Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47755 ที่เกี่ยวข้อง

“อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.“จับมืออดีตปปช.“วิชา มหาคุณ” และอดีตผู้ว่าสตง.”พิศิษฐ์“ ผนึกสมาคมสื่อมวลชนฯ.เดินหน้าโครงการคอรัปชั่นเทคขจัดทุจริตแนวใหม่

(30 มี.ค. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์(FKII Thailand) ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์กล่าวภายหลังบรรยายเรื่อง “คอรัปชั่นเทค Corruption Tech โครงการเอไอ.ใยแมงมุมThe AI Spider Project :แนวทางใหม่ในการตรวจสอบและปราบปรามทุจริต“ว่า ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป.ป.ช.และ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาสอดีต ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ดร.พงษ์ หรดาล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครและดร.โรจนศักดิ์ แสงธศิริวิไล. นายกสมาคมเครือฝ่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนาชาติซึ่งเป็นวิทยากรในโครงการฝึกอบรมสื่อมวลชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้เห็นด้วยและสนับสนุนโครงกา คอรัปชั่นเทคเพื่อขจัดทุจริตแนวใหม่โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และขอให้เร่งพัฒนาระบบเพื่อจะทดสอบระบบ”เอไอ.สไปเดอร์“ในโครงการฝึกอบรมฯลฯ.ครั้งต่อไปที่ภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ปลายเดือนเมษายนที่จะถึงนีั“ ทั้งนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร บรรยายไว้อย่างน่าสนใจว่า

“…จากผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การ ทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI)ขององค์กรเพื่อความ โปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ประจำปี 2567  จากจำนวนประเทศ 180 ประเทศ 
ประเทศไทย ได้ 34 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกและหล่นจากอันดับ4เป็นอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งคะแนน34คะแนนในปี2567 ถือเป็นคะแนนต่ำสุดในรอบ 13ปี(ปี2555-2567) ประการสำคัญคือประเทศไทยได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกมาโดยตลอดซึ่งหากพิจารณาย้อนไป10ปีจะพบว่า การแก้ปัญหาคอรัปชั่นไม่กระเตื้องขึ้นมีแต่ถดถอยลง ดัชนีรับรู้การทุจริตตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี2567พบว่าคะแนนและอันดับลดลงต่อเนื่อง กล่าวคือในปี2555ได้คะแนน37อันดับ88ของโลก ปี2567 ได้คะแนน 34 อันดับ 107 สะท้อนความโปร่งใสและธรรมาภิบาลของประเทศถดถอยในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การทุจริตเป็นการประเมินจากแหล่งข้อมูล 9 สถาบันได้แก่IMD WEF BF(TI) PRS V-DEM PERC WJC EIC
โดยตัวชี้วัดจากข้อมูล 7 ด้าน

1.เจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติกรรมการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบ
2.มีอำนาจ หรือตำแหน่งทางการเมือง มีการทุจริตโดยใช้ระบบอุปถัมภ์ และระบบเครือญาติ และภาคการเมืองกับภาคธุรกิจ มีความสัมพันธ์กัน
3.การทุจริตในภาครัฐ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการเกี่ยวกับสินบน การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับส่วนรวม
4.การติดสินบนและการทุจริต
5.ภาคธุรกิจต้องจ่ายเงินสินบนในกระบวนการต่าง ๆ
6.ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ
7.ระดับการรับรู้ว่าการทุจริต

สำหรับประเทศไทยสถานการณ์ปัญหาคอรัปชั่นอยู่ในขั้นวิกฤตเหมือนมะเร็งร้ายระยะสุดท้ายกำลังทำลายศักยภาพของประเทศทั้งปัจจุบันและอนาคต จึงต้องใช้แนวทางใหม่ในการตรวจสอบปราบปรามทุจริตภาครัฐ-ภาคเอกชน
นั่นคือการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่า“คอรัปชั่นเทค Corruption Tech ภายใต้โครงการThe AI Spider Project(TSP)ทำหน้าที่เสมือนไฟฉายและใยแมงมุมในยุคดิจิตอลแพลตฟอร์มและเอไอ.ซึ่งจะเป็นparadigmใหม่ที่จะเอาชนะสงครามปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งนี้มีตัวอย่างการใช้คอรัปชั่นเทค(Corruption Tech)ปราบปรามการทุจริตในต่างประเทศ

1. ยูเครน: 
ระบบ ProZorro (AI + Blockchain)
>ระบบ e-Procurementที่ใช้ AI + Blockchainเพื่อตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล  
>AI วิเคราะห์รูปแบบการเสนอราคาเพื่อตรวจจับการทุจริต เช่น:
 >ผู้เสนอราคาร่วมกัน (Bid Rigging) → AI ตรวจสอบรูปแบบการเสนอราคาที่คล้ายกันเกินไป  
  >โครงการที่มีราคาสูงเกินจริง → เปรียบเทียบกับราคาตลาดและโครงการอื่นๆ   
- **ผลลัพธ์**: ลดการทุจริตในโครงการรัฐได้ **20-30%** และประหยัดงบประมาณได้หลายล้านดอลลาร์  

2. เกาหลีใต้: 
AI ตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
>ระบบ AI ตรวจจับการเบิกจ่ายเงินผิดปกติในโครงการของรัฐ  
ตัวอย่างการทำงาน
>โครงการก่อสร้างโรงเรียน แต่ไม่มีหลักฐานภาพถ่ายความคืบหน้า→ AI เชื่อมกับภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อยืนยัน  
 >การเบิกค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน → วิเคราะห์ข้อมูลการเบิกจ่ายในระบบคลาวด์   
- **ผลลัพธ์**: ลดการทุจริตในระบบราชการได้ **15-25%**  

3. อินเดีย: 
AI ตรวจสอบการทุจริตในโครงการสวัสดิการ
>ระบบ Aadhaar + AI ตรวจสอบการฉ้อโกงในโครงการช่วยเหลือสังคม  
**ตัวอย่าง**
>การจ่ายเงินซ้ำซ้อน → AI วิเคราะห์ข้อมูล biometric (ลายนิ้วมือ/ม่านตา) เพื่อป้องกันการรับเงินซ้ำ  
>ผู้รับผลประโยชน์ปลอม → ใช้ Facial Recognition AI ยืนยันตัวตน   
**ผลลัพธ์** ประหยัดงบประมาณ **1.2 พันล้านดอลลาร์** จากการตัดชื่อผู้รับปลอมออก  

4. สหรัฐอเมริกา:
AI วิเคราะห์ธุรกรรมทางการเงินของนักการเมือง
>ระบบ AI ติดตามการโอนเงินที่น่าสงสัยของนักการเมืองและข้าราชการ  
**ตัวอย่าง**
>การโอนเงินก้อนใหญ่ไปต่างประเทศ → AI ตรวจสอบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายทุจริต  
>บัญชีลับที่เชื่อมโยงกับผู้รับเหมา → ใช้ **Graph AI** วิเคราะห์เครือข่ายความสัมพันธ์   
**ผลลัพธ์**เปิดเผยคดีทุจริตหลายคดี เช่น การรับสินบนในโครงการก่อสร้าง  

5. บราซิล
AI วิเคราะห์เอกสารปลอมในโครงการรัฐ
>ระบบ AI (OCR + NLP)ตรวจสอบเอกสารการจัดซื้อจัดจ้าง  
**ตัวอย่าง**
>ใบเสนอราคาปลอม → AI เปรียบเทียบลายเซ็นและรูปแบบเอกสารกับฐานข้อมูล  
>โครงการหลอกลวง → วิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลในเอกสาร   
**ผลลัพธ์**ยกเลิกโครงการทุจริตมูลค่า **500 ล้านดอลลาร์**  

6. สิงคโปร์
AI ตรวจสอบ Conflict of Interest
>ระบบวิเคราะห์ความขัดแย้งของผลประโยชน์ในภาครัฐและเอกชน  
**ตัวอย่าง**
>นักการเมืองมีหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทาน → AI เชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนบริษัทและบัญชีทรัพย์สิน  
>ข้าราชการร่วมกับญาติแสวงประโยชน์ในโครงการรัฐ → ใช้ Network Analysis AI
**ผลลัพธ์**
เพิ่มความน่าเชื่อถือในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ  

7.จีน:
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ดำเนินนโยบายปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2012 โดยมีแนวทางการปราบปรามคอร์รัปชันของจีนทั้งแบบอนาล็อคและดิจิตอล
1. นโยบาย "ฆ่าเสือ ตีแมลงวัน"
   "เสือ" หมายถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง ส่วน "แมลงวัน" คือข้าราชการระดับล่าง นโยบายนี้มุ่งปราบปรามการทุจริตทุกระดับ โดยเฉพาะในภาคการเงินและพลังงาน   
>ปี 2024 มีการลงโทษเจ้าหน้าที่และประชาชนรวม 589,000 คน ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีหรือเทียบเท่า 53 คน   
2. ระบบ "ไม่กล้า-ไม่สามารถ-ไม่อยากทุจริต"
 >ไม่กล้า : ใช้มาตรการลงโทษรุนแรง เช่น ประหารชีวิตในคดีทุจริตขนาดใหญ่  
 >ไม่สามารถ : ปรับปรุงระบบตรวจสอบ เช่น การตรวจสอบงบประมาณแบบ Real-time Audit  
>ไม่อยาก : สร้างจิตสำนึกผ่านการศึกษาและประชาสัมพันธ์   
3. การปฏิรูปหน่วยงานตรวจสอบ
>CCDI (คณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัยพรรค) มีอำนาจสืบสวนเจ้าหน้าที่ทุกระดับ 
*ในปี 2023 ตรวจสอบเจ้าหน้าที่อาวุโส 58 คน และลงโทษเจ้าหน้าที่ 4.7 ล้านคนในรอบ 10 ปี   
>จีนยังพัฒนาระบบ "บัญชีดำผู้ติดสินบน" เพื่อติดตามและลงโทษผู้เกี่ยวข้อง   
4. การใช้สื่อและวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์
>ผลิตสารคดี *Always on the Road* และละคร *In the Name of People* เพื่อเปิดโปงกรณีทุจริตจริงและสร้างจิตสำนึกสาธารณะ   
5. การปราบปรามแบบค่อยเป็นค่อยไป
แบ่งขั้นตอนการจัดการเป็น 4 ระดับ 
ตั้งแต่การตักเตือนจนถึงลงโทษทางกฎหมาย โดย 90% ของคดีเริ่มจากการเตือนและลงโทษทางวินัย การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยต้องอาศัยการบูรณาการหลายมิติ ทั้งการปฏิรูประบบราชการ การส่งเสริมความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชน และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ภายใต้ 5 แนวทาง
1. การเสริมสร้างธรรมาภิบาล (Good Governance)
2.การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม
3.การปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
4.การสร้างวัฒนธรรมความซื่อสัตย์
5.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Corruption Tech ภายใต้โครงการThe  AI Spider Project(TSP)
การป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎรบังหลวงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกัน ทุกภาคส่วนจึงต้องผนึกความร่วมมือในการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

สถาบันเอฟเคไอไอ.กำลังพัฒนาคอรัปชั่นเทคเป็นแนวทางใหม่ในการขจัดทุจริตด้วยแพลตฟอร์มดิจิตอลและเทคโนโลยีAiภายใต้โครงการเอไอ.ใยแมงมุม(The AI Spider Project)เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบและปราบปรามทุจริตภาครัฐและภาคเอกชน
สำหรับโมเดลThe AI Spider project เฟสที่1 ประกอบด้วย
1. แพลตฟอร์มทราฟฟี ฟองดู (Traffy Fondue )
พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดTraffy Fondue เพื่อให้ประชาชนช่วยตรวจสอบจะเป็นกลไกหลักของโครงการ
2.เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI :Artificial intelligence)
วิเคราะห์การจัดซื้อจัดจ้าง เช่น ระบบ e-GP  
3. สมองของเอไอ.ในการเรียนรู้(Machine Learning)
สร้างระบบเตือนภัยการทุจริต (Early Warning System)โดยใช้ Machine Learning  
4.เปิดกว้างสร้างเครือข่ายผู้แจ้งเบาะแส(Whistleblower)
5.เชื่อมโยง ปปช. ปปท. สตง.  รัฐสภา สำนักงบประมาณ 
กรมบัญชีกลาง เครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น 76  จังหวัด กทม. อปท. หน่วยงานอื่น

การขับเคลื่อนโครงการใยแมงมุม ระยะที่ 1
    1.    เปิดใช้แพลตฟอร์มThe AI Spider Projectเป็นทางการภายในเดือนพฤษภาคม 2568
    2.    ใช้Corruption Techตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะหน่วยงานเสี่ยง  
    3.    พัฒนาระบบ Open Data + AIอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนช่วยตรวจสอบ  
    4.    สร้างความร่วมมือกับ Tech Startupในการพัฒนา AI Anti-Corruption Tools  
    5.    ผลักดันนโยบายดิจิตอลภาครัฐให้เชื่อมโยงข้อมูลและใช้Corruption Techในการตรวจสอบและป้องกันปราบปรามการคอรัปชั่นในประเทศไทย
การใช้Corruption Technologyต่อต้านคอร์รัปชันต้องทำควบคู่กับการปฏิรูประบบราชการและส่งเสริมวัฒนธรรมความโปร่งใส เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน หากทำได้อย่างจริงจังต่อเนื่องจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขจัดทุจริตและเพิ่มความน่าเชื่อถือ(Trust)ให้ประเทศไทย แนวทางเหล่านี้ต้องดำเนินการควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้าง "ระบบนิเวศต่อต้านคอร์รัปชัน" ที่ทุกภาคส่วนร่วมมือกัน  ทั้งนี้ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการยกระดับจิตสำนึกสาธารณะและความมุ่งมั่นทางการเมืองในการปฏิรูปอย่างแท้จริง….“ หมายเหตุ:โครงการ”อบรมสื่อมวลชนและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสื่อ..”จัดโดยสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติภายใต้การสนับสนุนจากกองทุน ป.ป.ช.
—————————-
ประวัติวิทยากรโดยสังเขป
นายอลงกรณ์ พลบุตร
ตำแหน่งปัจจุบัน
>ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
>ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์
(FKII: Fields for Knowledge Integration and Innovation) 
>ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท
Workdview Climate Foundation 
>ประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย
>ประธานคณะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง ,
 สภาผู้แทนราษฎร
>ประธานคณะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ,สภาผู้แทนราษฎร
>รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์
>ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ตำแหน่งและผลงานในอดีต
> รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
>ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2562-2566 
> ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS) ปี2660-2561
>รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปี 2558-2560
>สมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ ปี2557-2558
>อดีตส.ส.เพชรบุรีและส.ส.บัญชีรายชื่อ6สมัย ระหว่างปี 2535 - 2557
ผลงานเขียนหนังสือ
>4เล่มด้านต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ คอรัปชันและการเมือง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือน 5 มุกมิจฉาชีพ ฉวยโอกาสแผ่นดินไหว ซ้ำเติมประชาชน

(30 มี.ค. 68) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากมิจฉาชีพที่อาจฉวยโอกาสที่พี่น้องประชาชนได้รับความเดือนร้อนจากเหตุแผ่นดินไหว มาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนทราบถึง  5 มุกมิจฉาชีพ หลอกลวงประชาชน หลังเกิดแผ่นดินไหว ดังนี้

1. หลอกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล - แอบอ้างเป็นหน่วยงานต่าง ๆ ให้ลงทะเบียนเพื่อขอรับการช่วยเหลือ หลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชน บัตรเครดิต บัญชีธนาคาร

2. หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน - ส่งลิงก์หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อรับความช่วยเหลือ สุดท้ายเป็นแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องระยะไกล ดูดเงินจากบัญชีธนาคาร

3. หลอกรับบริจาค - อาศัยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย หลอกเปิดรับบริจาคจากพี่น้องประชาชน

4. แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ หลอกเอาเงิน - อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ติดต่อมาว่าจะให้ความช่วยเหลือ แต่หลอกให้โอนเงินมาเป็นค่าดำเนินการ หรือยืนยันตัวตน ซึ่งไม่เป็นความจริง

5. ข่าวปลอม สร้างความตื่นตระหนก - เผยแพร่ข่าวปลอมหรือบิดเบือนเกี่ยวกับเหตุแผ่นดินไหว โดยอาจมีการนำภาพเก่า ภาพจากเหตุการณ์อื่น มาประกอบกับข้อความเพื่อให้คนตื่นตกใจ

โดยขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังในการส่งต่อข้อมูลข่าวสาร และขอให้ตรวจสอบก่อนว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ก่อนที่จะส่งต่อ หรือกรอกข้อมูลส่วนบุคคล
 

หากพี่น้องประชาชนพบเห็น หรือได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สมุทรปราการ -“เอกสิทธิ์” เปิดตัว “พรรคปวงชนไทย” ประกาศนโยบายสร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ ชูเศรษฐกิจดิจิทัลชุมชน ด้วยเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (30 มี.ค. 68) นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล หัวหน้าพรรคปวงชนไทย พร้อมด้วย นายอนันตชัย คุณานันทกุล ประธานที่ปรึกษาพรรค นายวรฐ สุนทรนนท์ เลขาธิการพรรค และทีมกรรมการบริหารพรรค นายสมบูรณ์ บุญยรัตนประภา นายวิรัตน์ ลีรุ่งเรือง นายบุญส่ง จันทสุก นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ และ นางสาวธัญลักษณ์ ศรีทา เหรัญญิก จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 มีสมาชิกพรรคปวงชนไทย จากทั่วประเทศเดินทางมาเข้าร่วมการประชุม ณ อาคารสุขอนันต์ ซอยศรีเจริญวิลล่า ต.เทพารักษ์ อ.เมือง สมุทรปราการ 

โดยมีวาระการประชุมเพื่อรับรองรายงานการดำเนินกิจกรรมของพรรคในรอบปี 2567 มีการแก้ไขข้อบังคับ การเปลี่ยนแปลงชื่อพรรคจากชื่อพรรค พลังปวงชนไทย เป็น “พรรคปวงชนไทย” มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติม 6 คน มีนายเอกสิทธิ์  คุณานันทกุล หัวหน้าพรรคปวงชนไทย พร้อมด้วยรองหัวหน้าพรรค นายวรฐ  สุนทรนนท์ นายบุญส่ง จันทะสุก  นายจิตรกร  ลากุล นายสุชาติ  ดีจันทร์ พ.ต.อ.ชัชชัย เศรษฐีพันล้าน  นายภูชิสส์ ศรีเจริญ เลขาธิการพรรค นายพันธุ์ศักดิ์ ซาบุ นายทะเบียนสมาชิกพรรค นางสาวธัญลักษณ์ ศรีทา เหรัญญิกพรรค นายวิทยา ติรณะประกิจ รองหัวหน้าพรรคและโฆษกพรรค นายไมตรี รุ่งอภิญญา รองโฆษกพรรค และกรรมการบริหารพรรค มีนายสมบูรณ์ บุญยรัตนประภา นายวิรัตน์  ลีรุ่งเรือง  นายธนภัทร ศักดิ์เรืองงาม นายประจักษ์ จันทร์เดช นายสุโรจน์ กิจสมศักดิ์  นายพีรพัฒน์ ถานิตย์ และนายสุระ วัฒนบารมี กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

โดยทางด้าน นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล หัวหน้าพรรคปวงชนไทย  กล่าวว่า พรรคปวงชนไทย ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้เป็นแนวทางการดำเนินนโยบายเพื่อต้องการยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ด้วยการสร้างคน เพิ่มทักษะความรู้ สร้างงานและสร้างอาชีพให้ประชาชนด้วยการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้นำไปสู่ความยั่งยืน ให้สามารถยืนด้วยตัวเองและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนได้  ซึ่งพรรคปวงชนไทย มีนโยบายหลัก 5 ข้อ ประกอบด้วย

1.เศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน"ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย"
2.การท่องเที่ยวและมรดกทางวัฒนธรรม
 3.เกษตรกรรมและการประมงที่ยั่งยืน "เกษตรกรและชาวประมงมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น"  
4.สุขภาพและสาธารณสุข "สุขกาย สุขใจ "คนไทยและประเทศไทยแข็งแรง" 
และ 5.การปฏิรูปการศึกษา เน้นภาคปฏิบัติคู่วิชาการ"อนาคตสดใสด้วยการศึกษาโลกยุคใหม่"

ตนในฐานะอดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ต่อเนื่อง 2 สมัย มองเห็นแนวทางการพัฒนาศักยภาพเพิ่มทักษะความรู้ด้านดิจิทัล มาปรับใช้เพื่อสร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชน โดยมีแนวทางการเปิดศูนย์เศรษฐกิจดิจิทัลชุมชน ประจำสาขาพรรคทั่วประเทศเพื่อเป็นศูนย์ฝึกทักษะความรู้สร้างงาน สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนให้ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ของพรรคปวงชนไทยครั้งนี้ ได้มีการจัดเวิร์คช็อปอบรมเกี่ยวกับการถ่ายทอดสด สาธิตการขายสินค้าโดยจัดเป็น “ศูนย์เศรษฐกิจดิจิทัลชุมชน” เพื่อเปิดอบรมฝึกทักษะการไลฟ์สด การขายสินค้าให้กับตัวแทนสาขาพรรคทุกจังหวัด ได้เรียนรู้การขายสินค้าออนไลน์ เป็นการเพิ่มช่องทางการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ นำสินค้าทั้ง พืชผลทางการเกษตร สินค้าของวิสาหกิจชุมชน และสินค้าโอท็อปมาขายทางออนไลน์เพื่อเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้าของชุมชนได้อีกด้วย 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผบช.ภ.2 เยี่ยมให้กำลังใจ ทีมตำรวจ ภ.2 ร่วมภารกิจค้นหาผู้ติดใต้ซากอาคาร กำชับทำเต็มที่ ทุกวินาทีมีค่า

(30 มี.ค. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจตำรวจ ภ.2 จำนวน 200 นาย ที่มาร่วมภารกิจค้นหาผู้ประสบภัยอาคารถล่มจากแผ่นดินไหว ย่านจตุจักร กทม. โดยเดินทางมาถึงตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจจาก ภ.2 ได้รับภารกิจสนับสนุนด้านการจราจร ดังนั้นนอกจากนำอาหาร น้ำดื่มมาฝาก ให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ยังได้กำชับให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ช่วยเหลือสนับสนุนเจ้าหน้าที่หน่วยอื่น ๆ และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้เจ้าหน้าที่ที่ร่วมภารกิจ ขณะเดียวกันต้องยิ้มแย้มแจ่มใส สื่อสารกับประชาชนอย่างเป็นมิตร โดยให้เข้าใจว่าภารกิจครั้งนี้ “ทุกวินาทีมีค่า” เป็นภารกิจที่แข่งขันกับเวลา และมีความตึงเครียด ทั้งนี้ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง และจะอยู่เคียงข้างประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

วันเดียวกัน พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2  ได้เดินทางไปยัง ศูนย์พัฒนาด้านการข่าว (ศพข.) บช.ส. กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพล ที่มาปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ โดยได้ให้กำลังใจและแนะนำแนวทางการปฏิบัติงาน มอบเครื่องดื่มและผลไม้เพื่อสนับสนุนกำลังพล เพิ่มขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ผบ.ตร.สั่งย้ำทุกหน่วยคงเข้มเร่งช่วยเหลือประชาชนเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ระดมตำรวจดูแลมิติจราจร งานอาชญากรรมป้องกันมิจฉาชีพซ้ำเติมประชาชนทุกรูปแบบ พร้อมส่งชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมค้นหาผู้รอดชีวิต เปิดหน่วยนิติเวช ตรวจDNA เปรียบเทียบ 

(30 มี.ค. 568) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการดูแลพี่น้องประชาชนหลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการทุกหน่วยยังคงความเข้มในการดำเนินการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกการจราจร ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน หลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ผ่านมา โดยให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน.) ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อบริหารจัดการร่วมกับหน่วยต่างๆ  ดังนี้

1) การช่วยค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุตึกถล่ม และการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล : ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , ตำรวจภูธร รวมทั้งมีสุนัขตำรวจ และโดรนตรวจจับความร้อน ร่วมหน่วยเกี่ยวข้องสำรวจช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในภายในตึก ซึ่งขณะนี้ยังร่วมทำงานเข้มข้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสั่งการให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ทำการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล พร้อมขอฝากประชาสัมพันธ์ญาติผู้ได้รับผลกระทบสูญหายจากเหตุอาคารถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ให้มาตรวจเก็บ DNA เพื่อตรวจเปรียบเทียบได้ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ  

2) การดูแลอำนวยการจราจร : ได้สั่งระดมตำรวจจราจรทุกพื้นที่ออกให้การจราจรดูแลพี่น้องประชาชน มีกองบังคับการตำรวจจราจรเป็นหน่วยงานในการบริหารจัดการจราจร  มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติรถนำรถพยาบาล ขนย้ายผู้ป่วย ขนย้ายเครื่องมือ กำลังพล เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเหตุได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ขณะนี้ภาพรวมการจราจรเริ่มสู่สถานการณ์ปกติ เหลือเพียงจุดด่วนดินแดงที่ยังปิดให้บริการ ซึ่งได้ประสานงานกับเอกชน เพื่อให้สามารถเปิดการจราจรให้เร็วที่สุดและต้องปลอดภัยที่สุดด้วย 

3) การดูแลความปลอดภัย : ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจนครบาลที่มีการเปิดสวนสาธารณะ หรือสถานที่อื่นๆ ให้เป็นที่พักชั่วคราวของประชาชน ต้องจัดสายตรวจดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการเพิ่มความเข้มป้องกันมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสซ้ำเติมพี่น้องประชาชน โดยจะต้องเพิ่มวงรอบตรวจตรามากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติการทางสื่อโซเชียล ออนไลน์ โดยมอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังการส่ง SMS หรือกลลวงต่างๆ ที่จะไปหลอกหลวงประชาชน หากพบให้รีบดำเนินการจับกุม มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกับกำลังพลทุกภาคส่วน “ทุกวินาทีมีค่า” ตำรวจจะต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในห้วงนี้ ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งสนับสนุน ช่วยเหลือค้นหาผู้ประสบภัย รักษาชีวิต จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมทั้งการปกป้องรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน การดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ลงไปตรวจสอบดูแลอาคาร ที่พัก ความปลอดภัยของข้าราชการตำรวจ ดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และช่วยเหลือทุกด้าน

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความเหลือสามารถติดต่อที่หมายเลข 191 หรือ 1599 หรือติดต่อสอบถามการจราจรที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจรกลาง 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top