Tuesday, 1 July 2025
ค้นหา พบ 49115 ที่เกี่ยวข้อง

สังคมแตกเป็นสองฝ่าย หนุนกฎหมายใหม่จัดหนักพวกหมิ่นพุทธ

ในประเทศไทยดูเหมือนการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของศาสนาพุทธจะเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มแนวคิดเดิมกับอีกกลุ่มคือกลุ่มแนวคิดใหม่ ซึ่งแนวทางของกลุ่มแนวคิดใหม่นั้นมองว่าการกระทำใดๆก็ตามของกลุ่มแนวคิดเดิมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ได้ระบุไว้ในพระธรรมวินัยและพยายามทำตัวเองให้กลายเป็นอินฟลูด้านศาสนาขึ้นมาด้วย วิธีการแบบนี้สามารถใช้ได้ในประเทศไทยเพราะถ้าหากเราดูถึงการนับถือศาสนาพุทธในปัจจุบันแล้วก็จะเห็นเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแรกคือนับถือพุทธเพราะที่บ้านนับถือสืบต่อกันมา ส่วนอีกกลุ่มนับถือพุทธด้วยถูกจริตต่อจิตใจของตน  

หากมองดูทั้งสองกลุ่มจะเห็นถึงความแตกต่างของคน 2 ประเภทนี้กล่าวคือคนกลุ่มแรกจะสามารถถูกชักจูงง่ายโดยใช้หลักการทางการตลาดใด ๆ ก็ตาม แต่อีกประเภทหนึ่งจะต้องหาเหตุผล หลักฐานมาหักล้างความเชื่อนั้นเพื่อสร้างความเชื่อใหม่ให้เกิดขึ้น เอย่าได้ไปคุยกับผู้สันทัดด้านศาสนาของไทยและเมียนมาและเห็นว่าศาสนาพุทธใน 2 ประเทศนี้มีความคล้ายและต่างกันบางอย่าง ส่วนที่เหมือนกันคือ การผสมผสานของศาสนาพุทธให้เข้ากับลัทธิดั้งเดิมที่มีมาอยู่ก่อนทั้งในไทยและเมียนมานั้น ศาสนาพุทธได้ประสบความสำเร็จจากการเผยแผ่ศาสนาแบบนี้  แต่คน  2 ประเทศนี้มีหลายอย่างต่างกันกล่าวคือ คนเมียนมาส่วนหนึ่งแม้จะบูชาผีนัตก็ตามแต่การบูชาผีนัตก็เพื่อขอความคุ้มครองต่อตัวเขา ครอบครัวและธุรกิจ อันแตกต่างจากของไทยซึ่งส่วนใหญ่การสักการะใดๆก็ตามจะเน้นการขอลาภ ยศเสียมากกว่า

เอย่าถามว่าทำไมคนพม่าถึงนับถือศาสนาพุทธอย่างเหนียวแน่น กูรูศาสนาพุทธชาวเมียนมาให้คำตอบกับเราว่าส่วนใหญ่คนเมียนมานับถือพุทธมากกว่านับถือนัต และระลึกว่าการกราบไหว้บูชาพระพุทธเป็นการสักการะเพื่อต้องการสืบต่อพระศาสนาให้ต่อเนื่องเฉกเช่นเดียวกันกับศาสนาอื่นๆอาทิเช่นชาวมุสลิมในเมียนมาก็พยายามที่จะมาทำพิธีละหมาดวันละ 5 ครั้งในสุเหร่า นั่นก็เพราะชาวเมียนมาส่วนใหญ่มีความเชื่อและความศรัทธาฝังแน่นแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ได้ประสบพบในชาตินี้ชีวิตนี้แต่คนพม่าส่วนใหญ่ก็มองว่าการนับถือศาสนาของเขาจะส่งผลกรรมดีต่อเขาในโลกหน้าด้วย  หันกลับมาไทยเมื่อมาถามกูรูด้านศาสนาฝั่งไทยเขาบอกว่าคนไทยยุคใหม่นับถือศาสนาเพื่อให้ศาสนาบันดาลในสิ่งที่ตนอยากได้ โดยเฉพาะได้ในชาตินี้และนั่นทำให้คนไทยเรากลายเป็นผู้นับถือทุกสิ่งที่สามารถบันดาลให้เราได้ ทั้ง ผี ยักษ์ นาค ครุฑ หมาสองหัววัวหกขา กูรูฝั่งไทยกล่าวว่าอีกฝั่งหนึ่งของคนไทยคือผู้ไม่นับถืออะไรเลย  เพราะไม่คิดว่าทำไปแล้วจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ไม่คิดว่าการสืบต่อพระศาสนานั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างไรคนกลุ่มนี้จะไปเสพติดไอดอล อินฟลูต่าง ๆ ที่ถูกกับจริตและจิตใจของเขา ดังนั้นทำให้สังคมไทยจึงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย

เมื่อความแตกต่างนำมาซึ่งความแตกแยก กฎหมายจึงเข้ามาเพื่อเป็นข้อกำหนดไม่ให้มีการบั่นทอนความสำคัญของศาสนา ในหลายประเทศมีกฎหมายศาสนาอยู่ไม่ได้มีเพียงเมียนมาแต่ในหลายประเทศก็จะกฎหมายศาสนาเช่นกัน อาทิเช่น มาเลเซียที่มีกฎหมายของชุดคือ กฎหมายฆราวาสและกฎหมายอิสลาม ส่วนในเมียนมามีกฎหมายพุทธศาสนาอยู่เช่นกัน และหลายครั้งในเมียนมาก็มีผู้กระทำผิดต่อกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำผิดต่อศาสนา ในเมียนมามีคดีที่เป็นคดีที่หมิ่นศาสนาอยู่จำนวนมาก อาทิเช่น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ศาลเมืองมัณฑะเลย์ตัดสินจำคุก Kyaw Win Thant แพทย์ชาวเมียนมา วัย 31 ปี เป็นเวลา 21 เดือน ในความผิดฐานดูหมิ่นศาสนา สืบเนื่องจากการที่จำเลยโต้เถียงกับบรรดาพระสงฆ์เรื่องการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน แล้วมีการโพสต์ข้อความเชิงประชดเสียดสีพระสงฆ์ดังกล่าว หรือในกรณีของ นายฟิลิป แบล็ควูด ผู้จัดการบาร์ชาวนิวซีแลนด์ในเมียนมาและชาวเมียนมาอีก 2 คน ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนา จากการโพสต์รูปโฆษณาทางออนไลน์ เป็นรูปพระพุทธรูปสวมเฮดโฟน เพื่อเชิญชวนให้คนมาเที่ยวสถานบันเทิง หรือล่าสุดคือ นายดิดีเยร์ นุสเบาเมอร์ อายุ 52 ปี ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา เขียน ถ่ายทำ และตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง 'Don’t Expect Anything' ที่มีความยาว 75 นาที และโพสต์ลงบนสื่อออนไลน์

ในประเทศไทยแม้ในไทยจะมีกฎหมายหมิ่นศาสนาก็ตามแต่ตัวกฎหมายกลับไม่ได้ครอบคลุมและถูกนำมาใช้อย่างที่มันควรจะเป็น โดยมีระบุหลัก ๆ ไว้แค่ 3 มาตราคือ มาตรา 206  ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 207 ผู้ใดก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 208  ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ล่าสุดปีที่ผ่านมามีการดำเนินการให้แก้ไข โดยท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กมลศักดิ์  ลีวาเมาะ และคณะได้นำเสนอให้แก้ไขกฎหมายศาสนา โดยอ้างว่าประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับศาสนายังไม่ครอบคลุม การกระทำของบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาสนา เกิดการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือทำให้รู้สึกเกลียดชัง โดยกระทำการใด ๆ เช่น การบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของศาสนา รวมถึงการปลุกระดม การเผยแพร่เพื่อให้เกิดการเกลียดชัง การรบกวนการประกอบพิธีกรรม การวิพากษ์วิจารณ์โดยมิใช่ทางวิชาการ รวมถึงการทำลายหรือทำให้สกปรกซึ่งคัมภีร์หรือวัตถุที่เป็นที่สักการะของ ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง  ซึ่งทางท่าน สส. ได้ให้มีการระบุรายละเอียดเข้าไปเพิ่มในมาตรา 206 เพื่อให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เอย่าหวังว่าไหน ๆ ก็มีการระบุถึงความผิดให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นแล้วควรจะเพิ่มโทษให้สาสมด้วยว่าการดูหมิ่นให้ร้าย ต่อคนต่างความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม คงต้องดูว่าพรรครัฐบาลชุดนี้จะเห็นด้วยกับประเด็นเหล่านี้หรือไม่   คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ส่องโมเดล 'เต็นท์น้ำเงิน' ตำรวจสิงคโปร์ เคารพสิทธิผู้ตาย - รักษาจุดเกิดเหตุ

เมื่อไม่นานมานี้ที่สิงคโปร์มีข่าวนักปั่นจักรยานวัย 61 ประสบเหตุชนกับรถบัสในย่านจูรง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเจ้าหน้าที่ตำรวจสิงคโปร์มีการรักษาสภาพจุดเกิดเหตุด้วยกางเต็นท์น้ำเงิน เพื่อปกปิดศพไม่ให้สาธารณชนเห็น

การจัดการจุดเกิดเหตุในแต่ละประเทศมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน สำหรับที่สิงคโปร์มีระบบการจัดการแบบเฉพาะตัวเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยฉุกเฉินในสิงคโปร์จะใช้เต็นท์สีน้ำเงินคลุมร่างผู้เสียชีวิตทันทีที่ถึงที่เกิดเหตุ

มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต, ปกป้องความเป็นส่วนตัวของครอบครัวผู้เสียชีวิต และลดผลกระทบทางจิตใจต่อผู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้น

ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจสิงคโปร์ยังระบุว่า การใช้เต็นท์ยังช่วยรักษาความสมบูรณ์ของสถานที่เกิดเหตุสำหรับการสืบสวน เช่น ป้องกันหลักฐานจากการถูกทำลายหรือปนเปื้อนจากสภาพแวดล้อม โดยเต็นท์จะถูกตั้งไว้จนกว่าการเก็บข้อมูลจากที่เกิดเหตุจะเสร็จสมบูรณ์

การดำเนินการเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดการที่มีประสิทธิภาพของสิงคโปร์ พร้อมทั้งแสดงความเคารพต่อความรู้สึกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ตามระเบียบของตำรวจสิงคโปร์ระบุว่า เต็นท์ที่ใช้ในการปฏิบัติการของตำรวจออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การสืบสวนเหตุการณ์อาชญากรรม อุบัติเหตุ หรือภารกิจเฉพาะ โดยสามารถให้ความเป็นส่วนตัวได้ เต็นท์บางรุ่นมีหลังคาที่โปร่งแสงและข้างเต็นท์ที่ป้องกันความเป็นส่วนตัว รวมถึงผ้าคลุมสีดำ

เหตุที่ต้องใช้สีน้ำเงินเนื่องจาก เป็นสีสัญลักษณ์ประจำของตำรวจสิงคโปร์ ซึ่งสีนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1969  การใช้ 'เต็นท์สีน้ำเงิน' เริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 หรือประมาณปี 2000 เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงกระบวนการสอบสวนและการจัดการสถานที่เกิดเหตุให้มีความเป็นระเบียบและเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การตั้งเต็นท์สีน้ำเงินนอกจากยังช่วยป้องกันไม่ให้พื้นที่เกิดแล้ว ยังป้องกันการถูกแทรกแซงจากประชาชนและสื่อมวลชน ลดการรบกวนจากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง และช่วยให้การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและรักษาความลับของการสอบสวนด้วย นับว่าเป็นโมเดลที่ดีที่หากตำรวจไทยจะนำมาประยุกต์ใช้ก็น่าสนใจไม่น้อย

พิษณุโลก มทบ.39 จับมือ เซ็นทรัล กรุ๊ป จัดกิจกรรม 'สานใจ - สร้างไออุ่น' ครั้งที่ 28 ช่วยภัยหนาวให้ชาวคันโช้ง จังหวัดพิษณุโลก

เมื่อวันที่ (10 ม.ค.68) เวลา 0900 พันเอก กฤติ  พันธะสา รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 39 ร่วมกับคณะผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาว สมกมล จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มเซ็นทรัล ลงพื้นที่จัดกิจกรรม 'สานใจ - สร้างไออุ่น' ครั้งที่ 28 ณ หอประชุมโรงเรียนคันโช้งพิทยา ตำบลคันโช้ง อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีผู้นำท้องที่ - ท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู นักเรียน และพี่น้องประชาชนให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก 

กิจกรรมเริ่มต้นกิจกรรมแสดงดนตรีจากหมวดดุริยางค์มณฑลทหารบกที่ 39 จากนั้นเป็นการมอบผ้าห่มกันหนาวเซนทรัล จำนวน 300 ผืน และเสื้อกันหนาวเซนทรัล จำนวน 150 ตัว ให้กับนักเรียนและประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวในพื้นที่อำเภอวัดโบสถ์ นอกจากนี้แล้วเนื่องในเทศกาลวันเด็กแห่งชาติที่ใกล้จะถึงนี้ คณะกลุ่มเซนทรัลได้นำขนมโดนัทมอบให้เป็นของขวัญสำหรับเด็กๆ ทั้งโรงเรียนอีกด้วย

ซึ่ง มณฑลทหารบกที่ 39 ประสานความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ในการสนับสนุนจัดหาผ้าห่มและเสื้อกันหนาวแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่ตลอดมา

นอกจากนั้นทางคณะกลุ่มเซ็นทรัล และมณฑลทหารบกที่ 39 ได้นำผ้าห่มกันหนาวและถุงยังชีพ พร้อมด้วยเงินช่วยเหลือไปมอบให้กับผู้พิการและผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถเดินทางมารับได้ด้วยตนเอง จำนวน 3 ครอบครัว เพื่อเติมเต็มกำลังใจและส่งมอบความห่วงใยให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ภาพบรรยากาศเป็นไปอย่างน่าประทับใจ มทบ.39 กลุ่มเซนทรัล เซนทรัลพัฒนา มอบผ้าห่มกันหนาวให้ชาวจังหวัดพิษณุโลก

กมธ.ทหารฯ วุฒิสภา ถกเข้มปมเกาะกูด พื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา จ่อลงพื้นที่ จ.ตราดดับชนวนปัญหาที่ทับซ้อน 30 ม.ค.-1 ก.พ.นี้ แนะทัพเรือตีปิ๊บความจำเป็นซื้อเรือฟรีเกต 

เมื่อวันที่ (10 ม.ค.68) ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ครั้งที่ 1/2568 วันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกมธ.ฯ เป็นประธานการประชุม ที่ห้องประชุม กมธ.CA330 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาการดำเนินงานของอนุกมธ.ฯ หลักๆ คือ อนุกมธ.กิจการทหารด้านไซเบอร์ เทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์ และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยมีการรับทราบข้อมูลแนวคิดการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือ

พร้อมเชิญผู้แทนกองทัพเรือเข้าให้ข้อมูล ซึ่งการหารือทางกองทัพเรือมีความเห็นสอดคล้องกันในการส่งเสริมการผลิตในประเทศเป็นอันดับแรก ซึ่งรวมถึงการจัดหาเรือฟรีเกต ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมให้ข้อสังเกตว่าควรต้องสร้างการรับรู้สู่สาธารณะถึงความจำเป็นต้องมีเรือฟรีเกตรวมถึงผลประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับ ทั้งนี้ทางกอนุกมธ.ฯมีกำหนดเข้าหารือกับ ผบ.ทร.เรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศด้วย

รวมทั้งยังได้พิจารณาผลดำเนินงานอนุกมธ.กิจการทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวมกรณีการศึกษาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาบริเวณทางทะเลเกาะกูด ซึ่งมีการยกร่างรายงานเบื้องต้นเสร็จแล้วและจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อให้ข้อสังเกตเพิ่มเติม รวมทั้งจะเดินทางไปศึกษาดูงานเกาะกูด จ.ตราด ระหว่างวันที่ 30 ม.ค.-1 ก.พ.นี้ ในประเด็นพื้นที่ทับซ้อนและการออกเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะกูด ก่อนจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์เสนอต่อที่ประชุมต่อไป ทั้งนี้ทางกมธ.ฯ กำหนดการประชุมหารือครั้งต่อไปวันที่ 16 ม.ค.นี้

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดพิธีสวดมนต์บูชาธรรม อธิษฐานจิต ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ขอให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงโดยเร็ววัน 

เมื่อวันที่ (9 ม.ค.68) น.อ.พัลลภ สุภากรณ์ รอง ผอ.รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นประธานในพิธี สวดมนต์บูชาธรรม อธิษฐานจิต ถวายพระพรชัยมงคลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ขอให้พระองค์ทรงหายจากอาการพระประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรง โดยเร็ววัน 

โดยมี ข้าราชการและลูกจ้างของ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เข้าร่วมพิธีฯ ณ อาคารอำนวยการ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top