Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48959 ที่เกี่ยวข้อง

‘อัครเดช’ หารือเอกอัครราชทูตออสเตรียชงหาแนวทางฟรีวีซ่าเชงเก้นพร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อยกระดับการค้าการลงทุน

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาไทย-ออสเตรีย เปิดเผยว่าตนได้หารือร่วมกับนายวิลเฮ็ล์ม มัคซีมีลีอาน ด็องโค (H.E. Mr. Wilhelm Maximilian Donko) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย และคณะ 

โดยการหารือในครั้งนี้ได้มีการหยิบยกเอาประเด็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีของสมาชิกรัฐสภาไทยและออสเตรียเพื่อเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของทั้ง2ประเทศในการส่งเสริมการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยและประเทศออสเตรีย ซึ่งปัจจุบันมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านยูโร โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากไทยเพื่อไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่ออสเตรียก่อนส่งออกจำหน่ายในสหภาพยุโรปต่อไป 

ดังนั้นออสเตรียจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญที่ไทยจะต้องส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนต่อไปในอนาคต โดยฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่สามารถช่วยสนับสนุนในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันของทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย 

ลือดีลควบรวมนิสสัน-ฮอนด้า คว้าน้ำเหลว หลังค่ายนิสสันไม่ยอมรับเป็นบริษัทลูก

(5 ก.พ.68) สื่อญี่ปุ่นรายงานตรงกันว่า การเจรจาควบรวมกิจการระหว่าง ฮอนด้า และ นิสสัน กำลังเผชิญอุปสรรคสำคัญ หลังนิสสันแสดงจุดยืนคัดค้านข้อเสนอของฮอนด้าอย่างหนัก

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ฮอนด้าได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นของนิสสันเพื่อให้กลายเป็นบริษัทย่อย ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทว่าฝ่ายนิสสันปฏิเสธ เนื่องจากไม่ต้องการสูญเสียอำนาจบริหาร ส่งผลให้แนวโน้มการควบรวมอาจต้องยุติลง โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้บริหารของนิสสันระบุว่า "เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้การควบรวมดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยาก"

ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม 2023 ฮอนด้าและนิสสันประกาศแผนจัดตั้ง บริษัทโฮลดิ้งร่วม ภายในเดือนสิงหาคม 2026 พร้อมถอดหุ้นของทั้งสองบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แผนปรับโครงสร้างของนิสสันที่ล่าช้าสร้างความไม่พอใจให้กับฮอนด้า จึงเป็นเหตุให้บริษัทเปลี่ยนแนวทางจากการร่วมมือ มาเป็นการเข้าซื้อหุ้นนิสสันแทน เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารและเร่งเดินหน้าแผนปรับโครงสร้าง

ขณะนี้ นิสสันยังคงประชุมภายในอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ยอมรับเงื่อนไขการเป็นบริษัทย่อย ขณะที่ฝั่งฮอนด้าก็ส่งสัญญาณว่า หากนิสสันปฏิเสธ ข้อตกลงนี้อาจต้องยุติลงในที่สุด

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5. แถลงข่าวสำคัญในพื้นจังหวัดเชียงใหม่ 3 คดี คดีลักทรัพย์ ค้าประเวณีเด็ก และจับกุมผู้ลักลอบเผา

ตร.ภ.5 แถลงการจับกุมคดีสำคัญในพื้นที่ 3 คดี พร้อมจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น / จับกุมผู้ต้องหาคดีค้าประเวณีเด็ก และผลการปฏิบัติการจับกุมดำเนินคดีตามมาตรการหยุดฝุ่น PM 2.5 

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ชั้น 2 อาคารตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 แถลงข่าว จับกุมคดีสำคัญในพื้นที่ 3 คดี จับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น / จับกุมผู้ต้องหาคดีค้าประเวณีเด็ก และผลการปฏิบัติการจับกุมดำเนินคดีตามมาตรการหยุดฝุ่น PM 2.5 

คดีที่ 1 จับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 3 ก.พ.68 พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมชุดสืบสวนสภ.เมืองเชียงใหม่ ได้ทำการจับกุมตัวนายวงค์ตะวัน หรือหนึ่ง อายุ 35 ปี บ้านอยู่ ต.ช้างม่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ในข้อหา "วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม"

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากช่วงหัวค่ำวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมาได้มีนักท่องเที่ยวหญิงชาวญี่ปุ่น อายุ 63 ปี กำลังเดินท่องเที่ยวชมเมืองในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ จากนั้นมีคนร้ายขับรถจยย.มาประกบแล้วกระชากกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น จนล้มได้รับบาดเจ็บก่อนชิงเอากระเป๋าที่มีเงินสดจำนวน 1,500 บาท เอกสารสำคัญหลายอย่างและโทรศัพท์มือถือก่อนหลบหนีไป หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและสามารถตามจับนายวงค์ตะวัน ได้ที่บ้าน เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าตกงาน ไม่มีเงินจึงก่อเหตุขึ้น โดยในอดีตคนร้ายเคยมีประวัติ ลักทรัพย์ และยาเสพติดติดคุกเข้าออกหลายครั้ง

คดีที่ 2 จับกุมผู้ต้องหาคดีค้าประเวณีเด็กพล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5  พร้อมชุดสืบสวนภาค5 ได้แถลงทลายเครือข่ายลักลอบขายประเวณีเด็ก โดยทางชุดสืบสวนภาค5 ได้รับแจ้งในโลกออนไลน์ว่ามีการโพสต์ว่ามีเด็กรับงานnv  ซึ่งหมายความว่ารับงานดูแลและจบที่การมีเพศสัมพันธ์ รับงานในเชียงใหม่คนละ 3,500 บาท ทางเจ้าหน้าจึงปลอมตัวเข้าไปติดต่อ ล่อชื้อ จำนวน 3 คนที่โรงแรมม่านรูดในพื้นที่อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ต่อมาได้มีเด็กสาว อายุ 14 สองคน และอายุ 16 หนึ่งคน เข้าที่โรงแรมม่านรูดพร้อมขอรับเงินค่างาน ทางเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมทั้งหมดไว้ ก่อนนำตัวมาให้สหวิชาขีพสอบสวน 

โดยกลุ่มเด็กทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าทำงานแบบนี้มานานมีลูกค้าทั้งข้าราชการ นักท่องเที่ยวมากมายที่เคยมาร่วมหลับนอน สาเหตุที่ทำเพื่อหาเงินไว้กินเที่ยวตอนกลางคืน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลการจับกุมไปถึงกลุ่มคนชื้อบริการเพื่อขยายผลการกระทำผิดต่อผู้มาใช้บริการกับเด็กต่อไป

คดีที่ 3 ผลการปฏิบัติการจับกุมดำเนินคดีตามมาตรการหยุดฝุ่น PM 2.5 พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่าจากนโยบายของรัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบเผาหาของป่า ที่เป็นจุดเริ่มของปัญหา โดยในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ได้มีการดำเนินนโยบาย ตรวจสอบยานพาหนะที่ปล่อยควันดำ การตรวจสอบโรงงานและสถานที่ก่อสร้าง การควบคุมการเผา 

ในพื้นที่ภาค 5 ได้มีการเร่งดำเนินการทุกข้อสั่งการโดยผลการดำเนินการได้มีการตรวจสอบยานพาหนะมลพิษควันดำ ตรวจสอบยานพาหนะจำนวน 2,684 ครั้งโดยแบ่งเป็นรถขนส่ง 279 ครั้ง รถโดยสาร 244 ครั้ง รถยนต์ 985 ครั้งและรถจักยานยนต์อีก 1,156 ครั้ง 

ด้านการลักลอบเผามีการจับกุมจำนวน 47 ครั้งในห้วง 4 วันที่ผ่านมานี้ และให้ตำรวจทุกพื้นที่ออกให้คำแนะนำประชาชนอยู่สม่ำเสมอ ด้านโรงงานต่างๆได้มีการออกตรวจสอบไม่ให้มีการปล่อยมลพิษอยู่เป็นประจำ ซึ่งทุกมาตราการจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหามลพิษในปีนี้ให้ได้

ซึ่งพื้นที่เชียงรายประกาศห้ามเผา ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 จนถึงวันที่ 31 พ.ค.68 เชียงราย 1 มี.ค.-31 พ.ค.68,เชียงใหม่ 1 ม.ค.จนถึง 15 พ.ค.68, น่าน 15 มี.ค.จนถึง 30 เม.ย.68, พะเยา 20 ก.พ.จนถึง 20 เม.ย.68, แพร่ 15 ก.พ.จนถึง 30 เม.ย.68, แม่ฮ่องสอน 1 ก.พ. จนถึง 30 เม.ย.68, ลำปาง 1 ม.ค. จนถึง 15 พ.ค.68 และลำพูน 1 มี.ค.จนถึง 30 เม.ย.68 จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ในพื้นที่งดเผาตามห้วงการประกาศห้ามเผาข้างต้น 

ตำรวจภูธรรภาค 5 มีความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชน และยังคงเน้นย้ำในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท ทั้งนี้หากพบเห็นอาชญากรรม หรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือ line@police5 (ผบช.ก.5 ) และ Application Police i lert U ได้ตลอด 24 ชม. ในการดำเนินการปราบปรามจับกุม ดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและสร้างความอุ่นใจในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนโดยรวม

ครม. ไฟเขียวหนุนสร้าง ‘อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ’ ส่งไปติดตั้งยานอวกาศฉางเอ๋อ 7 ก่อนขึ้นสู่วงโคจรดวงจันทร์ปี 69

‘ศุภมาส’ เผย ครม.ไฟเขียวมีมติหนุนกระทรวง อว. สร้าง ‘อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ’ ฝีมือคนไทย เพื่อนำไปติดตั้งกับยานสำรวจอวกาศฉางเอ๋อ 7 ก่อนนำส่งขึ้นสู่วงโคจรของดวงจันทร์ในปี 2569 เผยเป็นก้าวสำคัญ รวมทั้งเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจอวกาศ 

เมื่อวันที่ (4 ก.พ. 68) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวง อว.แห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน (China National Space Administration: CNSA) เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนา “อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ” (Moon Aiming Thai-Chinese Hodoscope – MATCH) ที่จะร่วมติดตั้งไปกับยานสำรวจอวกาศฉางเอ๋อ 7 สำหรับสำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ ภายใต้โครงการสถานีวิจัยนานาชาติบนดวงจันทร์ (International Lunar Research Station: ILRS) ตามที่กระทรวง อว.โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สดร. หรือ NARIT) และมหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอ

รมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า  ทั้งนี้  “อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ” (Moon Aiming Thai-Chinese Hodoscope – MATCH) ที่จะร่วมติดตั้งไปกับยานสำรวจอวกาศฉางเอ๋อ 7 สำหรับสำรวจสภาพอวกาศโดยรอบของดวงจันทร์ มีแผนจะนำส่งขึ้นสู่วงโคจรของดวงจันทร์ในปี 2569 และจะลงจอด ณ บริเวณแอ่งขั้วใต้เอตเคน (South Pole-Aitken) ของดวงจันทร์ เพื่อตรวจวัดรังสีคอสมิกจากกาแล็กซีและอิเล็กตรอนจากดาวพฤหัสบดี รวมถึงศึกษาเชิงกลไกของอนุภาคพลังงานสูงระหว่าง โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ที่สำคัญนับเป็นครั้งแรกที่อุปกรณ์สำรวจอวกาศของไทย จะถูกนำไปใช้งานในภารกิจการสำรวจอวกาศห้วงลึก (Deep Space Exploration) และมีผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยมนุษยชาติในภารกิจการสำรวจอวกาศในอนาคต เป็นก้าวแรกของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรวิจัยของไทย ทั้งจาก สดร.และ มหาวิทยาลัยมหิดล ในโครงการความร่วมมือด้านอวกาศในระดับโลก ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกระทรวง อว. ในการพัฒนาคน และ องค์ความรู้ของประเทศไทย ให้ทัดเทียมนานาประเทศ

สำหรับ อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ หรือ MATCH ดำเนินการโดย สดร.และมหาวิทยาลัยมหิดล มีเป้าหมายเพื่อตรวจวัดอนุภาคมีประจุพลังงานสูง ศึกษาปริมาณของรังสีคอสมิกในอวกาศ ทั้งด้านที่มาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ และด้านที่หันออกจากพื้นผิวของดวงจันทร์  ขณะนี้อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอวกาศ  MATCH อยู่ในขั้นตอนการบูรณาการ ประกอบและทดสอบความเข้ากันได้ทางไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงระบบโครงสร้างเชิงกลในระดับต้นแบบวิศวกรรม(Engineering model) ที่ขึ้นรูปด้วยวัสดุพิเศษแมกนีเซียมอัลลอย (MB-15) ภายในห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานเชิงกลขั้นสูงของ NARIT แมกนีเซียมอัลลอยเป็นวัสดุวิศวกรรมด้านอวกาศที่มีน้ำหนักเบากว่าอลูมิเนียมถึง 40% กระบวนการขึ้นรูปชิ้นงานมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้ความระมัดระวัง แม้สะเก็ดเพียงเล็กน้อยก็อาจลุกติดไฟได้  ปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานรัฐใดในประเทศไทยเคยขึ้นรูปด้วยวัสดุชนิดนี้มาก่อน และท้ายที่สุดชิ้นส่วนเหล่านี้ จะถูกนำไปประกอบเป็นอุปกรณ์วิจัยวิทยาศาสตร์ฝีมือคนไทยที่จะส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์กับโครงการฉางเอ๋อ 7 ในปี 2569” น.ส.ศุภมาส กล่าวและว่า

การเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจดวงจันทร์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญยิ่งของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอวกาศ ที่จะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยีอวกาศระหว่างไทยกับนานาชาติ เป็นความท้าทายทางวิศวกรรม อันนำมาซึ่งโอกาสการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะ และสมรรถนะสูงทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ยกระดับขีดความสามารถของวิศวกรไทย ในฐานะผู้ออกแบบ ผลิต ค้นคว้า และวิจัย หนึ่งในอุปกรณ์ที่จะไปสำรวจดวงจันทร์ ข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ได้จากโครงการนี้ จะเป็นข้อมูลวิทยาศาสตร์ขั้นแนวหน้า ซึ่งยังไม่เคยศึกษาและค้นพบมาก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นโจทย์ท้าทายและเป็นบททดสอบสำคัญ ที่จะประกาศให้โลกทราบถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจอวกาศ

ท่าขี้เหล็กหันพึ่งไฟฟ้า สปป.ลาว เผยเตรียมต่อสายไฟไว้แล้ว

(5 ก.พ.68) เพจ Tachileik News Agency สื่อท้องถิ่นเมียนมารายงานว่า  หลังจากรัฐบาลไทยประกาศเตรียมตัดไฟที่ส่งไปยังเมืองท่าขี้เหล็กและเมียวดี ทางแผนกพลังงานไฟฟ้าของเมืองท่าขี้เหล็กได้เตรียมแผนสำรอง โดยจะใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ทดแทนในพื้นที่ดังกล่าว

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับระบบไฟฟ้าของเมืองท่าขี้เหล็กระบุว่า ทางคณะกรรมการได้วางแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินล่วงหน้าแล้ว โดยได้ดำเนินการสร้างสายส่งไฟฟ้าใหม่เพื่อให้สามารถรับไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ได้ทันทีหากไฟฟ้าจากไทยถูกตัดขาด

รัฐบาลไทยตัดสินใจระงับการจ่ายไฟฟ้าไปยังฝั่งเมียนมา รวมถึงเมืองท่าขี้เหล็กและเมียวดี โดยให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการดำเนินการปราบปรามการฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรมชาวจีนในพื้นที่ชายแดน การตัดไฟดังกล่าวมีผลตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025

นอกจากนี้ ทางการไทยยังมีคำสั่งระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตและการขนส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ชายแดนเมียนมาด้วย ซึ่งเป็นมาตรการที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ผลจากการตัดไฟฟ้าของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเมืองท่าขี้เหล็ก เมืองต่าแล และเมืองขอบเขต ซึ่งเดิมพึ่งพาไฟฟ้าจากไทย แม้ว่าเมืองท่าขี้เหล็กจะสามารถใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ได้ แต่ปัญหาการขนส่งเชื้อเพลิงที่ถูกระงับอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชนในระยะยาว

ในขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้ประกอบการในพื้นที่จะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร แต่คาดว่าการพึ่งพาพลังงานจาก สปป.ลาว จะเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top