผิดชอบ” โดยฝั่งรัสเซีย ท้ายที่สุดการลอบสังหารครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางภูมิรัฐศาสตร์และอาจนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงหรือการเปลี่ยนท่าทีทางการทูตของรัสเซียทั้งในความสัมพันธ์กับยูเครนและกับโลกตะวันตก โดยเฉพาะหากเครมลินตัดสินใจเดินหน้าในแนวทางแข็งกร้าวเพื่อแสดงความเด็ดขาดซึ่งจะทำให้สถานการณ์ความมั่นคงของภูมิภาคยูเรเชียมีความเปราะบางยิ่งกว่าเดิม

‘อ.เจษฎ์’ ยังข้องใจปม ‘สี จิ้นผิง’ เมินเยือนไทย หลัง ‘สถานทูตจีน’ แจงแค่ประเทศอื่นสำคัญกับจีน

จากกรณีที่ ประธานาธิบดีจีน ‘สี จิ้นผิง’ เดินทางเยือน 3 ประเทศในอาเซียน ประกอบด้วย เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา โดยไม่แวะประเทศไทย เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ล่าสุด ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ยังข้องใจเหตุใดผู้นำจีน จึงไม่มาเยือนไทย หลังได้อ่านคำอธิบายจาก ‘สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย’ โดยระบุว่า อ่านจนจบ ก็ไม่เห็นมีคำอธิบายเลยว่า ทำไมถึงไม่มาเยือนไทย (มีแต่อธิบายว่าทำไมไปประเทศอื่น ๆ สำคัญกับจีนมากอย่างไร)

'อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.' ห่วงทรัมป์ 2.0 ทำเศรษฐกิจโลกโตต่ำ 3% กระทบไทยเร่งหาทางออกประเทศจัดเวที “ โอกาสหรือวิกฤติใหม่เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน“ 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่า ไอเอ็มเอฟ.ประเมินล่าสุดว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนกระทบทั่วโลกเป็นลูกโซ่จะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลดลงจาก 3.3% เหลือ 2.8% ส่วนมิติการค้านั้น การค้าระหว่างสองประเทศคิดเป็นสัดส่วน 3% ของตลาดการค้าโลกซึ่งมีมูลค่า24 ล้านล้านดอลลาร์โดยเมื่อปี 2024 มูลค่าการส่งออกนำเข้าของสหรัฐและจีนอยู่ที่ 582.4 พันล้านดอลลาร์ โดย สหรัฐส่งไปจีน 143.5 พันล้านดอลลลาร์ และจีนส่งไปสหรัฐ 438.9 พันล้านดอลลาร์ 

ซึ่งองค์การการค้าโลก(WTO)มองว่าถ้าสงครามการค้ายังสู้กันด้วยการขึ้นภาษีทำให้2ชาติมหาอำนาจยุติการค้าขายกันแต่ตลาดโลกอีก97%ก็ยังค้าขายต่อไปได้ นับเป็นตัวอย่างมุมมองที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตามผลกระทบยังมีอีกหลายมิติไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจการค้าและเป็นทั้งโอกาสและวิกฤตขึ้นกับวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ

อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการเมืองของทั้ง2มหาอำนาจและอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงลำดับต้นๆที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและนโยบายทรัมป์2.0ครั้งนี้ แต่จะรอดจะร่วงหรือจะรุ่งจะเป็นโอกาสหรือวิกฤตสำหรับก้าวต่อไปของประเทศไทยหาคำตอบได้ในงานเสวนาโต๊ะกลมของสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ -FKII National Dialogue “โอกาสหรือวิกฤติใหม่เศรษฐกิจไทยภายใต้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน“

วันพุธที่ 30 เมษายน 2568 
เวลา 13.00-15.30 น.
ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา กรุงเทพมหานคร

ขอเชิญร่วมแสดงความเห็นเพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทยในสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน พบกับวิทยากรร่วมเสวนา อาทิ

1. นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand
2. นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา (TVA) และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand
ผู้เชี่ยวชาญด้านอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี
3. นายเกษมสันต์ วีระกุล  ประธานซีเอ็ดนักวิชาการอิสระ สื่อมวลชน ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
4. ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน อดีตอัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงปักกิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจีน และผู้ร่วมเสวนาโต๊ะกลม

ลงทะเบียนด่วน!!! รับจำนวนจำกัด!!!
ที่ LineOA FKII Thailand: https://lin.ee/BgPCPvd
ติดต่อสอบถาม
091-1805459 (วรวุฒิ)
093-1252012 (ลิต้า)

จีนเปิดตัว ‘CIPS 2.0’ ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยหยวนดิจิทัล ‘เร็วกว่า-ถูกกว่า’ ระบบ SWIFT ของสหรัฐฯ เริ่มเปิดใช้งานแล้ว 16 ประเทศ

(29 เม.ย. 68) จีนเดินหน้าเปิดตัว “CIPS 2.0” ระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดนที่ขับเคลื่อนด้วยเงินหยวนดิจิทัล ซึ่งเริ่มใช้งานจริงแล้วใน 16 ประเทศทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง โดยมีเป้าหมายลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ และท้าทายสถานะของระบบ SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) ของสหรัฐฯ ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ค่าธรรมเนียมเกือบเป็นศูนย์ และการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย

ธุรกรรมแรกของ CIPS 2.0 คือการโอนเงิน 120 ล้านหยวนจากเซินเจิ้นไปยังกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาเพียง 7.2 วินาทีในการประมวลผล ซึ่งเร็วกว่าระบบ SWIFT เดิมที่อาจใช้เวลาถึง 3 วัน ระบบใหม่นี้ยังสามารถรองรับการทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ และใช้สมาร์ตคอนแทรกเพื่อตัดจ่ายอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ

จุดเด่นอีกประการของ CIPS 2.0 คือค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น การโอนเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐจะมีค่าธรรมเนียมเพียง 0.12 ดอลลาร์ เทียบกับกว่า 4,900 ดอลลาร์ในระบบ SWIFT ดั้งเดิม นอกจากนี้ ระบบยังใช้ AI ตรวจจับธุรกรรมผิดปกติได้รวดเร็ว เช่น กรณีใน UAE ที่สามารถระบุบัญชีต้องสงสัย 16 บัญชีภายใน 0.3 วินาที

อาเซียนเตรียมแผนใช้หยวนดิจิทัลใน 90% ของการค้าภายในกลุ่มภายในปี 2568 ขณะที่อินโดนีเซียและซาอุดีอาระเบียเริ่มนำไปใช้ในระบบเงินสำรองและสัญญาพลังงาน ด้านโลกตะวันตก โดยเฉพาะสหราชอาณาจักร แม้จะเร่งพัฒนา “ปอนด์ดิจิทัล” แต่ยังตามหลังจีนเกือบ 2 ปี

ด้าน นักวิเคราะห์มองว่า CIPS 2.0 ไม่ใช่แค่ความท้าทายทางการเงิน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจโลก ที่อาจเปลี่ยนจากการผูกขาดของเงินดอลลาร์ สู่ยุคใหม่ที่การชำระเงินเป็นแบบไร้พรมแดน โปร่งใส และรวดเร็วในระดับประชาชนทั่วไป

BYD ปักธงสีหนุวิลล์ ‘กัมพูชา’ ลงทุน 32 ล้านดอลล์ สร้างโรงงานผลิตรถ EV ตั้งเป้าผลิต 10,000 คันต่อปี ส่งออกทั่วโลก-เตรียมยลโฉมคันแรกพฤศจิกายนนี้

(29 เม.ย. 68) BYD ผู้ผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จากจีน เดินหน้าขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ ล่าสุดเริ่มก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 เมษายน โดยโรงงานนี้เป็นแห่งแรกของกัมพูชาที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และมีมูลค่าการลงทุนรวม 32 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,171.2 ล้านบาท) ครอบคลุมพื้นที่ 12 เฮกตาร์ (75 ไร่)

โรงงานจะดำเนินการในรูปแบบ CKD (Completely Knocked Down) โดยนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบในกัมพูชา คาดว่าเฟสแรกจะเริ่มผลิตรถยนต์ BEV และ PHEV ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งมีกำลังการผลิตปีละ 10,000 คัน และรถยนต์คันแรกจะออกจากสายการผลิตช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในกัมพูชาแม้ยังเล็กแต่ถือว่าเติบโตได้อย่างเร็ว โดยในปี 2567 มีการจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นถึง 620% จากปีก่อนหน้า ซึ่ง BYD เป็นหนึ่งในแบรนด์ยอดนิยม ร่วมกับ Toyota และ Tesla ทั้งนี้ BYD เข้าตลาดกัมพูชาตั้งแต่ปี 2020 และได้เปิดตัวรุ่น Atto 3 ไปในปี 2565

สำหรับโครงการในกัมพูชานี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตในอาเซียน ต่อจากโรงงานในไทยที่เปิดเมื่อกลางปี 2567 และโรงงานใหม่ในอินโดนีเซียมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะช่วยเสริมบทบาทของ BYD ในการเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคอาเซียน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top