Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48681 ที่เกี่ยวข้อง

‘หนุ่ม กรรชัย’ เทียบนาฬิกาหรู ‘บอสพอล’ ไม่ตรงรูปบนโซเชียล เหล่านักเล่นนาฬิกา ยัน!! เป็นเสียงเดียวกัน มันคือของปลอม

(23 ต.ค. 67) จากกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำหมายค้นเข้าตรวจค้นและยึดอายัดทรัพย์สินของ นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ถูกนำมาซุกซ่อนในห้องเช่า ภายในซอยรามอินทรา 9 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.

โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดทรัพย์สินเป็นนาฬิกาหรู 19 เรือน หนึ่งในนั้นคือนาฬิกาหรู Richard Mille RM 53-01 และ Richard Mille RM 35-02 ซึ่งทั้ง 2 เรือนนี้ มีมูลค่ารวมกันกว่า 33 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่อง และสร้อยคอทองคำ รองเท้า รวมทั้งกระเป๋าแบรนด์เนมอีกหลายรายการ รวมมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ กล่าวในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เกี่ยวกับกรณี ดีเอสไอ เข้าทำการตรวจค้นแล้วเจอนาฬิกาหรูของบอสพอล โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ริชาร์ด มิลล์, โรเล็กซ์ , ปาเต๊ะ, โอเดอะมาร์ส ปิเกต์ หรือ AP, โอเมก้า และอีกมากมาย

คือนาฬิกาพวกนี้ ‘ดีเอสไอ’ ไปจับและโชว์ภาพออกมา เหล่านักเล่นนาฬิกาพูดเป็นเสียงเดียวเลยว่า ‘เก๊ยันกล่อง’ เขาบอกเลยว่าเก๊ยันกล่อง เขาพูดอันนี้เลย ก็คือน่าจะทุกเรือน กล่องพวกนี้ปาเต๊ะเขาไม่น่าจะมีนะ

หนุ่ม กรรชัย กล่าวต่อว่า อย่างเรือนที่ 2 ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็น RM3502 เรือนที่เม็ดมะยมสีแดง ๆ จริงเรือนนี้คือ 01 แล้วก็น่าจะไม่แท้ด้วย ส่วนขวามือสุดคือ 5301 อันนี้ก็ไม่น่าจะแท้ด้วย คือคนที่เล่นนาฬิกาเขาจะรู้เลย รวมถึงเรือนอื่น ๆ ด้วย

แต่ทีนี้มันแปลกตรงไหนรู้ไหม อย่างเรือนข้างล่างก็คือ นาฬิกาเพอร์นอต อันนี้ก็น่าจะเก๊ จริง ๆ แล้วดีเอสไอต้องเอาเจ้าหน้าที่ของทางปาเต๊ะเอง ของทาง AP หรือจะเป็นโอเมก้า หรือริชาร์ด มิลล์ เอาเข้ามาตรวจสอบด้วย

ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเป็นประเด็นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เมื่อก่อนก็มีข่าวศุลกากรไปจับมาเหมือนกัน เสร็จแล้วปล่อยออกจำหน่ายเป็นนาฬิกาเก๊ อันนี้มีประเด็น

นอกจากนี้ หนุ่ม กรรชัย ยังยกตัวอย่างโดยมีการยกภาพของบอสพอลที่ใส่นาฬิกาก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกด้วย ซึ่งไม่พบอยู่ในกล่องที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจยึดไว้ได้

‘อาจารย์ปานเทพ’ ออกโรงแจง พื้นที่ทะเลเป็นของไทย อย่าปล่อยให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน แย่งชิงผลประโยชน์

(24 ต.ค. 67) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

อย่าปล่อยให้คนปล้นชาติ ทำให้พื้นที่ทะเลไทย กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

18 พฤษภาคม 2516 มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 โดยการลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ของไทย ออกมาแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูด และเกาะกง ตามบทบัญญัติแห่งกรุงเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 (รับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982)

ดังนั้นพื้นที่ทะเลอาณาเขต พื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ ฝั่งอ่าวไทยรวมพื้นที่ 202,676.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 126,672,638 ไร่ รวมทั้งทรัพยากรทั้งหมดในพื้นที่ดังกล่าวจึงย่อมเป็นของราชอาณาจักรไทย ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของบรรพบุรุษไทย รวมทั้งแลกด้วยแผ่นดินไทยจำนวนมหาศาลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ใช่เอาไปบิดเบือนพระบรมราชโองการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 ให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ในเรื่องพลังงานอย่างไม่ถูกต้อง และไม่ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและประชาชนชาวไทย

ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
22 ตุลาคม 2567

ตุ๊กกี้แฉ คนในวงการเสื้อผ้าวินเทจสุดทราม ขอมีอะไรกับเมียเพื่อน ท้องแก่กว่า 8 เดือน

(24 ต.ค. 67) ตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม นักแสดงตลกชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงประเด็นฉาวในวงการซื้อขายเสื้อผ้าวินเทจ ว่า

มันต้องเป็นคนเหี้ยระดับไหนถึงขอมีอะไรกับเมียเพื่อนตั้งท้องแปดเดือนวงการเสื้อวินเทจ มีมาเฟียด้วยเหรอวะ!

นอกจากนี้ยังตุ๊กกี้ สุดารัตน์ บุตรพรม ยังได้มีการแชร์โพสต์จากเพจ บ้าข่าวไปเรื่อย หลายโพสต์ เช่น 

2 ผัวเมีย ติดหนี้รุ่นพี่แสนกว่า นัดจ่าย 20 ต.ค. ที่ผ่านมา แต่เกิดปัญหาเรื่องเงินกะทันหันเลยหาเงินมาจ่ายไม่ทัน 

รุ่นพี่ทำร้ายรุ่นน้องแล้วปล่อยลงข้างทาง ไล่ให้ไปหาเงินมาคืนให้ได้ รุ่นพี่จับเมียรุ่นน้องไว้บนรถขู่ขอมีอะไรด้วยทั้งที่ท้อง 8 เดือน 

‘สามารถ ราชพลสิทธิ์’ หนุนไอเดีย ‘ซื้อรถไฟฟ้า-ค่ารถติด’ แนะ ทำให้รอบคอบ-รอบด้าน ชี้ รบ.ทุกยุคเล็งเก็บค่ารถติด

(24 ต.ค. 67) ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงแนวทางของรัฐบาลในการซื้อสัมปทานรถไฟฟ้า ว่า

ซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน แต่
ขยายสัมปทานทางด่วน

รัฐจะซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชน เพื่อลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายทุกสีเหลือ 20 บาทตลอดสาย ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน ในขณะเดียวกันรัฐบอกว่าต้องการทำให้ค่าผ่านทางด่วนถูกลงด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน แต่กลับจะขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) ให้เอกชน ซึ่งจะไม่สามารถทำให้ค่าผ่านทางด่วนทั้งโครงข่ายถูกลงได้ ในทางกลับกัน การทำให้สัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงโดยเร็ว จะทำให้ค่าผ่านทางถูกลง 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวว่าในเดือนธันวาคม 2567 กระทรวงคมนาคมเตรียมจะลงนามสัญญาขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชครั้งที่ 2 ให้เอกชนผู้รับสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2578 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2601 เพื่อแลกกับการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ระยะทาง 17 กิโลเมตร มูลค่า 34,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ รัฐให้สัมปทานทางด่วนศรีรัชแก่เอกชนเป็นระยะเวลาดังนี้
(1) เริ่มต้นให้สัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2533 จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563
(2) ขยายสัมปทานครั้งที่ 1 ออกไป 15 ปี 8 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2578 
(3) กำลังจะขยายสัมปทานครั้งที่ 2 ออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2578จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2601 
(4) รวมระยะเวลาสัมปทานทั้งหมดถึง 68 ปี 1 เดือน !

หลังจากขยายสัมปทานครั้งที่ 2 ในเดือนมกราคม 2568 รัฐจะเริ่มลดค่าผ่านทางเฉพาะช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ที่ปัจจุบันสำหรับรถ 4 ล้อ มีอัตราสูงสุด 90 บาท จะปรับลดลงเหลือสูงสุด 50 บาท เป็นที่น่าสังเกตว่าการลดค่าผ่านทางดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการขยายสัมปทานให้เอกชน แต่เป็นผลจากการที่รัฐยอมเฉือนรายได้ของตนเองลงมา ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ขยายสัมปทานให้เอกชนก็ตาม หากรัฐยอมลดส่วนแบ่งรายได้จากค่าผ่านทางลงก็จะสามารถทำให้ค่าผ่านทางถูกลงได้ 

ผมมีความเห็นว่า หากกระทรวงคมนาคมเชื่อว่า Double Deck จะช่วยแก้ปัญหารถติดบนทางด่วนได้จริง กระทรวงคมนาคมก็ควรเป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง Double Deck เอง ไม่ควรมอบให้เอกชนก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้รัฐไม่ต้องขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชให้เอกชนอีก รออีกเพียง 11 ปีเท่านั้น ทางด่วนศรีรัชก็จะกลับมาเป็นของรัฐ ถึงเวลานั้น รัฐก็จะสามารถลดค่าผ่านทางด่วนทั้งโครงข่ายให้ต่ำลงได้

หากยังจำกันได้ การเตรียมขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชให้เอกชน เป็นเหตุให้สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หวั่นว่ารัฐจะเสียผลประโยชน์ จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ถึงผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “สำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต พิจารณาแล้วเห็นว่า เงื่อนไขในสัญญาบางประการตามที่สื่อมวลชนได้รายงานมีความเสี่ยงที่อาจทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ และอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญา” จึงขอให้ กทพ.ชี้แจงข้อเท็จจริงภายในวันที่ 7 สิงหาคม 2567

แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีข่าวว่า กทพ.ได้ชี้แจงข้อห่วงใยของ ป.ป.ช.จนสิ้นสงสัยแล้วหรือยัง ? หรือขอเลื่อนการชี้แจงออกไปเรื่อยๆ ? ตามที่เคยมีข่าวว่า กทพ.มีหนังสือถึง ป.ป.ช. ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ขอเลื่อนการชี้แจงออกไป 30 วัน ถึงวันนี้ก็เลย 30 วันแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า กทพ.ได้มีหนังสือถึง ป.ป.ช. ขอเลื่อนการชี้แจงออกไปอีก ?

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การที่กระทรวงคมนาคมเตรียมที่จะลงนามสัญญาขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชครั้งที่ 2 ให้เอกชนอีก 22 ปี 5 เดือน ในเดือนธันวาคม 2567 กระทรวงคมนาคมมั่นใจได้อย่างไรว่า ก่อนถึงวันลงนามสัญญา กทพ.จะสามารถชี้แจงข้อกังขาให้ ป.ป.ช.ได้จนเป็นที่พอใจของ ป.ป.ช. ?

นอกจากนี้ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ยังเคยแสดงความคิดเห็นถึงการจัดเก็บค่ารถติดในบริเวณกลางเมือง ว่า

เก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจ
หาเงินซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืน

รัฐเผยแนวคิดที่จะหาเงินจากการเก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นรายได้ส่วนหนึ่งที่จะนำไปซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนจากเอกชน ทำให้สามารถลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายทุกสีเหลือ 20 บาทตลอดสาย ได้ตลอดไป แนวคิดนี้มีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว แต่ก็ต้องพับเก็บไว้ เพราะเป็นแนวคิดที่ส่งผลกระทบต่อผู้เดินทางจำนวนมาก ครั้งนี้จะทำได้สำเร็จได้หรือไม่ ?

1. ค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Charge หรือ Congestion Pricing)
การเก็บค่าผ่านทางเข้าย่านธุรกิจหรือที่เรียกกันว่า ค่าธรรมเนียมรถติดนั้นมีบางเมืองในต่างประเทศที่ทำสำเร็จ แต่ก็มีบางเมืองที่ล้มเหลว ค่าธรรมเนียมรถติดยึดถือหลักการว่าคนขับรถทุกคนมีส่วนทำให้รถติดก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าถ้ารัฐให้บริการระบบขนส่งมวลชนและรถโดยสารสาธารณะได้ดีพอ ก็ไม่อยากใช้รถส่วนตัว จึงเกิดเป็นคำถามว่าเวลานี้ในพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายในการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด เช่น ถนนสุขุมวิท และถนนสีลม เป็นต้น มีรถไฟฟ้า และ/หรือ รถเมล์ รถโดยสารสาธารณะอื่น ที่ดีและเพียงพอแล้วหรือยัง ?

2. กรุงเทพฯ พร้อมที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด ?
มีการศึกษาการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในกรุงเทพฯ มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ เนื่องจากแนวคิดนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนจำนวนมาก ทำให้นักการเมืองไม่กล้านำมาใช้ เพราะจะทำให้คะแนนนิยมทางการเมืองลดน้อยลง มาถึงรัฐบาลนี้กลับมีความกล้าขึ้นมา อาจเป็นเพราะว่าต้องการทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทุกสายทุกสีเป็นจริงและยั่งยืนตามที่ได้หาเสียงไว้ หากไม่ซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน นโยบาย 20 บาทตลอดสาย ซึ่งต้องชดเชยเงินให้เอกชนผู้รับสัมปทานคงทำได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง แต่ถ้าซื้อสัมปทานคืนได้ก็ไม่ต้องชดเชยเงินให้เอกชน เป็นผลให้รัฐต้องการซื้อสัมปทานคืนด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดเป็นรายได้แหล่งหนึ่งที่จะนำไปซื้อสัมปทานคืน แต่การเก็บค่าธรรมเนียมรถติดจะส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากแม้ในพื้นที่ที่มีรถไฟฟ้าแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมรถติด รัฐจะต้องเตรียมความพร้อมทุกด้านอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบต่อผู้คนที่จำเป็นต้องเดินทางเข้า-ออกย่านธุรกิจที่เป็นเป้าหมาย รวมทั้งผู้ที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจ

3. การเตรียมความพร้อมในการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด
เนื่องจากการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในกรุงเทพฯ จะส่งผลกระทบหลายด้าน ดังนั้น รัฐจะต้องเตรียมความพร้อมตอบสนองต่อหลากหลายคำถาม เช่น
(1) นักเรียนที่มีผู้ปกครองขับรถไปรับ-ส่งที่โรงเรียน หากผู้ปกครองมีฐานะดีก็คงยินดีจ่ายค่าผ่านทาง คงไม่ยอมให้ลูกนั่งรถไฟฟ้า และ/หรือ รถโดยสารสาธารณะไปโรงเรียน แต่หากผู้ปกครองที่พยายามขวนขวายหารถส่วนตัวมาใช้ก็คงคิดหนักว่าจะจอดรถก่อนเข้าพื้นที่เป้าหมายดีหรือไม่ ? มีที่จอดรถมั้ย ? อัตราค่าจอดรถเท่าไหร่ ? จอดรถแล้วลูกจะเดินทางไปโรงเรียนอย่างไร ? มีรถไฟฟ้าหรือไม่ ? รถไฟฟ้าไปถึงโรงเรียนหรือไม่ ? ถ้าไม่ถึง มีรถโดยสารสาธารณะอื่นหรือไม่ ?
(2) ที่จอดรถนอกพื้นที่เป้าหมายมีเพียงพอหรือไม่ ? อัตราค่าจอดรถเท่าใด ?
(3) ในพื้นที่เป้าหมายนอกจากมีรถไฟฟ้าแล้ว มีรถโดยสารสาธารณะอื่นเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างสถานีรถไฟฟ้าไปโรงเรียน หรือที่ทำงานหรือไม่ ?
(4) ผู้ที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจที่เป็นเป้าหมายในการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด จะต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้า-ออกพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ด้วยหรือไม่ ?
(5) รถที่มีคนนั่งหลายคน เช่นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป (รวมทั้งคนขับ) จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรถติดหรือไม่ ?
(6) รถที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรถติดมีรถประเภทใดบ้าง ?
(7) ช่วงเวลาการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด เฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน ? หรือตลอดทั้งวัน ?
(อัตราค่าธรรมเนียมรถติดเท่าใด ? เท่ากันตลอดทั้งวัน ? หรือเปลี่ยนตามช่วงเวลา ?
(9) กรุงเทพฯ มีตรอกซอกซอยมาก จะป้องกันไม่ให้ผู้ใช้รถใช้เป็นเส้นทางหลบเลี่ยงการเก็บค่าธรรมเนียมรถติดได้อย่างไร ?
(10) จะนำเทคโนโลยีใดมาใช้เก็บค่าธรรมเนียมรถติด ?

4. สรุป
โดยสรุป หากรัฐเตรียมความพร้อมทุกด้านไว้อย่างดี การเก็บค่าธรรมเนียมรถติดคงทำให้รัฐได้เงินไม่น้อยที่จะเป็นรายได้แหล่งหนึ่งในการนำไปซื้อสัมปทานคืนจากเอกชน แต่ถ้ารัฐไม่สามารถเตรียมความพร้อมทุกด้านได้ดีพอ การเก็บค่าธรรมเนียมรถติดก็จะล้มเหลวอีกเช่นเคย

Traveloko เปิดสถิติสุดช๊อกจากแคมเปญ 10.10 Travel Fest ตะลึง!! ยอดจองบินไต้หวันมาที่ 1 แดนโสมหลุดโผ 5 ลำดับแรก

(24 ต.ค. 67) ซีซาร์ อินทรา ประธานบริษัท Traveloka กล่าวว่า "แคมเปญ 10.10 Travel Fest สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเราในการทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของนักท่องเที่ยว ด้วยการเล็งเห็นเทรนด์ต่าง ๆ และนำเสนอบริการบนแพลตฟอร์มที่ปรับให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล เราจึงทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างมั่นใจและสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ แคมเปญนี้ไม่เพียงมอบประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมให้กับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างบทบาทของเราในการสนับสนุนการฟื้นตัวและการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้อีกด้วย"

แคมเปญนี้มีผู้ให้บริการด้านการเดินทางและแบรนด์ที่พักชั้นนำเข้าร่วมมากมาย ได้แก่ สายการบิน Qatar Airways, เครือโรงแรม Millennium Hotels & Resorts, สวนสนุก Universal Studios Singapore และอีกมากมาย เพื่อช่วยกันมอบข้อเสนอพิเศษด้านการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และแพ็กเกจกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยนำเสนอตัวเลือกมากมายตั้งแต่วันหยุดพักผ่อนกับครอบครัว ท่องเที่ยวต่างประเทศ ไปจนถึงการล่องเรือสำราญพร้อมที่พักแบบเต็มรูปแบบ ทำให้แคมเปญตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันได้

อาลี แอสเกอร์ เลห์รี (Ali Asger Lehry) รองประธานฝ่ายบริหารรายได้ประจำภูมิภาคเอเชียของ Millennium Hotels and Resorts กล่าวว่า "แคมเปญ 10.10 Travel Fest ทำให้เครือโรงแรมของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดหลัก ช่วยสร้างการรับรู้ของแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ และเสริมสร้างความตระหนักในตลาดด้วยการนำเสนอที่น่าสนใจ การสนับสนุนจาก Traveloka ทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะที่ยังคงสอดคล้องกับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายของเรา เรารู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้และตั้งตารอความร่วมมือในอนาคตเพื่อมอบประสบการณ์ชั้นยอดให้กับผู้เข้าพัก"

แนวโน้มการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเทศกาลวันหยุด ที่สามารถสังเกตได้จากแคมเปญ 10.10 Travel Fest ทั้งด้านรูปแบบ พฤติกรรม และความชอบ มีดังนี้

แคมเปญ 10.10 Travel Fest กระตุ้นการจองตั๋วล่วงหน้า โดยมีนักท่องเที่ยวเกือบ 60% จองเที่ยวบินระหว่างประเทศล่วงหน้าก่อนการเดินมากกว่า 30 วัน แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นว่าหลายคนมีการวางแผนเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด ด้วยส่วนลดพิเศษที่มีระยะเวลาจำกัด แคมเปญนี้จึงสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวจองทริปล่วงหน้า เพื่อการพักผ่อนที่ราบรื่นและคุ้มค่า

แคมเปญ 10.10 Travel Fest เปิดเผยจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยไต้หวัน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในขณะที่เชียงใหม่ กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอุบลราชธานีเป็นปลายทางในประเทศยอดฮิตที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพอันงดงาม ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย และอาหารรสเลิศ แคมเปญนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันความนิยมของสถานที่เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นถึงความต้องการสัมผัสประสบการณ์การเดินทางที่หลากหลาย ตั้งแต่ชีวิตเมืองที่คึกคักไปจนถึงรีสอร์ทริมชายหาดสุดเงียบสงบ

แคมเปญนี้ทำให้ยอดจองล่องเรือสำราญพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งบ่งบอกถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เหมือนใครและข้อเสนอแบบ All-Inclusive การล่องเรือสำราญกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการฉลองปีใหม่ เพราะนักท่องเที่ยวได้เที่ยวหลายที่ในคราวเดียว พร้อมเพลิดเพลินไปกับความสะดวกสบายและการพักผ่อนบนเรือสำราญ

นักท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมองหาที่พักที่ให้ความรู้สึกสมจริง และมอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่แท้จริงมากขึ้น โดยพบว่ามีการจองโรงแรมเรียวกังแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 101% ในขณะที่พักบนเรือเพิ่มขึ้น 52% ทำให้ผู้เดินทางได้สัมผัสกับจุดหมายปลายทางในมุมมองใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีการจองโรงแรมริยาจที่ให้กลิ่นอายความเป็นโมร็อกโกแท้ ๆ เพิ่มขึ้นถึง 63% เทรนด์นี้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการเดินทางกำลังเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมที่มีความหมายมากกว่าการเข้าพักในโรงแรมทั่วไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top