Tuesday, 10 June 2025
ค้นหา พบ 48698 ที่เกี่ยวข้อง

จับตาประชุมกลุ่ม BRICS ร่วมประเทศพันธมิตร 34 ประเทศ กลุ่มมหาอำนาจใหม่ท่ามกลางความขัดแย้งสองซีกโลกในทุกมิติ

(24 ต.ค. 67) ในสัปดาห์นี้กำลังมีการประชุมใหญ่ในสองซีกโลกที่สะท้อนให้เห็นถึง 'การแบ่งขั้ว' ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นในยุคปัจจุบัน กับการประชุม BRICS และ IMF-World Bank

ฝั่ง 'สหรัฐ' เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่ทยอยเรียกความสนใจไปแล้วตั้งแต่การออกรายงานหนี้สาธารณะทั่วโลกที่พุ่งทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก มาจนถึงการออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดเดือน ต.ค. ที่เตือนเรื่องความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้าซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนในฝั่ง 'รัสเซีย' จะเปิดบ้านในเมืองคาซาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ 'บริกส์' (BRICS) ที่มีสมาชิกดั้งเดิม 4+1 ประเทศคือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ และผู้นำ/ผู้แทนจาก 34 ประเทศเข้าร่วมระหว่างวันที่ 22 - 24 ต.ค. โดยมีไฮไลต์ที่การเข้าร่วมประชุมครั้งแรกของเหล่า 'สมาชิกใหม่' 5 ประเทศ และการสะท้อนนัยยะทางการเมืองครั้งสำคัญของรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน

อัสลี อัยดินทัสบาส ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศจากตุรกี กล่าวกับสถาบันคลังสมองบรูกกิงส์ในสหรัฐว่า ภายหลังสงครามในฉนวนกาซา (ซึ่งสหรัฐส่งอาวุธไปให้กับอิสราเอล) รัสเซียและจีนได้ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกต่อต้านตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยความผิดหวังจากการกระทำสองมาตรฐานของตะวันตก รวมถึงความไม่พอใจจากคว่ำบาตรและบีบบังคับทางเศรษฐกิจของตะวันตก 

"เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มประเทศตรงกลางจะแปรพักตร์จากอิทธิพลของสหรัฐไปซบจีนแทน แต่ประเทศเหล่านี้กำลังเปิดใจให้จีนและรัสเซียมากขึ้น เพื่อให้โลกมีอิสระและกระจายขั้วอำนาจมากขึ้น"

>>> จับตาสมาชิกใหม่ BRICS+

ขณะที่ซีเอ็นบีซีรายงานว่า รัสเซียพยายามใช้วาทกรรมการรวมกลุ่มของประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา เพื่อต่อกรท้าทายระเบียบโลกใหม่กับซีกโลกเหนือที่นำโดยสหรัฐ ซึ่งจะเป็นวาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ตัวปูตินเองได้เปรยเอาไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า การขยายสมาชิกกลุ่มบริกส์เป็น 'ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงอำนาจที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มและบทบาทในกิจการระหว่างประเทศ' พร้อมส่งสัญญาณว่าเขาตั้งใจที่จะนำเสนอรูปแบบการรวมกลุ่มที่เรียกว่า 'BRICS+' (บริกส์พลัส) เพื่อท้าทายตะวันตกทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ

ปูตินจะใช้วันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดผู้นำบริกส์ 10 ประเทศ จัดการประชุมคู่ขนาน BRICS and Outreach หรือ BRICS Plus ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ ในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกาเกือบ 40 ประเทศเข้าร่วม และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของกลุ่มในการขยายความสัมพันธ์กับประเทศในซีกโลกใต้

"ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และในอนาคตอันใกล้นี้ เศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นกลไกหลักในการเพิ่ม GDP โลก และเศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์จะเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกมากขึ้น" ปูตินกล่าวในการประชุมภาคธุรกิจกลุ่มบริกส์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

นอกจากผู้นำของกลุ่มประเทศก่อตั้ง 5 ประเทศ ยกเว้นเพียงบราซิลที่ส่งผู้แทนมาร่วมประชุมเนื่องจากประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลวา ประสบอุบัติเหตุ ผู้นำของ 5 ประเทศสมาชิกใหม่ต่างมาร่วมประชุมบริกส์อย่างคึกคัก อาทิ ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) อิหร่าน อียิปต์ และเอธิโอเปีย ส่วนซาอุดีอาระเบียส่งรัฐมนตรีต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมแทน 

นอกจากนี้ยังมีผู้นำประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกเข้าร่วมด้วย อาทิ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม และแม้แต่อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ส่วน 3 ประเทศที่แสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศบริกส์ไปแล้ว ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และตุรกีนั้นมีรายงานว่าประธานาธิบดีเรย์เซบ เตย์ยิป เออร์ดวน ของตุรกี รัฐมนตรีเศรษฐกิจของมาเลเซีย ราฟิซี รัมลี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ จะเข้าร่วมการประชุมด้วย

ทิโมธี แอช นักวิชาการในโครงการรัสเซียและยูเรเซียของสถาบันชัทแธมเฮ้าส์ในลอนดอน กล่าวว่าในฉากหลังนั้น ปูตินกำลังคาดหวังถึงชัยชนะด้านการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่เหนือยูเครนและตะวันตก โดยพยายามส่งสารว่า แม้จะมีสงครามและถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก แต่รัสเซียก็ยังคงมีพันธมิตรระหว่างประเทศจำนวนมากที่เต็มใจจะคบค้าและค้าขายด้วยกับรัสเซีย

ทั้งนี้หลังจากที่สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเปิดฉากขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในเดือนก.พ. 2565 รัสเซีย ปูติน และบรรดาแกนนำในรัฐบาลต่างก็ถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก สหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) และบรรดาประเทศพันธมิตร เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรต่างออกมาตรการคว่ำบาตรธุรกิจพลังงาน ธนาคาร และกลาโหมของรัสเซีย ท่ามกลางแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ คว่ำบาตรรัสเซียตามมาหลังจากนั้น 

ไม่เพียงแต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเท่านั้น ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในกรุงเฮกได้อนุมัติการออกหมายจับปูตินในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อปี 2566 ทำให้ผู้นำรัสเซียไม่สามารถเดินทางไปประเทศที่มีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศได้ และเคยต้องงดการไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำประเทศบริกส์ครั้งก่อนที่แอฟริกาใต้มาแล้ว และงดเข้าร่วมแม้แต่การประชุมจี20 ในปีที่แล้วที่ประเทศอินเดีย แม้จะไม่มีข้อตกลงกับ ICC ก็ตาม 

"การประชุมสุดยอดที่คาซานมีความสำคัญทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปฏิบัติต่อระบอบการปกครองของปูติน" แองเจลา สเตส่วนนต์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายูเรเซีย รัสเซีย และยุโรปตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าวกับสถาบันบรูกกิงส์ "การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่า รัสเซียไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่ยังมีพันธมิตรที่สำคัญ เช่น อินเดีย จีน และประเทศตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญๆ"

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ตอกย้ำให้เห็นภาพนี้ด้วยการจับมือกับปูตินอย่างแน่นแฟ้นในงานและส่งสารอย่างชัดเจนถึงการรวมกลุ่มครั้งนี้ว่า ความร่วมมือในกลุ่มบริกส์เป็น "เวทีสำคัญที่สุดสำหรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและร่วมมือกันระหว่างประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในโลกวันนี้ เป็น “พลังหลักในการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้ถึงโลกหลากขั้วอย่างเท่าเทียมและเป็นระเบียบ รวมถึงโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและอดกลั้น”

‘ทูตนริศโรจน์’ เคลียร์ปมสงสัยทุกประเด็น กรณี ‘พลายศักดิ์สุรินทร์’ ช้างไทยที่เคยอยู่ในศรีลังกา

(24 ต.ค. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย  โพสต์เฟซบุ๊ก   Fuangrabil Narisroj  ระบุข้อความว่า

มีเพื่อนบางคนถามเรื่องพลายศักดิ์สุรินทร์ที่คุณหนูนาได้นำกลับมารักษาที่เมืองไทยว่าแตกต่างจาก กลุ่มขบวนการทวงช้างคืนจากศรีลังกาอย่างไร

ผมขออธิบายสรุปคร่าวๆ ดังนี้

1.ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ช้างที่ไทยเราเคยมอบให้ศรีลังกา เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ เป็นการมอบให้แบบ G2G ช้างที่มอบให้ศรีลังกาไปแล้ว ศรีลังกามีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์

2.กรณีพลายศักดิ์สุรินทร์ เนื่องจากควาญที่ดูแลพลายศักดิ์สุรินทร์มาตั้งแต่แรกเสียชีวิต และพลายศักดิ์สุรินทร์ป่วยไม่สบาย ทางไทย (โดยคุณหนูนาและคุณท๊อป) ก็ได้ขออนุญาตต่อทางการศรีลังกา ขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มาทำการรักษาพยาบาลที่ไทย 

3.สถานที่รักษาพยาบาลก็คือ สถาบันคชบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งก็เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ ที่หากมีการรับส่งช้างก็ต้องดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้รับ (แบบ G2G) ไม่ใช่ส่งคืนให้ “มูลนิธิ” ของเอกชน ! 

4.การดำเนินการขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มารักษาที่ไทย ไม่ใช่การทวงคืนช้างจากศรีลังกา ซึ่งกรณีนี้ทางการศรีลังกาก็ยังแสดงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อรักษาเสร็จแล้ว ขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์กลับคืนศรีลังกาต่อไป

5.ในหลวง ร.10 เมื่อทรงทราบเรื่องก็ได้พระราชทานความช่วยเหลือรับพลายศักดิ์สุรินทร์ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และตรงนี้เองที่เราได้ใช้อ้างกับทางศรีลังกาในการรักษาพยาบาลพลายศักดิ์สุรินทร์ไปเรื่อยๆโดยไม่มีกำหนด

6.ส่วนกรณีที่เกิดกลุ่มขบวนการทวงช้างคืนจากศรีลังกานั้น เมื่อเห็นการนำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับมาไทยได้ ก็เลยต้องการเลียนแบบ เปิดประเด็นว่าพลายประตูผา กับ พลายศรีณรงค์ ได้รับการปฏิบัติไม่ดี มีการทรมานใช้ออกงาน เลยไปทำแคมเปญทวงคืนช้างไทย โดยมีมูลนิธิหนึ่งเป็นตัวตั้งตัวตี มีนักการเมืองพรรคนึงสนับสนุน นัยว่าจะทวงคืนช้างมาไว้ที่มูลนิธิ 

7.มีการปั่นข้อมูลบิดเบือน จับแพะชนแกะ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทวงคืนช้าง โดยไม่สนใจว่าจะกระทบต่อมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนเกิดกรณีลุกลามมีชาวศรีลังกาบางส่วนไม่พอใจต่อกลุ่มขบวนการทวงช้างคืน จนกลายเป็นวิวาทะระหว่างประเทศ ชาวศรีลังกาบางส่วนออกมาแอนตี้ต่อต้าน

8.ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเช่น สถานทูตไทยที่ศรีลังกาก็ได้พยายามอธิบายเหตุผลและขั้นตอนต่างๆต่อกลุ่มขบวนการทวงคืนช้างตามนัยของข้อ 1-4 ข้างต้นแล้ว แต่ทางกลุ่มก็ไม่ยอมรับฟัง และไม่หยุดดำเนินการ

9.ทางสถานทูตไทยได้ร่วมกับสัตวแพทย์ทั้งไทยและศรีลังกาไปตรวจสุขภาพพลายประตูผา และพลายศรีณรงค์ก็พบว่าตัวนึงสุขภาพเกินกว่ามาตรฐาน และอีกตัวนึงมีปัญหาสุขภาพบ้างตามอายุขัย แต่อยู่ในการควบคุมดูแลได้ และพลายทั้งสองเชือกยังมีควาญที่เลี้ยงมาแต่แรกดูแลอยู่

10.สรุปอีกที กรณีพลายศักดิ์สุรินทร์ ไม่ใช่การทวงช้างคืน แต่เป็นการขอรับพลายศักดิ์สุรินทร์มารักษาที่ไทย ซึ่งได้รับการอนุมัติจากทางการศรีลังกาให้ดำเนินการได้ ส่วนกรณีของกลุ่มขบวนการทวงช้างคืนนั้น เป็นการอ้างว่าขอเอาช้างที่มอบให้ศรีลังกาไปแล้วกลับคืนเพื่อเอามาไว้ที่มูลนิธิของเอกชน แต่ทางการศรีลังกาไม่อนุมัติ

ตลาด E-Commerce จีนแข่งกันเดือด งัดกลยุทธ์ ‘คืนเงินโดยไม่ต้องคืนสินค้า’

(24 ต.ค. 67) นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล Founder & CEO บริษัท Fire One One ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสถานการณ์การแข่งขันในตลาด E-Commerce จีน ว่า

เมื่อชะลอตัว จีนก็แข่งกันเดือด Pinduoduo - อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่ใช้กำลังซื้อมหาศาลมาซื้อของสต็อกเพื่อให้ได้ราคาถูกมาก ๆ (เจ้าของ TEMU) เปิดเกมส์เมื่อเดือนสิงหาคมให้ลูกค้าที่ไม่พอใจสินค้าขอ Refund ได้โดยไม่ต้องส่งของคืน ... เล่นเอาทั้งคู่แข่งและหน่วยงานรัฐเต้นทันที

Taobao บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อีกราย หนึ่งในธุรกิจหลักของอาลีบาบา ส่งกระดาษโน้ตไปในทุกแพ็กเกจเพื่อประกาศว่า "เราไม่มีนโยบาย No-return Refund ถ้าคุณจะขอเงินคืนแต่ไม่คืนสินค้ากลับมา เราจะดำเนินคดีทันที" ... เนื่องจากเดือนที่ผ่านมาพวกเขาเจอการขอ Refund มากผิดปกติ (ตัวเลขจาก Nikkei คือเจอลูกค้าของเงินคืนแบบไม่ส่งของกลับมาราว 400,000 ครั้ง) ... พวกเขามองว่านี่เป็นการตัดขาคู่แข่งเพราะ Taobao ต้องชดใช้ให้ผู้ขายถึง 300 ล้านหยวนในช่วงเวลาดังกล่าว

หน่วยงานรัฐมองว่า Pinduoduo กำลังสร้างพฤติกรรมไม่ดีให้กับลูกค้าที่ไม่พอใจก็ขอเงินคืนได้ตลอดเวลา จะทำให้เกิดการซื้อแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ขึ้นมา ... แต่แน่นอนว่าถูกใจผู้บริโภค แต่จะไม่เป็นผลดีกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในระยะยาว

Pinduoduo แย้งว่าพวกเขาไม่ใช่รายแรกที่ทำ (Amazon ก็ทำในสินค้าบาง Segments ที่ราคาถูกมาก ๆ จนไม่คุ้มต่อค่าส่ง) 

ผู้ขายก็ได้เงินคืนละครับแต่ว่ามันจะไม่ดีกับพวกเขา เช่นผู้ผลิตเครื่องสำอางที่ขายตัวเดียวกันทั้งใน Pinduoduo และใน Taobao มียอดขอคืนเพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์มแรก มากกว่าทั้งปีที่เธอขายมาเมื่อปีที่แล้วทั้งที่สินค้าเป็นตัวเดิม ... "ลูกค้าแค่บอกว่าสินค้าของเราไม่ดี เลยขอเงินคืน สกอร์ของเราจะเป็นยังไง? ลูกค้าก็เอาไปใช้ใช่ไหม? แล้วจะทำยังไงถ้าเราเจอการสั่งซื้อสินค้าเดิมแล้วทำแบบเดิมอีกรอบ"

หน่วยงานรัฐเจอพฤติกรรม "เปิดกลุ่มสอน" เริ่มจากการขอรีฟันด์อย่างถูกต้องโดยระบุว่าสินค้าประเภทไหนจากผู้ค้ารายไหนต้องแจ้งยังไง ตอนนี้กลายเป็นการสอนอย่างเป็นระบบว่าจะใช้ของฟรีกันในแต่ละวันอย่างไร

ความขัดแย้งจะเริ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอนครับ

แจ้งจับ!! ‘เมียบิ๊กตำรวจดัง’ ย่องลักทรัพย์ในคอนโด ด้าน ‘ผบช.สพฐ.’ รุดคุมเก็บหลักฐานด้วยตัวเอง

อาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แจ้งความ สน.พระโขนง ให้ดำเนินคดี 'ศิรินัดดา หักพาล' ภรรยา 'บิ๊กโจ๊ก' ลักทรัพย์ในคอนโด ซ.สุขุมวิท 101 หลานเห็นกับตาใช้กุญแจ-คีย์การ์ดเปิดห้องเข้าไป ขณะที่ ‘พล.ต.ท.ไตรรงค์’ ลงพื้นที่คุมเก็บหลักฐาน มัดตัวคนผิดด้วยตัวเอง 

มีรายงานว่า ในเอกสารรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง ได้มีการบันทึกลงวันที่ 20 ตุลาคม โดยมีความตอนหนึ่งสรุปว่า สถานที่เกิดเหตุ กรีนคอนโด ซอยสุขุมวิท 101 เขตพระโขนง กรุงเทพ นางสาวธณัฎฐา ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้เดินทางมายัง สน.พระโขนง แจ้งว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองและนายภีมพจน์ น้อมชอบพิทักษ์ สามี ซึ่งพักอาศัยที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้เป็นประจำ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม เวลาประมาณ 14.00 น.ได้ใช้ให้นายพงษ์พัฒน์ วรเกตุ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน เข้ามาเอาของที่ห้องพัก เมื่อเดินทางมาถึงและออกจากลิฟต์ชั้น 7 แล้วได้สังเกตเห็นนางศิรินัดดา หักพาล ผู้ต้องหาในคดีนี้ ใช้กุญแจและคีย์การ์ดเข้าไปในห้องดังกล่าว สามีและหลานจึงได้โทรศัพท์เรื่องดังกล่าวให้กับตนเองได้ทราบ ตนเองจึงรีบเดินทางมาจากนครปฐมและเข้าไปยังห้องพักและเข้าตรวจสอบทรัพย์ที่ได้เก็บไว้ในลิ้นชักในตู้เสื้อผ้าภายในห้องดังกล่าว (ตามบัญชีทรัพย์สินถูกประทุษร้าย) ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ตนเองและสามี ซื้อร่วมกันเพื่อจะเอาไว้ในงานแต่งงานระหว่างตนเองกับสามี

โดยในเอกสารได้มีการลงนามบันทึกโดย ส.ต.อ.จิรัฏฐ์ ธันย์ปวัฒน์ และ พ.ต.ท.สิทธิเดช หาญจริง พนักงานสอบสวน

โดยผู้เสียหายได้ให้ข้อมูลรายละเอียดกับตำรวจว่า ตนและสามีพักอาศัยอยู่ที่คอนโดฯแห่งนี้ แต่ตอนนี้ได้ย้ายไปพักย่านพุทธมณฑล เนื่องจากทำงานที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ส่วนสามีจะไปพักที่คอนโดฯแห่งนี้เป็นประจำ

ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. วันที่ 18 ส.ค. ตนทราบว่าภรรยานายตำรวจยศคนดังได้ใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปในห้องที่คอนโดฯ จึงเดินทางไปที่คอนโดฯ พบว่าทรัพย์สินที่เก็บไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าทั้ง 6 รายการได้หายไป รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินที่ตนและสามีจัดซื้อมาเพื่อเตรียมใช้ในงานแต่งงาน หลังเกิดเหตุได้ติดต่อทวงถามโดยตลอด แต่ไม่สามารถติดต่อภรรยานายตำรวจยศนายพลคนดังได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ

ผู้สื่อข่าวสอบถาม พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง ถึงกรณีดังกล่าว ซึ่ง ผกก.สน.พระโขนง ระบุว่า มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความเรื่องนี้จริง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค. แต่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความในวันที่ 20 ต.ค. นอกจากนี้ผู้เสียหายได้ไปออกรายการทีวีดังและพูดถึงประเด็นนี้ ซึ่งรายละเอียดความเสียหายที่ผู้เสียหายเคยให้ไว้กับตำรวจในวันแจ้งความ มีข้อมูลน้อยกว่าที่ไปพูดในรายการดังกล่าว ตอนนี้ตำรวจได้ติดต่อผู้เสียหายเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว แต่ผู้เสียหายยังไม่ได้เข้าไปให้การเพิ่มเติม หลังจากนี้หากเข้าให้การแล้วจะเรียกตัวพยานในเหตุการณ์มาสอบปากคำเพิ่มเติมด้วย แต่ก็ต้องตรวจสอบก่อนว่ามีพยานในเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ ส่วนการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำจะต้องเป็นขั้นตอนหลังจากสอบผู้เสียหายเสร็จแล้ว เบื้องต้นตำรวจได้เก็บข้อมูลกล้องวงจรปิดในห้องพักไปตรวจสอบแล้ว

ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น.วันเดียวกัน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เข้าพบ พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ ประดับไทย ผกก.สน.พระโขนง และได้เชิญตัว น.ส.ธณัฏฐา ผู้เสียหายเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติมกรณีทรัพย์สินที่สูญหายไปรวมมูลค่าเกือบ 6 ล้านบาท และยังได้นำของกลางที่ผู้ถูกกล่าวหาทิ้งไว้ในห้องที่เกิดเหตุเลขที่ 8/125 ชั้น 7 ของคอนโดฯ ซอยสุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ประกอบด้วย นาฬิกาปาเต๊ะ ฟิลิปส์ 2 เรือน กระเป๋าสะพาย และเอกสารต่างๆของผู้ถูกกล่าวหาอีกหลายรายการ

น.ส.ธณัฏฐา แจ้งว่า ก่อนเกิดเหตุตน และสามี ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่ ชั้น 7 ของคอนโดมิเนียมดังกล่าว ต่อมาตนและสามีย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่ไอคอนโดฯ ต.พุทธมณฑล อ.ศาลายา จ.นครปฐม เนื่องจากประกอบอาชีพรับจ้าง เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม และสามีก็ทำงานรับราชการอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจเช่นกัน โดยตนและสามีได้มาพักผ่อนที่ห้องเกิดเหตุอยู่เป็นประจำ

ต่อมา ในวันที่ 18 ส.ค. เวลาประมาณ 14.00 น. ตนได้ใช้ให้หลานชาย เข้ามาเอาของที่ห้องพัก คอนโด ซอยสุขุมวิท 101 เมื่อหลานเดินทางมาถึงคอนโดและได้ขึ้นลิฟท์ไปบนชั้น 7 เมื่อออกจากลิฟท์แล้ว ได้สังเกตเห็นผู้ต้องหาในคดีนี้ ใช้กุญแจและคีย์การ์ดเปิดเข้าไปในห้องพักของตนและสามี หลานชายจึงได้โทรศัพท์แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ทราบ ซึ่งขณะนั้นตนพักอยู่ที่ จ.นครปฐม จึงได้รีบเดินทางมาที่ห้องเกิดเหตุ ถึงห้องในเวลาประมาณ 16.00 น. เข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินที่ได้เก็บไว้ในลิ้นชักในตู้เสื้อผ้าประกอบด้วย ทองคำประเภทต่างๆ น้ำหนักรวม 120 บาท เงินสดอีก 6 แสนบาท รวมมูลค่าประมาณ 5.7 ล้านบาท ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ตนและสามีซื้อร่วมกันเพื่อจะเอาไว้ใช้ในงานแต่งงาน ในเดือน ก.พ.2568 แต่ได้จดทะเบียนสมรสกันในเดือน พ.ค.2567 แล้ว

น.ส.ธณัฏฐา กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น จึงได้พยายามติดต่อผู้ถูกกล่าวหาทั้งทางโทรศัพท์และทางไลน์แล้ว แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้เขียนจดหมายเพื่อทวงทรัพย์สินดังกล่าวคืน โดยนำไปให้ที่บ้านพักในวันที่ 17 ก.ย. 67 เวลาประมาณ 18.40 น.แต่ รปภ.หมู่บ้าน ไม่ให้ตนเข้าไปส่งด้วยตัวเอง แต่ได้ประสานให้นายตำรวจที่คอยดูแลบ้านพักของนายพลตำรวจคนดังมารับเอกสารแทน แต่ภรรยาของนายตำรวจใหญ่ก็ไม่ได้นำทรัพย์สินดังกล่าวมาคืน และพยายามติดต่อทวงทรัพย์สินเรื่อยมา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ตนจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีนี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามกฎหมาย และติดตามทรัพย์สินดังกล่าวมาคืนให้กับตน

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ประสานมาให้ร่วมตรวจสอบเหตุลักทรัพย์ โดยผู้ถูกกล่าวหาได้ทิ้งหลักฐานไว้ในห้องที่เกิดเหตุหลายรายการ ซึ่งได้ตรวจลายนิ้วมือแฝงไว้หมดแล้ว และจะได้ไปตรวจสอบในห้องที่เกิดเหตุ ตรวจสอบภาพวงจรปิดในคอนโดฯ ที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคดีนี้ ตำรวจพบว่ามีปมปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัว โดยภรรยาของนายตำรวจใหญ่คนดังที่ถูกกล่าวหา มีความสนิทสนมกับสามีของผู้เสียหาย ทั้งยังมีคีย์การ์ดเข้าออกห้องที่เกิดเหตุอีกด้วย
 

‘เพื่อไทย’ มีมติหนุนข้อสังเกต-รายงานนิรโทษกรรม ด้าน ‘นพดล’ ย้ำ พท.ไม่มีความคิดล้างผิด ม.110 และ 112

(24 ต.ค. 67) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมสส.พรรค ถึงการลงมติวาระพิจารณาการลงมติโหวตจะรับข้อสังเกตรายงานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาแนวทางการตราร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม หรือไม่ ว่า รายงานนี้ไม่ใช่การพิจารณากฎหมาย ไม่ใช่การพิจารณาว่าจะมีหรือไม่มีมาตรา 112 รายงานนี้เป็นเพียงผลการศึกษาว่าหากต้องทำกฎหมายนิรโทษกรรมต้องทำอย่างไร ซึ่งตนพยายามอธิบายมาหลายครั้งและนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ก็พูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 จากการฟังในที่ประชุมทั้งหลายก็มีแนวโน้มไปในทิศทางนั้น ฉะนั้น จึงได้ย้ำว่าที่ประชุมไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เพียงแค่ตอนนี้ไม่ใช่การพิจารณากฎหมาย เพียงแค่เป็นวาระการศึกษากฎหมาย 

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ประชุมจะลงมติกันในวันนี้ได้หรือไม่นั้น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานสส.พรรค พท. ได้ถามความเห็นอย่างรอบด้าน จึงมีข้อสรุปว่าร่างรายงานนี้ที่เป็นรายงานที่เสนอโดยพรรค พท. และได้มีการประชุมกมธ.มา 19 ครั้ง ซึ่งกมธ.ไม่มีใครคัดค้านในรายงานนี้ว่าไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ในที่ประชุมพรรค พท.จึงมีความเห็นว่าเราจะรับทราบรายงาน รวมถึงเห็นชอบกับข้อสังเกต ส่วนพรรคอื่นจะไม่เห็นชอบ ก็แล้วแต่แต่ละพรรค แต่พรรค พท.ควรเห็นชอบเพราะเป็นรายงานของพรรค พท.ที่เสนอ แต่เมื่อถึงเวลาจะไม่เห็นชอบมันผิดข้อเท็จจริง แต่หากสมาชิกจะเห็นแตกต่างกันไป เราก็ไม่ว่าอะไร ให้เป็นดุลยพินิจแต่ละคน แต่โดยหลักจะไปในแนวทางที่เห็นชอบ 

เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลควรโหวตไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การโหวตเป็นเอกสิทธิ์ การที่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีความเห็นอย่างไร ตนทราบ แต่ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของเขา เราไม่ได้ว่าอะไรกัน 

ด้านนายนพดล กล่าวว่า จากที่ตนเคยอภิปรายไปและพรรค พท. ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าพรรค พท.ไม่มีนโยบายและไม่มีความคิดที่จะนิรโทษกรรมความผิดในมาตรา 110 และมาตรา 112 ฉะนั้น การที่มีบางสื่อนำเสนอไปว่าพรรค พท.จะดันนิรโทษกรรมมาตรา 112 จึงไม่ต้องกับข้อเท็จจริง ย้ำว่าพรรค พท.จะไม่นิรโทษกรรมมาตรา 112 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top