Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48698 ที่เกี่ยวข้อง

ตำรวจ ปส. ลุยหนัก เดือนแรกของปีงบ จับกุมครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ พร้อมของกลาง ยาบ้ากว่า 12 ล้านเม็ด และไอซ์กว่า 1.3 ตัน ยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 90 ล้านบาท

สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 ว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ  ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.สำราญ นวลมา และ พล.ต.ท.อัคราเดช  พิมลศรี  ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้นำนโยบายดังกล่าวมาสู่การปฏิบัติ โดยกำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

สำหรับภาพรวมของปีงบประมาณ 2567 ได้มีการจับกุมคดียาเสพติด 260,506 คดี ผู้ต้องหา 268,679 คน อายุเฉลี่ย 30 – 50 ปี ของกลางยาเสพติด คือ ยาบ้ากว่า 1,001 ล้านเม็ด, ไอซ์ 25.4 ตัน, เฮโรอีน 1.6 ตัน,  คีตามีน 5.6 ตัน และ ยึดอายัดทรัพย์ผู้ค้ายาเสพติด กว่า 12,000 ล้านบาท 

และในปีงบประมาณ 2568 นี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการปราบปรามเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยการขับเคลื่อนหลักยังคงเป็น บช.ปส. และตำรวจภูธรภาคต่าง ๆ และได้มีการบูรณาการร่วมมือกับ ปปส., พล.ท.กัณห์ สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ,พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 /รอง ผบ.นบ.ยส.24 และ พล.ต.ธีรนันท์ นันทขว้าง ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร โดยมีการขยายผลจับกุมเครือข่ายผู้ต้องหารายสำคัญ 5 เครือข่าย ดังนี้  
บก.ปส.3

คดีที่ 1 ยาบ้า 6,790,000 เม็ด (ผู้นำเสนอ  พ.ต.อ.กฤษณ์ มณีรมย์ ผกก.1 บก.ปส.3)
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ก.ย.67 ตำรวจได้จับกุม นายอนนต์ และนายชัยวัฒน์ พร้อมไอซ์ จำนวน 600 กก. บริเวณบ้านช่องสำราญ ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จว.ชัยภูมิ ต่อเนื่องริมถนนชงโคเขาน้อย ต.ลำสะพุง อ.มวกเหล็ก จว.สระบุรี จากนั้นตำรวจ บก.ปส.3 ร่วมกับ บก.ขส. นำข้อมูลเครือข่ายนี้มาสืบสวนขยายผลจนพบว่า ยาเสพติด ถูกลำเลียงมาจากพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่พื้นที่ตอนใน ซึ่งช่วงเย็นของวันที่ 20 ต.ค.67 พบความเคลื่อนไหวของเป้าหมายเดินทางออกจากพื้นที่ อ.ท่าคันโท จว.กาฬสินธุ์ มุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยใช้เส้นทางถนนมิตรภาพ ชุดจับกุมจึงได้วางกำลังไว้ตามเส้นทางที่คาดว่ารถเป้าหมายจะขับผ่าน จนเวลาประมาณ 21.50 พบรถต้องสงสัยวิ่งตามกันมาบนเส้นทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมาและเข้าทางพิเศษ M6 โดยสลับกันขึ้นนำและตามตลอดเส้นทาง 

กระทั่งเวลา 00.05 ของวันที่ 21 ต.ค.67 รถเป้าหมาย 2 คัน คือ รถกระบะโตโยต้าวีโก้สีดำ หมายเลขทะเบียน บว 35xx กาฬสินธุ์ มีนายสาธิต เป็นผู้ขับขี่ มาพร้อมกับ นางสาวเหมี่ยว ภรรยา และรถตู้ หมายเลขทะเบียน นข 36xx บุรีรัมย์ มีนายสมศักดิ์ ขับขี่ และนายรังศิธร โดยสารมาด้วย (ทราบชื่อภายหลัง) ขับเข้าไปจอด ในปั๊มน้ำมันบางจากถนนมิตรภาพ ชุดจับกุมประกอบด้วย ตำรวจ บก.ปส. 3 ร่วมกับ ศูนย์ข่าวกรองกรุงเทพมหานคร บก.ขส. และ เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฎิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ  ได้แสดงตัว ขอตรวจค้น เบื้องต้นตรวจค้นรถตู้ พบกระสอบใบใหญ่ถูกวางไว้ภายในห้องโดยสารทั้งสิ้น จำนวน 15 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้า รวม 679 แพ็ค จำนวน 6,790,000 เม็ด จากการสอบปากคำผู้ต้องหาพบว่า ได้รับการว่าจ้าง โดยติดต่อทางโทรศัพท์ และทางแอปพลิเคชัน “ไลน์” เพื่อให้ลำเลียงยาเสพติดจำนวนดังกล่าว ทั้งนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างเตรียมขยายผลหาผู้สั่งการต่อไป 
บก.ปส.2

คดีที่ 2 ยาบ้า 4,000,000 เม็ด (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.เฉลิมชัย ไวยสุระสิงห์ ผกก.3 บก.ปส.2) สืบเนื่องจากวันที่ 6 ก.ค.67 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 ได้จับกุม นายสมศักดิ์ พร้อมไอซ์ จำนวน 500 กก. บริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านธาตุ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จว.สกลนคร จึงสืบสวนขยายผลรถยนต์ของเครือข่ายที่หลบหนีการจับกุมเมื่อวันที่ 6 ก.ค.67 ไป ตำรวจจึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว กระทั่งวันที่ 20 ต.ค.67 พบมีการเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถยนต์จาก งพ 70xx ชลบุรี เป็น 8กอ 78xx กรุงเทพมหานคร และขับเข้ามาในพื้นที่ อ.เมือง จว.นครพนม ตำรวจจึงวางกำลังตามเส้นทางต่างๆ ที่คาดว่ารถยนต์คันดังกล่าวจะใช้ในการลำเลียงยาเสพติด จนเวลาประมาณ 00.15 น. ของวันที่ 21 ต.ค.67 รถยนต์คันดังกล่าวกำลังวิ่งอยู่บนถนนนิตโย มุ่งหน้า อ.กุสุมาลย์ จว.สกลนคร กระทั่งมาจอดติดไฟแดงบริเวณสี่แยกไฟแดงบ้านธาตุ ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จว.สกลนคร ชุดจับกุมจึงเข้าสกัดทันที พบ นายธวัชชัย คนขับ และ นายณัฐนนท์ คนโดยสาร ก่อนจะควบคุมทั้ง 2 คน มาตรวจค้นรถ พบกระสอบสีรุ้งภายในรถ จำนวน 10 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ากระสอบละ 400,000 เม็ด รวมยาบ้า 4,000,000 เม็ด สอบถามผู้ต้องหา 2 คน ยอมรับว่า ยาบ้าของกลางดังกล่าว เป็นของตนเองจริงและจะนำไปส่งให้กับลูกค้าที่กรุงเทพมหานคร       

คดีที่ 3 ไอซ์ 300 กิโลกรัม (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.เฉลิมชัย ไวยสุระสิงห์ ผกก.3 บก.ปส.2)
สืบเนื่องจากช่วงสายของวันที่ 4 ก.ย.67 ตำรวจได้ทำการจับกุม นายพิพัฒน์ กับพวกรวม 3 คน พร้อมยึดของกลางยาบ้า 1,500,000 เม็ด ได้ที่บริเวณภายในปั๊มน้ำมันคาล์เท็กซ์ อ.วังน้อย จว.พระนครศรีอยุธยา ก่อนจะขยายผลพบว่าเครือข่ายดังกล่าว ยังมีการลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ภาคกลางอย่างต่อเนื่อง 

กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 21 ต.ค.67 ตำรวจชุดจับกุมหน่วยปราบปรามยาเสพติดอุดรธานี กก.3 บก.ปส.2 ร่วมกับศูนย์ข่าวกรองยาเสพติดอุดรธานี และกรุงเทพมหานคร บก.ขส. พบรถเป้าหมายขับเข้าไปในพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จว.เลย และได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ต่อเนื่องวันที่ 22 ต.ค.67 เวลาประมาณ 07.15 น. ชุดจับกุมจึงนำกำลังเข้าสกัดรถเป้าหมายเป็นรถยนต์โตโยต้า รุ่นแคมรี่ สีเทา ทะเบียน ชศ 45xx กทม.  ได้บริเวณริมถนนทางหลวงหมายเลข 201 มุ่งหน้าจังหวัดขอนแก่น ต.ห้วยส้ม อ.ภูกระดึง จว.เลย พบ นายเอกชัย คนขับขี่ ได้พยายามเปิดประตูรถวิ่งหลบหนีลอดรั้วลวดหนามเข้าไปในสวนริมถนน ก่อนจะถูกจับกุมตัว และนำมาตรวจค้นภายในรถยนต์ พบกระสอบต้องสงสัยถูกวางในห้องโดยสาร จำนวน 4 กระสอบ และกระโปรงท้ายรถยนต์ จำนวน 3 กระสอบ รวม 7 กระสอบ ภายในบรรจุไอซ์ น้ำหนัก 300 กก. นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ต้องหา ได้พกพาอาวุธปืนพกลูกโม่ ขนาด .38 นิ้ว มาด้วย 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 55 นัด

คดีที่ 4 ยาบ้า 1,000,000 เม็ด ไอซ์ 160 กิโลกรัม คีตามีน 40 กิโลกรัม (ผู้นำเสนอ พ.ต.อ.อัคควิทย์ กำแพงนิล ผกก.2 บก.ปส.2) สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ส.ค.67 หน่วยปราบปรามยาเสพติดนครราชสีมา กก.2 ร่วมกับ ศูนย์วิเคราะห์ข่าว บก.ปส.2 จับกุม นายศักดิ์สิทธิ์ และนายอนุชิต พร้อมยาบ้า จำนวน 6,702,400 เม็ด, ยาอี จำนวน 1,000 เม็ด, Ecstasy หรือ MDMA จำนวน 10 ก้อน น้ำหนัก 1 กก., ยาไฟว์ไฟว์ จำนวน 1,400 เม็ด, ระเบิดลูกเกลี้ยง M 26 จำนวน 7 ลูก บริเวณภายในใบทองธารารีสอร์ทใน ต.คลองกระจัง อ.ศรีเทพ จว.เพชรบูรณ์ จึงสืบสวนขยายผลจากกลุ่มลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว จนวันที่ 15 ต.ค.67 พบกลุ่มรถยนต์ที่เฝ้าระวังจำนวน 3 คัน มีความเคลื่อนไหวเข้ามาในพื้นที่ชายแดน จว.หนองคาย และจว.บึงกาฬ จึงได้จัดกำลังติดตาม จนมาพบรถยนต์ทั้ง 3 คัน คือ รถยนต์ TOYOTA ALTIS สีขาว หมายเลขทะเบียน ฆษ 21xx กทม. รถยนต์ HONDA ACCORD สีขาว หมายเลขทะเบียน ขห 91xx เชียงใหม่ และรถยนต์ MITSUBISHI PAJERO สีดำเทา ทะเบียน ฎข 29xx กทม. วิ่งบนถนนในพื้นที่ จว.ขอนแก่น และ จว.เพชรบูรณ์ ก่อนที่รถยนต์ทั้ง 3 คัน ขับเข้าไปบริเวณบ้านสวนเกษตรรีสอร์ท ต.ท่าพล อ.เมือง จว.เพชรบูรณ์ ชุดจับกุมจึงนำกำลังเข้าจับกุม ผู้ต้องหา จำนวน ๔ คน คือ 1.นายเอกรินทร์, 2.น.ส.เสาวรส, 3.นายอรรถพงษ์ และ 4.นายมนัส ตรวจสอบภายในรถยนต์ TOYOTA ALTIS สีขาว หมายเลขทะเบียน ฆษ 21xx กทม. 

พบยาเสพติดถูกวางไว้ภายในห้องโดยสาร เป็นยาบ้า จำนวน 1,000,000 เม็ด, ไอซ์ จำนวน 160 กก. และคีตามีน จำนวน 40 กก. และได้นำตัวนายเอกรินทร์ มาทำการตรวจค้น รถยนต์ TOYOTA ALTIS  หมายเลขทะเบียน กบ 32xx ฉะเชิงเทรา ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย สอบถามนายเอกรินทร์ให้การว่านำรถยนต์คันดังกล่าวมาจอดไว้เพื่อรอถ่ายยาเสพติด เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( ไอซ์ หรือเมทแอมเฟตามีน ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนอันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”
บก.ปส.4

คดีที่ 5 ไอซ์ 300 กิโลกรัม (ผู้นำเสนอ พ.ต.ท.พิชญุตม์ เกียรติกิตติคุณ รอง ผกก.1 บก.ปส.4) สืบเนื่องจากเมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค.67 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ได้จับกุม ผู้ต้องหา พร้อมไอซ์ จำนวน 549 กรัม ในพื้นที่ อ.เมือง จว.กาญจนบุรี ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดกาญจนบุรี บก.ปส.4 ได้เข้าสอบปากคำเพื่อขยายผล กระทั่งพบเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ จากนั้นตำรวจจึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนี้ กระทั่งวันที่ 14 ต.ค.67 พบรถยนต์เป้าหมายคือ MU-X หมายเลขทะเบียน กธ 8xxx ประจวบคีรีขันธ์ ขับจากพื้นที่ภาคใต้ ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคกลาง และขับกลับเข้ามาในพื้นที่อ.ท่ามะกา จว.กาญจนบุรี มาพบกับรถยนต์ D-MAX หมายเลขทะเบียน 1 กส 2xxx กรุงเทพมหานคร ในลักษณะขับนำหน้า และตามหลังกันมา ชุดจับกุมจึงทำการประสานตำรวจ สภ.ท่ามะกา ภ.จว.กาญจนบุรี เพื่อตั้งจุดสกัดที่ถนนแสงชูโต บ้านท่ามะกา ม.4 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จว.กาญจนบุรี ตำรวจ กก.1 บก.ปส.4 หน่วยปราบปรามยาเสพติดกาญจนบุรี ร่วมกับตำรวจในพื้นที่, ทหาร และ ป.ป.ส.ภาค 7 จึงเรียกรถต้องสงสัยให้หยุด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบรางวัล 'ทำดี มีรางวัล' ชื่นชมชุดทำงานยาเสพติด สน.สายไหม กล้าหาญ สมคำว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

วันนี้ (24 ต.ค.67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มีสวัสดิ์ รรท.ผบก.น.2 และ พ.ต.อ.รังสรรค์ สอนสิงห์ ผกก.สน.สายไหม ได้เดินทางที่ สน.สายไหม เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่ จากเหตุเข้าจับกุมคดียาเสพติดเมื่อกลางดึกวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พร้อมมอบรางวัล “ทำดี มีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหน้าที่

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า วันนี้ตนได้เดินทางมาที่ สน.สายไหม พร้อมกับผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการและกองบังคับการ เพื่อมาเยี่ยมบำรุงขวัญและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการจากเหตุการณ์เข้าสกัดและจับกุมคนร้ายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยสามารถตรวจยึดของกลางยาบ้าประมาณ 160,000 เม็ด และยาไอซ์อีกประมาณ 1 กิโลกรัม จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บเนื่องจากเข้าปะทะกับคนร้ายซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีโดยเร็ว พร้อมกับขอขอบคุณและชื่นชมชุดปฏิบัติการทำงานยาเสพติดของ สน.สายไหม จำนวน 6 นาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. ร.ต.อ.พงศ์พัฒน์ เกิดนพนันท์  รอง สวป.สน.สายไหม
2. ด.ต.มานพ ยิ่งสูง  ผบ.หมู่ ป.สน.สายไหม 
3. จ.ส.ต.ชินวุฒิ คงแสง  ผบ.หมู่ ป.สน.สายไหม 
4. จ.ส.ต.วิชเยศ ภูฉลอง  ผบ.หมู่ ป.สน.สายไหม 
5. จ.ส.ต.ณัฐภัณฑ์ พันธเสริม  ผบ.หมู่ ป.สน.สายไหม
6. ส.ต.ท.เจษฎา ยิ่งสูง  ผบ.หมู่ ป.สน.สายไหม 

ซึ่งทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง กล้าหาญ เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป พร้อมขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับให้ความสำคัญและใส่ใจข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนลักษณะเช่นนี้ต่อไป

‘พีระพันธุ์’ เผย ต้องทำให้ถูกต้องทุกกระบวนการ พร้อมเดินหน้ารักษาความสามารถในการส่งออก

(24 ต.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า 

สำหรับสิ่งที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะได้มีการเปิดประมูลพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน รูปแบบ Feed-in Tariff จำนวนประมาณ 3,600 เมกะวัตต์นั้น 

ทั้งตนและข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพลังงานขอยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงในการทุจริต ในโครงการประมูลโรงไฟฟ้า 

ในลำดับแรกขอกล่าวถึงโครงการดังกล่าวเสียก่อน โครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน รูปแบบ Feed-in Tariff จำนวนประมาณ 3,600 เมกะวัตต์นั้น เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน จำนวนประมาณ 5,200 เมกะวัตต์

โดยในโครงการนี้จะแบ่งการรับซื้อ หรือการประมูลออกเป็น 2 โครงการย่อย คือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ และโครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 2,100 เมกะวัตต์ 

สำหรับโครงการแรกที่รับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 1,500 เมกะวัตต์นั้น ใช้การประมูลในรูปแบบปกติ ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าสามารถร่วมประมูลได้อย่างเปิดกว้าง หรือ Open Bid

แต่สำหรับโครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 2,100 เมกะวัตต์นั้น เป็นการประมูลแบบพิเศษ คือให้สิทธิ์ผู้ที่เคยประมูลในโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน จำนวนประมาณ 5,200 เมกะวัตต์แต่ไม่ชนะการประมูล เป็นผู้มีสิทธิยื่นประมูล

ตนและกระทรวงพลังงานมีความเห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์เช่นนี้จะเกิดปัญหา และเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การเปิดประมูลในแต่ละรอบต้องแยกจากกันโดยเด็ดขาด มิใช่เอามาเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน

แต่อย่างไรก็ดี กกพ. ที่เป็นผู้ดำเนินการนั้นเป็นองค์กรอิสระ มีสถานะคล้ายกับ กสทช. กระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจบังคับบัญชา กล่าวโดยง่ายคือไม่สามารถไฟสั่งได้ แต่ก็ได้ใช้อำนาจตามที่มีอยู่โดยทำหนังสือทักท้วงพร้อมกับขอให้ทบทวนโครงการไปยัง กกพ. แล้วเป็นที่เรียบร้อย 

เบื้องต้นได้รับการแจ้งว่าที่มาที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดดังกล่าว เกิดจากความผิดพลาดในการทำมติที่ประชุม และจะได้ดำเนินการแก้ไขต่อไป

นอกจากนี้เมื่อมีการทบทวนในเรื่องนี้ให้รอบคอบและถูกต้องแล้ว เรื่องดังกล่าวจะมีการรายงานไปยังคณะกรรมการนโยบายพลังงาน หรือ กบง. เพื่อนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานชาติ หรือ กพช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานต่อไป

ทั้งนี้ตนคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลา 1 เดือน ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อย และตนขอยืนยันว่าตนไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ เนื่องจากได้มีการกำกับ ติดตาม อย่างใกล้ชิดตลอดมา 

ส่วนต่อมาตนขอชี้แจงกรณีมีการกล่าวว่าการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวแพงเกินจริงนั้น ตนขอชี้แจงว่าในการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามการผลิต ประเภทแรกคือส่วนที่ผลิตจากแสงแดดมีการรับซื้อที่ 2.16 บาทต่อหน่วย และประเภทที่ผลิตจากพลังงานลมมีการรับซื้อที่ 3.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งทั้ง 2 ส่วนไม่ได้มีราคาสูงกว่าการรับซื้อเดิมแต่อย่างใด ดังนั้นตนจึงขอยืนยันว่าการรับซื้อไฟฟ้าในครั้งนี้ไม่ได้แพงเกินจริงแต่อย่างใด 

สำหรับคำถามที่ว่าในเมื่อจะมีการดำเนินการในส่วนของ Direct PPA แล้ว ทำไมจะต้องมีโครงการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนจะเป็นการซ้ำซ้อนกันหรือไม่ รวมถึงการทำไฟฟ้าให้มีที่มาจากพลังงานสะอาดด้วย

ในประเด็นนี้ตนขอนำเรียนว่า Direct PPA หรือการรับซื้อไฟฟ้าตรง กับ การรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน นั้นเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน 

สำหรับ Direct PPA เป็นการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ประกอบการกิจการโรงไฟฟ้ากับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้ไฟฟ้าโดยตรง 

แต่สำหรับ RE หรือการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนซึ่งในโครงการที่กล่าวไปตอนต้นที่มีกำลังการผลิต 3,600 เมกะวัตต์นั้น จะเป็นส่วนที่ส่งไฟเข้าสู่ กฟผ. ซึ่งเมื่อมีสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน หรือ RE ถึงเกณฑ์ที่กำหนดแล้วก็จะมีการจัดเก็บ UGT ที่ย่อมาจาก Utility Green Tariff หรืออัตราการเก็บค่าบริการสำหรับไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งไฟฟ้าสีเขียวจะได้มาจากพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ เป็นต้น โดยจะมีใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate หรือ REC) ควบคู่มาด้วย 

ซึ่ง Renewable Energy Certificate หรือ REC นี้ผู้ประกอบการจะใช้เป็นเอกสารประกอบเมื่อมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีการกำหนดกำแพงภาษีหากไม่มี REC การดำเนินการของ กกพ. จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกของประเทศ 

ถึงแม้ว่าพลังงานไฟฟ้าที่ได้มานั้น จะไม่สามารถแยกออกได้ว่าพลังงานไฟฟ้าหน่วยใดมีที่มาจากแหล่งใด ซึ่งมิใช่แค่ UGT แม้กระทั่ง Direct PPA ก็ตามก็ไม่สามารถแยกได้ เว้นแต่เอกชนจะดำเนินการเดินสายส่งไฟฟ้าด้วยตนเอง ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้เอกชนหลายรายพิจารณาใช้สายส่งไฟฟ้าของ กฟภ. และ กฟน. ทดแทน 

ประเด็นคำถามถึงแนวทางในการจัดการกับการประมูลพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในครั้งที่มีการประมูลขนาด 5,200 เมกะวัตต์นั้น ตนขอเรียนว่า ได้มีการสอบถามและหารือไปยัง “คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)” อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดีการดำเนินการใด ๆ อาจจะส่งผลให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้น ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อสังเกตและข้อแนะนำรวมถึงหารือในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าท่านใดมีข้อเสนอแนะที่ชัดเจนในเรื่องนี้ตนยินดีที่จะรับฟังพร้อมเดินหน้าปฏิบัติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน 

นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างปรับปรุงกฎ ระเบียบ เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เป็นการลดความยุ่งยากในการผลิตไฟฟ้าในครัวเรือนซึ่งจะสามารถช่วยลดผลกระทบของพี่น้องประชาชนจากค่าครองชีพหรือค่าไฟฟ้า

“ตนขอยืนยันว่า เบื้องหลังของตนมีแค่ผลประโยชน์ของประชาชน ไม่มีกลุ่มทุน อะไรที่สามารถแก้ไขได้ตนจะดำเนินการแก้ไข โดยไม่บ่ายเบี่ยงว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคใดในสมัยใด ขอให้ท่านมั่นใจว่าตนจะทำให้เต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง” นายพีระพันธุ์ กล่าวในตอนท้าย 

4 ชาติอาเซียน ‘ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย’ ตบเท้าเข้าร่วม BRICS ส่อเข้าทางจีน เพิ่มโอกาสสร้างอาณาจักร Global South

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีการประชุมของกลุ่มบริกส์ในปีนี้ ว่า 

BRICS ขยายสมาชิกอีกนับสิบประเทศ แถมมุ่งมั่นสะสมทองคำเพื่อผลักดันสกุลเงินใหม่ The Unit

ว่ากันว่า สงครามอิสราเอล-ฮามาส เป็นอีกหนึ่งแรงผลักให้สองชาติมุสลิมในอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซีย  ตัดสินใจร่วมวงกับจีนในกลุ่ม #BRICS ในครั้งนี้

สำหรับ เวียดนาม ในยุคอยู่เป็น ก็พร้อมจะร่วมวงกับจีนในกลุ่ม BRICS แบบไม่ลังเล แปลงจีนให้เป็นโอกาส

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 ชาติอาเซียน ทั้งไทย ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เข้าเป็นหุ้นส่วนพันธมิตรของ BRICS แต่ยังไม่ใช่สมาชิกเต็มตัวแต่อย่างใด

'ประเสริฐ' เผย 'บอร์ดดีอี' รับทราบขับเคลื่อนนโยบาย Cloud First Policy ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลคนไทย เดินหน้า 'รัฐบาลดิจิทัล' ตั้งภาครัฐใช้งานระบบ e-office 3 ล้านคน

(24 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดดีอี) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เลขานุการคณะกรรมการฯ ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการฯ ตลอดจนกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เข้าร่วมประชุมว่า ที่ประชุมบอร์ดดีอี ได้รับทราบและพิจารณาประเด็นที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนี้

1.แนวทางการดำเนินการใช้งานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในระบบ e-Office ภายใต้บริการคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service : GDCC) โดยมีแผนการดำเนินงานการเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัลในอนาคต จากความต้องการใช้งานระบบ e-Office ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้วิเคราะห์จากหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมายผู้ใช้งานระบบได้ 3,000,000 คน ภายในปี 2570  

2.การดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ได้แก่ คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (พ.ศ. 2561 – 2580) ฉบับปรับปรุง ซึ่งผ่านการพิจารณาของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการเฉพาะด้าน Cloud First Policy ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 2 คณะ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างบริการคลาวด์ภาครัฐ และคณะอนุกรรมการด้านบริหารจัดการความต้องการใช้บริการคลาวด์ (Demand) การให้บริการคลาวด์ (Supply) และมาตรฐานการบริหารจัดการบริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud Management) และได้เห็นชอบในหลักการกรอบแนวทางการบริหารจัดการระบบคลาวด์ภาครัฐ โดยมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดเสนอคณะกรรมการต่อไป

3.แนวทางการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยให้หน่วยงานภาครัฐ นำข้อกำหนดมาตรฐาน และเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ประจำปี พ.ศ. 2567 ไปใช้พลางก่อน จนกว่าจะมีข้อกำหนดมาตรฐาน และเงื่อนไขสำหรับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ใหม่ 

4.การเร่งรัดขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยเห็นชอบให้ภารกิจการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อยู่ภายใต้การดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

5.การเร่งรัดบูรณาการและขับเคลื่อน CCTV  ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะด้านการประมวลผลและใช้ประโยชน์จากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน ลดค่าใช้จ่าย สามารถบริหารจัดการข้อมูล และใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างเป็นรูปธรรม ผลักดันให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ทั่วประเทศ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

6.เห็นชอบ (ร่าง) กรอบการขับเคลื่อนการส่งเสริมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย (Digital ID) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2568 - 2570) และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการตาม (ร่าง) กรอบการขับเคลื่อนฯ พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลให้เป็นไปตามกรอบการขับเคลื่อนฯ ดังกล่าวต่อไป 

7.เห็นชอบ แนวทางการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีธรรมาภิบาล สำหรับผู้บริหารองค์กร (AI Governance Guideline for Executive) ของ ETDA โดยมอบหมายให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนนำไปปฏิบัติต่อไป

8.แนวทางการดำเนินการสร้างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้กับหน่วยงานของรัฐ สำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้เกิดการรั่วไหล และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เสนอคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบและประกาศให้ทุกหน่วยงาน นำไปใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป

9.การดำเนินงานขยายความจุ (Capacity) ของระบบเคเบิลใต้น้ำ ADC (Asia Direct Cable) ในปี 2566 จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ 1) เส้นทาง ไทย - ฮ่องกง จำนวน 300 Gbps และ 2) เส้นทางไทย - สิงคโปร์ จำนวน 700 Gbps 

10.ประกาศคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดนิยามและขอบเขตอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้แจ้งเวียนประกาศดังกล่าวไปยังหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้หน่วยงานนำกรอบนิยามอุตสาหกรรมดิจิทัลไปใช้ประโยชน์ในการสำรวจ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top