Sunday, 27 April 2025
ค้นหา พบ 47686 ที่เกี่ยวข้อง

เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา นำทีมพลังงานไทย สู่เวทีนานาชาติ IEA Summit 2568

เมื่อวันที่ (24 เม.ย. 68) พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ผู้แทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุม IEA Summit on the Future of Energy Security ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร 

ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 เมษายน 2568 โดยมี IEA / UK Government และผู้แทนกว่า 50 ประเทศ, 60 บริษัทพลังงาน และนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เข้าร่วมประชุม

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ยกนิสัยคนจีนรักการเรียนรู้ จุดแข็งขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ครูพี่ป๊อป ดร. ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ในการบรรยายพิเศษ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

บทบาท ‘ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์’ ของชาวไทยเชื้อสายจีน เบื้องหลัง!! ความสัมพันธ์เศรษฐกิจ ‘จีน – ไทย’

(26 เม.ย. 68) แม้ว่าประเทศไทยและจีนจะมีความสัมพันธ์อันดีในหลายมิติ แต่เมื่อพูดถึงคำว่า 'พี่น้องไทย - จีน' แล้ว ที่มาและความหมายที่แท้จริงของคำนี้คือความเป็นพี่น้องทางสายเลือดจริง ๆ ซึ่งถ้าใครอยู่ในวงการความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้น ก็น่าจะเคยได้ยินฝ่ายจีนใช้คำว่า '血脉相连 - เสว่ ม่าย เซียง เหลียน' ซึ่งแปลว่า 'เชื่อมต่อกันทางสายเลือด' โดยหมายถึงชาวไทยเชื้อสายจีน หรือชาวจีนที่เกิดในประเทศไทยและเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล ที่มีอยู่ประมาณ 10 ล้านคนในประเทศไทย คิดเป็น 11–14% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ ที่จำนวนมากเติบโตและประสบความสำเร็จด้านการค้าขาย เป็นผู้นำองค์กร เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมาก บ้างก็มีตำแหน่งสำคัญในราชการ 

นายกรัฐมนตรีไทยจำนวน 19 จาก 31 คน ล้วนมีเชื้อสายจีนทั้งสิ้น

แม้ว่าคนไทยเชื้อสายจีนจำนวนมากจะถูกกลืนกินทางวัฒนธรรมจนกลายเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังมีเครือข่ายสายสัมพันธ์กับคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งได้กลายมาเป็น 'ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์' และกลายเป็น 'สะพาน' ในการเชื่อมสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน อย่างมีนัยยะสำคัญมาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

ในยุคที่จีนดำเนินนโยบายตามกรอบแนวคิดริเริ่ม 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' (Belt and Road Initiative - BRI - 一带一路) และยุทธศาสตร์ 'เดินออกไปข้างนอก' (Going Out Strategy - 走出去战略) ของรัฐบาลจีน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มีเป้าหมายในการผลักดันบริษัทจีนออกไปลงทุนในต่างประเทศ ขยายเครือข่ายธุรกิจ และสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระดับโลก

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนจีนไม่ได้พิจารณาเพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเท่านั้น หากยังได้รับอิทธิพลจากเครือข่ายทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและประเทศเป้าหมายในระดับพื้นที่ ซึ่งกลายเป็น 'ทรัพยากรเชิงชาติพันธุ์' ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญตามทฤษฎีเศรษฐกิจเชิงชาติพันธุ์ (Ethnic Economy)

ประเด็นนี้เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ที่การเข้ามาของ FDI นั้น มักต้องอาศัยพันธมิตรในท้องถิ่น ความรู้เชิงบริบท และการเข้าถึงระบบราชการ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องพึ่งพา 'กลุ่มตัวกลาง' ในท้องถิ่น ในการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ตามทฤษฎีการตัดสินใจของ FDI ในตลาดเกิดใหม่ (FDI Decision-making in Emerging Markets) รวมถึงทฤษฎีเครือข่ายทางสังคม (Social Network Theory) ที่มองว่าความสัมพันธ์ทางสังคมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในบริบทที่มีความไม่แน่นอนสูง เช่น การลงทุนข้ามชาติในประเทศเกิดใหม่ ประเทศที่การเมืองไม่มั่นคง หรือประเทศที่มีอัตราการคอร์รัปชันสูงในระดับท้องถิ่น

ทั้งนี้ บทบาทของชาวไทยเชื้อสายจีนตามกรอบแนวคิดและทฤษฎีข้างต้นนี้ โดยหลักแล้วถือว่าเป็น 'ตัวกลางทางเครือข่าย' รวมถึงเป็น 'กลุ่มผลประโยชน์' และ 'พันธมิตรสนับสนุน' (advocacy coalition) ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะบทบาทการเชื่อมโยงนักลงทุนและรัฐบาลท้องถิ่น ทั้งการสนับสนุนด้านข้อมูลทางกฎหมาย นโยบาย การทลายกำแพงด้านภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงการสร้างอำนาจต่อรอง บริหารและจัดสรรผลประโยชน์ของทุกฝ่ายบนหน้าฉากก็ดี... หลังฉากก็ดี... (กรณีนี้คือว่ากันตามหลักการ ในความเป็นจริงอาจมีประเด็นผลประโยชน์ส่วนตัวและการคอร์รัปชัน ที่เป็นต้นตอของปัญหาเรื่องทุนต่างชาติสีเทาในปัจจุบัน)

ในรูปธรรมของการก่อตัวเป็นกลุ่มผลประโยชน์ของคนไทยเชื้อสายจีนนั้น สามารถเห็นได้จากการตั้งองค์กรในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ สมาคมการค้า หอการค้า สภาธุรกิจ หรือมูลนิธิอาสา ซึ่งกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น จัดงานเลี้ยง งานประชุม งานอาสาต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการสร้างชุมชน China town ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวจีนโพ้นทะเลในท้องถิ่นต่าง ๆ เพิ่มโอกาสในการพบปะทางสังคม และมีบทบาทในการสร้างเครือข่ายผลประโยชน์ ส่งต่อกันแบบรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะในระดับประเทศ หรือระดับท้องถิ่น เป็นพื้นที่ที่นักลงทุนทั้งสองฝ่ายรู้สึก 'ปลอดภัย' และ 'เข้าถึงง่าย' ช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาด ทำให้นักธุรกิจจีนเกิดความรู้สึก 'เหมือนอยู่บ้าน'

ในทางกลับกัน ฝ่ายรัฐบาลท้องถิ่นที่ต้องการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากภายนอกนั้น ก็สามารถดำเนินการประสานด้านข้อมูลและใช้เครือข่ายขององค์กรสมาคมการค้าและมูลนิธิต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจีนเช่นกัน

องค์กรรูปแบบนี้สามารถพบเห็นได้ในแทบจะทุกจังหวัดของประเทศไทย จะมีมากและเข้มแข็งเป็นพิเศษในเมืองยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ หาดใหญ่, เชียงใหม่, ภูเก็ต, กลุ่มจังหวัดโซน EEC และหลายจังหวัดในภาคอีสาน (ที่อาจเป็นทางผ่านของรถไฟความเร็วสูง)

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า นัยยะสำคัญของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับจีนไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับข้อตกลงหรือเอกสารทางการต่าง ๆ เท่านั้น แต่มาจากความสัมพันธ์ของผู้คน ความเชื่อใจ ความใกล้ชิด และเครือข่ายที่ยึดโยงกันข้ามรุ่น จากบทบาทของคนไทยเชื้อสายจีนในฐานะ 'ตัวกลาง' ที่เข้าใจทั้งสองฝั่งอย่างลึกซึ้ง

ไม่เพียงแค่ไทยเท่านั้น ชาวจีนโพ้นทะเลจำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วโลกก็กำลังมีบทบาทเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม ASEAN ที่มีชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่ค่อนข้างเข้มแข็งและมีบทบาทต่อเศรษฐกิจ

ด้วยเหตุเช่นนี้ การ 'เดินออกไปข้างนอก' ตามยุทธศาสตร์ Going Out Strategy นั้น จึงเป็นการ 'เดินออกไปข้างนอกแต่ก็ยังเจอเพื่อน' ที่จะช่วยแนะนำที่ทางในการค้าขาย และเป็น 'กันชนทางวัฒนธรรม' ที่ทำหน้าที่ลด culture shock และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 'เจ้าบ้าน' และ 'แขกหน้าใหม่' พร้อมสร้างความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นวัฒนธรรมและระบบ เกิดความยั่งยืนจากการส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่น

ผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมสังเกตการณ์การทดสอบความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศรูปแบบใหม่ 

ภัยคุกคามจากอาวุธปล่อยและอากาศยานไร้คนขับ รวมทั้งทดสอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเรือที่ออกปฏิบัติงานร่วมกันภายในกองเรือ และการปฏิบัติการร่วมระหว่างเรือ - อากาศยานของกองทัพอากาศ บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร
 
เมื่อวานนี้ (25 เม.ย.68) เวลา 12.30 น. พลเรือเอกจิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมสังเกตการณ์การทดสอบขีดความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศรูปแบบใหม่ เช่น ภัยคุกคามจากอาวุธปล่อยนำวิธีและอากาศยานไร้คนขับเป็นต้น การทดสอบระบบการเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีระหว่างเรือที่ออกปฏิบัติงานร่วมกันภายในกองเรือ เพื่อหาข้อขัดข้องข้อจำกัดและแนวทางการพัฒนาในอนาคต รวมทั้งติดตามผลการฝึกปฏิบัติการร่วม ระหว่าง ทร. - ทอ. 

สำหรับการทดสอบความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศรูปแบบใหม่ในครั้งนี้  มีการทดสอบระบบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานแบบ Mistral จากระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแบบ Sadral บนเรือหลวงจักรีนฤเบศร  โดยครั้งนี้ เป็นการทดสอบอาวุธปล่อยนำวิถีกับเป้า Banshee ซึ่งเป็นเครื่องบินบังคับวิทยุที่ถูกปล่อยขึ้นบินด้วยเครื่องดีดหรือเครื่องปล่อย โดยสมมุติให้เป็นอาวุธปล่อยของข้าศึกที่บินเข้าหากองเรือ โดยเรือหลวงจักรีนฤเบศรจะทำการป้องกันภัยทางอากาศและใช้อาวุธป้องกันตนเอง

อาวุธปล่อยแบบ Mistral เป็นอาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ติดตั้งบนเรือหลวงจักรีนฤเบศร นำวิถีด้วยระบบ Infrared passive homing โดยการฝึกยิงในวันนี้  จัดกำลังประกอบด้วยเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เป็นเรือตรวจจับและส่งค่าเป้าผ่าน Link เรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นเรือยิงอาวุธปล่อย และเรือหลวงนเรศวรเป็นเรือรักษาความปลอดภัยสนามยิง โดยการทดสอบระบบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยานแบบ Mistral จากระบบป้องกันตนเองระยะประชิดแบบ Sadral ในวันนี้เป็นไปตามแผนและตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 

การฝึกปฏิบัติการร่วม ระหว่าง ทร. - ทอ. ได้ดำเนินการระหว่าง 22 - 23 เม.ย.68 ในพื้นที่อ่าวไทย โดยกองทัพอากาศได้บูรณาการการทดสอบใช้กำลังทางอากาศประจำปี 2568 มาเข้าร่วมการฝึก โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญประกอบด้วย การฝึกป้องกันภัยทางอากาศของกองเรือ  การฝึกโจมตีกระบวนเรือ การฝึกการควบคุมอากาศยาน ทอ.โจมตีเป้าหมายเรือผิวน้ำข้าศึก และสกัดกั้นอากาศยานของข้าศึก รวมทั้งการฝึกแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเรือและอากาศยาน ผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactacal Data Link : TDL) มีกำลังเข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือรบจำนวน 9 ลำ อากาศยานจำนวน 4 เครื่อง และ กองทัพอากาศได้จัดอากาศยานแบบ F-16 จำนวน 4 เครื่อง อากาศยานแบบ Gripen จำนวน 4 เครื่อง และ อากาศยานควบคุมและแจ้งเตือน แบบ SAAB-340 จำนวน 1 เครื่อง เข้าร่วมการฝึก

การฝึกและการทดสอบฯ ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนาม/ทะเล ในการฝึกกองทัพเรือประจำปี 2568 ซึ่งถือเป็นการฝึกที่มีความสำคัญสูงสุดของกองทัพเรือ ทั้งยังบูรณาการทางยุทธวิธีร่วมกับกองทัพอากาศ ในการปฏิบัติการทางทะเลและทางอากาศ โดยฝึกตั้งแต่กระบวนการวางแผน การควบคุมสั่งการทางทหาร และการรบทางยุทธวิธี และใช้แนวความคิดในการฝึกว่า “รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น” ซึ่งในปีนี้เป็นการฝึกป้องกันประเทศ โดยกำหนดสถานการณ์ตั้งแต่ในขั้นปกติสถานการณ์วิกฤตไปถึงขั้นป้องกันประเทศ ซึ่งมีการทดสอบและสร้างความคุ้นเคยทางด้านแนวความคิดหลักการ หลักนิยม ไปจนถึงขีดความสามารถของกำลังรบในแต่ละประเภท โดยส่วนต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ทั้งในกองอำนวยการฝึกและหน่วยรับการฝึกทุกหน่วย ได้มีการเตรียมและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอย่างเต็มกำลังความสามารถ อันจะนําพากองทัพเรือไปสู่ความเป็น ”กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ“ และจะทําให้ทะเลไทยมีความมั่นคงตลอดไป

สำนักข่าวอิศรา เปิดธุรกิจ ‘กัน จอมพลัง’ ลูกน้องคนสนิท ‘ผู้กองธรรมนัส’ จากร้านบะหมี่ สู่ ‘คนขายหวย - รักษาความปลอดภัย’ รายได้!! หลายสิบล้าน

(26 เม.ย. 68) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ จ.นครศรีธรรมราชเมื่อ 24 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

โดยได้ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ ‘กัน จอมพลัง’ ในการช่วยเหลืองานสังคม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือกรณีนายประจักษ์ ดวงใย อายุ 65 ปี และนางสมศรี ดวงใย อายุ 64 ปี สองผัวเมีย ถูกนายสมิทธิพัฒน์ หรือพีช หลีนวรัตน์ ลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือ ‘นายกเบี้ยว’ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู สี เบียดปาด เหตุเกิดบนถนนกาญจนาภิเษก กม.22 มุ่งหน้าบางปะอิน จนได้รับบาดเจ็บและรถยนต์เสียหายเป็นข่าวดังครึกโครม และยังบอกกรณีนักการเมืองรายหนึ่งออกมาปูดมีคนตั้งค่าหัวนายกัณฐัศว์ 5 แสนบาทว่า ไม่มีใครทำอะไร‘กัน จอมพลัง’ได้หรอก ถ้ามีใครทำอะไร ‘กัน จอมพลัง’ ก็เหมือนทำเขาด้วย เพราะทำงานด้วยกันตั้งแต่ ‘กัน จอมพลัง’ ยังไม่ดัง

จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ เคยเป็นเจ้าของร้านขายบะหมี่ ‘จอมพลัง’ซึ่งมีร้านหนึ่งอยู่แถวอุโมงค์ ถ.ราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี ตอนนี้ปิดตัวแล้ว ปัจจุบัน นายกัณฐัศว์ มีชื่อเป็นกรรมการและถือหุ้น 3 บริษัท

1.บริษัท สลากรวยดี จำกัด ชื่อเดิม บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 ม.ค.2564 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากทุกชนิดที่สำนักงานกินแบ่งรัฐบาลพิมพ์จำหน่าย ที่ตั้งเลขที่ 428/72 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร นายกัณฐัศว์ เป็นคนจดทะเบียนก่อตั้ง นายกัณฐัศว์ , นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 4,995 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ ตุ้มสุวรรณ 10 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายกัณฐัศว์ และ นายธานี มั่งมี เป็นกรรมการ ที่ตั้งปัจจุบัน 305/241 ซอยรามอินทรา 123 ถนนรามอินทรา แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ล่าสุด 18 ธันวาคม 2567 จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สลากรวยดี จำกัด ผู้ถือหุ้นยังคงเดิม

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 59,965,429.89 บาท ต้นทุนขาย 52,975,000 บาท ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 8,945,202.41 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,965,295.40 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 2,982,132.17 บาท หนี้สิน 551,515.24 บาท กำไรสะสม 1,430,616.93 บาท

2.บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 ม.ค.2564 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ ระบบคอมพิวเตอร์ และให้คำปรึกษาทางด้านซอฟต์แวร์ทุกประเภท ที่ตั้งสำนักงานเดียวกับ บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด เลขที่ 428/72 ถนนพระยาสุเรนทร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ , นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 4,000 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ ตุ้มสุวรรณ 2,000 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายกัณฐัศว์ และ นายธานี เป็นกรรมการ
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไทยคิงดี จำกัด ซึ่งเป็นชื่อปัจจุบัน เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 5 ล้านบาท และย้ายสำนักงานที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยนนทบุรี 32 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี แจ้งวัตถุประสงค์ ประกอบกิจการ จัดงานนิทรรศการต่างๆ บริการรับจัดงานอีเว้นตรมสถานที่ทุกประเภทประกอบกิจการนำเข้า ส่งออก และจำหน่าย ผักสด ผลไม้สด และสินค้าทางการเกษตร พืช ผัก ผลไม้ แปรรูป ทุกชนิด บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บ.อบจ.5) วันที่ 30 เม.ย.2567 นายกัณฐัศว์, นายธานี ถือหุ้นคนละ 24,000 หุ้น และ นายพิตฒิพัฒน์ 2,000 หุ้น รวมทั้งสิ้น 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 1,093,903.89 บาท ขาดทุนสุทธิ 752,866.45 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 331,638.86 บาท หนี้สิน 101,505.31 บาท ขาดทุนสะสม 769,866.45 บาท

3.บริษัท จอมพลัง รวยดี จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 เม.ย. 2566 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการกิจกรรมการรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล ที่ตั้งเลขที่ 1 ซอยนนทบุรี 32 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี (ที่ตั้งเดียวกับ บริษัท ไทยคิงดี จำกัด) นายกัณฐัศว์ และ นายธานี มั่งมี ถือหุ้นคนละ 5,000 หุ้น รวม 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท และร่วมกันเป็นกรรมการ

ข้อมูลงบการเงิน วันที่ 31 พ.ค.2567 นำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2566 งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 6,731.51 บาท ขาดทุนสุทธิ 768.49 บาท (ทั้ง 3 บริษัท ยังไม่มีข้อมูลงบการเงินปี 2567)

ในทางการเมือง อาจไม่เกินคาดหมาย หากจะมีชื่อ ‘เสี่ยกัน’ เป็นผู้สมัคร สส.พรรคกล้าธรรม ในวันข้างหน้า!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top