Thursday, 15 May 2025
ค้นหา พบ 48102 ที่เกี่ยวข้อง

บังกลาเทศแห่มาไทย หลังอินเดียคุมเข้มวีซ่า ใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว-รักษาพยาบาลมากสุด

(19 ธ.ค.67) ข้อมูลจากธนาคารกลางบังกลาเทศเผยว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในอินเดียลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่การใช้จ่ายในไทยและสิงคโปร์กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลอินเดียจำกัดการออกวีซ่า ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวและผู้ป่วยชาวบังกลาเทศที่เดินทางไปอินเดียลดลง

ในเดือนตุลาคมปีนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในอินเดียลดลงมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10.78% ของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งลดลงจาก 16.50% ในเดือนตุลาคม 2566

ในทางตรงกันข้าม การใช้บัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในไทยและสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ไทยได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ใหญ่เป็นอันดับสองสำหรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของชาวบังกลาเทศในต่างประเทศ โดยในเดือนกันยายนมีการใช้จ่ายมูลค่า 420 ล้านตากา (ราว 120 ล้านบาท) และเพิ่มขึ้นเป็น 570 ล้านตากา (ราว 165 ล้านบาท) ในเดือนตุลาคม ส่งผลให้ไทยแซงหน้าอินเดียขึ้นเป็นอันดับสอง

ขณะเดียวกัน สิงคโปร์ก็มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนตุลาคม ชาวบังกลาเทศใช้จ่าย 430 ล้านตากาในสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านตากาในเดือนกันยายน

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะ เดลี สตาร์ (The Daily Star) รายงานว่า หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการในบังกลาเทศเมื่อเดือนสิงหาคม อินเดียตัดสินใจระงับการออกวีซ่าท่องเที่ยวให้แก่ชาวบังกลาเทศ โดยอนุญาตเฉพาะกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์เท่านั้น ส่งผลให้การใช้บัตรเครดิตในอินเดียลดลงอย่างมาก

ไซเอ็ด โมฮัมหมัด คามัล ผู้จัดการประจำประเทศบังกลาเทศของบริษัทมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) กล่าวว่าจำนวนชาวบังกลาเทศที่เดินทางไปอินเดียลดลงเกือบ 90% โดยนักท่องเที่ยวที่เคยไปมุมไบหรือเมืองอื่น ๆ ในอินเดีย เลือกเดินทางมาประเทศไทย สิงคโปร์ และเนปาลแทน

ไทยคิกออฟ 'e-Visa'พร้อมให้คนทั่วโลกลงทะเบียน เริ่ม 1 ม.ค. 2568 อำนวยความสะดวกนักเดินทางเข้าไทย

(19 ธ.ค.67) ประเทศไทยเตรียมเปิดให้บริการระบบตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Visa เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติในการยื่นขอวีซ่าออนไลน์จากทุกที่ทั่วโลก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 นี้ ผ่านเว็บไซต์ www.thaievisa.go.th

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในงานเปิดตัว 'Kick-off THAI E-VISA: Apply, Anywhere, Anytime' เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยระบบ e-Visa นี้จะครอบคลุมสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลไทย 94 แห่งทั่วโลก ช่วยให้ผู้เดินทางสามารถยื่นขอวีซ่าได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ อธิบดีกรมการกงสุล กล่าวถึงการพัฒนาระบบ e-Visa ซึ่งเริ่มต้นในปี 2562 และต่อยอดเป็นการออกวีซ่าแบบออนไลน์ในปี 2564 ปัจจุบันพร้อมใช้งานทั่วโลก ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อความสะดวกในการสมัครวีซ่า โดยใช้หลักการ 3 A คือ Apply (สมัคร) Anywhere (ที่ใดก็ได้) และ Anytime (เมื่อใดก็ได้) ช่วยให้นักเดินทางไม่ต้องไปที่สถานทูตหรือยื่นเอกสารหลายฉบับ เพียงแค่เข้าเว็บไซต์ก็สามารถขอวีซ่าได้ง่ายๆ และปลอดภัย

นายมาริษ กล่าวว่า การเปิดตัวระบบ e-Visa จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ นักลงทุน และนักศึกษา โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก และลดข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น เพื่อทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ระบบ e-Visa ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก พร้อมย้ำจุดยืนของไทยในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ระบบ e-Visa ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพื่อการคัดกรองและแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์

สำหรับนักเดินทางจาก 93 ประเทศที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา สามารถเดินทางเข้ามาในไทยได้ไม่เกิน 60 วัน โดยไม่จำเป็นต้องยื่นขอ e-Visa ส่วนวีซ่าประเภทอื่น ๆ เช่น วีซ่านักเรียน หรือวีซ่าทำงาน ก็สามารถยื่นขอผ่านระบบนี้ได้

ทั้งนี้ ระบบการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าผ่านออนไลน์จะพร้อมใช้งานในบางประเทศภายใน 6 เดือน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางมากยิ่งขึ้น

ระบบ e-Visa นี้จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เพื่อรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ผู้นำอินโดฯ เล็งอภัยโทษคนทุจริต หากนำทรัพย์สินที่ขโมยไปกลับมาคืน

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต แห่งอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า เขาอาจพิจารณาให้อภัยผู้ที่กระทำการทุจริต หากพวกเขานำทรัพย์สินที่ขโมยไปกลับมาคืน

(19 ธ.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อนักศึกษาอินโดนีเซียที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เมื่อวันพุธที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ปธน.ปราโบโวกล่าวว่า เขาจะดำเนินการเรียกคืนทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบในไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า

ปธน.ปราโบโวกล่าวว่า “หากผู้ที่ทุจริต หรือผู้ที่รู้ตัวว่าได้ฉกชิงทรัพย์สินจากประชาชน หากนำสิ่งที่ขโมยไปคืนมา เราอาจให้อภัยได้ กรุณานำมันกลับมาคืน”

อย่างไรก็ตาม ปธน.ปราโบโวยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว โดยกล่าวเพียงว่ารัฐบาลอาจหาวิธีการต่าง ๆ ให้ผู้กระทำผิดสามารถคืนทรัพย์สินที่ขโมยไปได้อย่างลับ ๆ

ปธน.ปราโบโว ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ให้คำมั่นว่าจะขจัดการทุจริตและนำเสนอแนวทางที่ 'สามารถปฏิบัติได้จริง' ในการป้องกันการทุจริต ซึ่งรวมถึงการขึ้นเงินเดือนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ดูแลงบประมาณจำนวนมาก

จนถึงขณะนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกฎหมายของอินโดนีเซียยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวของปธน.ปราโบโว

กนอ. โชว์ศักยภาพ! ดึงดูดลงทุนเกาหลี 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปักหมุดนิคมฯ Smart Park เน้นพลังงาน และธุรกิจการแพทย์

(19 ธ.ค. 67) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเกาหลี พร้อมชูแคมเปญ“Now Thailand - The Golden Era” ตอกย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park

วันที่ 19 ธ.ค. 2567 นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ กนอ. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.67 กนอ.ได้ให้การต้อนรับนายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล พร้อมด้วยคณะนักลงทุนเกาหลีใต้กว่า 20 ราย ในการเข้าร่วมประชุมหารือและรับฟังข้อมูลภาพรวมการลงทุนในประเทศไทย สิทธิประโยชน์ และการให้บริการของ กนอ. โดยได้เน้นย้ำถึงแคมเปญ “Now Thailand - The Golden Era”เพื่อสื่อสารให้นักลงทุนเกาหลีใต้รับรู้ว่า “นี่คือยุคทอง โอกาสทองของการลงทุนในประเทศไทย ไม่มีเวลาใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว” สร้างความเชื่อมั่นและพร้อมให้การสนับสนุนนักลงทุนเกาหลีใต้ในการประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมของไทย

การเยือนประเทศไทยของคณะนักลงทุนเกาหลีใต้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการลงทุนจริงในประเทศไทย โดนในการประชุมหารือ นักลงทุนเกาหลีใต้ได้แสดงความสนใจในหลากหลายธุรกิจ อาทิ  ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ : แสดงความชื่นชมต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของ กนอ. และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าในประเทศไทย โดยต้องการให้ กนอ. ช่วยประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อทราบกระบวนการและ แนวทางการดำเนินธุรกิจ ธุรกิจผลิตรถบรรทุก EV : มีความสนใจใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในอาเซียน และปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลการลงทุนในประเทศไทย ธุรกิจเหล็ก พลังงาน และอื่นๆ: บริษัทที่มีฐานการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ และนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง มีแผนการขยายการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการถ่ายโอนธุรกิจด้านพลังงานและอื่นๆ ในปี 2567 และการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ที่มีการคาดการณ์มูลค่าการลงทุนประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีนักลงทุนสัญชาติเกาหลีร่วมดำเนินการในธุรกิจต่างๆ เช่น พลังงาน และธุรกิจการแพทย์ เป็นต้น

“ถึงเวลาแห่งการลงทุนในประเทศไทยแล้ว Now Thailand”กนอ.พร้อมประสานงานในเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงการถือครองอาคารชุดและที่ดินในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนเกาหลีใต้” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. กล่าวเสริมว่า การเยือนของคณะนักลงทุนเกาหลีใต้ครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระดับภูมิภาค รวมทั้งตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาค โดย กนอ.พร้อมให้บริการที่เหนือระดับและมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับนักลงทุนด้วยบริการที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการให้ข้อมูลเชิงลึก การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและภาษี การประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และการอำนวยความสะดวกในการจัดตั้งธุรกิจ เพื่อให้นักลงทุนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ รวมถึงการให้คำปรึกษา สนับสนุนด้านต่างๆ และอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับการประชุมหารือกับคณะนักลงทุนจากประเทศเกาหลีใต้ ณ สำนักงานใหญ่ กนอ. การประชุม ครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 มีผู้บริหาร กนอ. และนักลงทุนเกาหลีใต้เข้าร่วมประมาณ 20 คน

ปูตินลั่นนาโต้สกัดมิสไซล์ Oreshnik ไม่ได้ ท้าชาติตะวันตกลองดวลกัน แล้วจะรู้ฤทธิ์

(19 ธ.ค.67) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้กล่าวในตอนหนึ่งของการแถลงข่าวช่วงสิ้นปีต่อบรรดาผู้สื่อข่าวในกรุงมอสโก โดยหนึ่งในผู้สื่อข่าวได้ถามผู้นำรัสเซียว่า รู้สึกกังวลหรือไม่ที่บรรดาชาติตะวันตกสมาชิกนาโต้ นำขีปนาวุธหลากชนิดเข้ามาประจำการทางตอนเหนือของโปแลนด์และโรมาเนีย

เรื่องดังกล่าวผู้นำรัสเซียตอบว่า "สมมติว่าระบบ Oreshnik ของเราตั้งอยู่ห่างจากพิกัดขีปนาวุธของพวกเขา 2,000 กิโลเมตร (1,243 ไมล์)  แม้แต่ขีปนาวุธต่อต้านที่ตั้งอยู่ในโปแลนด์ก็จะไม่สามารถทำลายมันได้" ผู้นำรัสเซียกล่าวโดยนัยว่า ยังไม่มีระบบขีปนาวุธชนิดใดของตะวันตกที่สามารถยิงไกลและมีความเร็วมากพอจะสกัดขีปนาวุธ Oreshnik ของรัสเซียได้

ปูตินยังกล่าวอีกว่า "งั้นลองให้พวกเขา (นาโต้) ลองใช้เทคโนโลยีจากตะวันตกหรือสหรัฐ มาดวลกับ Oreshnik ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 21 ให้พวกเขา (นาโต้) ลองระบุเป้าหมายของเราดู แล้วรวมสรรพกำลังโจมตี ส่วนเราจะตอบกลับด้วย Oreshnik แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น" 

นอกจากนี้ในการแถลงข่าว ผู้นำรัสเซียยังได้ยกย่องอาวุธมิสไซล์ความเร็วเหนือเสียงนี้ว่า "Oreshnik นี้เป็นอาวุธใหม่ที่ทันสมัยมาก ระบบขีปนาวุธนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงการออกแบบขีปนาวุธทุกรูปแบบที่รัสเซียเคยใช้" เมื่อถามว่าเหตุใดถึงตั้งชื่อว่า Oreshnik ปูตินตอบเชิงติดตลกว่า แม้เขาจะอนุมัติสร้าง แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันเหตุใดจึงชื่อนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top