Monday, 28 April 2025
ค้นหา พบ 47725 ที่เกี่ยวข้อง

‘คิม จองอึน’ ยอมรับส่งทหารไปช่วย ‘รัสเซีย’ ในสงครามกับยูเครน มอสโกซูฮกพันธมิตรเกาหลีเหนือ ช่วยปลดปล่อยแคว้นเคิร์สก์

(28 เม.ย. 68) รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมรับอย่างเป็นทางการครั้งแรกว่า ได้ส่งทหารไปร่วมสงครามกับยูเครนภายใต้คำสั่งของผู้นำ “คิม จองอึน” โดยมีส่วนสำคัญในการปลดปล่อยดินแดนที่ถูกยูเครนยึดไป เช่น ภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย ซึ่งแสดงให้เห็นถึง “มิตรภาพอันแน่นแฟ้น” ระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย

สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่า การเข้าร่วมของทหารเกาหลีเหนือในสงครามครั้งนี้สอดคล้องกับสนธิสัญญาพันธมิตรที่ผู้นำคิมได้ลงนามกับปูตินเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเกาหลีเหนือเห็นว่าดินแดนของรัสเซียเป็นเสมือนประเทศของตน และยืนยันความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างทั้งสองชาติ

มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า การส่งทหารจากเกาหลีเหนือแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในระดับสูง และการช่วยเหลือมอสโกในการปลดปล่อยแคว้นเคิร์สก์จากการรุกรานของยูเครน ซึ่งถือเป็นการยืนยันถึงมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเกาหลีเหนือได้ส่งทหารประมาณ 14,000 นาย รวมถึงกำลังเสริม 3,000 นาย

ทั้งนี้ การยอมรับอย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือเกิดขึ้นหลังจากรัสเซียยืนยันเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ว่าทหารเกาหลีเหนือต่อสู้เคียงข้างรัสเซียในภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งสองประเทศไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธการส่งทหารเข้าร่วมการรบในยูเครน

ก๋วยเตี๋ยวเรือใจกลางสยาม ความพิเศษของร้านนี้อีกอย่างคือ ให้กากหมูฟรี! เติมได้ไม่อั้น

นอกจากความอร่อยแล้ว ความพิเศษของร้านนี้อีกอย่างคือ ให้กากหมูฟรี! เติมได้ไม่อั้น สายชอบกินกากหมูกับก๋วยเตี๋ยวเรือต้องไม่พลาด

‘ใบตองแห้ง’ มอง ‘พท.- ปชน.’ มีโอกาสจับมือสมัยหน้า หลังเห็นท่าที ‘เท้ง’ ชูจุดยืนล่วงหน้าขอเลือก พท. ดีกว่า ภท.

(28 เม.ย. 68) อธึกกิต แสวงสุข หรือ ใบตองแห้ง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Atukkit Sawangsuk' ระบุว่า...
เท้งยื่นมือให้เพื่อไทย สมัยหน้าอาจจับมือกันได้ ถ้ายอมรับทำผิดกับประชาชน

โดนพ่อแม้วเย้ยหยันซินตึ๊งซึ่งตึง โดนแบกโห่ใครอยากจับมือด้วย
เสียหายไหม
ให้นึกถึงตอนพิธาโดนเย้ย "โหนจ้ะโหน" แล้วเป็นไง

มองในมุมกว้าง Voters ทั้งสองพรรค
ถ้าไม่นับด้อมแบกที่ซัดกันในโลกออนไลน์
ก็มีส่วนที่ทับซ้อนกัน มีส่วนที่ยังผูกพันทั้งคู่ จากการต่อสู้ประชาธิปไตย ยังอยากให้จับมือกันได้
การยื่นมืออย่างนี้จึงได้ใจ ฝ่ายที่ปัดมือทิ้งต่างหาก จะทำให้ Voters ส่ายหัว

อันที่จริงคำพูดนี้แสบ ภายใต้ท่าทีสุภาพแบบเท้ง
มันคือการบอกว่า สำนึกผิดแล้วให้อภัย กลับบ้านได้  
ซึ่งทำให้เพื่อไทยและแบกดิ้น

แต่ภายใต้ความหยิ่งผยอง ปากแข็ง 
คนของเพื่อไทยที่พอมีสติก็รู้ว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
บริหารเศรษฐกิจไม่มีผลงาน ไม่สามารถส่งมอบนโยบาย โดนขัดแข้งขัดขา ทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลและรัฐราชการ 
ประสิทธิภาพ ความสามารถ ก็ไม่ได้เหมือนยุคไทยรักไทยที่คนคาดหวัง
มองข้ามไปถึงเลือกตั้ง 70 เพื่อไทยหนักแน่
ไม่ต้องพูดถึงแลนด์สไลด์ พูดแค่เอาชนะภูมิใจไทยได้หรือเปล่า

ท่าทีของเท้ง เป็นการปักจุดยืนล่วงหน้าว่า
ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย
ถ้าเพื่อไทย "สำนึกผิด" ก็ยินดีให้อภัย  
ดีกว่าไปจับมือกับพรรคเขากระโดง
ปักหลักไว้อย่างนี้จะได้ใจทั้งคนวงกว้างและคนที่สองจิตสองใจระหว่างสองพรรค

ปล.แน่ละถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์จะไม่จับมือพรรคส้มหรอก 
แต่มาถึงตอนนี้ใครก็เห็นแล้วละว่าเลือกตั้งครั้งหน้าอาการหนัก

‘ดนิโปร’ เมืองสำคัญทางทหารของยูเครน ศูนย์กลางภูมิรัฐศาสตร์ต้านการรุกของรัสเซีย

(3 พ.ค. 68) ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 เมืองดนิโปร (Dnipro) ได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในมิติภูมิรัฐศาสตร์ ด้วยที่ตั้งซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างยูเครนตะวันตกที่โน้มเอียงเข้าหาตะวันตกกับยูเครนตะวันออกที่มีรากฐานทางอุตสาหกรรมและสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับรัสเซีย เมืองดนิโปรจึงมีความสำคัญทั้งเชิงยุทธศาสตร์และเชิงอัตลักษณ์ทางการเมือง
ดนิโปรมิใช่เพียงเมืองใหญ่อันดับต้น ๆ ของยูเครนหากยังเป็นที่ตั้งของฐานทัพและโรงงานอุตสาหกรรมด้านอวกาศและอาวุธยุทโธปกรณ์มาอย่างยาวนานโดยเฉพาะในยุคสหภาพโซเวียต 

ส่งผลให้เมืองนี้เป็น "จุดยุทธศาสตร์" ที่มีความหมายทั้งทางทหาร เศรษฐกิจ และสัญลักษณ์ของความสามารถทางเทคโนโลยีของชาติ ปีค.ศ. 2022 เมืองดนิโปร (Dnipro) ได้กลับมามีบทบาทสำคัญในฐานะจุดยุทธศาสตร์ทั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและการทหารในสนามรบยูเครนอีกครั้งหนึ่ง แม้จะไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางการสู้รบโดยตรงเช่นเมืองมาริอูโปลหรือบัคมุต แต่ดนิโปรถือเป็น “หลังบ้านของแนวหน้า” และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีนัยสำคัญยิ่งต่อทั้งฝ่ายยูเครนและรัสเซียการที่รัสเซียให้ความสนใจต่อดนิโปรจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการขยายอิทธิพล แต่เป็นการแย่งชิง “หัวใจของยูเครนตอนกลาง” ที่มีศักยภาพในการกำหนดทิศทางของสงครามและภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคโดยรวม

ดนิโปร (ชื่อเดิม: ดนีโปรเปตรอฟสค์ – Dnipropetrovsk) ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดนีเปอร์ (Dnieper River) ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของยูเครนทั้งในทางเศรษฐกิจ การคมนาคมและการทหาร เมืองนี้เป็น
เมืองใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ มีประชากรราว 1 ล้านคน (ก่อนสงคราม) และยังเป็นศูนย์กลางการบริหารในภูมิภาคดนิโปรเปตรอฟสค์ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มั่นคงที่สุดของยูเครนหลังปีค.ศ. 2014 และยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาคตะวันออกและภาคกลาง การควบคุมเมืองนี้เท่ากับสามารถแทรกซึมลึกเข้าสู่ใจกลางของยูเครน โดยเมืองนี้มีความสำคัญดังนี้

1) เป็นแนวกันชนระหว่างตะวันออกกับตะวันตก
ในทางภูมิรัฐศาสตร์เมืองดนิโปรตั้งอยู่ริมแม่น้ำดนีเปอร์ทางฝั่งตะวันตกของแนวแบ่งระหว่างดอนบาส (Donbas) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างเข้มข้นกับภูมิภาคภาคกลางของยูเครนที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง เมืองนี้จึงทำหน้าที่เป็นแนวกันชนเชิงยุทธศาสตร์ หากรัสเซียสามารถยึดครองดนิโปรได้จะเป็นการเปิดเส้นทางตรงสู่ภาคกลางของยูเครน รวมถึงเป็นการตัดขาดการส่งกำลังบำรุงและการเชื่อมต่อระหว่างตะวันตกกับตะวันออก นักภูมิรัฐศาสตร์เช่น Halford Mackinder เคยเสนอว่า “ผู้ใดควบคุมใจกลางยูเรเชีย 
ผู้นั้นควบคุมโลก” และในลักษณะคล้ายคลึงกันดนิโปรสามารถถูกมองว่าเป็น “จุดค้ำ” (pivot) ของความมั่นคงภายในยูเครน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ในใจกลางของโครงข่ายคมนาคม ระบบรถไฟ และเส้นทางส่งกำลังพล

2) เป็นฐานการผลิตและซัพพลายโลจิสติกส์
ในยุคสงครามเย็นเมืองดนิโปรซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า ดนิโปรเปตรอฟสค์ (Dnipropetrovsk) ได้รับการพัฒนาให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมอวกาศและยุทโธปกรณ์ของสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกล (Intercontinental Ballistic Missiles - ICBMs) ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์การถ่วงดุลอำนาจกับโลกตะวันตก หัวใจของศักยภาพทางยุทโธปกรณ์ของดนิโปรอยู่ที่โรงงาน Yuzhnoye Design Office (OKB-586) และโรงงาน Yuzhmash (Southern Machine-Building Plant) ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งศูนย์ออกแบบและฐานการผลิตขีปนาวุธหลักของโครงการนิวเคลียร์โซเวียต โรงงานเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดและได้รับการจัดว่าเป็น "เมืองปิด" (closed city) โดยจำกัดการเข้าถึงจากบุคคลภายนอกอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลด้านเทคโนโลยี หนึ่งในผลงานสำคัญที่ออกแบบและผลิตโดย Yuzhmash คือขีปนาวุธรุ่น R-12, R-16 และ R-36 ซึ่งรุ่นหลังสุดถูก NATO ตั้งชื่อว่า SS-18 Satan ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขีปนาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงและระยะยิงไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ของโซเวียต 
ด้วยพิสัยการยิงที่สามารถโจมตีได้ทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาเหนือ ระบบขีปนาวุธเหล่านี้ยังคงเป็นรากฐานของแสนยานุภาพนิวเคลียร์ของรัสเซียแม้หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต

นอกจากบทบาททางทหารแล้ว โรงงาน Yuzhmash ยังมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของโซเวียต โดยผลิตจรวดขนส่งอวกาศและดาวเทียม อาทิ จรวดรุ่น Cyclone และ Zenit ซึ่งถูกนำไปใช้ในภารกิจปล่อยดาวเทียมทั้งเชิงพาณิชย์และด้านความมั่นคงแห่งรัฐ ถือเป็นหลักฐานชัดเจนถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีระดับสูงของเมืองดนิโปรในระบบอุตสาหกรรมโซเวียต ด้วยเหตุนี้ดนิโปรจึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองอุตสาหกรรมธรรมดาหากแต่เป็น "เส้นเลือดใหญ่" ของระบบป้องกันประเทศของโซเวียต เมืองนี้ไม่เพียงมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลจากการจ้างงานและการผลิตแต่ยังเป็นศูนย์รวมขององค์ความรู้วิศวกรรมขั้นสูงและเทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น การที่รัสเซียในยุคหลังโซเวียตยังคงให้ความสนใจต่อเมืองนี้จึงเป็นเรื่องที่สืบเนื่องโดยตรงจากมรดกทางยุทธศาสตร์ที่ดนิโปรเคยมีและยังคงเป็น แม้ในปัจจุบันโรงงาน Yuzhmash จะลดบทบาทลงจากยุคโซเวียตแต่ดนิโปรยังคงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์และโรงงานซ่อมบำรุงขนาดใหญ่ของกองทัพยูเครน นอกจากนี้เมืองดนิโปร ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้าน
โลจิสติกส์สำหรับการส่งอาวุธและเสบียงไปยังแนวหน้า เช่น แคว้นซาปอริซเซียและโดเนตสค์ การโจมตีทางอากาศของรัสเซียจึงมักพุ่งเป้าไปที่คลังอาวุธ คลังน้ำมัน และเส้นทางรถไฟในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง

3) พื้นที่หลบภัยและการตอบสนองด้านมนุษยธรรม
เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้แนวรบแต่ยังปลอดภัยพอสำหรับการอยู่อาศัย ดนิโปรกลายเป็นพื้นที่รองรับผู้ลี้ภัยจากเมืองทางตะวันออก เช่น สโลวียานสค์ ลูฮานสค์ หรือมารีอูโปล ทำให้เมืองมีบทบาทสำคัญในการจัดการด้านมนุษยธรรม โรงพยาบาลในดนิโปรยังเป็นศูนย์กลางการรักษาทหารบาดเจ็บที่ถูกส่งกลับจากแนวหน้า

4) เป้าหมายเชิงสัญลักษณ์
ดนิโปรมีรากทางประวัติศาสตร์ที่โยงกับสหภาพโซเวียตและเทคโนโลยีทางการทหารของโซเวียต ดังนั้นการควบคุมเมืองนี้จึงมีนัยสำคัญเชิงจิตวิทยาและประวัติศาสตร์สำหรับรัสเซีย ซึ่งพยายามวาดภาพว่ายูเครนเป็นดินแดนที่ควร “กลับคืน” สู่การเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมรัสเซีย การเข้ายึดเมืองดนิโปรจะไม่เพียงแค่เป็นชัยชนะทางทหาร แต่ยังอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างวาทกรรมของ “การกู้คืนดินแดนแห่งความรุ่งเรืองทางทหาร” อีกด้วย

เมื่อพิจารณาความสำคัญของเมืองดนิโปรในเชิงภูมิยุทธศาสตร์ เมืองดนิโปรมีความสำคัญดังนี้
1) ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เป็นจุดเชื่อมระหว่างภาคตะวันตกและตะวันออกของยูเครน
เมืองดนิโปรตั้งอยู่ในภูมิภาคกลางของประเทศยูเครน เป็นเมืองสำคัญในแคว้นดนิโปรเปตรอฟสค์ (Dnipropetrovsk Oblast) ซึ่งถือเป็น “ประตูสู่ตะวันออก” ของประเทศ หากพิจารณาในแง่ภูมิศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์ดนิโปรตั้งอยู่บนเส้นแกนตะวันตก–ตะวันออก ซึ่งเชื่อมระหว่างภูมิภาคที่มีบทบาทต่ออัตลักษณ์และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ภาคตะวันตกของยูเครนมีแนวโน้มโน้มเอียงไปทางยุโรปตะวันตกและมีความเป็นชาตินิยมสูง ขณะที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะแคว้นดอนบาสมีความใกล้ชิดทางภาษาวัฒนธรรมกับรัสเซียและเป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองสายรัสเซียมาตลอด ดนิโปรจึงกลายเป็นพื้นที่กันชน (buffer zone) หรือพื้นที่เปลี่ยนผ่าน (transitional zone) ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และการเมือง นอกจากนั้นดนิโปรยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ในระบบโลจิสติกส์ของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายรถไฟ ถนน และการขนส่งทางแม่น้ำ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงสงคราม เพราะสามารถใช้เป็นฐานส่งกำลังบำรุงจากตะวันตกไปยังแนวหน้าทางตะวันออก และในทางกลับกันเป็นเส้นทางถอนกำลังหรืออพยพพลเรือนออกจากเขตสู้รบ

2) ความสำคัญของแม่น้ำดนีโปร (Dnieper River)
แม่น้ำดนีโปรนับเป็นเส้นเลือดสำคัญของยูเครนทั้งในมิติทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์ โดยมีความยาวกว่า 2,200 กิโลเมตรไหลจากทางเหนือของประเทศลงสู่ทะเลดำทางใต้ ทำหน้าที่แบ่งดินแดนของยูเครนออกเป็นสองฝั่ง—ตะวันตกและตะวันออก—อย่างชัดเจน ด้วยบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในฐานะ “กำแพงธรรมชาติ” (natural barrier) แม่น้ำสายนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันและรักษาอธิปไตยของรัฐยูเครน เมืองดนิโปรตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดนีโปรซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลยูเครนสามารถรักษาการควบคุมได้ในช่วงที่เกิดการรุกรานจากรัสเซียโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เกิดการสู้รบอย่างเข้มข้นในภูมิภาค
ซาปอริซเซียและดอนบาส ดนิโปรจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการรักษาสมดุลของการป้องกันและการส่งกำลังบำรุงให้แนวรบภาคตะวันออก หากดนิโปรถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซียความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ของแม่น้ำดนีโปรในฐานะปราการธรรมชาติก็จะถูกบั่นทอนลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ฝ่ายรัสเซียสามารถข้ามแม่น้ำเพื่อขยายแนวรบเข้าสู่ภาคกลางของยูเครนแล้วยังอาจเปิดทางให้มีการรุกคืบไปถึงกรุงเคียฟซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของแม่น้ำสายนี้ได้อีกด้วย ดังนั้นในมิติของภูมิรัฐศาสตร์แม่น้ำดนีโปรไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางน้ำธรรมดาแต่เป็นแนวกำหนดยุทธศาสตร์ของสงคราม เป็นทั้งพรมแดนและแนวป้องกันซึ่งมีผลต่อดุลอำนาจในพื้นที่ตอนกลางของยูเครนและมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ของสงครามโดยรวม

3) ดนิโปรในฐานะป้อมปราการตะวันตกของแนวป้องกันยูเครน
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมาเมืองดนิโปรได้กลายเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นหลักของกองทัพยูเครนในการป้องกันแนวรบตะวันออกโดยเฉพาะการสนับสนุนการสู้รบในแคว้นโดเนตสค์ ลูฮานสค์ และซาปอริซเซีย กองกำลังสำรอง อาวุธยุทโธปกรณ์ และเวชภัณฑ์จำนวนมากถูกส่งมาจากดนิโปร รวมถึงโรงพยาบาลในเมืองนี้ยังรับหน้าที่เป็นจุดพักฟื้นสำหรับทหารที่บาดเจ็บ บทบาทของดนิโปรในฐานะ “ป้อมปราการเชิงลึก” (deep defense fortress) จึงอยู่ในลักษณะของเมืองหลังแนวหน้า (rear base) ที่มีความมั่นคงทางภูมิศาสตร์แต่มีศักยภาพในการรองรับแรงกระแทกจากแนวรบเบื้องหน้า การรักษาความปลอดภัยในดนิโปรจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลยูเครนให้ความสำคัญอย่างมาก แม้ไม่ได้ถูกใช้เป็นแนวสู้รบโดยตรงแต่การถูกโจมตีทางอากาศหลายครั้งของรัสเซียต่อเป้าหมายในดนิโปร เช่น คลังแสง คลังน้ำมัน หรือโรงงานอุตสาหกรรมบ่งชี้ถึงความพยายามของรัสเซียในการทำลายศักยภาพของเมืองนี้ในฐานะศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์

4) ความสำคัญทางการทหารและความมั่นคง
ในบริบทของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เมืองดนิโปรได้พัฒนาไปสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางทหารที่สำคัญที่สุดของยูเครน โดยเฉพาะในบทบาทของ “ฐานส่งกำลังบำรุง” (logistics base) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนปฏิบัติการในแนวรบภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ เมืองดนิโปรตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่ไม่ไกลจากสมรภูมิหลักในภูมิภาคดอนบาส แต่ยังอยู่ในระยะที่พอปลอดภัยจากการรุกภาคพื้นดินของกองทัพรัสเซียในระยะสั้น ส่งผลให้สามารถดำรงบทบาทเป็นจุดรวบรวมและกระจายกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเวชภัณฑ์ ไปยังหน่วยต่าง ๆ ที่ปฏิบัติการในแนวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญทางทหารของเมืองดนิโปรยังปรากฏชัดในฐานะที่ตั้งของหน่วยงานด้านความมั่นคงและการทหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บัญชาการทางทหาร (Military Command Centers) ศูนย์ส่งกำลังบำรุง (Logistics Hubs) ไปจนถึงหน่วยวิจัย ซ่อมบำรุง และปรับแต่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบูรณะยานเกราะที่ได้รับความเสียหาย และในอีกด้านหนึ่ง ก็มีการนำอาวุธที่ได้รับจากประเทศตะวันตกมาปรับแต่งให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและลักษณะของการรบในแนวหน้า บทบาทของดนิโปรในฐานะศูนย์กลางยุทธศาสตร์เช่นนี้จึงเป็นมากกว่าการเป็นเพียงจุดผ่านของกำลังรบ หากแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาสมดุลและเสถียรภาพของความสามารถทางทหารของยูเครนในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อการสู้รบยังคงดำเนินต่อเนื่องในลักษณะสงครามแบบยืดเยื้อและใช้ทรัพยากรอย่างหนัก

5) โครงสร้างพื้นฐาน: สนามบิน ทางรถไฟ ถนนยุทธศาสตร์
ความสำคัญของดนิโปรไม่ได้จำกัดเฉพาะตำแหน่งเชิงภูมิศาสตร์ แต่ยังรวมถึง โครงสร้างพื้นฐานยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงระดับชาติ ได้แก่ สนามบินดนิโปร (Dnipro International Airport) ที่แม้จะไม่ได้ใหญ่เท่ากับสนามบินในเคียฟหรือโอเดสซาแต่ก็ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางอากาศในช่วงก่อนสงครามและมีบทบาทรองรับการลำเลียงทางอากาศและการอพยพฉุกเฉินในช่วงวิกฤต โครงข่ายทางรถไฟ 
ที่เชื่อมโยงดนิโปรกับเคียฟ โพลตาวา คาร์คิฟ และแนวรบภาคตะวันออก ทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางของระบบโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ที่สามารถลำเลียงทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ถนนยุทธศาสตร์ เช่น เส้น M04 และ M18 ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายกำลังพลระหว่างแนวหน้าและฐานสนับสนุนด้านหลังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ถูกจับตาจากทั้งสองฝ่าย การมีโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวส่งผลให้เมืองดนิโปรมี “value added” ทางทหารสูง หากฝ่ายใดสามารถควบคุมหรือทำลายจุดยุทธศาสตร์เหล่านี้ได้ย่อมสามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำสงครามของอีกฝ่ายได้โดยตรง

ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมาเมืองดนิโปรตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางอากาศหลายครั้งจากฝั่งรัสเซีย โดยเฉพาะในรูปแบบของขีปนาวุธพิสัยไกล (long-range missiles) เช่น Kh-22 และ Iskander 
โดรนกามิกาเซ่ (kamikaze drones) โดยเฉพาะ Shahed-136 ที่ใช้ในภารกิจแบบ “low-cost disruption” และการโจมตีแบบเจาะจง (targeted strikes) ต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โรงเก็บเชื้อเพลิง โรงงานซ่อมยุทโธปกรณ์ และศูนย์ควบคุมการจราจรทางรถไฟ การโจมตีลักษณะนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของรัสเซียในการใช้การก่อกวนโครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือทำลายเส้นทางสนับสนุนของยูเครนจากภายใน โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ผ่านมาที่มีความพยายามอย่างเป็นระบบในการโจมตีเครือข่ายไฟฟ้าและระบบขนส่งของเมือง ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้มุ่งเพียงเป้าหมายทางทหารเท่านั้นแต่ยังมุ่งสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ลดขวัญกำลังใจ และทำให้ต้นทุนการรักษาเมืองของรัฐบาลยูเครนสูงขึ้นในระยะยาว หากรัสเซียสามารถยึดครองเมืองดนิโปรหรือบั่นทอนศักยภาพของเมืองนี้ผ่านการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบที่อาจตามมาคือ

1) ความเสียหายต่อระบบสนับสนุนแนวรบ โดยเฉพาะในภูมิภาคดอนบาส ซึ่งเป็นแนวรบหลักของยูเครน
2) การตัดขาดเครือข่ายการขนส่งระหว่างภาคตะวันตกกับตะวันออก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดสรรทรัพยากรทางการทหารและพลเรือน
3) ความเสียหายเชิงจิตวิทยาและยุทธศาสตร์ต่อรัฐยูเครน ในการสูญเสียเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมเก่าแก่และฐานทัพภายในประเทศ
4) การเปิดช่องให้รัสเซียขยายอิทธิพลต่อฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดนีโปร ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงของเมืองใหญ่ เช่น เคียฟ และโพลตาวา

บทสรุป เมืองดนิโปรมิได้เป็นเพียงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในอดีตเท่านั้นหากแต่ในบริบทของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 เมืองนี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญที่สุดของยูเครน ทั้งในฐานะฐานส่งกำลังบำรุง (logistics base) และศูนย์บัญชาการภาคกลางที่รองรับแนวรบด้านตะวันออก ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้สมรภูมิสำคัญในแคว้นดอนบาส แต่ยังคงอยู่ในระยะที่ปลอดภัยจากการรุกภาคพื้นดินโดยตรง เมืองดนิโปรจึงสามารถทำหน้าที่เป็นจุดรวบรวมและกระจายกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และเวชภัณฑ์ไปยังแนวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองนี้ยังเป็นศูนย์กลางของหน่วยงานทางทหารระดับยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ ศูนย์บัญชาการและหน่วยวิจัยที่ทำหน้าที่บูรณะอาวุธจากแนวหน้า รวมถึงดัดแปลงอาวุธจากตะวันตกให้เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่ปฏิบัติการของยูเครน บทบาทดังกล่าวของดนิโปรสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ในระดับประเทศ เมืองนี้ไม่เพียงแต่เป็นแนวป้องกันเชิงลึกที่เชื่อมโยงภาคตะวันออกกับภาคกลางของยูเครน หากแต่ยังทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการรักษาเสถียรภาพของระบบป้องกันและโครงสร้างทางทหารของประเทศ ในสงครามที่มีลักษณะยืดเยื้อและอาศัยการสนับสนุนจากภายนอกอย่างเข้มข้น การมีศูนย์กลางทางทหารที่แข็งแกร่ง เช่น ดนิโปร จึงถือเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อความสามารถในการต้านทานการรุกรานจากรัสเซียได้ในระยะยาว

ACFTA 3.0 นำพาอาเซียนและจีนเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้าเสรี สร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ขยายตลาดขนาดใหญ่รับมือวิกฤตการค้าทั่วโลก

(28 เม.ย. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลกที่ไม่แน่นอน ผู้เชี่ยวชาญจากมาเลเซียและจีนได้ย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับจีน โดยเฉพาะในการใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่ร่วมกันเพื่อบูรณาการภูมิภาคและต่อต้านกระแสการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ในเวทีสัมมนาอาเซียน-จีนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วนได้เห็นพ้องกันถึงศักยภาพของการร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย

โลว์ เคียน ชวน ประธานสภาธุรกิจมาเลเซีย–จีน กล่าวว่าการที่มาเลเซียดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันความร่วมมือระหว่างสองภูมิภาค และการลงนามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ฉบับ 3.0 จะเป็นจุดสำคัญในการเสริมสร้างการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยช่วยขยายความร่วมมือในหลายมิติ

นับตั้งแต่การเปิดตัวเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีนในปี 2010 ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่ายเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากการค้าโลก แต่ในไตรมาสแรกของปี 2025 มูลค่าการค้าระหว่างจีนและอาเซียนยังเติบโตขึ้นถึง 7.1% ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

ในอนาคต ความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีนจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการปรับโครงสร้างห่วงโซ่มูลค่าโลก โดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างจริงจังจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top