Sunday, 27 April 2025
ค้นหา พบ 47686 ที่เกี่ยวข้อง

เผยโฉมครั้งแรก 'คอรัปชั่น ฟ้องดู' แพลตฟอร์มคอร์รัปชันเทคปราบทุจริตฟื้นศักยภาพประเทศ 'อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.' ชี้เป็นแนวรบใหม่ใช้เทคโนโลยีดิจิตอล เอไอ.ต้านโกง เริ่มทดสอบระบบวันนี้ ก่อนคิกออฟเดือนพฤษภาคม

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) เปิดเผยระหว่างการบรรยายเรื่องการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่นที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า

(26 เม.ย.) 'คอรัปชั่น ฟ้องดู' ภายใต้โครงการใยแมงมุมเริ่มทดสอบระบบเป็นครั้งแรกในวันนี้ก่อนคิกออฟเปิดใช้เป็นทางการในเดือนพฤษภาคม

“ปัญหาคอรัปชั่นอยู่ในขั้นวิกฤตเหมือนมะเร็งร้ายทำลายศักยภาพของประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคต ซึ่ง 'คอรัปชั่น ฟ้องดู' แพลตฟอร์มดิจิตอลคอรัปชั่นเทคจะเป็นแนวรบใหม่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หากขจัดคอรัปชั่นได้มากเท่าใดก็จะช่วยฟื้นศักยภาพประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากเท่านั้น”

อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ยังเปิดเผยต่อไปว่า สถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์และดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์ม ทราฟฟี ฟองดู(Traffy Fondue)ร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีดิจิตอลเอไอ.'คอรัปชั่น ฟ้องดู' ประกอบด้วย
1. แพลตฟอร์มทราฟฟี ฟองดู
2.เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
3..Line official
4.ผู้แจ้งเบาะแส(Whistleblower)
5.เชื่อมโยงทำงานร่วมสื่อมวลชน หน่วยงานรัฐภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิชาการและเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น

“การผสมผสานเทคโนโลยีกับกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็งและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเปิดกว้างจะช่วยแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นให้ลดน้อยลง ไม่ใช่ถอยหลังเข้าคลอง สิ่งสะท้อนสถานะคอรัปชั่นล่าสุดคือ ดัชนี CPI ของไทย ซึ่งในปี 2567 ได้คะแนนเพียง 34 คะแนน อยู่ในอันดับ 107 ของโลก นับเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ13ปีตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา สงครามปราบทุจริตเป็นสมรภูมิที่ประเทศไทยต้องชนะให้ได้ เป็นเวลาที่ต้องเงยหน้าขึ้น ร่วมมือกันก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ”

ผู้แทนชาวน่าน เข้าขอบคุณ ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ หลังช่วยผลักดัน!! ออกโฉนดที่ดิน ได้สำเร็จ

(26 เม.ย. 68) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ นายบุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน และอดีตผู้สมัคร สส.น่าน เขต 1 นายเรืองเดช จอมเมือง อดีตผู้สมัคร สส.น่าน เขต 3 ซึ่งเดินทางมาจาก ต.สะเนียน อ.เมืองน่าน จ.น่าน เป็นตัวแทนประชาชนจังหวัดน่าน ในการแสดงความขอบคุณต่อนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ผลักดันให้การออกโฉนดที่ดินในพื้นที่จังหวัดน่านสำเร็จเป็นรูปธรรม เมื่อครั้งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังประชาชนต้องรอคอยการพิสูจน์สิทธิและกระบวนการทางกฎหมายยาวนานกว่า 30 ปี โดยการดำเนินการครั้งนี้ครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ที่ไม่อยู่ในเขตจำแนกเป็นป่าไม้ถาวร หรือที่ดินต้องห้ามออกโฉนดตามข้อ 14 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เช่น พื้นที่สาธารณประโยชน์ เขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ พื้นที่ลาดชันเกิน 35 เปอร์เซ็นต์ และที่สงวนหวงห้ามอื่น ๆ

ในครั้งนั้น นายนิพนธ์ ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมที่ดิน ได้สั่งการให้กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำรวจพื้นที่ที่ประชาชนได้รับผลกระทบ โดยนายนิพนธ์ ได้มอบโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนที่ผ่านการเดินสำรวจและตรวจสอบสิทธิแล้ว เฉพาะในพื้นที่จังหวัดน่านกว่า 2,300 แปลง โดยมีตัวแทนประชาชนจากอำเภอเมืองน่าน เข้ารับมอบโฉนดที่ดิน จำนวนกว่า 50 แปลง ณ และนายนิพนธ์ ยังได้ลงพื้นที่ไปมอบโฉนดถึงบ้านเรือนประชาชนผู้สูงอายุเพิ่มเติมอีกจำนวนกว่า 10 แปลง เพื่ออำนวยความสะดวกและแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่

โดยในวันนี้ ผู้แทนประชาชนจังหวัดน่าน ที่ได้รับมอบโฉนดที่ดินดังกล่าว ได้เดินเข้าพบนายนิพนธ์ เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการแทนกลุ่มประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ซึ่งสะท้อนถึงความยินดีและความซาบซึ้งใจที่ประชาชนมีต่อนายนิพนธ์ และทีมงาน ที่ได้ดำเนินการผลักดันเรื่องนี้จนประสบความสำเร็จ หลังจากที่ชาวบ้านต้องรอคอยการแก้ไขปัญหามานานหลายทศวรรษ

ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ต้อนรับคณะหลักสูตรเวชศาสตร์ ทอ. ศึกษาดูงาน รพ.ฯ

พล.ร.ต.พัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับคณะศึกษาดูงานหลักสูตร เวชศาสตร์ทหารอากาศ สำหรับผู้ปฏิบัติ กรมแพทย์ทหารอากาศ โดยมี น.อ.อัศวิน คนชม รอง ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการแพทย์ทหารอากาศ เป็นหัวหน้าคณะในการศึกษาดูงานในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมประกอบด้วย การรับฟังการบรรยายสรุป ณ ห้องประชุม ป.4 อาคารอำนวยการ และเยี่ยมชมศูนย์เวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูง ของ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ โดยมีผู้แทนหน่วยงานของ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมให้คำแนะนำขีดความสามารถของหน่วยหน้างาน ในครั้งนี้ 

หลักสูตรเวชศาสตร์​ทหารอากาศ​สำหรับ​ผู้ปฏิบัติ​นี้ มีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้เข้ารับการศึกษามีความรู้ด้านเวชศาสตร์ทหารอากาศ สามารถนำหลักวิชาไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านยุทธการและภัยพิบัติ มีทักษะการช่วยเหลือด้านการแพทย์ทหาร ในภาวะวิกฤติฉุกเฉิน ภัยพิบัติ และภัยคุกคามด้านเคมี ชีวะ กัมมันตรังสี สามารถตอบสนองต่อภารกิจของกองทัพอากาศ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีระยะเวลาการศึกษา 12 สัปดาห์ ระหว่าง 21 เมษายน ถึง 18 กรกฎาคม 2568    

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ ‘Apple’ จะย้ายโรงงานผลิต จากจีนไปอินเดีย ต้องผ่านมาตรการศุลกากร ข้อบังคับทางการค้า ด้านการส่งออก

(26 เม.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

อินฟลูเปรียบเทียบประโยคที่ เมื่อครั้งนายเจียง เจ๋อหมิน อดีตประธานาธิบดีจีน และอดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ สอนนักข่าวฮ่องกง ถามเรื่องการลงสมัครเป็นผู้ว่าการเกาะฮ่องกงของนายถัง ซึ่งเป็นผู้ว่าการฯในขณะนั้น โดยใช้มุกสัมภาษณ์ควาย ๆ ยิงคำถามเดิมซ้ำ ๆ และคาดเดานัยของคำตอบซึ่งไม่ถูกใจ ด้วยการถามใหม่ปรับเปลี่ยนบางคำในประโยคคำถามนั้น คล้ายว่าหากตอบไม่ตรงกับความตั้งใจที่แฝงมากับคำถาม ก็จะทู่ซี้ถามอีก นายเจียง ตัดบทหลายครั้งหลังตอบคำถามเมื่อถูกถามว่าตนสนับสนุนนายถังหรือไม่? และตอบไปแล้วว่าโดยส่วนตัวเขาสนับสนุน แต่นักข่าวต้องการคำตอบว่าจีนกดดันฮ่องกงให้เลือกนายถังหรือเปล่า? นายเจียงถามนักข่าวว่าไปเอาความคิดนี้มาจากไหน? นักข่าวชี้ว่ามาจากสื่อตะวันตก นายเจียงจึงสอนนักข่าวว่า “ในฐานะสื่อฯ คุณไม่ควรคาดเดาเอาเอง หรือมโนฯเพียงสัมผัสลม ก็ฟันธงว่ามีฝน พวกคุณต้องพิจารณาว่าแหล่งข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่ แล้วตัดสินใจก่อนจะนำมา ต่อเรื่องเป็นตุเป็นตะ พวกคุณยังอ่อนวัยเกิน, คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันง่าย ๆ จนทำตัวเองให้ดูเหมือนพวกอ่อนต่อโลก (เอเคเอ ปัญญาอ่อน)” 

แอปเปิ้ลก็มีข่าวว่า วางแผนจะย้ายฐานการผลิตจากจีนไปอินเดีย จากนโยบายสุดระห่ำของไอ้บ้า 'คนขายส้ม' เอเคเอ ดิ ออเรนจ์แมน (ฉายาที่สื่อฯอเมริกันใช้นิยามทรัมป์) ซึ่งคาดว่าการย้ายฐานการผลิตจะเกิดขึ้นภายในปี 2026 แต่ที่ทิม คุ๊ก ซีอีโอแอปเปิ้ล อาจแสร้ง หรือคาดไม่ถึงคือ จีนเห็นการย้ายฐานการผลิตของแอปเปิ้ลเป็นเรื่องที่ “คิดได้ ถึงกล้าทำแต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ” แอปเปิ้ลอาจคิดว่าจีน เป็นแค่โรงงานรับจ้างผลิต ทั้งยังเป็นตลาดขนาดใหญ่รองรับสินค้านับหลายร้อยล้านเครื่องต่อปี จึงคิดว่าแค่ย้ายโรงงานไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือดำเนินการยากแต่อย่างใด

แต่เอาเข้าจริง การส่งออกวัตถุดิบตลอดจนเครื่องจักรจากจีน เพื่อที่จะย้ายไปอินเดียนั้น แบบไม่ต้องประกาศอย่างโจ๋งครึ่มแต่อย่างใด ทางการจีนสามารถใช้มาตรการทางศุลกากร และข้อบังคับทางการค้า ด้านการส่งออก เป็นเครื่องมือในการปิดประตูหน้า, ขวางประตูข้าง และทิ้งช่องประตูด้านหลังโรงงานเล็ก ๆ ไว้ให้ กว่าแอปเปิ้ลจะดำเนินการจนแล้วเสร็จคาดว่า อาจหมดสมัยทรัมป์ไปแล้ว หรือแย่กว่านั้น ระหว่างตั้งโรงงาน สหรัฐดันคุยกับจีนแล้วตกลงกันได้ ทิม คุ๊ก ก็อาจมีสภาพต้องกินอาหารเม็ดไปเลยก็เป็นได้

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#15 ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุด ในสงครามเวียตนาม

การรุกตรุษญวน (Tet Offensive) เป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสงครามเวียตนาม เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 30 มกราคม 1968 โดยกองกำลังเวียตกง (VC) และกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) กับกองกำลังเวียตนามใต้ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตร เป็นการรบแบบการจู่โจมต่อที่ตั้งของกองบัญชาการทหารและพลเรือน ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการทั่วประเทศเวียตนามใต้ การรุกนี้ได้ชื่อจากวันหยุดตรุษญวน (Tết) ด้วยกำลังผสมของกองกำลังเวียตกงและกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือประมาณ 5 แสนนาย เปิดฉากการบุกโจมตีพร้อมกันหลาย ๆ จุดในหลาย ๆ เมืองของเวียตนามใต้ จนเป็นการสู้รบที่ดุเดือดต่อเนื่องยาวนานหลายเดือนไปจนถึงวันที่ 23 กันยายน 1968

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้มีการตระเตรียมกำลังพลถึง 1 ใน 3 (กว่าสี่แสนนาย) ของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และระดมกำลังพลของเวียตกงอีกประมาณ 70,000 คน โดยผู้บัญชาการทหารของฝ่ายเวียตนามเหนือ พลเอกโวเหงียนเกี๊ยบได้เลือกเอาวันที่ 31 มกราคม ซึ่งเป็นวันปีใหม่ในปฏิทินจันทรคติของชาวเวียตนามเป็นการเปิดฉากจู่โจมในครั้งดังกล่าว โดยพลเอกเกี๊ยบได้วาดหวังผลทางยุทธศาสตร์เอาไว้ว่า การบุกจู่โจมดังกล่าวจะสามารถพิชิตกองทัพของฝ่ายเวียตนามใต้ (ARVN : Army of the Republic of Vietnam) ลงได้ ทั้งยังจะสามารถสร้างความวุ่นวายและปลุกปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลเวียตนามใต้ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องการที่จะกระตุ้นตอกย้ำรอยร้าวของความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงระหว่างรัฐบาลเวียตนามใต้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้สหรัฐฯ หาทางเจรจาและต้องถอนกำลังทหารออกไปจากเวียตนามใต้

ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ทำการโจมตีเป็นระลอกในกลางดึกของวันที่ 30 มกราคมในเขตยุทธวิธีที่ 1 และที่ 2 ของกองทัพเวียตนามใต้ การโจมตีช่วงแรกนี้ไม่นำไปสู่มาตรการป้องกันอย่างกว้างขวาง เมื่อปฏิบัติการหลักของคอมมิวนิสต์เริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น การรุกก็ลามไปทั่วประเทศและมีการประสานงานอย่างดี จนสุดท้ายมีกำลังคอมมิวนิสต์กว่า 80,000 นายเปิดฉากโจมตีเมืองต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง ซึ่งรวมเมืองหลักของ 36 จาก 44 จังหวัด เขตปกครองตนเอง 5 จาก 6 แห่ง เมืองรอง 72 จาก 245 แห่ง และกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียตนามใต้ ในเวลานั้น การโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการทางทหารใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย การโจมตีในระยะแรกทำให้กองทัพสหรัฐฯ และเวียตนามใต้สับสนจนเสียการควบคุมในหลายเมือไปชั่วคราว แต่ที่สุดก็สามารถจัดกำลังใหม่จนสามารถต่อต้านการโจมตีและตีโต้จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องล่าถอยกลับไป 

แผนการบุกจู่โจมของฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มขึ้นตรงตามที่ได้มีการวางวางแผนไว้ ในกรุงไซง่อนซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเวียตนาม ที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลเวียตนามใต้ เช่น สถานทูตสหรัฐฯ ถูกก่อวินาศกรรมโดยหน่วยกล้าตายเวียตกงประมาณ 19 นาย หน่วยจู่โจมดังกล่าวปะทะกับทหารเวียตนามใต้และสหรัฐฯ และสามารถยึดที่มั่นสำคัญของฝ่ายเวียตนามใต้แห่งนี้ได้นานถึง 6 ชั่วโมง ก่อนที่จะถูกกราดยิงจากเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายเวียตนามใต้และสหรัฐฯ จนเสียชีวิตหมด หน่วยกล้าตายเวียตกงอีกหน่วยสามารถบุกไปยังทำเนียบประธานาธิบดี สถานีวิทยุ ศูนย์กลางกองทัพเรือ กองพลทหารพลร่ม ศูนย์กลางตำรวจ รวมถึงคลังน้ำมันที่ 4, 5. 6, 7, 8 ในกรุงไซง่อน ความสำเร็จในการบุกจู่โจมกรุงไซง่อนของเวียตกงได้แสดงให้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของสงครามว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำอย่างที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เคยบอกตลอดมา นอกจากนี้ความจริงดังกล่าวยังเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของทหารอเมริกัน ในวันเดียวกันของการเริ่มปฏิบัติการที่เมืองเว้ ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถบุกยึดเมืองดังกล่าวได้สำเร็จ และปล่อยนักโทษที่ถูกฝ่ายตรงข้ามคุมขังให้เป็นอิสระได้ถึง 2,000 คน

ในกรุงไซง่อนการขับไล่กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ของทหารเวียตนามใต้และอเมริกันเป็นไปด้วยความยากลำบาก หน่วยจู่โจมฝ่ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่ทั่วกรุงไซง่อนมาหลายสัปดาห์แล้ว อาศัยเสบียงที่พอจะประทังชีวิตได้ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ กองทัพอเมริกันได้โต้กลับด้วยวิธีการที่รุนแรงด้วยการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดและปืนใหญ่เข้าทำลายพื้นที่ทั้งหมดในทั้งกรุงไซง่อนและพื้นที่อื่น ๆ ที่มีกำลังของฝ่ายคอมมิวนิสต์อยู่ ระหว่างยุทธการที่เมืองเว้มีการสู้รบอย่างดุเดือดกินเวลาถึงหนึ่งเดือน ทำให้กองกำลังสหรัฐต้องทำลายเมืองเว้จนเสียหายอย่างหนัก และระหว่างการยึดครองเมืองเว้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ประหารชีวิตประชาชนหลายพันคน (เหตุการณ์การสังหารหมู่ที่เมืองเว้) 

ขณะเดียวกัน ยังมีการสู้รบบริเวณรอบ ๆ ฐานทัพสหรัฐฯ ที่เคซานต่อมาอีกสองเดือน แม้ว่าปฏิบัติการจู่โจมดังกล่าวจะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทำให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องสูญเสียกำลังพลมหาศาล และถือเป็นความพ่ายแพ้ทางทหารสำหรับฝ่ายคอมมิวนิสต์ แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะทำให้สาธารณชนชาวอเมริกันต้องตกตะลึงจากความเชื่อซึ่งถูกผู้นำทางการเมืองและการทหารบอกว่า ฝ่ายคอมมิวนิสต์กำลังปราชัย และไม่สามารถดำเนินความพยายามขนาดมโหฬารเช่นนี้ได้ การสนับสนุนสงครามของสาธารณชนชาวอเมริกันจึงลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดสหรัฐฯ ต้องแสวงหาการเจรจาเพื่อยุติสงคราม

การรุกในวันตรุษญวนทำให้ทหารของกองทัพประชาชนเวียตนามเหนือ (PAVN) และเวียตกง (VC) เสียชีวิตกว่า 1 แสนนาย ทหารของกองทัพสหรัฐฯ เวียตนามใต้ และพันธมิตรเสียชีวิตกว่า 10,000 นาย เหตุการณ์นี้กองกำลังทหารไทยในเวียตนามใต้ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบด้วย แม้ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การรุกในวันตรุษญวนส่งผลในทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก โดยเป็นการแสดงศักยภาพด้านการทหารของฝ่ายคอมมิวนิสต์ เป็นการจุดกระแสต่อต้านสงครามเวียตนามในสหรัฐฯ จนติด และนำไปสู่การถอนทหารสหรัฐฯ จากเวียตนามใต้ และที่สุดนำไปการล่มสลายของเวียตนามใต้ (สาธารณรัฐเวียตนาม) ในวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียดนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top