Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48963 ที่เกี่ยวข้อง

คาดปี 68 ไทยมีอินฟลูเอนเซอร์ทะลุ 3 ล้าน หน้าใหม่วันละ 2,740 คน แบรนด์จับตา เงินโฆษณาพุ่ง

(4 ก.พ. 68) MI GROUP เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการอินฟลูเอนเซอร์ไทย โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยจะแตะเกือบ 3 ล้านราย เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคนจากปีก่อน ซึ่งคิดเป็น 4.5% ของประชากรไทย สะท้อนถึงความนิยมอาชีพนี้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีคนไทยหันมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เฉลี่ยวันละเกือบ 2,740 คน หรือประมาณ 114 คนต่อชั่วโมง

นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MI GROUP เปิดเผยว่า สื่อดิจิทัลยังคงเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารและการตลาดในปีนี้ โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะแตะ 38,938 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% จากปีก่อน และครองสัดส่วนถึง 45% ของเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดทั้งหมด 

ที่น่าสนใจคือ 1 ใน 3 ของเม็ดเงินสื่อดิจิทัลจะถูกใช้ไปกับ "อินฟลูเอนเซอร์" บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของครีเอเตอร์ในตลาดไทย ที่แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้เพื่อเพิ่มยอดขายโดยตรงมากกว่าการสร้างแบรนด์ 

MI GROUP ประเมินว่าการเติบโตของอินฟลูเอนเซอร์ในไทยมาจากกลุ่ม Micro และ Nano อินฟลูเอนเซอร์เป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วยผู้ใช้จริง พ่อค้า แม่ค้า นักขาย รวมถึงมืออาชีพและสมัครเล่นที่ทำ Affiliate Marketing ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ 

นอกจากนี้ ตลาดไทยยังให้ความสำคัญกับครีเอเตอร์มากกว่าประเทศอื่นๆ ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้งบประมาณในส่วนนี้มากเป็นพิเศษ โดยเม็ดเงินที่ลงไปในอินฟลูเอนเซอร์คิดเป็น 1 ใน 3 ของเม็ดเงินสื่อดิจิทัลทั้งหมด 

สรุปแล้ว วงการอินฟลูเอนเซอร์ไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับบทบาทที่สำคัญในกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการขยายตัวของสื่อดิจิทัลที่ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมสื่อและการโฆษณา

รายชื่อมหาวิทยาลัยที่ตีพิมพ์งานวิจัยวิทยาศาสตร์

(4 ก.พ. 68) ส่องศักยภาพ มหาวิทยาลัยจีน ที่กำลังมาแรงอย่างมาก หลังพบติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ถึง 8 แห่ง ที่มีการมีการตีพิมพ์งานวิจัยวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลก ในกลุ่มสาขา Physical Sciences and Engineering ซึ่งเผยแพร่ในวารสารวิจัยช่วงปี 2019-2022 จากการจัดอันดับของ CWTS Leiden Ranking 2024 

สำหรับ 10 อันดับแรก มีมหาวิทยาลัยใดบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (8) : ‘การไฟฟ้าฝ่ายผลิต’ กับ ‘โรงไฟฟ้าเอกชน’ ความโชคดีของคนไทยที่ ‘กฟผ.’ ไม่ถูกแปรรูปเป็น ‘บริษัทมหาชน’

(4 ก.พ. 68) ตอนนี้จะได้เล่าถึงเรื่องของ ‘โรงไฟฟ้า’ แต่เริ่มเดิมทีนั้น ‘กิจการไฟฟ้า’ ของไทยอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของรัฐมาโดยตลอด ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยแต่เดิมเพียงผู้เดียวคือ ‘การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)’ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ด้วยการรวมหน่วยงาน ด้านการผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้า 3 แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้ายันฮี การลิกไนท์ และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าเป็นหน่วยงานเดียวกัน มีฐานะเป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา

โดย ‘กฟผ.’ มีหน้าที่ในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชน ด้วยการผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งประเทศใกล้เคียง และดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านพลังงานไฟฟ้า ตลอดจนงานอื่น ๆ ที่ส่งเสริมกิจการของ ‘กฟผ.’ โดยมีนโยบายหลักคือ การผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน มีระบบไฟฟ้าที่มั่นคงเชื่อถือได้ และราคาเหมาะสม กฟผ. ทำหน้าที่เป็นทั้ง ผู้ผลิต และผู้รับซื้อไฟฟ้า เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟน. และ กฟภ. โดยปัจจุบัน กฟผ. ผลิตไฟฟ้าได้เอง ราว 34% ส่วนที่เหลือรับมาจาก (1)ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือ ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer : IPP) เป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดมากกว่า 90 เมกะวัตต์ (MW) 34% (2)ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producer : SPP)’ เป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดน้อยกว่า 90 เมกะวัตต์ (MW) 19% และ (3)นำเข้าจากต่างประเทศอีก 13%

ทั้งนี้ ‘โรงไฟฟ้าเอกชน’ เกิดจากรัฐบาลในปี พ.ศ. 2533 ให้การส่งเสริมเอกชนได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า เพื่อจะเป็นการเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงานไฟฟ้า ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผู้บริโภคมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังจะเป็นการลดภาระการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของประเทศ ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรณีของโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก หรือ SPP ซึ่งใช้ระบบพลังงานความร้อนร่วม เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับบริการและคุณภาพไฟฟ้าที่ดีขึ้น สนับสนุนประชาชนให้มีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการด้านพลังงานของประเทศและช่วยพัฒนาตลาดทุน ต่อมา ในปี พ.ศ. 2535 รัฐบาลมีนโยบายลดภาระการลงทุนภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า โดยมีมติ ครม.เห็นชอบเรื่องแนวทางในการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. กำหนดขั้นตอนและแนวทางให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้นในกิจการไฟฟ้าประเทศไทย ให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้ารูปแบบของ IPP และจะต้องขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. และให้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งใช้พลังงานนอกรูปแบบ เป็นการแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วย โดย กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อไฟจากเอกชนรายใหญ่เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537

โดย กฟผ. ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้รับซื้อไฟฟ้า เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟน. และ กฟภ. ปัจจุบัน กฟผ. ผลิตไฟฟ้าได้เองราว 34% ส่วนที่เหลือก็จะรับมาจาก (1)ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือ ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer : IPP) เป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดมากกว่า 90 เมกะวัตต์ (MW) ราว 34% (2)ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producer : SPP)’ เป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดน้อยกว่า 90 เมกะวัตต์ (MW) ราว 19% และ (3)นำเข้าจากต่างประเทศอีกราว 13% นอกจากธุรกิจ ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้รับซื้อไฟฟ้าแล้ว กฟผ. ยังทำธุรกิจด้าน วิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบส่ง, เดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า, บำรุงรักษาระบบส่ง, โทรคมนาคม (โครงข่ายโทรคมนาคมเส้นใยแก้วนำแสง, วงจรช่องสัญญาณโทรคมนาคมในประเทศและต่างประเทศ, Internet Protocol-Multi Protocol Label Switching (IP-MPLS)) และ วัตถุพลอยได้ (เถ้าลอยลิกไนต์, เถ้าก้นเตาลิกไนต์ และยิปซัมสังเคราะห์)

แต่ นับว่า เป็นความโชคดีของพี่น้องประชาชนคนไทยที่การแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) ของ ‘กฟผ.’ ไม่ประสบความสำเร็จ (ตามแผนพัฒนาพลังงานของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 ที่กำหนดให้ปรับปรุงโครงสร้างองค์การและการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานให้เป็นเชิงพาณิชย์มากขึ้น ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2535 เรื่องแนวทางการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ.) จึงไม่ถูกกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่นเดียวกับ ปตท. แม้ว่า รัฐยังคงถือหุ้นใหญ่ก็ตาม เพราะการแปรรูปรัฐวิสากิจเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) นั้น ทำให้วัตถุประสงค์หลักในการดำเนินกิจการดั้งเดิมซึ่งเป็นการดำเนินงานเพื่อบริการสาธารณะหายไป เพราะ บริษัทจำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์ทุกบริษัทต่างมีวัตถุประสงค์หลักในการดำเนินกิจการเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด และจ่ายเงินปันผลจากกำไรให้กับผู้ถือหุ้น ตัวอย่าง อาทิ ในอดีต เมื่อครั้ง ปตท. เป็นรัฐวิสาหกิจก่อนการแปรรูปนั้น การปรับขึ้นลงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีก เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ปตท.จะเป็นผู้ค้าน้ำมันรายสุดท้ายที่ประกาศขึ้นราคาน้ำมัน ในขณะที่ราคาน้ำมันลง ปตท.จะเป็นผู้ค้าน้ำมันรายแรกที่ประกาศลดราคาน้ำมัน แต่ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันทุกรายมักจะรอการประกาศขึ้นและลงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกจาก บริษัทปตท. (มหาชน) ในฐานะบริษัท (มหาชน) ผู้นำตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อ กฟผ. ไม่ได้ถูกแปรรูป จึงสามารถให้บริการสาธารณะ และมีบทบาทในการปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศ โดยยังคงสร้างรายได้และสามารถเลี้ยงตัวเองได้ แม้จะยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบ้างเพื่อความมั่นคงในบริการขั้นพื้นฐานก็ตาม ไม่เช่นนั้นแล้ว พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าก็อาจประสบปัญหา ‘ค่าไฟฟ้า’ ราคาแพง ไม่สามารถสนองนโยบายของรัฐในการช่วยเหลือประชาชนได้เช่นที่ กฟผ. แบกรับภาระหนี้ร่วมหนึ่งแสนล้านบาทจากการตรึง ‘ค่าไฟฟ้า’ ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าชาวไทยจนทุกวันนี้

สหรัฐฯ เตือนข้าราชการแข็งข้อ 'อีลอน มัสก์' ผิดกฎหมาย ทำเนียบขาวชี้เป็นตำแหน่ง'ลูกจ้างพิเศษ' ไร้เงินเดือน

(4 ก.พ. 68) อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้เอฟบีไอกำลังสอบสวนแบบกำหนดเป้าหมาย ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งที่มีความพยายามในการขัดขวางการทำงาของนายอีลอน มัสก์ ฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าหน่วยงานลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) 

สำหรับ DOGE ถูกตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง และลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ผู้วิจารณ์กล่าวว่า DOGE ถูกใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลที่มองว่าไม่สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์

มีรายงานว่านับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยสองพร้อมกับการตั้งให้อีลอน มัสก์ ทำงานในฐานะกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE  พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหลายส่วนพยายามขัดขวางการทำงานของผู้ช่วยของมัสก์ ในการเข้าถึงข้อมูลลับจำนวนมากโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเหมาะสม

นายเอ็ดเวิร์ด มาร์ติน รักษาการอัยการสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นว่า การต่อต้านความพยายามของมัสก์อาจนำไปสู่ผลทางกฎหมาย มาร์ตินกล่าวในแถลงการณ์ว่า "การตรวจสอบเบื้องต้นของหลักฐานที่นำเสนอต่อเรา บ่งชี้ว่าบุคคลและ/หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้กระทำการที่ดูเหมือนจะละเมิดกฎหมายในการกำหนดเป้าหมายเจ้าหน้าที่ของ DOGE" มาร์ตินกล่าวว่า เอฟบีไอและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ กำลังเตรียม "ดำเนินการในทันที"

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่มาร์ตินเปิดเผยจดหมายที่เขาเขียนถึงมัสก์ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่พยายามคุกคามหรือขัดขวางผู้ที่ทำงานร่วมกับมัสก์ โดยมัสก์โพสต์ข้อความขอบคุณเพื่อตอบกลับข้อความของมาร์ติน

ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์ได้ปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูง 2 คน จากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของมัสก์ หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางไม่ให้ตัวแทนของ DOGE เข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามของอาคาร จนเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการสหรัฐฯ  โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังระดับสูงคนหนึ่งได้ต่อต้านความพยายามของทีม DOGE ที่จะเข้าถึงระบบการเงินของหน่วยงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกันด้านทำเนียบขาว ได้ออกเอกสารยืนยันสถานะการทำงานของนายอีลอน มัสก์ ว่าเขามาช่วยงานประธานาธิบดีทรัมป์ ในฐานะ "ลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล" 

การยืนยันในเรื่องนี้ทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นว่า นายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นซีอีโอพันล้านเจ้าของบริษัทด้านเทคโนโลยีกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการทำงานของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ ไม่ใช่อาสาสมัครแต่อย่างใด แต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างพนักงานรัฐแบบเต็มเวลา

ทางด้านกระทรวงยุติธรรมระบุคำนิยามของ ลูกจ้างประจำของรัฐบาลคือ บุคคลใดก็ตามที่ทำงานหรือคาดว่าจะทำงานให้กับรัฐบาลเป็นเวลา 130 วันหรือน้อยกว่าในช่วงระยะเวลา 365 วัน ขณะที่นายอีลอน มัสก์ ไม่ได้รับค่าจ้างในการทำงานแต่อย่างใด แต่เขามีใบรับรองความปลอดภัยระดับความลับขั้นสูงสุด นอกจากนี้ยังมีสำนักงานอยู่ที่ทำเนียบขาว และสามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินที่สำคัญของกระทรวงการคลัง ซึ่งส่งเงินออกไปในนามของรัฐบาลกลางทั้งหมดได้

ขณะเดียวกัน เนื่องจากเป็นลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล เขาจึงได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐบาลกลางว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งห้ามพนักงานของรัฐบาลเข้าร่วมในกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางการเงินของตัวเอง กฎหมายดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้ทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง แต่สามารถบังคับใช้ได้โดยกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น

จีนลุยยื่น WTO ฟ้องสหรัฐ อ้างไม่เป็นธรรม หลังขึ้นภาษี 10%

(4 ก.พ. 68) กระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่าจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกับกลไกแก้ไขข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) กรณีสหรัฐฯ ตัดสินใจกำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมร้อยละ 10 กับสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ตามกฏหมายของจีน

โฆษกกระทรวงฯ แถลงข่าวว่ากรณีสหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมจากสินค้าจีนได้ละเมิดกฎเกณฑ์ขององค์การฯ อย่างร้ายแรง โดยการกระทำเช่นนี้ถือเป็นแบบอย่างของลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้า

การกระทำของสหรัฐฯ บั่นทอนระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎเกณฑ์ บ่อนทำลายรากฐานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างยิ่ง

สหรัฐฯ มุ่งเน้นลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวหรือเอกภาคีมากกว่าพหุภาคีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อให้เกิดเสียงตำหนิติเตียนจากสมาชิกองค์การฯ ส่วนใหญ่ ซึ่งจีนคัดค้านการกระทำของสหรัฐฯ และกระตุ้นเตือนฝ่านสหรัฐฯ แก้ไขข้อผิดพลาดโดยทันที

จีนในฐานะผู้สนับสนุนและผู้มีส่วนส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีพร้อมทำงานร่วมกับสมาชิกองค์การฯ รายอื่นๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อระบบการค้าพหุภาคี และคุ้มครองการพัฒนาอันมีระเบียบและเสถียรภาพของการค้าระหว่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top