Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48963 ที่เกี่ยวข้อง

ครม. ไฟเขียวรถไฟความเร็วสูง โคราช-หนองคาย 357 กม. ขณะที่ นายกฯ เร่งเฟสแรก กทม.- โคราช หลังสร้างช้ากว่ากำหนด

(4 ก.พ. 68) ครม. อนุมัติรถไฟความเร็วสูงเฟส 2 โคราช-หนองคาย 357 กม. จ่อเชื่อมรถไฟลาวที่เวียงจันทน์ทะลุถึงจีน คาดเสร็จปี 73 ขณะที่ นายกฯ เร่งรัดเฟสแรก กทม.- โคราช 253 กม. หลังสร้างช้ากว่ากำหนด 

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 5 ประจำปี 2568 กระทรวงคมนาคม (คค.) ได้ขอเสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย กรอบวงเงิน 341,351.42 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (ปีงบฯ 68-75) โดยให้รัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายปี และให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ และค้ำประกันเงินกู้ให้ตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ซึ่งที่ผ่านมา ครม. มีมติเมื่อ 11 กรกฎาคม2560 ที่อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม. -หนองคาย (โครงการฯ ระยะที่ 1) กทม.- นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 253 กม. วงเงิน 179,413 ล้านบาท โดยรัฐบาลรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (ปีงบฯ 60-63) ซึ่งปัจจุบันโครงการฯ ระยะที่ 1 ล่าช้ากว่ากำหนด โดยมีความคืบหน้าโดยรวมร้อยละ 35.74 ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2571

นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ได้ขออนุมัติดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 ประกอบด้วย การดำเนินการใน 2 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่ 1 การก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากโครงการฯ ระยะที่ 1 ที่จะเริ่มต้นที่จังหวัดนครราชสีมา ไปจนถึงจังหวัดหนองคาย วงเงิน 335,665.21 ล้านบาท ระยะทาง 357.12 กม. ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ (1) สถานีบัวใหญ่ (2) สถานีบ้านไผ่ (3) สถานีขอนแก่น (4) สถานีอุดรธานี และ (5) สถานีหนองคาย โดยจะเริ่มก่อสร้างในปีงบฯ 68 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบฯ 75 (รวม 8 ปี)

ส่วนที่ 2 การก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา วงเงิน 5,686.21 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นการก่อสร้างศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายสินค้าทางรถไฟ ทั้งขาเข้า - ขาออก ระหว่างทางขนาด 1 เมตร ของรถไฟไทย และขนาดทางมาตรฐาน 1.45 เมตร ของโครงการรถไฟลาว – จีน ในรูปแบบศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One stop service) 

สำหรับโครงการฯ ระยะที่ 2 เมื่อพิจารณา EIRR เชิงกว้าง กรณีโครงการฯ ระยะที่ 1 + 2 พบว่า มีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 13.23 ซึ่งยังมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ อีกทั้ง คกก.การรถไฟฯ มีมติเห็นชอบโครงการฯ ระยะที่ 2 และ คกก.สิ่งแวดล้อมฯ ได้เห็นชอบรายงาน EIA ของโครงการฯ ระยะที่ 2 ด้วยแล้ว

ทั้งนี้ เลขาฯ ครม. ได้สรุปความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม เร่งจัดทำรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารจัดการรถไฟความเร็วสูง เสนอ ครม. พิจารณาโดยเร็ว และให้การรถไฟฯ ศึกษารูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ และเสนอขออนุมัติพร้อมกันกับการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้ทบทวนและปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน

โดยนายกรัฐมนตรี สั่งการว่า ขอให้ กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากล่าช้ากว่าแผนมานานแล้ว 

จากนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบในหลักการโครงการฯ ระยะที่ 2 โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฯ ดำเนินการตามความเห็นของสภาพัฒน์ฯ ก่อนดำเนินการต่อไป และให้รับความเห็นของหน่วยงานไปพิจารณาด้วย โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องต่อไป

โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงประเด็นให้การสนับสนุนยูเครนเพื่อสู้ศึกรัสเซีย

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขายังคงต้องการบรรลุข้อตกลงกับยูเครนในการสนับสนุนสู้ศึกรัสเซียแต่ต้องเป็นภายใต้เงื่อนไขที่ยูเครน ต้องอนุมัติการเข้าถึงแร่หายาก  (Rare Earth) ภายในประเทศ

ขณะผู้คุยกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์กล่าวว่า ที่ผ่านมาสหรัฐส่งความช่วยเหลือยู่เครนทางด้านการททหารและเศรษฐกิจมากกว่าประเทศพันธมิตรใดๆ ในยุโรป พร้อมเสริมว่า “เรากำลังมองหาข้อตกลงที่ยูเครนจะจัดหาแร่ธาตุหายากและทรัพยากรอื่น ๆ ให้แก่เรา”  

เขายังเผยว่า ทางการยูเครนแสดงความพร้อมที่จะทำข้อตกลงเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง  

“ผมต้องการให้แน่ใจว่าเรามีแร่ธาตุหายากอย่างเพียงพอ เรามีงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยูเครนมีทรัพยากรเหล่านี้ในปริมาณมาก และพวกเขายินดีที่จะร่วมมือกับเรา” ทรัมป์กล่าว  

แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คำมั่นว่าจะเร่งยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ทรัมป์ระบุว่าการเจรจากำลังดำเนินไป โดยกล่าวว่า “เรามีความคืบหน้าอย่างมากในเรื่องรัสเซียและยูเครน รอดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยุติสงครามที่ไร้เหตุผลนี้ให้ได้”  

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ย้ำเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ว่า การเจรจาใด ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่ไม่มียูเครนอยู่ในวงหารือถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้  

“พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ในแบบของตนเอง แต่หากจะพูดถึงยูเครนโดยไม่มีเรา นั่นเป็นอันตรายสำหรับทุกฝ่าย” เซเลนสกีกล่าว  

ทั้งนี้ เขาระบุว่าทีมงานของเขาได้มีการติดต่อกับรัฐบาลทรัมป์แล้ว แต่เป็นเพียงการหารือในระดับเบื้องต้น และคาดว่าจะมีการพบปะกันโดยตรงในเร็ว ๆ นี้เพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงต่อไป

ทรัมป์เปิดฉากขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% ปักกิ่งเอาคืนหนักเก็บ 15% พร้อมคุมส่งออกแร่หายาก

(4 ก.พ. 68) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

โดยมาตรการภาษีใหม่ของทรัมป์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ของวันที่ 4 ก.พ.โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าจีนไม่จริงจังในการสกัดกั้นการนำเข้าเฟนทานิล ซึ่งเป็นตั้งต้นสารเสพติดที่สร้างปัญหาในสหรัฐฯ อย่างหนัก โดยทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีน

ส่งผลให้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที กระทรวงการคลังของจีนประกาศมาตรการตอบโต้ โดยเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ รวมถึงภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์

นอกจากการขึ้นภาษีสินค้าแล้ว จีนยังเปิดฉากโจมตีบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเริ่มสอบสวนการผูกขาดของ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google พร้อมทั้งเพิ่มบริษัท PVH Corp. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Calvin Klein และ Illumina บริษัทไบโอเทคของสหรัฐฯ เข้าใน "บัญชีหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ"

ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรของจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากสำคัญ เช่น ทังสเตน เทลลูเรียม รูทีเนียม และโมลิบดีนัม อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาดทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่

สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีกับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีก 30 วันเพื่อแลกกับมาตรการคุมเข้มชายแดนของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังเตือนว่าอาจเพิ่มภาษีจีนอีกหากจีนไม่หยุดการส่งออกเฟนทานิลมายังสหรัฐฯ

จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ และเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเปิดโอกาสให้มีการเจรจา

การปะทะกันทางเศรษฐกิจครั้งนี้สร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินทันที โดยตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง กดดันค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียให้ลดลงตามไปด้วย

นักวิเคราะห์จาก Oxford Economics เตือนว่าการตอบโต้ครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในรอบใหท่ และสหรัฐฯ อาจเพิ่มอัตราภาษีต่อจีนอีกหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในเร็ว ๆ นี้

ทรัมป์เปิดฉากขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% ปักกิ่งเอาคืนหนักเก็บ 15% พร้อมคุมส่งออกแร่หายาก

(4 ก.พ. 68) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

โดยมาตรการภาษีใหม่ของทรัมป์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ของวันที่ 4 ก.พ.โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าจีนไม่จริงจังในการสกัดกั้นการนำเข้าเฟนทานิล ซึ่งเป็นตั้งต้นสารเสพติดที่สร้างปัญหาในสหรัฐฯ อย่างหนัก โดยทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีน

ส่งผลให้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที กระทรวงการคลังของจีนประกาศมาตรการตอบโต้ โดยเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ รวมถึงภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์

นอกจากการขึ้นภาษีสินค้าแล้ว จีนยังเปิดฉากโจมตีบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเริ่มสอบสวนการผูกขาดของ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google พร้อมทั้งเพิ่มบริษัท PVH Corp. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Calvin Klein และ Illumina บริษัทไบโอเทคของสหรัฐฯ เข้าใน "บัญชีหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ"

ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรของจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากสำคัญ เช่น ทังสเตน เทลลูเรียม รูทีเนียม และโมลิบดีนัม อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาดทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่

สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีกับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีก 30 วันเพื่อแลกกับมาตรการคุมเข้มชายแดนของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังเตือนว่าอาจเพิ่มภาษีจีนอีกหากจีนไม่หยุดการส่งออกเฟนทานิลมายังสหรัฐฯ

จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ และเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเปิดโอกาสให้มีการเจรจา

การปะทะกันทางเศรษฐกิจครั้งนี้สร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินทันที โดยตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง กดดันค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียให้ลดลงตามไปด้วย

นักวิเคราะห์จาก Oxford Economics เตือนว่าการตอบโต้ครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในรอบใหท่ และสหรัฐฯ อาจเพิ่มอัตราภาษีต่อจีนอีกหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในเร็ว ๆ นี้

ศึกใหญ่ของ ‘อีลอน มัสก์’ กับ ปฏิบัติการขุดรากถอนโคน USAID องค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือก่อการร้ายของรัฐบาลเงา?

(4 ก.พ. 68) เกิดอะไรขึ้นในอเมริกา? เมื่อ Elon Musk เปิดฉากไล่ล่า USAID

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและนโยบายต่างประเทศไปตลอดกาล เมื่อ Elon Musk ประกาศสงครามกับ USAID (United States Agency for International Development) องค์กรที่มีงบประมาณมหาศาลและถูกกล่าวหาว่าเป็น เครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย และมีส่วนพัวพันกับการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย

USAID คือใคร? ทำไมถึงถูกโจมตีว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย?

USAID ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดย John F. Kennedy โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศยากจน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา USAID ถูกกล่าวหาว่ากลายเป็นแขนขาของอำนาจเงาภายในรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ใช้เงินภาษีของประชาชน แทรกแซงการเมืองโลก, สนับสนุนการล้มรัฐบาล และส่งเสริมแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่ง

มีรายงานว่า USAID ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่เกี่ยวข้องกับขบวนการปฏิวัติสี (Color Revolutions) ในประเทศต่างๆ เช่น อาหรับสปริง, ยูเครน, เวเนซุเอลา และแม้แต่กลุ่มเคลื่อนไหวในฮ่องกง

ที่ร้ายแรงกว่านั้น Middle East Forum (MEF) ได้เปิดเผยว่า USAID อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งผ่านเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ไปยังกลุ่มที่เชื่อมโยงกับก่อการร้าย เช่น Hamas และองค์กรหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง

คำถามคือ ถ้าข้อมูลนี้เป็นจริง เงินภาษีของชาวอเมริกันกำลังถูกใช้เพื่อสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่โจมตีพันธมิตรของอเมริกาเองหรือไม่?

Musk กับปฏิบัติการปิดฉาก USAID – การรื้อถอนรัฐลึก?

Musk ในฐานะหัวหน้าของ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยทรัมป์ กำลังไล่ล่าหลักฐานที่ชี้ว่า USAID เป็นแหล่งเงินทุนขององค์กรหัวรุนแรงและเครือข่าย NGOs ฝ่ายซ้ายสุดโต่ง

การเข้ายึดอำนาจของ USAID เริ่มต้นเมื่อทีมของ Musk พยายามเข้าไปตรวจสอบเอกสารลับใน SCIF (Sensitive Compartmented Information Facility) ซึ่งเป็นห้องข้อมูลลับสุดยอดของหน่วยงาน แต่ถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ USAID

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ การปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูงของ USAID สองคนออกจากตำแหน่งทันที ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า USAID กำลังปกปิดอะไรอยู่?

Musk กล่าวว่า

> “ผมได้หารือกับทรัมป์อย่างละเอียด และเขาเห็นพ้องว่าควรปิดมันลง ผมเช็คกับเขาหลายครั้ง และเขาก็ยืนยันคำตอบเดิม”

> “USAID คือกองทัพหนอน ไม่มีแอปเปิลอยู่เลย มันต้องถูกกำจัด”

Musk ย้ำว่าการปิด USAID ไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพการใช้เงิน แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ

USAID ถูกปิดตาย – เกมอำนาจของ Musk และ Trump?

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการบุกเข้าไปของ DOGE เว็บไซต์ของ USAID และบัญชี X ขององค์กรก็ถูกลบออกจากระบบ

นี่หมายความว่าอะไรกันแน่?

1. USAID ถูกยุบอย่างเป็นทางการ? หรือเป็นเพียงการ “รีแบรนด์” เพื่อให้เข้ากับนโยบายของทรัมป์?

2. มีเอกสารอะไรอยู่ใน SCIF? และทำไม USAID ถึงปฏิเสธไม่ให้ Musk เข้าไปตรวจสอบ?

3. เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ USAID ลาออกกันเป็นจำนวนมาก นี่คือสัญญาณของการล่มสลายของเครือข่าย NGOs ฝ่ายซ้ายหรือไม่?

การที่ USAID ถูกปิดตัวลงโดยคำสั่งของทรัมป์ และได้รับการผลักดันโดย Musk แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารชุดนี้กำลังจัดการกับองค์กรที่พวกเขามองว่าเป็นภัยต่ออเมริกา

Musk กำลังทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ?

ในอดีต มีข้อกล่าวหามากมายว่า USAID และ NGOs ในเครือ ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อแทรกแซงประเทศอื่น และสนับสนุนขบวนการที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง

แต่ ไม่มีใครเคยกล้าจัดการกับพวกเขาอย่างจริงจัง

Musk อาจเป็น คนแรกที่กล้าเผชิญหน้ากับเครือข่ายนี้ และเปิดโปงความจริงที่ถูกปกปิดมานาน

คำถามสำคัญคือ Musk กำลังเป็นฮีโร่ที่กำจัดองค์กรที่ทุจริต หรือเขากำลังกลายเป็นผู้ควบคุมอำนาจของรัฐลึกแทน?

อนาคตของ USAID และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร?

หาก USAID ถูกปิดจริง อเมริกาจะยังสามารถคงบทบาทการเป็นมหาอำนาจโลกได้หรือไม่?

1. นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการแทรกแซงผ่าน NGOs ไปสู่การใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจแทน

2. ประเทศที่เคยพึ่งพาเงินทุนจาก USAID เช่น ยูเครน และไต้หวัน อาจได้รับผลกระทบหนัก

3. NGOs ฝ่ายซ้ายทั่วโลกอาจสูญเสียแหล่งเงินสนับสนุนหลัก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศ

บทสรุป: Musk คือชายที่กำลังเปลี่ยนโลก?

สิ่งที่ Musk กำลังทำ อาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นช่วงเวลาที่อำนาจของรัฐลึกถูกท้าทายอย่างแท้จริง

หาก Musk ทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นบุคคลที่เปิดโปงเครือข่าย NGOs ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

หากเขาล้มเหลว เขาอาจถูกโจมตีจากกลุ่มอำนาจที่มองว่าเขากำลังทำลายกลไกสำคัญของรัฐ

นี่เป็นสงครามของ Musk และทรัมป์กับเครือข่ายรัฐเงาจริงหรือไม่? หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เกมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top